บทที่ 2

สถาบันและองค์กรหลักในประชาคมโลก

 

จุดประสงค์: เพื่อให้นักศึกษาเข้าใจและสามารถอธิบายได้เกี่ยวกับรัฐและองค์กรระหว่างประเทศที่มีบทบาทสำคัญ ในการกำหนดแบบวิถีความสัมพันธ์ของประชาคมโลกในยุคปัจจุบัน.

 

รัฐในฐานะสถาบันสำคัญในประชาคมโลก

ในฐานะที่วิชาประชาคมโลก คือวิชาที่ว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างชุมชน/สังคมการเมืองต่างๆ บนพื้นผิวโลก  หรือ “การแลกเปลี่ยนและการปฏิสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นข้ามพรมแดนของประเทศในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง เพื่อวัตถุประสงค์ทางการเมืองหรือเป้าหมายอื่นๆ ที่ไม่ใช่การเมือง”, โดยที่การปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันจำเป็นที่จะต้องมี “ตัวกระทำการ” และ “ตัวผู้ถูกกระทำการ” ที่เรียกว่าเป็น “ตัวแสดง”  ซึ่งถือว่าเป็น “หน่วยแห่งการวิเคราะห์” เพื่อทำความเข้าใจเหตุการณ์และระบบการเมืองระหว่างประเทศ.  ตัวแสดงบนเวทีประชาคมโลกโดยทั่วไปมักจะหมายถึงชุมชนทางการเมืองที่มีอำนาจและการกระทำที่ชัดเจน กล่าวคือ รัฐที่มีอธิปไตย, หรืออาจจะเป็นองค์กรบุคคลหรือกลุ่มบุคคลใดๆ ก็ตามที่จะก่อให้เกิดผลกระทบในการปฏิบัติของปฏิสัมพันธ์ในประชาคมโลกหรือชุมชนการเมืองระหว่างประเทศ, ซึ่งอาจแบ่งง่ายๆ ว่าเป็นตัวแสดงแบบรัฐและตัวแสดงอื่นๆ ที่ไม่ใช่รัฐ.  โดยมีเกณฑ์ในการพิจารณาตัวแสดงเหล่านี้คือ 1)จะต้องมีบทบาทหรือโครงสร้างหน้าที่ที่สำคัญและต่อเนื่อง สม่ำเสมอ, 2)ผู้กำหนดนโยบายระหว่างประเทศเห็นความสำคัญ ของตัวแสดงดังกล่าวในการกำหนดนโยบายต่างประเทศของตน,  และ 3)จะต้องมีความเป็นอิสระและมีอำนาจอธิปไตยพอสมควรในการตัดสินใจ.

ตัวแสดงหลักคือรัฐนั้นหมายถึงรัฐคือองคาพยพทางการเมืองของชุมชนมนุษย์ที่สมมติกำหนดขึ้นบนหลักการกว้างๆ ของการประชุมกันอยู่ขององค์ประกอบ 4 ประการ คือ ประชากร, ที่มีที่ตั้งอาณาเขตดินแดนที่แน่นอน, โดยได้รวบรวมอำนาจขึ้นไว้อย่างมั่นคงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันที่จะบังคับใช้กฎหมาย เพื่อรักษาและส่งเสริมผลประโยชน์ร่วมกันของสังคม, และโดยตัวแทนแห่งอำนาจที่เรียกกันว่ารัฐบาลเป็นผู้ดำเนินการปกครองบริหารให้ชีวิตของสังคมการเมืองในรัฐดำเนินไปอย่างที่ตั้งจุดหมายไว้.  กล่าวโดยสรุป รัฐคือ “ชุมชนของมนุษย์จำนวนหนึ่ง ซึ่งครอบครองดินแดนที่มีอาณาเขตแน่นอน รวมกันภายใต้รัฐบาลเดียวกัน ซึ่งรัฐบาลนี้มิได้อยู่ในอำนาจควบคุมของรัฐอื่นๆ สามารถที่จะปกครองและดำเนินกิจการภายในกับทำการติดต่อกับรัฐอื่นๆ อย่างอิสระ” (โกวิท, 2519: 9; อ้างใน สมเกียรติ, 2530: 72).

ส่วนตัวแสดงในระดับอื่นๆ ที่ไม่ใช่รัฐ อาจแบ่ง ตัวแสดงระดับที่ต่ำกว่ารัฐ, ตัวแสดงที่อยู่นอกมิติรัฐ, และองค์กรที่อยู่เหนือรัฐขึ้นไปอีก กล่าวคือ

1)ตัวแสดงในระดับที่ต่ำกว่ารัฐ คือบุคคลหรือกลุ่มบุคคล ซึ่งแม้จะเป็นตัวแสดง ที่ต่ำกว่ารัฐแต่การปฏิบัติการบางอย่างอาจจะส่งผลทำให้เกิดผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงในเชิงนโยบายต่างประเทศ โดยตรง ทั้งที่โดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ,  และบางครั้งอาจมีความสำคัญทั้งในแง่เป็นตัวแทนอำนาจรัฐ  คือมีฐานะสำคัญในแง่เป็นผู้กำหนดนโยบายต่างประเทศโดยตรง หรือในการดำเนินให้เป็นไปตามนโยบายนั้น เช่น คณะทูต หรือผู้นำในรัฐบาล.

2)ตัวแสดงที่อยู่นอกมิติของรัฐ คือ )กลุ่มทางสังคม-วัฒนธรรม ซึ่งมีสภาพสังคมและวัฒนธรรมร่วมกัน แต่อาจจะอยู่ล้นเกินอาณาบริเวณขอบเขตของความเป็นรัฐ อาทิ กลุ่มสังคม-วัฒนธรรมของผู้ที่นับถือศาสนาอิสลาม, กลุ่มสังคม-วัฒธรรมของชาวยุโรป ที่มีพลังทางการเมืองมากในปัจจุบัน เพราะได้รวมกลุ่มกันเป็นสหภาพยุโรป, กลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ที่เป็นลูกครึ่ง-ผู้อพยพในต่างแดนแต่มีความรู้สึกผูกพันกับชาติพันธุ์เดิม อาทิ คนจีน-อเมริกัน และคนจีนสยาม เป็นต้น ซึ่งมีพลังในการเรียกร้องกดดันไม่เฉพาะแต่กับรัฐที่อาศัยอยู่  แต่อาจรวมถึงรัฐบาลของประเทศที่ตนอพยพจากมาด้วยก็ได้ เช่น ความสัมพันธ์ของคนจีนกับรัฐจีนและรัฐที่คนจีนอพยพไปอาศัยอยู่ด้วย. และ )กลุ่มอุดมการณ์ทางการเมือง  อุดมการณ์ทางการเมืองเป็นอีกกรอบหนึ่งที่ไม่อาจรวบอยู่ใน กรอบของรัฐชาติ  และในรัฐหนึ่งๆ ก็อาจมีการต่อสู้ขัดแย้งกัน ระหว่างกลุ่มอุดมการณ์หลายกลุ่ม ที่อาจสัมพันธ์อยู่กับกลุ่ม อุดมการณ์อื่นในลักษณะข้ามชาติข้ามพรมแดนรัฐ  อาทิแม้ว่า เอ็นจีโอจะมีความแตกต่างหลากหลายขัดแย้งกัน แต่โดยรวมๆ แล้วเอ็นจีโอมีอุดมการณ์ในด้านการพัฒนาและการจัดการกับทรัพยากรธรรมชาติที่คล้ายคลึงกันและแตกต่างจากการพัฒนา กระแสหลักที่เน้นเรื่องอุตสาหกรรมเพื่อการส่งออก, หรือกลุ่มอุดมการณ์ของประเทศที่นิยมการปกครองระบบคอมมิวนิสต์ก็ อาจจะให้การสนับสนุนแก่กลุ่มอุดมการณ์ทางการเมืองแบบเดียว กันในประเทศอื่นในลักษณะข้ามชาติข้ามพรมแดนรัฐ ซึ่งมีความสำคัญในการเมืองระหว่างประเทศ.

และ 3)องค์กรที่มีระดับเหนือรัฐขึ้นไปอีก  ซึ่งแบ่งได้หลายประเภท อาทิ องค์กรหลักระดับสากลที่มีทุกรัฐเป็นสมาชิก (อาจยกเว้นบางรัฐ เช่น สวิสส์ซึ่งต้องการเป็นกลาง เป็นต้น), องค์กรทางการค้าและการเงินระหว่างประเทศ, และองค์กรในระดับภูมิภาคหรือองค์กรเอกชนระหว่างประเทศที่กำลังมีบทบาทสำคัญในฐานะผู้กำหนดทิศทางสำคัญในเวทีการเมืองระหว่างประเทศปัจจุบัน ซึ่งในส่วนนี้จะกล่าวในรายละเอียดต่อไป.

อย่างไรก็ตาม  แม้ว่าบนเวทีประชาคมโลกจะมีตัวแสดงแบบอื่นๆ มีบทบาทมากขึ้น  แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่ารัฐยังคงเป็นตัวแสดงที่เป็นแกนกลางที่สำคัญที่สุด, ในเนื้อหาส่วนที่ 2 นี้จึงจะเป็นการพิจารณาเกี่ยวกับรัฐและพัฒนาการของรัฐและองค์กรอื่นๆ ที่มีบทบาทสำคัญในฐานะที่เป็นตัวแสดงบนเวทีประชาคมโลกเป็นหลัก  โดยในเบื้องแรกนี้จะพิจารณาเกี่ยวกับการกำเนิดของรัฐ.

 

สภาวะธรรมชาติของมนุษย์และการกำเนิดรัฐ[1]

                The Fontana Dictionary of Modern Thought ลงความเห็นว่า “นับเป็นความยากลำบากอย่างน่าประหลาดที่จะนิยามความหมายของรัฐ,  เนื่องจากมันไม่อาจลดทอนให้เหลือเพียงแค่รัฐบาลและการปกครอง หรือประชาชาติ  แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะให้นิยามโดยแยกจากคำเหล่านั้น. การทำความเข้าใจถึงมโนทัศน์เกี่ยวกับรัฐจึงอาจได้จากการตั้งคำถามว่า อะไรเป็นสิ่งที่นำเราไปสู่การเรียกสังคมบางสังคมว่า ‘ไร้รัฐ’ (stateless)” (Bullock, Stallybrass, and Trombley, 1988: 808).  ดังนั้นการพิจารณาเกี่ยวกับรัฐจึงอาจจะเริ่มต้นจากคำถามสำคัญที่เป็นรากฐาน คือมนุษย์นั้นโดยธรรมชาติเป็นสัตว์สังคมและสัตว์การเมืองจริงหรือเปล่า? (ตามคำกล่าวของอริสโตเติลนักปรัชญากรีกที่ว่า มนุษย์เป็นสัตว์สังคม). โทมัส ฮอบส์ (Thomas Hobbes) นักปรัชญาการเมืองคนสำคัญได้ปฏิเสธความเห็นที่ว่ามนุษย์โดยธรรมชาติเป็นสัตว์สังคม/สัตว์การเมือง.  ฮอบส์เห็นว่า จะต้องมีสภาพโดยธรรมชาติของมนุษย์ก่อนที่จะมีสังคมการเมือง (prepolitical condition) ที่ทำให้มนุษย์มีชีวิตอยู่โดยปราศจากองค์กรปกครอง หรือปราศจากอำนาจกลาง (common power) เหนือพวกเขาที่จะทำให้ทุกคนเกรงกลัวได้, หรือกล่าวอีกอย่างหนึ่งก็คือ สังคมการเมืองเป็นสภาพที่เพิ่งเกิดขึ้นในภายหลัง ไม่ใช่เป็นสภาพโดยธรรมชาติของมนุษย์ตั้งแต่แรก.

                ฮอบส์มีความเห็นว่า “มนุษย์ทุกคนโดยธรรมชาติแล้วมีเสรีภาพเท่าเทียมกัน” (for all men equally, are by nature free) กล่าวคือ “ธรรมชาติสร้างให้คนเสมอทัดเทียมกันในความสามารถทางกายและใจ ถึงว่าแม้บางครั้งจะมีคนหนึ่งแข็งแรงในทางกาย หรือมีความคิดอ่านที่ปราดเปรื่องกว่าอีกคนหนึ่งก็ตาม  แต่กระนั้นเมื่อนับรวมทั้งหมดแล้ว ข้อแตกต่างระหว่างคนกับคนมีอยู่ไม่มากจนถึงกับว่า คนหนึ่งอาจอ้างเรียกร้องผลประโยชน์ใดๆ สำหรับตนเองซึ่งอีกคนหนึ่งไม่อาจอ้างได้เช่นเดียวกับตน” (Hobbes, Leviathan, chapter xiii, อ้างมาจากคำแปลโดยเสน์ จามริกในฮาร์มอน, 2522: 277). ในสภาพเช่นนี้ มนุษย์ทุกคนเท่าเทียมกันในทุกด้านทั้งร่างกายและจิตใจ (สติปัญญา) และความเท่าเทียมที่สำคัญที่สุดก็คือความเท่าเทียมกันในเรื่องความสามารถของทุกคนที่จะประหัตประหารซึ่งกันและกัน (equally ability all men have to kill each other).  การที่กล่าวว่าความสามารถในการสังหารเป็นความเท่าเทียม “ที่สำคัญที่สุด” ก็เพราะว่า สิ่งที่มนุษย์กังวลสนใจมากที่สุดก็คือเรื่องของการดูแลรักษาให้มีชีวิตรอด (self-preservation). ฮอบส์เห็นว่า “พลังผลักดันรากฐานสองอย่างของธรรมชาติมนุษย์ คือ อันแรกเป็นความพยายามมุ่งในสิ่งใดก็ตามที่เห็นว่าพึงปรารถนา และอันที่สองเป็นการหลีกเลี่ยงสิ่งที่ไม่พึงปรารถนา  การผสมผสานต่างๆ ของพลังทั้งสองนี้ทำให้เกิดความรู้สึกและการกระทำทั้งปวงของมนุษย์” และ “วัตถุประสงค์ของความต้องการของคนคือการสงวนรักษาตนเอง และสิ่งที่เขาต้องการหลีกเลี่ยงอย่างที่สุดคือการสูญเสียชีวิต  ดังนั้นความปลอดภัยจึงเป็นสิ่งดียิ่งใหญ่ที่สุด และความไม่ปลอดภัยเป็นสิ่งชั่วใหญ่ยิ่งที่สุด  คนต้องการให้แน่ใจในชีวิตและทรัพย์สิ่งของของเขา  อย่างไรก็ดี ความปลอดภัยจะบรรลุถึงได้ก็แต่ด้วยการมีอำนาจเท่านั้น ไม่มีคนใดที่จะมีวันได้มีอำนาจอย่างเพียงพอ  เพราะเขาจะแสวงอำนาจให้มากขึ้นเสมอเพื่อคุ้มครองสิ่งที่ตนมีอยู่แล้ว  ดังนั้นความปรารถนาอำนาจจึงไม่มีขอบเขตจำกัด แม้ว่าอำนาจจะจำกัด” (ฮาร์มอน, 2522: 276-7).  นอกจากนี้ การรักษาชีวิตให้รอดยังเป็นเรื่องสำคัญมากเนื่องจากความกลัว (โดยเฉพาะความกลัวต่อความตายที่โหดร้ายทารุณ) เป็นกิเลสตัณหาส่วนที่ทรงพลังที่สุดของมนุษย์, และความเท่าเทียมกันในศักยภาพจะนำมนุษย์ไปสู่ความเท่าเทียมกันในเรื่องความคาดหวังและการแข่งขันระหว่างกัน โดยเฉพาะระหว่างมนุษย์ทุกผู้ที่ปรารถนาในสิ่งเดียวกัน (คืออำนาจ).  ความมุ่งมาดปรารถนาที่ชั่วร้ายโดยธรรมชาติของมนุษย์นี้ถูกทำให้เข้มข้นยิ่งขึ้นจากการขาดความมั่นใจ (diffidence) หรือความไม่ไว้วางใจที่มนุษย์มีต่อกันในขณะที่ทุกคนต่างก็คอยดูว่าแต่ละคนจะพรากสิ่งต่างๆ (รวมทั้งชีวิต) ที่พวกเขามีไปจากกันและกันอย่างไร, ดังนั้นแต่ละคนจึงคอยคิดว่าจะเอาผู้อื่นที่เหลือชีวิตรอดให้มาอยู่ใต้อำนาจบังคับบัญชาของตนได้อย่างไรในเมื่อไม่มีอำนาจอื่นใดที่เหลืออยู่จะสามารถท้าทายและทำลายความมั่นคงของตนได้อีกต่อไป. (The natural enmity is intensified by the difference, or distrust, men without government have for each other as they anticipate how each would like to deprive all others of whatever goods (including life) they have, so that each is led to think of subjugating all the rest until there is no power left capable of threatening his security). อย่างไรก็ตาม ความมุ่งมาดปรารถนาที่สำคัญอีกประการหนึ่งของมนุษย์ก็คือกิเลสตัณหาที่ปรารถนาต้องการสิ่งต่างๆ ไปเรื่อยๆ โดยไม่มีจุดจบสิ้น (a continual progress of the desire from one object to another).  ดังนั้นมนุษย์จึงแสวงหาหนทางบางอย่างที่จะก่อให้เกิดความปลอดภัยมั่นคงในสิ่งที่พวกเขาปรารถนา (หรือสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต) ซึ่งทำให้มนุษย์ไม่เพียงแต่ดิ้นรนให้ได้สิ่งต่างๆ ที่ตนปรารถนามาเท่านั้น  แต่ยังต้องการที่จะให้ชีวิตและสิ่งที่ตนเองได้มานั้นมีความมั่นคงปลอดภัย. ฮอบส์จึงเห็นว่า “ประการแรกสุดที่ข้าพเจ้าจะวางไว้เกี่ยวกับแนวโน้มทั่วไปของมนุษย์ทุกรูปนามก็คือ ความปรารถนาที่ไม่มีวันจบสิ้นของมนุษย์ที่มีต่ออำนาจ ซึ่งจะหยุดได้ก็ต่อเมื่อมนุษย์จบชีวิตลงเท่านั้นแล (in the first place, I put for a general inclination of all mankind, a perpetual and restless desire of power after power, that ceaseth only in death).”

                นอกจากนี้ ธรรมชาติของมนุษย์ยังปรารถนาความพึงพอใจบางอย่าง คือ “ความรักในความรุ่งโรจน์/ยิ่งใหญ่/เลื่องชื่อลือนาม, ความทะนงองอาจ, และความหยิ่งยะโสโอหัง” (love of glory, or pride, or vanity) ซึ่งไม่ใช่เรื่องของความพึงพอในด้านร่างกายหรือความรู้สึกสัมผัส  แต่เป็น “ความพึงพอใจในด้านจิตวิญญาณ” (pleasures of the mind).  ความพึงพอใจในด้านจิตวิญญาณนี้เป็นผลโดยตรงจาก “ความรุ่งโรจน์” (glory) ซึ่งมีพื้นฐานมาจากความเห็นที่ดีที่มนุษย์ได้รับหรือมีต่อตนเองหรือต่ออำนาจของตน  เนื่องจากมนุษย์ทุกคนต้องการให้คนอื่นให้คุณค่าแก่ตนเองเหมือนกับที่ตัวเองมองและให้คุณค่าตนเอง. อย่างไรก็ตาม ทั้งสามประการ คือการแข่งขัน, การไม่ไว้วางใจระหว่างกัน, และความรุ่งโรจน์ นั้นต่างก็เป็นสาเหตุสำคัญของการทะเลาะเบาะแว้งของมวลมนุษย์ ซึ่งจะทำให้สภาวะธรรมชาติของมนุษย์เป็นสภาวะแห่งสงครามอย่างแท้จริง และสภาวะสงครามที่ว่านี้เป็น “สภาวะสงคราม…ที่มนุษย์ทุกๆ คนต้องต่อสู้ห่ำหั่นกับทุกๆ คน” (state of war…of every man, against every man) เนื่องจาก “ทุกคนมีสิทธิที่จะทำอะไรก็ได้ทุกอย่าง” (every man has a right to everything) เพื่อจะรักษาชีวิตตัวเองให้รอด.

ในสภาวะสงครามนี้ “มนุษย์มีชีวิตอยู่โดยปราศจากความมั่นคงปลอดภัยมากไปกว่าด้วยการใช้พละกำลังของตน และด้วยเครื่องมือสิ่งสรรค์สร้างของตนเองเท่านั้น. ในสภาพเช่นนี้จึงไม่มีพื้นที่ให้กับการอุตสาหกรรมใดๆ เกิดขึ้น เนื่องจากผลผลิตที่จะได้นั้นปราศจากความแน่นอนใดมาประกัน. และที่ต่อเนื่องไปจากนั้นก็คือการไม่มีวัฒนธรรมใดเกิดขึ้นบนพื้นผิวโลก ไม่มีการเดินเรือ หรือประโยชน์โภชน์ผลใดๆ จากสินค้าที่นำเข้ามาโดยทางทะเล; ไม่มีโรงเก็บสินค้า; ไม่มีเครื่องกลที่ก่อให้เกิดการเคลื่อนไหวหรือที่จะขจัดสิ่งนั้นเนื่องจากต้องการพลังจำนวนมาก; ไม่มีความรู้เกี่ยวกับพื้นผิวโลก; ไม่มีการนับเวลา; ไม่มีศิลปะ; ไม่มีวรรณกรรม; ไม่มีสังคม; และที่เลวร้ายที่สุดก็คือ ความหวาดกลัวจะดำเนินต่อไปไม่หยุดหย่อน และภัยอันตรายของความตายอันโหดร้ายทารุณกรรม; และชีวิตของคนจะมีแต่ความโดดเดี่ยว, แร้นแค้น, ทุกข์ยาก, เหี้ยมโหดและแสนสั้น” (Hobbes, Leviathan, chapter xiii; cited in Berns, 1987:400). ในสภาพเช่นนี้ปราศจากยุติธรรมใดๆ ปรากฏอยู่ และทั้งยังไม่มีสิ่งที่เรียกว่าอยุติธรรมอีกด้วย, เนื่องจากความยุติธรรมและอยุติธรรมจะปรากฏอยู่ได้ก็ในสังคมที่มีกฎหมายมากำหนดกำกับควบคุมอยู่เท่านั้น.  กล่าวโดยสรุปก็คือ มนุษย์ไม่ได้เป็นสัตว์สังคมโดยธรรมชาติ (ดังที่อริสโตเติลกล่าว) และธรรมชาติยังมีส่วนในการแยกมนุษย์ออกจากกันอีกด้วย.

อย่างไรก็ตาม แม้ฮอบบ์จะไม่เชื่อว่าจะเคยมีสภาวะธรรมชาติของมนุษย์ปรากฏอยู่จริง  แต่ปรากฏการณ์เช่นนี้ก็ปรากฏให้เห็นอยู่เสมอในสงครามและการรบพุ่งระหว่างรัฐหรือสงครามกลางเมืองในรัฐเอง.  สภาวะธรรมชาติของมนุษย์จึงช่วยให้เข้าใจถึงเหตุผลและเป้าหมายของการก่อตั้งรัฐขึ้นมาของมนุษย์.  เนื่องด้วยความหลาดกลัวต่อความตาย, ความปรารถนาที่ได้รับการสุขสบาย (desire for comfort), และความหวังที่จะได้สิ่งนั้นมาด้วยความอุตสาหะ ทำให้มนุษย์มีแนวโน้มที่จะมุ่งไปสู่ภาวะสันติ.  เนื่องจากความกลัวตายและต้องการจะรักษาชีวิตให้รอดนี้เองที่เป็นรากฐานแรกสุดที่ก่อให้เกิดกฎหมายธรรมชาติซึ่งกำหนดเงื่อนไขของสภาพสันติขึ้นมาในหมู่มนุษย์ เมื่อมีมนุษย์กลุ่มหนึ่งที่ต้องการสันติมาอยู่รวมกันเพื่อต่อต้านคุ้มครองตนเองจากมนุษย์คนอื่นๆ ที่ไม่ได้มาตกลงว่าจะมาอยู่ร่วมด้วย.  ในข้อตกลงอันแรกสุดที่จะมาอยู่รวมกันนี้ มนุษย์จะต้องสละสิทธิที่มีต่อทุกสิ่งทุกอย่างของตนออกไป  เพื่อแลกกับการที่มนุษย์คนอื่นๆ ที่มาอยู่รวมกันนั้นก็สละสิทธินั้นด้วยเช่นกัน, ในขณะเดียวกันก็ต้องยินดีกับเสรีภาพบางอย่างที่ตนสามารถมีได้เสมอเหมือนกับคนอื่นๆ.  การตกลงร่วมกันนี้เรียกว่าสัญญาประชาคม (social contract) ที่มนุษย์แต่ละคนที่มาอยู่รวมกันจะต้องตกลงร่วมกับคนอื่นๆ ทั้งสังคมว่าจะไม่ต่อต้านขัดขืนคำสั่ง (หรือกฎหมายข้อบังคับ) ของบุคคลหรือคณะบุคคลที่ขึ้นมาเป็นผู้ปกครอง หรือองค์อธิปัตย์ (sovereign) ของพวกตน.  (การทำข้อตกลงสัญญาประชาคมก็เพื่อรักษาชีวิตตนเองให้รอดนี้ทำให้ต้องคำนึงเสมอว่า เมื่อไรก็ตามที่เกิดสภาวะที่ทำให้ความมั่นคงปลอดภัยในชีวิตของมนุษย์ที่เป็นสมาชิกสังคมต้องล่มสลายลงก็จะทำให้สัญญาประชาคมนั้นกลายเป็นสิ่งที่ไร้ความหมาย และไม่จำเป็นต้องเชื่อฟังอีกต่อไป,  เนื่องจากว่าย่อมไม่มีใครจะยินยอมเสียสละสิทธิที่จะต่อสู้กับผู้ที่หมายปองชีวิตของตนเอง). หน้าที่และข้อผูกมัดต่างๆ ที่แต่ละคนมีต่อผู้อื่นในสังคมเป็นผลมาจากพันธะสัญญา หรือสัญญา ที่แต่ละฝ่ายสัญญาตกลงว่าจะปฏิบัติในอนาคตนั้นขึ้นอยู่กับความเชื่อถือ (trust) ที่มีต่อกันเป็นรากฐานสำคัญ. เนื่องจากความเชื่อถือเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้ในสภาวะธรรมชาติ  ดังนั้นจึงจำเป็นจะต้องมี “อำนาจกดบังคับ” (coercive power) ขององค์อธิปัตย์ที่จะบังคับบัญชาให้ทุกคนที่มาตกลงทำสัญญาต้องปฏิบัติตามพันธะสัญญาอย่างเท่าเทียมกัน  โดยองค์อธิปัตย์จะต้องทำให้เห็นว่าความน่ากลัวของการลงทัณฑ์มีพลังขับดันให้พลเมืองต้องปฏิบัติตามพันธะสัญญามากยิ่งกว่าความเย้ายวนใดๆ ที่น่าจะบังเกิดขึ้นจากการละเมิดพันธะสัญญา. ในสภาวะธรรมชาติมนุษย์อาจจะเกรงกลัวอำนาจที่มองไม่เห็น (invisible power) ของพระเจ้า   แต่อำนาจของพระเจ้าก็ยังไม่เพียงพอที่จะบังคับให้มนุษย์ปฏิบัติตามพันธะสัญญา,  มนุษย์จึงต้องร่วมกันสถาปนาอำนาจที่มองเห็นได้ คือองค์อธิปัตย์หรือองค์กรที่ทำหน้าที่ปกครองสังคมเพื่อบังคับให้สมาชิกพลเมืองทุกคนต้องปฏิบัติตามพันธะสัญญาร่วมกันและสำหรับปกป้องสังคม/ชุมชนจากศัตรูภายนอก. สมาชิกพลเมืองทุกคนในชุมชนทางการเมืองจึงต้องสถาปนา “บุคคลทางกฎหมาย” (one legal  person) ที่ทุกคนจะต้องยึดมั่นถือมั่นว่าเจตจำนงค์ของบุคคลทางกฎหมายนี้ (แม้ว่าจะเป็นสิ่งที่สมมติขึ้นมาก็ตาม) เป็นเสมือนเจตจำนงค์ของตัว ซึ่งหมายความว่าพลเมืองทุกคนจะต้องถือว่าการกระทำใดๆ หรือการออกกฎหมายกฎข้อบังคับทางนิติบัญญัติใดๆ ของอำนาจแห่งองค์อธิปัตย์ว่าเป็นเสมือนการกระทำและการออกกฎหมายข้อบังคับทางนิติบัญญัติของตนนั่นเอง.  ในทางปฏิบัติแล้ว  อำนาจแห่งองค์อธิปัตย์ ซึ่งเป็นทั้งอำนาจตัวแทนและอำนาจบังคับบัญชาเจตจำนงค์ของปวงชนไปด้วยในตัวนั้น ทั้งนี้อาจรวมศูนย์อยู่ในตัวบุคคลเพียงคนเดียว หรืออยู่ในรูปสภาของคณะบุคคลก็ได้.  และเนื่องจากการรวมกันอย่างเต็มที่ในทางอำนาจและทางนิติบัญญัติเช่นนี้เองที่ทำให้สังคมมนุษย์สามารถธำรงรักษาสันติภาพในสังคมขึ้นมาได้และทำให้สามารถปกป้องคุ้มครองภัยอันตรายจากศัตรูภายนอกร่วมกันได้. ฮอบส์กล่าวว่า:

 

“หนทางเดียวเท่านั้นที่จะก่อตั้งอำนาจร่วมเช่นว่านั้น อันอาจสามารถป้องกันคนทั้งหลายต่อการรุกรานของต่างประเทศ และป้องกันมิให้ประทุษร้ายต่อกัน ซึ่งเป็นการทำให้คนทั้งหลายอาจบำรุงเลี้ยงตนเองและดำรงชีวิตอย่างเป็นสุขด้วยกำลังอุตสาหะของตนเอง และด้วยทรัพย์ผลของโลก ก็คือ มอบอำนาจทั้งปวงและกำลังของคนทั้งหลายให้กับคนๆ หนึ่ง หรือกับกลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง เป็นการทอดเจตจำนงทั้งปวงของเขาจากเสียงหลายๆ เสียงลงเป็นเจตจำนงเดียว  กล่าวอีกนัยหนึ่ง คือแต่งตั้งคนๆ หนึ่งหรือกลุ่มหนึ่งให้เป็นตัวของเขาทั้งหลาย และทุกคนเป็นเจ้าของและรับรู้ตนเองว่าเป็นต้นกำเนิดของสิ่งใดๆ ที่ผู้ซึ่งเป็นตัวของเขาทั้งหลายจะกระทำหรือเป็นเหตุทำให้เกิดขึ้นในเรื่องต่างๆ ที่เกี่ยวกับสันติภาพและความปลอดภัยร่วมกัน  และโดยนัยนี้เป็นการมอบเจตจำนงของคนทั้งหลายทุกๆ เจตจำนงของผู้นั้น และให้การวินิจฉัยของคนทั้งหลายอยู่ภายใต้การวินิจฉัยของเขา   นี่มีความหมายมากกว่าการยินยอมหรือตกลง  มันเป็นเอกภาพอันแท้จริงของคนทั้งปวงในตัวคนๆ เดียวกัน  อันจัดทำขึ้นด้วยกติกาสัญญาของทุกคนกับทุกคนในลักษณะดุจว่าทุกคนควรจะกล่าวกับทุกคนว่า ข้าพเจ้ามอบและสละสิทธิของข้าพเจ้าในการปกครองตัวเองให้แก่คนๆ นี้ หรือกลุ่มนี้ โดยมีเงื่อนไขว่า ท่านต้องสละสิทธิของท่านให้แก่เขา และมอบอำนาจกระทำการทั้งปวงให้แก่เขาเช่นเดียวกัน   เมื่อเช่นนี้แล้ว กลุ่มชนที่รวมกันเข้าเป็นบุคคลหนึ่งเช่นนั้น เรียกว่า จักรภพ (Commonwealth) หรือซิวิตัส (Civitas) ในภาษาลาติน  นี่เป็นการก่อให้เกิดรัฐาธิปัตย์ (Leviathan) ผู้ยิ่งใหญ่หรือเป็น (ถ้าจะพูดอย่างยกย่องขึ้น) พระเจ้าผู้เป็นอมตะ ซึ่งเราเป็นหนี้สันติภาพและการคุ้มครองภายใต้ พระเจ้าผู้เป็นอมต” (Hobbes, Leviathan, chapter xvii, คำแปลโดยเสน่ห์ในฮาร์มอน, 2522: 281).

 

กล่าวโดยสรุป สัญญาประชาคมที่ทำให้เกิดรัฐขึ้นมาได้นั้นต้องขึ้นอยู่กับพันธะสัญญา 2 ประการ คือ 1)พันธะสัญญาที่สมาชิกแต่ละคนมีต่อองค์กรทางสังคมที่จะบังเกิดขึ้นในอนาคต ร่วมกับคนอื่นๆ ในการที่จะรับรู้รับรององค์อธิปัตย์ไม่ว่าจะเป็นในรูปบุคคลหรือสภาคณะบุคคลที่สมาชิกส่วนใหญ่ในประชาคมยอมรับร่วมกัน  และ 2)การออกเสียงเลือกบุคคลหรือสภาคณะบุคคลในรูปแบบใดขึ้นมาเป็นองค์อธิปัตย์. ในกระบวนการทั้งหมดนี้ได้ทำให้มนุษย์คนอื่นๆ ที่ไม่ได้มาร่วมตกลงกับข้อพันธะสัญญาประชาคมนี้กลายเป็นศัตรูของประชาคมและอยู่ในสภาวะประกาศสงครามกับประชาคมไปโดยปริยาย.

                อย่างไรก็ตาม  ในความเป็นจริงก็ไม่มีใครที่ได้ไปตกลงลงนามข้อสัญญาร่วมกับคนอื่นๆ ในชุมชนการเมือง  แต่การที่แต่ละคนยอมรับการคุ้มครองป้องกันจากรัฐบาลที่เป็นองค์กรปกครองของชุมชนในพันธะสัญญา จึงถือได้ว่าทุกคนได้เข้ามาร่วมถือหุ้นในพันธะสัญญาอันนี้ด้วยกัน.  เนื่องจากเป้าหมายของการเข้าร่วมพันธะสัญญาคือความมั่นคงปลอดภัยในชีวิต  ซึ่งต้องแลกกับการเชื่อฟังอำนาจแห่งองค์อธิปัตย์  จึงกล่าวได้ว่า การคุ้มครองป้องกันต้องแลกมาด้วยการเชื่อฟังอำนาจ.  ขณะเดียวกันองค์อธิปัตย์ก็ต้องทำให้ทุกคนตระหนักว่าใครก็ตามที่ตั้งใจจะทำให้ผู้อื่นบาดเจ็บล้มตายลงผู้นั้นจะต้องได้รับการลงทัณฑ์ที่สาสมหนักกว่าผลประโยชน์ใดๆ ที่เขาจะได้รับจากการกระทำเช่นนั้น. อำนาจประการแรกสุดขององค์อธิปัตย์จึงเป็นสิทธิอำนาจที่จะลงทัณฑ์หรือสิทธิที่จะใช้อำนาจสอดส่องดูแลในเรื่องต่างๆ (police power) ซึ่งสอดคล้องกับการสละสิทธิที่จะต่อต้านขัดขืนอำนาจขององค์อธิปัตย์โดยสมาชิกพลเมืองทุกคนในสัญญาประชาคม, และไม่มีสมาชิกพลเมืองคนใดจะสามารถเป็นอิสระจากการอยู่ในอำนาจบังคับบัญชา (subjection) ของอำนาจแห่งองค์อธิปัตย์นี้ได้ด้วยการอ้างว่าองค์อธิปัตย์ละเมิดข้อตกลงในพันธะสัญญา  เนื่องจากองค์อธิปัตย์ไม่เคยกระทำข้อสัญญากับสมาชิกพลเมืองคนใด  จะมีก็แต่สมาชิกพลเมืองเท่านั้นที่มาตกลงทำพันธะสัญญาระหว่างกัน.  องค์อธิปัตย์จึงไม่เคยละเมิดพันธะสัญญาใครให้ผิดอยุติธรรม เพราะไม่เคยทำสัญญากับใคร.  นอกจากนี้การที่องค์อธิปัตย์ทำหน้าที่เสมือนตัวแทนแห่งเจตจำนงค์ของทุกๆ คน  ดังนั้นการกล่าวโทษหาว่าองค์อธิปัตย์กระทำความผิดละเมิดพันธะสัญญาจึงเท่ากับกล่าวโทษตัวเองว่าไม่ทำตามสัญญานั่นเอง ซึ่งเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ที่มนุษย์จะกระทำความอยุติธรรมต่อตนเอง. ดังนั้นจึงเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้โดยสิ้นเชิงที่สมาชิกพลเมืองจะลงโทษองค์อธิปัตย์ไม่ว่ากรณีใดๆ.  นอกจากนี้ สิทธิอำนาจที่กระทำสงครามและสันติภาพ รวมทั้งการเก็บภาษีและการเกณฑ์คนให้จับอาวุธออกไปรบเพื่อป้องกันประเทศ นั้นก็ผูกติดอยู่กับองค์อธิปัตย์เช่นกัน  เนื่องจากสิทธิอำนาจเหล่านี้จำต้องอยู่ในมือขององค์อธิปัตย์เดียวกันกับที่จะลงทัณฑ์ผู้ที่ไม่เชื่อฟังคำบังคับบัญชา. 

                อำนาจทางนิติบัญญัติจึงต้องอยู่ในมือขององค์อธิปัตย์ด้วยเหตุผลเช่นเดียวกัน คือ มนุษย์ย่อมจะไม่เชื่อฟังคำสั่งบังคับจากผู้ซึ่งเขาไม่มีเหตุผลที่จะกลัว.  อำนาจของดาบ ซึ่งเป็นอำนาจในการลงทัณฑ์ และอำนาจทางกฎหมายจึงต้องอยู่ในมือคนเดียวกัน.  กฎหมายทางแพ่ง[2]ในแต่ละบ้านเมืองแต่ละรัฐจึงไม่ใช่สิ่งอื่นใดนอกจากการบังคับบัญชาแห่งองค์อธิปัตย์ของสังคม (civil sovereign) ซึ่งเป็นการแบ่งปริมณฑลของความเป็นส่วนตัวกับความเป็นสาธารณะออกจากกัน หรือแบ่งทรัพย์สินเอกชนออกจากทรัพย์สินที่เอกชนไม่สามารถครอบครองเป็นส่วนตัวได้, และจะเป็นตัวกำหนดว่าอะไรคือความดี ความชั่ว ยุติธรรม อยุติธรรม ซื่อสัตย์ หรืออาสัตย์อาธรรม์ ที่มนุษย์กระทำได้โดยไม่มีใครสามารถมาห้ามปรามหรือละเมิดล่วงล้ำได้.  เท่ากับว่าเป็นการสร้างภาวะสันติภาพขึ้นมาด้วยการกำหนดให้ชัดเจนลงไปเกี่ยวกับคำถามหลักๆ ที่อาจก่อให้เกิดการขัดแย้งโต้เถียงกันได้ไม่จบสิ้นก่อนที่ความขัดแย้งดังกล่าวจะเกิดเสียด้วยซ้ำ.

                ส่วนอำนาจในทางศาลก็ต้องอยู่ในมือขององค์อธิปัตย์เช่นเดียวกับอำนาจนิติบัญญัติ  เนื่องจากองค์อธิปัตย์จะต้องสามารถกำหนดวิธีการที่จะดำเนินกิจการต่างๆ ไปได้ อันเป็นอำนาจบริหาร และจะต้องมีอำนาจที่จะแต่งตั้งถอดถอนคณะองคมนตรีที่ปรึกษา, รัฐมนตรี, นายกเทศมนตรี และเจ้าหน้าที่ของรัฐต่างๆ. ยิ่งไปกว่านี้ เนื่องจากการเลือกที่จะปฏิบัติสิ่งใดโดยสมัครของมนุษย์นั้นก็ขึ้นอยู่กับความเห็นต่อความดีและความเลว หรือผลประโยชน์กับโทษทัณฑ์ที่จะได้รับจากการเลือกกระทำหรือละเว้นการกระทำใดๆ  องค์อธิปัตย์จึงจะต้องเป็นผู้กำหนดตัดสินเกี่ยวกับลัทธิความเชื่อและความเห็นทั้งหมดที่อาจแพร่หลายอยู่ในหมู่ปวงชนพลเมือง โดยมีหลักเกณฑ์ควบคุมเพียงแค่ว่าลัทธิความเชื่อจะส่งเสริมหรือขัดขวางทำลายความสงบสันติสุขในสังคมเป็นหลัก, โดยที่การควบคุมความคิดเห็นเหล่านี้จะต้องรวมไปถึงความเชื่อในทางศาสนาด้วย.

                จึงเป็นเรื่องที่ชัดเจนว่าอำนาจขององค์อธิปัตย์เป็นอำนาจสูงสุดภายในรัฐ ที่ไม่อาจมีอำนาจอื่นใดสามารถมาท้าทายได้อีก. องค์อธิปัตย์ไม่เคยผูกมัดว่าจะต้องเชื่อฟังกฎหมายของสังคม (civil laws)  เนื่องจากกฎหมายต่างๆ เป็นเพียงคำสั่งบังคับบัญชาขององค์อธิปัตย์ และองค์อธิปัตย์จะปฏิบัติตามหรือไม่ก็ได้ตามความพอใจ. กฎหมายกับเจตจำนงค์ขององค์อธิปัตย์จึงแยกจากกันไม่ออก, การต่อต้านเจตจำนงค์ขององค์อธิปัตย์เป็นการต่อต้านฐานรากของกฎหมายต่างๆ คือต่อต้านเจตจำนงค์ของตนเองที่มาตกลงทำพันธะสัญญาร่วมกันของมนุษย์คนอื่นๆ ในรัฐ. แม้ว่าอาจจะมีการโต้แย้งว่าอำนาจสัมบูรณ์สูงสุดภายในรัฐไม่มีอยู่จริง และยิ่งใหญ่ครอบคลุมเกินความเป็นจริง  เราก็อาจแย้งกลับไปได้ว่าแม้กระทั่งการที่รัฐสภาออกกฎหมายกำหนดขอบเขตอำนาจของรัฐบาลเองก็แสดงให้เห็นถึงการใช้อำนาจสัมบูรณ์มากำหนดอีกชั้นหนึ่ง. 

                อย่างไรก็ตาม ยังมีสิทธิบางประการของพลเมืองที่แบ่งแยกออกไปไม่ได้โดยข้อตกลงพันธะสัญญา กล่าวคือไม่มีข้อตกลงใดที่จะมาพรากเอาเงื่อนไขแห่งการมีชีวิตที่ดี และรวมทั้งชีวิตกับหนทางแห่งการปกป้องคุ้มครองชีวิตตน ไปจากตัวมนุษย์ได้.  มนุษย์ทุกคนจึงมีสิทธิโดยชอบธรรมที่จะไม่เชื่อฟังคำบัญชาใดๆ ที่สั่งให้เขาประหารหรือทำร้ายชีวิตตนเอง หรือให้งดเว้นจากสิ่งที่จะทำให้เขามีชีวิตอยู่ต่อไปได้.  สิทธิที่มีชีวิตรอดจึงเป็นสิทธิที่ละเมิดมิได้.  ปัญหาที่เกิดขึ้นก็คือ แล้วรัฐไม่จำเป็นต้องมีทหารไว้สำหรับพลีชีพในสงครามเพื่อรัฐหรือ? และถ้าเช่นนั้นด้วยเงื่อนไขของความกลัวตายก็เพียงพอและชอบธรรมแล้วที่พลเมืองจะดื้อแพ่งไม่เชื่อฟังอำนาจรัฐและไม่ต้องไปทำสงครามเพื่อรัฐด้วยหรอกหรือ?  ฮอบส์เห็นว่าการวิ่งหนีเอาชีวิตรอดในสงครามด้วยความกลัวแม้ว่าจะเป็นสิ่งที่ไร้เกียรติและขลาดเขลา  แต่ก็ไม่ใช่เป็นสิ่งที่ไม่ชอบธรรมเสียเลย. จึงเป็นหน้าที่ขององค์อธิปัตย์ที่จะทำให้พลเมืองตระหนักถึงความกลัวต่อการหนีทัพมียิ่งกว่าความกลัวตายในสงคราม.

                พลเมืองมีสิทธิวิพากษ์วิจารณ์ ตัดสิน และทำลายความมั่นคงแห่งอำนาจขององค์อธิปัตย์ด้วยการขบถ  ถ้าองค์อธิปัตย์ไม่ดำเนินกิจการของรัฐโดยชอบด้วยเหตุผล. ขณะเดียวกัน องค์อธิปัตย์ก็มีสิทธิที่จะสงวนสิทธิอำนาจของตนไว้ด้วยการลงทัณฑ์อย่างรุนแรงต่อการขัดขืนต่อต้านไม่เชื่อฟังคำสั่ง และอาจแสดงให้เห็นโดยการเชือดไก่ให้ลิงดูเป็นการเตือน, แต่ก็ไม่มีเหตุผลรองรับเพียงพอที่จะทำให้องค์อธิปัตย์ปรารถนาจะกดขี่บังคับพลเมืองของตนเอง เนื่องจากความเข้มแข็งขององค์อธิปัตย์ก็วางอยู่บนพลังความเข้มแข็งและการอยู่เย็นเป็นสุขของพลเมืองนั่นเอง.

                ฮอบส์เห็นด้วยว่ามีรัฐหรือจักรภพ (commonwealth) ที่แตกต่างกัน 3 ลักษณะตามความแตกต่างของอำนาจขององค์อธิปัตย์ กล่าวคือ 1)ราชาธิปไตย (monarchy) เมื่ออำนาจอธิปไตยอยู่ในมือของคนเพียงคนเดียว; 2)ประชาธิปไตย (democracy) เมื่ออำนาจอธิปไตยต้องขึ้นต่อสภาคณะบุคคลซึ่งสมาชิกพลเมืองทุกคนมีสิทธิได้รับเลือกขึ้นมาทำหน้าที่; และ 3)คณาธิปไตย (aristocracy) เมื่ออำนาจอธิปไตยตกอยู่ในมือของสภาคณะบุคคลที่มีเฉพาะคนเพียงบางกลุ่มเท่านั้นมีสิทธิเลือกและได้รับเลือกขึ้นมาทำหน้าที่. แต่ฮอบส์ไม่เห็นด้วยกับความเห็นของอริสโตเติลที่ว่า การปกครองที่ดีกับการปกครองที่เลววัดกันด้วยการดูว่าผู้ปกครองปกครองเพื่อผลประโยชน์ของส่วนรวมหรือของส่วนตนเป็นหลัก  ซึ่งจะเป็นผลให้การปกครองแบบราชาธิปไตยกลายเป็นเผด็จการทรราช (tyranny), ประชาธิปไตยกลายเป็นความปั่นป่วนวุ่นวายแบบอนาธิปไตย (anarchy), และการปกครองโดยคนกลุ่มน้อยหรือคณาธิปไตย (aristocracy) กลายเป็นเผด็จการโดยคนกลุ่มน้อย (oligarchy). ฮอบส์เห็นว่าการเรียกดังกล่าวเป็นผลมาจากความชอบหรือไม่ชอบการปกครองในลักษณะดังกล่าวเท่านั้น ไม่ได้มีนัยยะสำคัญอย่างแท้จริง,  เนื่องจากทั้งผู้ปกครองและผู้ใต้ปกครองต่างก็ได้รับประโยชน์โภชน์ผลและความทุกข์ยากหายนะร่วมกันในทุกเรื่องราวทั้งในยามสันติสุขและในยามสงคราม หรือทั้งในสงครามกลางเมืองและในสภาวะอนาธิปไตย ด้วยเหตุผลที่ว่าความเข้มแข็งและพลังอำนาจของผู้ปกครองก็วางอยู่บนความเข้มแข็งและพลังอำนาจของปวงชนพลเมืองนั่น. ถ้าผู้ปกครองบั่นทอนให้อานาประชาราษฎร์ต้องอ่อนแอลงด้วยการพรากเอาสิ่งดีๆ และการอยู่เย็นเป็นสุขไปจากชีวิตของปวงชนพลเมือง  ทั้งสองฝ่ายก็จะต้องได้รับผลอย่างเดียวกัน.  ยิ่งไปกว่านี้ ฮอบส์เชื่อว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะคาดหวังว่าผู้ปกครองหรือองค์อธิปัตย์ (ไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบใด) จะไม่แสวงหาผลประโยชน์ส่วนตนมากยิ่งกว่าผลประโยชน์ของส่วนรวม,  เนื่องจากองค์อธิปัตย์ก็เป็นมนุษย์เหมือนคนอื่นๆ จึงย่อมสนใจในผลประโยชน์ส่วนตนมากยิ่งกว่าผลประโยชน์ส่วนรวมเป็นธรรมดา ดังนั้นผลประโยชน์ส่วนรวมอะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ส่วนตนย่อมจะบังเกิดผลดียิ่งกว่าที่ไม่เกี่ยวข้องกันเลย. จึงกล่าวได้ว่าระบบราชาธิปไตยนั้นย่อมดีกว่าระบบการปกครองอื่นทั้งหมด (best form of government), เนื่องจากในระบบราชาธิปไตยนั้นถ้าจะมีทรราชย์เกิดขึ้นก็เกิดแต่เพียงคนเดียว  แต่ในระบบประชาธิปไตยนั้นจำนวนของคนที่จะเข้ามาแสวงหาความมั่งคั่งและผลประโยชน์ให้แก่ตัวเองย่อมมีมากกว่าและยิ่งจะทำให้สาธารณชนส่วนรวมสูญเสียผลประโยชน์เพิ่มขึ้นเป็นแน่แท้  เพราะประชาธิปไตยย่อมอิงอยู่กับความนิยมชมชอบพึ่งพิงกันของคนหมู่มากจึงย่อมเลี่ยงไม่พ้นที่จะต้องเอาอกเอาใจเพื่อรักษาความนิยมอันนั้นเอาไว้ให้ได้.  กล่าวในแง่นี้จึงเท่ากับว่าไม่มีประโยชน์อะไรที่จะต้องถกเถียงกันถึงเรื่องรูปแบบการปกครองที่ดีที่สุด เพราะเป็นเรื่องไร้สาระไม่สลักสำคัญอะไรอีกต่อไปและเป็นเพียงฉันทาคติที่คนมีต่อการปกครองโดยคนหมู่มากเท่านั้นเอง,  เพราะไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบการปกครองแบบใด อำนาจของรัฐบาลและสิทธิเสรีภาพของพลเมืองก็เป็นเช่นเดียวกัน  และอำนาจสัมบูรณ์สูงสุดขององค์อธิปัตย์ก็เป็นเหมือนเดิมไม่ว่าจะอยู่ในรัฐที่มีการปกครองแบบใด, เป้าหมายของรัฐก็คงเหมือนเดิมเช่นเดียวกัน คือสันติภาพและความมั่นคงปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของปวงชนพลเมือง. ปัญหาทั้งหมดจึงเป็นแค่เพียงปัญหาเชิงเทคนิคว่า องค์อธิปัตย์จะจัดการด้วยวิธีการอย่างไรต่างหากจึงจะทำให้สันติสุขและความมั่นคงปลอดภัยนั้นบรรลุผลได้อย่างเต็มที่ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้.

 

รัฐชาติ (nation-state)

ในปัจจุบันรัฐชาติเป็นตัวแสดงที่มีสถานภาพทางกฎหมายและอำนาจที่รวมศูนย์เข้มแข็งทำให้มีบทบาทสำคัญมากในประชาคมโลก  แต่การจะนิยามว่ารัฐชาติหมายถึงอะไรนั้นก็เป็นดังที่กล่าวแล้วว่า The Fontana Dictionary of Modern Thought ลงความเห็นว่า “นับเป็นความยากลำบากอย่างน่าประหลาดที่จะนิยามความหมายของรัฐ” ดังกล่าวข้างต้น  แต่ก็พอจะสรุปได้ว่า รัฐชาติ คือ “ชุมชนของมนุษย์จำนวนหนึ่ง ซึ่งครอบครองดินแดนที่มีอาณาเขตแน่นอน รวมกันภายใต้รัฐบาลเดียวกัน ซึ่งรัฐบาลนี้มิได้อยู่ในอำนาจควบคุมของรัฐอื่นๆ สามารถที่จะปกครองและดำเนินกิจการภายในกับทำการติดต่อกับรัฐอื่นๆ อย่างอิสระ” (โกวิท, 2519: 9; อ้างใน สมเกียรติ, 2530: 72). แต่หากจะกล่าวให้ละเอียดชัดเจนลงไปกว่านั้น รัฐชาติจะต้องประกอบด้วยองค์ประกอบ 4 ประการ คือ

 

“. ประชากร รัฐประชาชาติควรมีประชากรจำนวนมากพอสมควร เพราะถ้ามีประชากรน้อยอาจทำให้มีปัญหาในการป้องกันประเทศ ในการขยายตลาด และในการแข่งขันกับรัฐอื่นๆ ในสังคมโลก ทั้งทางเศรษฐกิจและการเมือง  แต่ ‘มากพอสมควร’ คือมากแค่ไหน เป็นอุดมคติที่กำหนดยาก  เกณฑ์พิจารณามีเพียงว่าถ้ารัฐนั้นสามารถทำให้ประชากรของตนมีคุณภาพสูงแล้วไซร้  เรื่องจำนวนก็ไม่มีปัญหา  กล่าวคือ ยิ่งมากยิ่งดี  แต่ทั้งนี้ต้องพิจารณาควบคู่ไปกับปัจจัยอื่นๆ….

. ดินแดนที่แน่นอน รัฐประชาชาติมีดินแดนที่มีอาณาเขตระบุได้ชัดเจนแน่นอน  แต่อาณาเขตควร ‘กว้างขวาง’ แค่ไหนนั้นต้องดูปัจจัยอื่นประกอบ กล่าวคือ ถ้าดินแดนดังกล่าวมีความอุดมสมบูรณ์อยู่ในตำแหน่งที่มีชัยภูมิดีทั้งในทางภูมิศาสตร์การเมืองและภูมิศาสตร์เศรษฐกิจ  ประชากรจำนวนมากนั้นมีคุณภาพ และรัฐบาลมีความสามารถในการปกปักรักษาดินแดนนั้นได้  ขนาดของดินแดนของรัฐในเชิงอุดมคติก็คือ เป็นดินแดนผืนเดียวกันที่ยิ่งกว้างยิ่งได้เปรียบ

. รัฐบาล รัฐประชาชาติมีคณะบุคคลที่ใช้อำนาจปกครองของรัฐซึ่งคือรัฐบาลนั้นสามารถทำการปกครองอย่างมีประสิทธิภาพและสัมฤทธิผลทั่วทุกพื้นที่ในดินแดนของรัฐ  แม้ว่ารูปแบบและระเบียบวิธีของการได้มาซึ่งรัฐบาลอาจแตกต่างกันไปในแต่ละรัฐ  แต่อุดมคติที่ว่าการปกครองกระทำในนามของประโยชน์สุขของประชาชาติ (nation) โดยตรงนั้นเป็นเอกลักษณ์ของรัฐประชาชาติโดยแท้

. อำนาจอธิปไตย  อำนาจสูงสุดของรัฐซึ่งใช้จัดการเกี่ยวกับเรื่องการเมืองภายในได้ในทุกพื้นที่ของรัฐ และใช้จัดการเรื่องที่เกี่ยวข้องกับต่างประเทศได้อย่างเป็นอิสระนั้นเรียกว่าอำนาจอธิปไตย (Sovereignty)  ในยุคของรัฐประชาชาติ อำนาจอธิปไตยในทางอุดมคติเป็นของปวงประชากรของรัฐร่วมกัน มิใช่เป็นของสถาบันอื่นใดทั้งสิ้น” สมเกียรติ, 2530: 72-73).

 

อย่างไรก็ตาม  ความหมายของคำว่า “ชาติ” (nation) ก็เป็นคำว่า “ยากที่จะนิยามให้เข้าใจได้ว่าหมายถึงอะไร  เนื่องจากมันหมายความได้ทั้งผู้คนพอๆ กับที่จะหมายถึงรัฐ.  โดยมากก็มักจะถือเอาภาษาเป็นแก่นสารสำคัญอย่างหนึ่งของความเป็นชาติ. ดังที่คาร์ล มาร์กซ์ให้คำนิยามชาติว่าจะต้องประกอบด้วยความร่วมกันของการใช้ภาษา, การมีถิ่นฐานเมืองนอนร่วมกัน, มีวิถีชีวิตทางเศรษฐกิจผูกพันกัน, และการก่อรูปทางจิตสำนึก (common mental makeup) ร่วมกัน…แต่ประเทศ สวิตเซอร์แลนด์ที่มีถึง 4 ภาษาก็เป็นชาติหนึ่ง, และจีนยุคใหม่พร้อมกับภาษาที่ใช้กันอยู่ทั้งหมดในประเทศจีนก็ต้องนับเป็นชาติหนึ่งเหมือนกัน, และอาจจะต้องนับเอาอินเดียในทุกวันนี้เข้าเป็นหนึ่งในชาติด้วยเหมือนกัน, อีกทั้งสหรัฐอเมริกาเองก็ยังคงต้องนับว่าเป็นชาติหนึ่งแม้ว่าจะกลายเป็นประเทศที่ใช้ 2 ภาษา และมีความหลากหลายทางวัฒนธรรมเข้าไปทุกที.  นอกจากนี้ ชาวเซิร์บกับชาวโครแอตแท้จริงแล้วก็เป็นพวกเชื้อชาติและพูดภาษาเดียวกัน แม้ว่าจะเขียนด้วยอักษร Cyrillic กับอักษรโรมันแตกต่างกัน  แต่ว่าในปัจจุบันพวกเขาไม่ได้เป็นคนชาติเดียวกันแต่เป็น 2 ชาติอย่างแน่นอน. สิ่งที่แบ่งแยกพวกเขาออกจากกันคือเรื่องศาสนาและเรื่องอื่นที่โยงใยไปมาจากการที่ประวัติศาสตร์จับเอาพวกเขากลุ่มหนึ่งไปอยู่ภายใต้อำนาจของโลกไบแซนไทน์/ออตโตมัน และอีกกลุ่มหนึ่งไปอยู่ภายใต้จักรวาลทางวัฒนธรรมของยุโรปตะวันตก” (Pfaff, 1993: 51-52). หรือที่ Ernest Renan กล่าวไว้ในปาฐกถาเรื่อง “What is a Nation?” อันเลื่องชื่อของเขาว่า “แก่นแท้ของความเป็นชาติคือสิ่งที่ผู้คนมีร่วมกันก็มาก และที่ลืมไปก็เยอะ…พลเมืองชาวฝรั่งเศสทุกคนจะต้องลืมวันเซ้นต์บาโธโลเม [ที่มีการรุมสังหารชาวโปรแตสแตนส์ในปี ค.. 1572] และการสังหารหมู่แห่งมิดิ [Midi พวกที่ถูกมองว่าเป็นเดียรถีย์ถูกสังหารหมู่โดยการตัดสินของศาลศาสนา] ในคริสต์ศตวรรษที่ 13” (อ้างใน Pfaff, 1993: 58) ซึ่งหมายความว่าชาวฝรั่งเศสต้องรู้จักลืมเรื่องราวอีกจำนวนมากเพื่อที่จะแบ่งแยกชาติของตนไปเพื่อที่จะได้อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข.

แม้ว่าจะมีปัญหาในการนิยามความหมายอยู่บ้างแต่ก็อาจกล่าวได้ว่า รัฐชาติเกิดจากความรู้สึกชาตินิยม (nationalism) หรือความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มที่ผูกรัดกันด้วยความเป็นเชื้อชาติเดียวกัน, ภาษาเดียวกัน การมีอดีตร่วมกัน, และมักจะเกิดขึ้นพร้อมกับความรู้สึกผูกพันต่อถิ่นฐานอันเป็นบ้านเกิดเมืองนอนที่เรียกว่า “ปิตุภูมิ” หรือ “มาตุภูมิ”.  กล่าวได้ว่ารัฐชาติมีพัฒนาขึ้นครั้งแรกในทวีปยุโรปตะวันตก (Bullock, Stallybrass, and Trombley, 1988: 559-560). นอกจากนี้ รัฐชาติก็ย่อมไม่ได้เกิดขึ้นมาลอยๆ  แต่เป็นผลิตผลของพัฒนาการทางประวัติศาสตร์. บางคนกล่าวว่า “รัฐชาติโดยตัวมันเองแล้วเป็นสิ่งใหม่มาก” (The nation-state itself is modern). รัฐชาติบางรัฐเท่านั้นที่มีอดีตของการเป็นรัฐอิสระมายาวนาน คือ อังกฤษ, ญี่ปุ่น, ฝรั่งเศส, เดนมาร์ก, สวีเดน, รัสเซีย (ของราชวงศ์ Muscovy), โปแลนด์, สเปน และโปรตุเกส. อย่างไรก็ตาม รัฐชาติเหล่านี้ก็ไม่ได้อยู่ในลักษณะและอาณาเขตแบบที่เรารู้จักกันในปัจจุบัน เนื่องจากรัฐที่กล่าวมานี้ไม่เคยมีลักษณะเป็นรัฐชาติมาก่อนตั้งแต่เดิม  อย่างเช่นฝรั่งเศสนั้นเมื่อก่อนเป็นจักรวรรดิ ไม่ใช่รัฐชาติ จนกระทั่ง Jules Ferrry สามารถจัดตั้งระบบการศึกษาเสรี (universal free education) ขึ้นมาในคริสต์ศตวรรษที่ 19. ฝรั่งเศสกับอังกฤษอาจจะเป็นประเทศแรกๆ ที่จะพัฒนาการขึ้นเป็นรัฐชาติในแบบที่เรารู้จักในปัจจุบัน โดยมีผลจากสงครามร้อยปี (.. 1337-1453). รัฐชาติอื่นๆ ในยุโรปมีกำเนิดขึ้นมาคริสต์ศตวรรษที่ 18 หรือ 19. การรวมประเทศเยอรมันภายใต้การนำของปรัสเซียเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกได้สำเร็จก็เมื่อปี ค.. 1871  ก่อนจะแตกไปอีกหลังสงครามโลกทั้งสองครั้งและกลับมารวมกันได้อีกครั้งในการรวมเยอรมันเมื่อปี ค.. 1990 โดยไม่มีประเทศปรัสเซียเข้าร่วมด้วยแต่อย่างใดทั้งที่เป็นรัฐของชนชาติเยอรมัน. ดังนั้นถ้าจะกล่าวไปแล้วสหรัฐอเมริกาก็เป็นรัฐชาติที่มีอายุเก่าแก่กว่าเยอรมันหรืออิตาลีในฐานะที่เป็นรัฐชาติเสียด้วยซ้ำ. ส่วนอาณาจักรออสเตรีย-ฮังการี ซึ่งเคยเป็นมหาอำนาจเองก็เป็นจักรวรรดิมาก่อน โดยต่อมาออสเตรียกลายมาเป็นรัฐชาติในปี ค.. 1918 แต่ก็ยอมสละความเป็นชาติของตัวเองด้วยการยอมรวมเข้ากับเยอรมันภายใต้การนำของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ในปี ค.. 1938. จักรวรรดิโรมันในอดีตเป็นจักรวรรดิของชาวอิตาเลียน  แต่ไม่เคยปรากฏรัฐอิตาลีมาก่อนในประวัติศาสตร์จนกระทั่งถึงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 19 โดยการนำของคาร์วัว  จะมีก็เพียงแต่รัฐลอมบาดี, อาณาจักรซิซิลี, อาณาจักรเนเปิลส์, จักรวรรดิเวนิซ, รัฐวาติกันของพระสันตะปาปา (papal state). ส่วนกรีกก็สูญหายไปตั้งแต่ตกเป็นของจักรวรรดิโรมันก่อนหน้าพระเยซูจะมาเกิดด้วยซ้ำ ก่อนจะมาปรากฏตัวขึ้นเป็นรัฐอีกครั้งในสมัยจักรวรรดิออตโตมันในคริสต์ศตวรรษที่ 19. ส่วนนอกทวีปยุโรปนั้นก็ไม่ปรากฏว่ามีรัฐชาติมาก่อน นอกจากเมืองท่าบางแห่งของมหาอำนาจทางทะเลในยุโรป ซึ่งรวมทั้งสหรัฐอเมริกาที่ยิ่งใหญ่ในปัจจุบันด้วย. ประเทศญี่ปุ่น, จีน, สยาม และกัมพูชาก็เป็นเพียงอาณาจักร  แต่ไม่ใช่รัฐชาติในแบบที่เรารู้จักกันในปัจจุบัน. ส่วนอินเดียนั้นเล่าก็ยังคงเป็นเพียงดินแดนที่มีอิทธิพลของอารยธรรมฮินดูครอบคลุมอยู่  ก่อนที่จะถูกเข้ามายึดครองโดยราชวงศ์โมกุลแห่งจักรวรรดิอิสลามและพวกจักรวรรดินิยมอังกฤษในเวลาต่อมา (Pfaff, 1993: 15-16).

กล่าวได้ว่า รูปแบบดั้งเดิมขององค์กรทางสังคมมนุษย์คือชุมชนเกษตรกรรมหรือชุมชนล่าสัตว์ แล้วค่อยๆ เปลี่ยนมาเป็นสังคมเมือง, สังคมอารยะที่กลายเป็นปึกแผ่นทางอารยธรรมที่มีแกนกลางอยู่ที่ศาสนา แล้วจึงค่อยให้กำเนิดรัฐราชอาณาจักร (dynastic state) หรือจักรวรรดิที่ขยายอาณาเขตพรมแดนออกไปอย่างกว้างขวาง.  และกล่าวได้ว่า ในทวีปยุโรปนั้นสาธารณรัฐดัทช์ (Dutch Republic) อาจจะเป็นรัฐแรกในโลกที่ไม่ได้มีลักษณะเป็นรัฐราชอาณาจักรหรือนครรัฐเล็กๆ. เพราะชาวยุโรปในยุคกลางเป็นชาวคริสต์มากยิ่งกว่าอย่างอื่น โดยขึ้นตรงกับจักรพรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ และพระสันตะปาปา ซึ่งเป็นเหมือนอัศวินของพระเจ้าบนพื้นโลก.  ชาวยุโรปจากต้องต่อสู้กับศัตรูของเจ้านายที่เป็นขุนนางขุนศึกเจ้าที่ดิน หรือต่อสู้กับศัตรูของจักรพรรดิ หรือออกไปทำสงครามครูเสดกับพวกเดียรถีย์นอกศาสนา  แต่ก็ยังคงไม่เป็นการไปต่อสู้เพื่อชาติอยู่นั่นเอง.  นอกจากนี้ภาษาพูดที่ต่อมากลายเป็นภาษาประจำชาติในปัจจุบันก็ยังอยู่ในช่วงก่อรูปก่อร่างขึ้นมา  และเพิ่งจะมาถึงคริสต์ศตวรรษที่ 16 นี่เองที่อังกฤษเริ่มมีวรรณกรรมภาษาอังกฤษเกิดขึ้นแพร่หลาย โดยพัฒนามาจากสำเนียงชาวแซกซอนกับชาวนอรมังในฝรั่งเศส.  ชาวยุโรปส่วนใหญ่ โดยเฉพาะยุโรปใต้ ยังคงผูกพันแน่นแฟ้นกับภาษาละติน  จนกล่าวได้ว่าชาวฝรั่งเศสไม่ได้พูดภาษาฝรั่งเศสมาก่อนจนกระทั่งถึงคริสต์ศตวรรษที่ 19.  พูดให้ชัดเจนขึ้นยิ่งกว่านั้นอีกก็คือ ความเป็นรัฐชาติดั้งเดิมนั้นถูกสร้างขึ้นโดยบรรดากษัตริย์ และก็ไม่ได้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันทางเชื้อชาติแต่อย่างใด.  ประชากรในอังกฤษยุคก่อนประวัติศาสตร์ถูกบุกโดยพวกเคลส์ (Celts) กับพวกเดนีส ก่อนจะถูกพิชิตโดยจักรวรรดิโรมันและเยอรมัน และเคยตกอยู่ใต้อำนาจพวกนอรมังฝรั่งเศสในปี ค.. 1066. ส่วนอังกฤษผสมผสานไปด้วยคนหลากหลายเชื้อชาติจากการที่อังกฤษออกไปล่ายึดเอาอินเดีย, ปากีสถาน, บังกลาเทศ, และคนในหมู่เกาะเวสต์อินเดียมาเป็นอาณานิคมเมืองขึ้นของตนเอง, และแม้กระทั่งกษัตริย์อังกฤษก็มีเชื้อสายเยอรมัน ก่อนจะมาเป็นดัทช์, และสก็อตต์  จนกล่าวได้ว่าไม่มีกษัตริย์ “อังกฤษ” อยู่เลยนับตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 11 เป็นต้นมา. ส่วนพวกฝรั่งเศสก็สับสนวุ่นวายไปด้วยหลายเชื้อชาติเผ่าพันธุ์ อาทิ ไวกิ้ง, เบลเยี่ยม, เยอรมัน, โกล, เบรตง (เคลส์), บาสก์ เป็นต้น จนกล่าวได้ว่ามีเพียงสิ่งเดียวที่จะทำให้คนฝรั่งเศสมีความเป็นชาติฝรั่งเศสเหลืออยู่ในปัจจุบันก็คือวัฒนธรรมและการเมืองของฝรั่งเศสเท่านั้นเอง (Pfaff, 1993: 18-20).

                ด้วยการล่มสลายของอำนาจแห่งพระสันตะปาปาที่เคยยิ่งใหญ่ครอบคลุมอยู่ในจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์/ยุโรป กับการสลายตัวของอำนาจพวกขุนศึกขุนนาง (Feudal Lord), ซึ่งมีสาเหตุมาจากสงครามครูเสด การเปลี่ยนแปลงโลกทัศน์ไปสู่การแสวงหาความรู้แบบสัจนิยมด้วยวิธีการเชิงประจักษ์ การออกไปค้นพบโลกใหม่ ความรุ่งเรืองทางการค้า การปฏิวัติวิทยาศาสตร์ การปฏิวัติอุตสาหกรรม และเศรษฐกิจแบบทุนนิยม ที่ทำให้เกิดเมืองที่มั่งคั่งและที่ดึงดูดแรงงานและคนจำนวนหนึ่งมุ่งหน้าไปสู่ชีวิตเมือง, ทำให้อำนาจของกษัตริย์ที่เคยสูญเสียให้กับขุนนางและพระกลับคืนมาสู่มือของกษัตริย์อีกครั้งหนึ่ง. ในช่วงดังกล่าวนี้เองที่ทำให้เกิดรัฐราชอาณาจักรขึ้นมาจำนวนมากในยุโรปของกลุ่มคนที่แยกเชื้อชาติภาษา  อาทิ เฉพาะรัฐเยอรมันนั้นหลังการล่มสลายของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์แล้วเกิดมีรัฐราชอาณาจักรเยอรมันขึ้นมากกว่าหนึ่งพันรัฐ[3] และในช่วงที่รัฐราชอาณาจักรเกิดขึ้นอย่างแพร่หลายนี้เองที่เริ่มมีการแบ่งแยกเส้นอาณาเขตระหว่างรัฐกันขึ้นเป็นครั้งแรกพร้อมด้วยพัฒนาการของความรู้ทางด้านภูมิศาสตร์ ที่ต้องการวัดสำรวจและบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับผิวโลกลงบนแผนที่สมัยใหม่.  การรวมศูนย์อำนาจกลับมาที่กษัตริย์ ที่พรั่งพร้อมด้วยเทคโนโลยีทางอำนาจอันเป็นผลมาจากความก้าวหน้าของการคิดค้นทางวิทยาศาสตร์ ที่ทำให้เกิดความก้าวหน้าของเทคโนโลยีการผลิตอาวุธสงคราม, ระบบราชการสมัยใหม่, ระบบการศาล, ระบบโครงสร้างทางเศรษฐกิจ, การเกิดโรงงานอุตสาหกรรม, ระบบการสื่อสารคมนาคม, ฯลฯ ย่อมทำให้อำนาจของกษัตริย์ “เด็ดดวง” อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน.  พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศสถึงกับทรงกล่าวประโยคอันเลื่องลือว่า “ฉันคือรัฐ” (I am the state) กล่าวคืออำนาจของกษัตริย์ (ซึ่งก่อนหน้านี้ต้องอ้างอิงอยู่กับอำนาจของพระเจ้า) ได้เข้ามาทาบซ้อนเป็นหนึ่งเดียวกันกับอำนาจรัฐอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน โดยที่กษัตริย์ไม่ต้องไปอ้างความชอบธรรมจากที่อื่นอีกต่อไป.  นอกจากนี้ยังได้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสถานะทางอำนาจของกษัตริย์ จากแต่เดิมที่ต้องคอยแบ่งอำนาจไปให้กับขุนศึกขุนนางทั้งหลายและอาณาเขตปริมณฑลทางอำนาจเลือนลางและยิ่งไกลห่างออกไปเท่าไรก็ยิ่งมืดมนเจือจางลงทุกทีเปรียบเสมือนแรงเทียนที่ส่องสว่างอยู่ตรงกลางแล้วจะค่อยๆ มืดจืดจางลางเลือนหายไปในความมืดตามระยะทาง  หากนับแต่นี้เป็นต้นไปอำนาจกษัตริย์จะเรืองรองสมบูรณ์สูงสุดส่องออกไปสว่างไสวเหมือนดวงอาทิตย์ (พระองค์เรียกตนเองว่า Sun King).

                การใช้ภาษาถิ่นในรัฐราชอาณาจักรต่างๆ ทั้งในการเขียนการพูด ผนวกเข้ากับการที่กูเทนเบิร์ก (Guntenberg) ค้นพบเทคนิคการพิมพ์ด้วยเครื่องจักร ค.. 1452 ทำให้คนเชื้อชาติและภาษาเดียวกันสามารถอ่านหนังสือเรื่องเดียวกัน อ่านหนังสือพิมพ์ฉบับเดียวกัน ในห้วงเวลาเดียวกันทั่วทั้งรัฐ และทำให้คนเริ่มรับรู้และจินตนาการถึงชุมชนที่ตนและคนอื่นๆ อีกนับไม่ถ้วนอาศัยอยู่อาศัยกินและอาศัยอยู่ในกระแสทางปัญญาของสังคมด้วยการเป็นอ่านหนังสือและหนังสือพิมพ์ฉบับเดียวกันและคิดคำนึงคล้ายๆ กันหรือโต้แย้งโต้เถียงกันและกันโดยไม่เคยรู้จักมักคุ้นหน้าตา ซึ่งศาสตราจารย์ Benedict Anderson ผู้เชี่ยวชาญในเรื่องชาตินิยมได้เรียกปรากฏการณ์แบบนี้ตามชื่อหนังสืออันลือลั่นของตนว่า “ชุมชนในจินตนากรรม” (immagined community) (Anderson, 1991 และดู Pfaff, 1993: 56-57). และด้วยจิตสำนึกอันนี้เองที่เอื้ออำนวยให้มหาชนจำนวนมากในรัฐเดินเข้ามาอยู่ร่วมในชุมชนจินตนากรรม กลายเป็นสำนึกถึงความเป็นพลเมืองและความเป็นชาติที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน จนนำไปสู่การเรียกร้องเรียกหาการมีส่วนร่วมในทางการเมือง ในฐานะที่ตนเองก็มีสิทธิเสรีภาพและเป็นเจ้าของเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนทางการเมือง ที่จะแบกรับเป็นภาระร่วมกันผลักดันความก้าวหน้าให้เกิดขึ้นในชุมชนดังกล่าว จนกระทั่งนำไปสู่การเรียกร้องอำนาจอธิปไตยโดยคนส่วนใหญ่ในรัฐ และกลายเป็นรัฐชาติไปในที่สุด อาทิ ในฝรั่งเศสบรรลุถึงความเป็นรัฐชาติด้วยการปฏิวัติโค่นล้มอำนาจกษัตริย์ราชวงศ์บูรบองและรวมทั้งจับกษัตริย์กับพระราชวงศ์มาตัดหัวทิ้งเสียจำนวนมากเมื่อปี ค.. 1789.

กล่าวได้ว่า คริสต์ศตวรรษที่ 20 เป็นศตวรรษของความรู้สึกชาตินิยม  เนื่องจากขบวนการชาตินิยม ซึ่งกลายเป็นการเคลื่อนไหวผลักดันของผู้คนจำนวนมากเข้าต่อกรกับจักรวรรดิหรือรัฐราชอาณาจักร ได้ทำลายจักรวรรดินิยมและระบบอาณานิคมของตะวันตกลงอย่างราบคาบสิ้นเชิง (อาจรวมทั้งทำลายอุดมการณ์นานาชาตินิยมของลัทธิคอมมิวนิสต์ลงไปอย่างราบคาบด้วยเช่นกัน). สงครามปลดปล่อยอาณานิคมได้สร้างรัฐชาติใหม่ขึ้นมาจำนวนมาก  โดยมีรัฐชาติเกิดใหม่ในช่วงนี้ราวสองร้อยแห่ง ซึ่งปัจจุบันได้กลายเป็นสมาชิกขององค์การสหประชาชาติไปเกือบทั้งหมดแล้ว. กล่าวได้ว่า รัฐชาติโดยส่วนใหญ่ในทวีปเอเชียและทวีปแอฟริกาเกิดขึ้นจากกระแสชาตินิยมที่ชาวพื้นเมืองได้ร่วมกันต่อสู้และปลดปล่อยอาณานิคมจากมหาอำนาจจักรวรรดินิยมตะวันตก, ทั้งนี้อาจจะกล่าวได้ว่ามีความเจริญก้าวหน้าของญี่ปุ่นเป็นแม่แบบสำคัญ โดยเฉพาะหลังจากที่ญี่ปุ่นสามารถมีชัยชนะเหนือกองทัพรัสเซียได้ในปี ค.. 1904-5 ที่ยกระดับฐานะของญี่ปุ่นจากการเป็นเพียงแค่ประเทศเอเชียอีกประเทศหนึ่งให้กลายเป็นมหาอำนาจขึ้นมาและมีฐานะที่สูงเป็นที่ยอมรับในเวทีการเมืองระหว่างประเทศจากประเทศมหาอำนาจตะวันตก (Pfaff, 1993: 29) และที่เพิ่งถือกำเนิดขึ้นมาใหม่อีกชาติหนึ่งเมื่อปี ค.. 1999 ก่อนสิ้นสหัสวรรษก็คือรัฐชาติของชาวติมอร์ตะวันออกหรือ East Timor ซึ่งเป็นผลพวงของจักรวรรดินิยมโปรตุเกส มหาอำนาจตะวันตกชาติแรกที่เข้ามาครอบครองดินแดนในทวีปเอเชีย.

 

ตารางแสดงองค์ประกอบแห่งรัฐในเชิงพัฒนาการ

องค์ประกอบแห่งรัฐ               รัฐราชอาณาจักร (Dynastic)    รัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์ (Absolutist)    รัฐชาติ (nation-state)

ระยะเวลาโดยสังเขป              อยุธยาถึง ร.4                           . 5 ถึง 2475                                            ตั้งแต่ 2475

ประชากร                 พสกนิกร                                 พสกนิกร (ผู้อยู่ใต้ปกครองทั้งหมด)       ชาติ (nation)

ดินแดน                                   แดนต่อแดน                            เริ่มมีเส้นพรมเขต(เกือบ)แน่นอน         เส้นพรมแดนแน่นอน

รัฐบาล/การปกครอง                พระมหากษัตริย์                      สมบูรณาญาสิทธิราชย์                            แบบรัฐธรรมนูญ (Constitution)

อำนาจสูงสุดของรัฐ                อำนาจอธิราช (Suzerainty)     อำนาจอธิปไตยเป็นของกษัตริย์             อำนาจอธิปไตยของชาติ

หมายเหตุ: ดัดแปลงมาจาก สมเกียรติ, 2530: 109.

 

องค์การระหว่างประเทศที่มีบทบาทสำคัญในปัจจุบัน

โดยทั่วไปแล้ว องค์การระหว่างประเทศเป็นองค์กรที่มีรัฐเป็นสมาชิก หรือกล่าวได้ว่าสถาบันหรือองค์กรระหว่างประเทศเป็นผลมาจากการปฏิสัมพันธ์ระหว่างองค์กรระดับรัฐด้วยกันเอง (Intergovernmental Organization - IGO), เนื่องจากปัญหาความขัดแย้งทั้งภายในรัฐและระหว่างรัฐนั้นไม่สามารถจัดการแก้ไขได้โดยอำนาจรัฐใดรัฐหนึ่งเพียงลำพัง  บรรดารัฐต่างๆ จึงต้องมารวมกันเป็นสมาคมระหว่างรัฐ โดยมีเป้าหมายเพื่อที่จะแสวงหาความตกลงร่วมกัน และให้หลักประกันในเรื่องความร่วมมือระหว่างสมาชิกเพื่อประโยชน์ร่วมกัน. เหตุผลหลักที่ทำให้องค์กรระหว่างประเทศมีเงื่อนไขว่าองค์กรหรือสถาบันที่จะมาเป็นสมาชิกจะต้องเป็นรัฐนั้นมีเหตุผลมาจากการที่ยึดถือกันในทางกฎหมายว่า รัฐเป็นบุคคลตามกฎหมายระหว่างประเทศ (Subject of International Law), ดังนั้นสมาคมแห่งรัฐที่รวมกันโดยสมัครใจและมีความเป็นองค์กรถาวร และเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายระหว่างประเทศ และเป็นองค์กรที่สามารถทำสนธิสัญญาที่มีผลผูกพันและเป็นเจ้าของทรัพย์สินได้.

ในปัจจุบันองค์กรระหว่างประเทศในระดับสากลที่มีรัฐจากทั่วโลกสมัครเข้าเป็นสมาชิกนั้นมีทั้งองค์กรที่มีวัตถุประสงค์ทางการเมืองโดยเฉพาะ และที่มีวัตถุประสงค์เฉพาะเรื่องที่ไม่ได้เป็นวัตถุประสงค์ทางการเมืองโดยตรง. องค์กรระหว่างประเทศที่มีวัตถุประสงค์ทางการเมืองโดยเฉพาะ คือ สันนิบาตชาติ (League of Nations) และองค์การสหประชาชาติ (United Nations), ส่วนองค์กรระหว่างประเทศที่มีวัตถุประสงค์เฉพาะเรื่อง โดยส่วนใหญ่จะมีวัตถุประสงค์เพื่อการใช้วิทยาการความรู้และเทคโนโลยีร่วมกัน ซึ่งบางองค์กรก็ได้เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งขององค์การสหประชาชาติ อาทิ สหภาพโทรเลข (International Telegraphic Union - 1865), สหภาพไปรษณีย์สากล (Universal Postal Union - 1874), องค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (International Civil Aviation Organization), สหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (International Telecommunications Union), องค์การอนามัยโลก (World Health Organization), องค์การอุตุนิยมวิทยาแห่งโลก (World Meteorological Organization), องค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Educational Scientific and Cultural Organization - UNESCO) เป็นต้น.

 

องค์การสหประชาชาติ (United Nations - UN)

องค์การสหประชาชาติก่อกำเนิดขึ้นบนความพยายามของฝ่ายสัมพันธมิตร (Allied) ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เพื่อสถาปนาความมั่นคงในการเมืองระหว่างประเทศ ดังจะเห็นได้จากการลงนามในปฏิญญาของกลุ่มสัมพันธมิตร (Inter-Allied Declaration) ที่กรุงลอนดอนเมื่อวันที่ 12 มิถุนายน ค.. 1941 เพื่อที่จะนำไปสู่ "การทำงานร่วมกัน กับเสรีชนอื่นๆ ทั้งในช่วงสงครามและสันติภาพ” (to work together, with other free peoples, both in war and in peace) ซึ่งถือกันว่าเป็นก้าวแรกที่นำไปสู่การก่อตั้งองค์การสหประชาชาติ (United Nations หรือ UN) [http://www.un.org/Overview/milesto4.htm].

อย่างไรก็ตาม  กล่าวได้ว่าองค์การสหประชาชาติได้ก่อตั้งขึ้นตามความคิดของประธานาธิบดีแฟรงคลิน รูสเวลต์ (Franklin D. Roosevelt) แห่งสหรัฐอเมริกา ผู้นำของฝ่ายสัมพันธมิตรในสงครามโลกครั้งที่ 2 หลังจากที่ได้ร่วมกันหารือกับวินตัน เชอร์ชิล นายกรัฐมนตรีอังกฤษ เพื่อหาหลักการความร่วมมือด้านสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ ซึ่งนำไปสู่การประกาศกฎบัตรแอตแลนติก เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม ค.. 1941 ซึ่งระบุว่าจะต้องมีการจัดตั้ง “ระบบความมั่นคงทั่วไปที่ถาวร” ขึ้นภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2. ต่อมาในปีค.. 1942  ได้มีผู้แทน 26 ประเทศมาร่วมประชุมกันที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. และร่วมลงนามในปฏิญญาวอชิงตัน (ต่อมาเรียกว่า “United Nations Declaration”) เมื่อวันที่ 1 มกราคม 1942 อันเป็นคำประกาศให้คำมั่นร่วมกันว่ารัฐเหล่านี้จะใช้ทรัพยากรของตนอย่างเต็มที่เพื่อต่อต้านฝ่ายอักษะ (Axis Powers) ได้แก่ เยอรมัน อิตาลี และญี่ปุ่น. เอกสารชิ้นนี้ถือได้ว่าเป็นเอกสารชิ้นแรกที่เรียกองค์การที่จะได้รับก่อตั้งขึ้นใหม่นี้ว่า “องค์การสหประชาชาติ” (United Nations) อย่างเป็นทางการตามคำแนะนำของประธานาธิบดีรูสเวลต์ (This document contained the first official use of the term "United Nations", which was suggested by President Roosevelt) [http://www.un.org/Overview/milesto4.htm].

ในการประชุมระหว่างตัวแทนของรัฐบาลสหภาพโซเวียต, อังกฤษ, สหรัฐอเมริกา และจีน ที่กรุงมอสโค เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม ค.. 1943 ซึ่งได้มีการเรียกร้องให้มีการก่อตั้งองค์การระหว่างประเทศเพื่อรักษาสันติภาพและความมั่นคง และต่อมาข้อเรียกร้องได้ถูกนำมาพิจารณาอีกครั้งในการพบกันระหว่างผู้นำของสหรัฐ, สหภาพโซเวียต, และจีนที่กรุงเตหะรานเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม ค.. 1943. แต่กล่าวได้ว่า “blueprint” ชิ้นแรกขององค์การสหประชาชาติถูกจัดทำขึ้นในการประชุมเรื่ององค์กรความมั่นคงเพื่อสันติภาพหลังสงคราม ที่ดัมบาร์ตัน โอคส์ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. (Dumbarton Oaks in Washington, D.C.) ระหว่างวันที่ 21 กันยายน จนถึง 7 ตุลาคม ค.. 1944 เมื่อสหรัฐ, อังกฤษ, สหภาพโซเวียต และจีนได้บรรลุข้อตกลงร่วมกันในเรื่องเป้าหมาย โครงสร้าง และการทำงานขององค์การระดับโลกที่ก่อตั้งขึ้นใหม่, และผู้นำฝ่ายสัมพันธมิตร คือ รูสเวลส์, เชอร์ชิล และโจเซฟ สตาลิน ได้ร่วมกันประกาศที่จะแก้ปัญหาสันติภาพและความมั่นคงด้วยการก่อตั้ง “องค์การระหว่างประเทศที่จะธำรงรักษาสันติภาพและความมั่นคง” (a general international organization to maintain peace and security) อีกครั้งเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ ค.. 1945 หลังการประชุมที่ยัลต้า (Yalta Conference).

ต่อมากฎบัตรขององค์การสหประชาชาติได้รับการร่างขึ้นโดยตัวแทนของ 50 ประเทศในการประชุมองค์การสหประชาชาติว่าด้วยองค์การระหว่างประเทศ (United Nations Conference on International Organization) ที่ San Francisco ในช่วงวันที่ 25 เมษายน ถึง 26 มิถุนายน ค..1945 โดยยึดพื้นฐานจากข้อเสนอร่วมกันระหว่างตัวแทนของจีน, สหภาพโซเวียต และสหรัฐที่เมืองดัมบาร์ตัน โอคส์  และได้มีการลงนามกฎบัตรเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 1945 โดยตัวแทนของทั้ง 50 ประเทศ. (ประเทศโปแลนด์ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่ได้เป็นตัวแทนในการประชุมได้ร่วมลงนามในภายหลังและถือเป็นหนึ่งในสมาชิกก่อตั้ง 51 ประเทศ (the original 51 Member States). อย่างไรก็ตาม องค์การสหประชาชาติถือกำเนิดอย่างเป็นทางการเมืองวันที่ 24 ตุลาคม 1945 (24 October 1945) เมื่อกฎบัตรได้รับการรับรองโดยจีน, ฝรั่งเศส, สหภาพโซเวียต, อังกฤษ, สหรัฐ และสมาชิกส่วนใหญ่ที่ร่วมลงนาม ดังนั้นจึงถือว่าวันองค์การสหประชาชาติ (United Nations Day) ที่เฉลิมฉลองกันทุกปีคือวันที่ 24 ตุลาคม [http://www.un.org/Overview/origin.html].

ปัจจุบันมักจะได้ยินเกี่ยวกับเรื่องการรักษาสันติภาพและการให้ความช่วยเหลือทางด้านมนุษยธรรมขององค์การสหประชาชาติ (ต่อไปจะเรียกว่า UN ชื่อย่อของ United Nations) กันอยู่มาก  แต่โดยส่วนใหญ่แล้วก็มักจะไม่ค่อยรู้กันอย่างจริงจังนักว่า UN ได้ทำอะไรที่จะมีผลกระทบต่อชีวิตของเรามากน้อยแค่ไหน. เนื้อหาในส่วนนี้จะให้ภาพกว้างๆ เกี่ยวกับการทำงานและบทบาทหน้าที่ของ UN โดยตรง (ข้อมูลเกี่ยวกับหน้าที่การงานและบทบาทแปลเก็บความจากเว็บไซน์ของ UN เอง คือ [http://www.un.org/Overview/brief.html]). ปัจจุบัน UN เป็นศูนย์กลาง (central) แห่งความพยายามของโลกที่จะแก้ปัญหาที่ท้าทายมนุษยชาติ ซึ่งในความพยายามนี้ก็จะมีองค์กรต่างๆ มาเกี่ยวข้องมากกว่า 30 องค์กรที่เรียกกันว่าเป็นระบบขององค์การประชาชาติ (UN system). ในทุกๆ วัน  UN และองค์กรอื่นๆ ที่อยู่ในระบบช่วยกันทำงานเพื่อสนับสนุนส่งเสริมสิทธิมนุษยชน, ปกป้องสภาพแวดล้อม, ต่อสู้กับโรคร้าย, ผลักดันให้เกิดการพัฒนาและลดความยากจนอดอยากของมนุษยชาติลง. หน่วยงานของ UN (หรือ UN agencies) กำหนดมาตรฐานของความปลอดภัยและประสิทธิภาพของการเดินทางทั้งทางบกและทางทะเล, ให้ความช่วยเหลือในการปรับปรุงการสื่อสารคมนาคมและปกป้องสิทธิผู้บริโภค, ส่งเสริมให้เกิดการเคารพสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา, รวมทั้งการจัดสรรคลื่นความถี่ของระบบการสื่อสารทางวิทยุ, และเป็นผู้นำนานาชาติในการรณรงค์ต่อต้านการค้ายาเสพติดและการก่อการร้าย. นอกจากนี้ UN และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังคอยให้ความช่วยเหลือผู้อพยพลี้ภัยและการขจัดกับดักระเบิด (landmines), ช่วยเหลือในการพัฒนาคุณภาพของน้ำดื่มและขยายฐานของการผลิตอาหาร, รวมทั้งให้ทุนเงินกู้แก่ประเทศกำลังพัฒนาในการพัฒนาประเทศและในการสร้างความมั่นคงทางการเงินของประเทศ.

                เมื่อ UN ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม ค.. 1945 โดยสมาชิก 51 ประเทศ โดยมีเป้าหมายมุ่งไปสู่การรักษาสันติภาพผ่านความร่วมมือนานาชาติและการป้องกันความมั่นคงร่วมกัน, ปัจจุบันแม้ว่าปัญหาความมั่นคงจะไม่ใช่ปัญหาใหญ่ที่สำคัญที่สุด แต่ก็กล่าวได้ว่าเกือบทุกชาติในโลกในปัจจุบันเป็นสมาชิกของ UN (รวมทั้งสิ้น 188 ประเทศ).  เมื่อรัฐใดเข้ามาเป็นสมาชิกของ UN แล้ว ก็ต้องยอมรับเงื่อนไขในกฎบัตรองค์การสหประชาชาติ (UN Charter) ซึ่งเป็นสนธิสัญญาระหว่างประเทศที่กำหนดหลักการพื้นฐานสำคัญในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในปัจจุบัน. ตามกฎบัตรแล้ว UN มีเป้าหมายหลักอยู่ 4 ประการ กล่าวคือ 1)เพื่อธำรงสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ (to maintain international peace and security), 2)เพื่อพัฒนาความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันระหว่างชาติต่างๆ (to develop friendly relations among nations), 3)เพื่อแสวงหาความร่วมมือในการแก้ปัญหาระหว่างประเทศและในการสนับสนุนส่งเสริมการเคารพนับถือในสิทธิมนุษยชน (to cooperate in solving international problems and in promoting respect for human rights), และ 4)เพื่อเป็นศูนย์กลางที่จะก่อให้เกิดความสมานฉันท์ในปฏิบัติการระหว่างชาติต่างๆ (to be a centre for harmonizing the actions of nations). หลักการพื้นฐานในเรื่องการสร้างความมั่นคงและสันติภาพในการเมืองระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นผลประโยชน์ร่วมกันของรัฐทั้งมวล แสดงไว้อย่างชัดแจ้งในมาตรา 1 ที่ว่า องค์การสหประชาชาติถูกก่อตั้งขึ้นมา “เพื่อธำรงไว้ซึ่งสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ และเพื่อให้บรรลุถึงจุดหมายปลายทางนี้  จะได้ดำเนินการร่วมกันอันมีผลจริงจัง เพื่อป้องกันและกำจัดการคุกคามต่อสันติภาพ และเพื่อระงับยับยั้งการกระทำการรุกราน หรือการทำลายสันติภาพโดยวิธีการอื่นๆ และจะดำเนินการโดยสันติวิธี และโดยสอดคล้องกับหลักการแห่งความยุติธรรม และกฎหมายระหว่างประเทศ ในการแก้ไขหรือระงับกรณีพิพาท หรือสถานการณ์ระหว่างประเทศอันจะนำไปสู่การทำลายสันติภาพและในการประชุมสมัชชาใหญ่ขององค์การสหประชาชาติครั้งแรกที่กรุงลอนดอน เมื่อเดือนมกราคม ค.. 1946  สมัชชาใหญ่ได้รับรองมติแรกสุดของสมัชชาที่เรียกกันว่า “first resolution” เมื่อวันที่ 24 มกราคม ค.. 1946 ซึ่งมีเป้าหมายอยู่ที่ “การใช้พลังงานปรมาณูเพื่อสันติภาพ และการลดอาวุธปรมาณูและอาวุธที่มีการทำลายล้างสูง” (peaceful uses of atomic energy and the elimination of atomic and other weapons of mass destruction).

                ถึงแม้ว่าสมาชิกของ UN จะประกอบด้วยรัฐอธิปไตย (sovereign countries)  แต่ UN ก็ไม่ใช่รัฐบาลโลก (world government) และไม่ได้เป็นผู้กำหนดกฎหมาย. อย่างไรก็ตาม UN ก็ช่วยก่อให้เกิดวิถีทางในการแก้ปัญหาความขัดแย้งระหว่างประเทศและช่วยกำหนดนโยบายต่างๆ ที่จะกระทบถึงมนุษย์ทุกคนบนผิวโลก. โดยหลักการแล้ว ในสมัชชาใหญ่ของ UN นั้นสมาชิกทุกรัฐมีสิทธิมีเสียงเพียงหนึ่งเสียงเท่าเทียมกัน ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ ร่ำรวยหรือยากจน แตกต่างกันในเรื่องทัศนะทางการเมืองและรูปแบบการเมืองการปกครองหรือไม่ก็ตาม.

    องค์การสหประชาชาติประกอบด้วยองคาพยพหลัก (main organs) อยู่ 6 องค์กร ซึ่ง 5 องค์กร (the General Assembly, the Security Council, the Economic and Social Council, the Trusteeship Council and the Secretariat) มีฐานทำงานอยู่ที่สำนักงานใหญ่ของ UN ที่ New York, ส่วนองค์กรที่ 6 คือศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (the International Court of Justice) ตั้งอยู่ที่กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์.

1)สมัชชาใหญ่ (General Assembly) ประกอบด้วยรัฐสมาชิกทุกรัฐ, โดยองค์กรที่สามารถเป็นสมาชิกของสหประชาชาติ คือ รัฐอธิปไตย ซึ่งในปัจจุบันมีอยู่ทั้งหมด 188 รัฐ [http://www.un.org/Overview/unmember.html]. สมัชชาใหญ่เป็นเหมือนกับสภาของชาติต่างๆ ที่มีหน้าที่คอยพิจารณาปัญหาที่กำลังกดดันรุนแรง. เฉพาะการลงคะแนนเสียงเพื่อตัดสินปัญหาต่างๆ ที่เห็นว่าเป็นเรื่องสำคัญ (important matters) อาทิ สันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ, การรับสมาชิกใหม่, การจัดงบประมาณของ UN และของการรักษาสันติภาพ นั้นเป็นการใช้เสียงส่วนใหญ่จำนวน 2 ใน 3 (by two-thirds majority) ของสมัชชาเป็นตัวกำหนด, ส่วนปัญหาเรื่องอื่นๆ นั้นก็ใช้เสียงส่วนใหญ่ตามปรกติ, โดยแต่ละรัฐสามารถลงคะแนนเสียงได้เพียงเสียงเดียว. อย่างไรก็ตาม ในปีหลังมานี้ มีความพยายามพิเศษที่จะผลักดันให้มีการตัดสินใจโดยมติเอกฉันท์ (consensus) มากกว่าที่จะใช้การลงคะแนนโดยเสียงส่วนใหญ่ตามปกติ. ในการประชุมประจำปี 1999/2000, สมัชชาได้มีการพิจารณาเรื่องต่างๆ จำนวน 173 เรื่อง อาทิ โลกาภิวัตน์, การลดอาวุธนิวเคลียร์, การพัฒนา, การป้องกันสภาพแวดล้อม และการสร้างความเข้มแข็งให้แก่ระบบประชาธิปไตยรูปแบบใหม่ (new democracies). การประชุมสามัญประจำปี (regular annual session) จะมีขึ้นในช่วงปลายเดือนกันยายนถึงเดือนธันวาคมของทุกปี หรืออาจมีการประชุมสมัยวิสามัญตามคำร้องขอของคณะมนตรีความมั่นคง, และเมื่อไม่มีการประชุมสมัชชาใหญ่ การดำเนินงานต่างๆ เป็นหน้าที่รับผิดชอบของคณะกรรมาธิการทั้ง 6 ชุด และองค์กรรอง (subsidiary bodies) และสำนักงานเลขาธิการ.

2)คณะมนตรีความมั่นคง (Security Council) ประกอบด้วยสมาชิก 15 ประเทศ  ซึ่งจะประกอบด้วยสมาชิกถาวร 5 ประเทศ (คือ สหรัฐฯ, อังกฤษ, ฝรั่งเศส, รัสเซีย และจีน) และสมาชิกประเภทไม่ถาวรอีก 10 ประเทศ ซึ่งจะมีการเลือกตั้งใหม่ทุก 2 ปี (โดยแยกที่นั่งสมาชิกตามพื้นที่ภูมิรัฐศาสตร์).  สมาชิกถาวรมีสิทธิออกเสียงยับยั้ง (Veto) การนำวาระเข้าพิจารณา หรือการตัดสินใจของสมัชชาใหญ่.  ในกฎบัตรกำหนดให้คณะมนตรีความมั่นคงรับผิดชอบในเรื่องการธำรงรักษาสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศเป็นหลัก. คณะมนตรีจะประชุมกันเมื่อไรก็ได้เมื่อเกิดปัญหาสันติภาพขึ้นมา  และสมาชิกของ UN ทุกรัฐมีเงื่อนไขจะต้องปฏิบัติตามการตัดสินใจของคณะมนตรีความมั่นคง. ในช่วงหลังนี้มีการพูดกันในหมู่สมาชิกของ UN ที่จะให้มีการเปลี่ยนสมาชิกภาพของคณะมนตรีความมั่นคงเพื่อสะท้อนความเป็นจริงทางการเมืองและเศรษฐกิจโลกในปัจจุบันให้มากขึ้น ซึ่งหมายถึงอาจจะต้องเพิ่มประเทศญี่ปุ่นเข้าเป็นสมาชิกถาวรด้วยอีกประเทศหนึ่ง. การลงคะแนนเสียงตัดสินใจของคณะมนตรีจะต้องใช้เสียงอย่างน้อย 9 เสียง, ยกเว้นเป็นการออกเสียงในเรื่องระเบียบวาระ, และการออกเสียงตัดสินจะไม่เป็นผลถ้าไม่มีสมาชิกประเภทถาวรออกเสียงหรือถูกวีโต้คัดค้านแม้แต่เพียงเสียงเดียวจากสมาชิกประเภทถาวร. เมื่อคณะมนตรีร่วมกันพิจารณาปัญหาที่เกี่ยวกับสันติภาพระหว่างประเทศ ก็จะต้องแสวงหาหนทางที่จะนำไปสู่การแก้ปัญหาอย่างสันติ ซึ่งอาจเสนอหลักการในการแก้ปัญหาหรือทำหน้าที่เป็นคนกลางเจรจา. ในกรณีที่เกิดการต่อสู้กัน คณะมนตรีจะต้องพยายามให้เกิดการตกลงหยุดยิงชั่วคราว (ceasefire) และอาจจะต้องส่งกองกำลังรักษาสันติภาพเข้าไปช่วยให้มีการปฏิบัติตามข้อตกลง. ในแง่นี้ คณะมนตรีความมั่นคงอาจใช้กลไกต่างๆ เพื่อบีบบังคับให้เป็นไปตามการตัดสินใจด้วยการใช้วิธีการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจหรือสั่งไม่ให้มีการค้าอาวุธ (arms embargo). แต่มีน้อยกรณีมากที่คณะมนตรีความมั่นคงจะอนุมัติให้รัฐสมาชิกใช้ “ทุกวิถีทางที่จำเป็น” (all necessary means) ซึ่งรวมทั้งปฏิบัติการร่วมทางทหารเพื่อทำให้การตัดสินใจได้รับนำไปปฏิบัติ. นอกจากนี้ คณะมนตรีความมั่นคงยังสามารถให้คำแนะนำแก่สมัชชาใหญ่ในเรื่องการแต่งตั้งเลขาธิการทั่วไป (Secretary-General) คนใหม่ และในการรับสมาชิกใหม่.

3)คณะมนตรีเศรษฐกิจและสังคม (Economic and Social Council) ประกอบด้วยสมาชิก  54 ประเทศ ซึ่งดำรงตำแหน่งวาระละ 3 ปี โดยการคัดเลือกของสมัชชาใหญ่. คณะมนตรีเศรษฐกิจและสังคมอยู่ภายใต้สิทธิอำนาจของสมัชชาใหญ่อีกทอดหนึ่ง ทำหน้าที่ประสานงานทางด้านเศรษฐกิจและสังคมของ UN และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยทำหน้าที่เป็น “เวทีกลาง” (central forum) สำหรับการอภิปรายปัญหาเรื่องเศรษฐกิจและสังคมระหว่างประเทศ รวมทั้งคอยให้คำแนะนำการกำหนดนโยบาย. คณะมนตรีเศรษฐกิจและสังคมมีบทบาทสำคัญในการเกื้อกูลให้เกิดความร่วมมือระหว่างประเทศในด้านการพัฒนา และการที่คอยปรึกษากับองค์กรพัฒนาเอกชน (NGO) จึงทำให้สามารถธำรงการเชื่อมประสานที่สำคัญมากระหว่าง UN กับประชาคมที่อยู่นอกภาครัฐ (เนื่องจาก UN มีแต่ภาครัฐเท่านั้น). คณะมนตรีเศรษฐกิจและสังคมจะมีการประชุมกันตลอดทั้งปี และจะมีการประชุมใหญ่ในช่วงเดือนกรกฎาคม ซึ่งจะกำหนดให้มีการประชุมพิเศษของรัฐมนตรี เพื่ออภิปรายในปัญหาสำคัญๆ ทางเศรษฐกิจและสังคม และนับตั้งแต่ปี ค.. 1998 เป็นต้นมายังได้ขยายการอภิปรายไปเกี่ยวกับเรื่องมนุษยธรรม (humanitarian themes) อีกด้วย. คณะมนตรีเศรษฐกิจและสังคมมีองค์กรช่วยเหลือ (subsidiary bodies) ที่จะมีการพบกันเป็นประจำเพื่อรายงานกลับไปยังคณะมนตรี ตัวอย่างเช่น คณะกรรมการสิทธิมนุษยชน (The Commission on Human Rights) จะตั้งหน่วยทำงานคอยสังเกตสถานการณ์สิทธิมนุษยชนทั่วโลก, นอกจากนี้ยังมีคณะกรรมการทางด้านการพัฒนาสังคม, สถานภาพของสตรี, การป้องกันอาชญากรรม, การป้องกันยาเสพติด, สิ่งแวดล้อม, และจะมีคณะกรรมการส่งเสริมการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสร้างความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจให้เข้มแข็ง (regional commissions promote economic development and strengthened economic relations) อยู่ถึง 5 คณะตามภูมิภาคต่างๆ.

                4)คณะมนตรีภาวะทรัสตี (The Trusteeship Council) ซึ่งก่อตั้งขึ้นเพื่อดูแลดินแดนที่ถูกกำหนด (Trust Territories) จำนวน 11 แห่งที่บริหารปกครองโดยรัฐสมาชิก 7 ประเทศ เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าการบริหารปกครองดังกล่าวจะนำไปสู่การทำให้ดินแดนดังกล่าวมีรัฐบาลปกครองตนเองและเป็นรัฐที่มีเอกราชและมีอธิปไตย. กล่าวได้ว่าเมื่อมาถึงปี ค.. 1994 ดินแดนที่อยู่ในภาวะทรัสตีทั้งหมดได้บรรลุถึงการปกครองและหรือได้รับเอกราชหมด  ไม่ว่าจะด้วยการแยกฐานะเป็นรัฐอิสระ หรือด้วยการเข้าไปร่วมกับประเทศเพื่อนบ้านที่เป็นเอกราชอยู่ก่อนแล้ว. ดินแดนแห่งสุดท้ายที่เคยเป็นดินแดนในภาวะทรัสตีคือหมู่เกาะแปซิฟิค (Pacific Islands ที่เกาะ Palau) ซึ่งเคยปกครองโดยสหรัฐอเมริกา และต่อมาได้รับเอกราชเป็นสมาชิกที่ 185 ขององค์การสหประชาชาติในเวลาต่อมา. ปัจจุบันคณะมนตรีภาวะทรัสตีประกอบด้วยสมาชิกที่มาจากสมาชิกประเภทถาวรทั้ง 5 ของคณะมนตรีความมั่นคง และมีกำหนดในกฎว่าจะให้มีการประชุมกันอีกครั้งเมื่อมีปัญหาในลักษณะนี้เกิดขึ้นอีก.

5)ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (The International Court of Justice) หรือที่เรียกกันในปัจจุบันว่า “ศาลโลก” (World Court). ชื่อเดิมของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ คือ ศาลสถิตยุติธรรมระหว่างประเทศ (Permanent Court of International Justice, 1920) แต่ไม่เหมือนกับศาลอนุญาโตตุลาการถาวร (Permanent Court of Arbitration). ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศเป็นองค์กรหลักทางด้านกฎหมายระหว่างประเทศขององค์การสหประชาชาติ, ประกอบด้วยผู้พิพากษา 15 คน ที่ได้รับเลือกมาจากสมัชชาใหญ่และคณะมนตรีความมั่นคง  และปฏิบัติหน้าที่อย่างเป็นอิสระไม่ตกอยู่ภายใต้อาณัติของรัฐสัญชาติ โดยดำรงตำแหน่งคราวละ 9 ปี. ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศมีหน้าที่ 1)ตัดสินข้อพิพาทระหว่างรัฐกับรัฐเท่านั้น และ 2)ให้ความเห็นเกี่ยวกับกฎหมายเมื่อได้รับการร้องขอจากสมัชชาใหญ่และคณะมนตรีความมั่นคง.  อย่างไรก็ตาม ในการตัดสินปัญหาพิพาทระหว่างประเทศนั้น ประเทศที่พิพาทจะเลือกใช้กระบวนการทางกฎหมายระหว่างประเทศของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศหรือไม่ก็ได้ ถือเป็นเสรีภาพที่จะเลือกโดยสมัครใจ  แต่ถ้าเลือกแล้วประเทศนั้นมีเงื่อนไขจะต้องปฏิบัติตามคำตัดสินของศาล.

6)สำนักงานเลขาธิการ (Secretariat) ซึ่งมีเลขาธิการใหญ่ (Secretary-General) เป็นผู้บังคับบัญชา สรรหาและแต่งตั้งโดยสมัชชา โดยคำแนะนำของคณะมนตรีความมั่นคง  และหากคณะมนตรีความมั่นคงวีโต้ สมัชชาก็ไม่มีสิทธิแต่งตั้ง. สำนักงานเลขาธิการจะคอยทำงานบริหารขององค์การสหประชาชาติภายใต้การแนะนำของสมัชชาใหญ่, คณะมนตรีความมั่นคง, และองค์กรที่เกี่ยวข้อง และมีเลขาธิการใหญ่จะเป็นผู้คอยให้คำแนะนำการบริหาร. สำนักงานเลขาธิการประกอบด้วยหน่วยงานต่างๆ ที่มีเจ้าหน้าที่ประจำอยู่ราว 8,700 คนจากเกือบ 160 ประเทศ และมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ New York และสำนักงานขององค์การสหประชาชาติอื่นๆ ที่ Geneva, Vienna และ Nairobi.  เลขาธิการในอดีตขององค์การสหประชาชาติ คือ ทริก ลี (Trygve Lie, 1946-1952), ดัก ฮัมมาร์โซลด์ (Dag Hammarskjold, 1953-1956), อู ถั่น (ชาวพม่า, ดำรงตำแหน่งชั่วคราวตั้งแต่ปี ค.. 1956 จนถึง 1962 จึงได้รับเลือกเป็นเลขาธิการจนถึง 1971 - รวมเป็นเวลา 15 ปี), เคิร์ท วัลไฮม์ (1972-1981), ฮาเวียร์ เปเรส เดอ คูเอยยา (1983-1992), บูทรอส-บูทรอส กาลี (Boutros Boutros-Ghali, 1993-1997), โคฟี่ อานัน (Kofi Annan ชาวกานา, 1998-ปัจจุบัน).

                แม้ว่าการธำรงรักษาสันติภาพจะเป็นเป้าหมายหลักขององค์การสหประชาชาติ  เนื่องจากภายใต้กฎบัตรองค์การสหประชาชาตินั้นรัฐสมาชิกจะต้องหาทางตกลงแก้ปัญหาความขัดแย้งด้วยสันติวิธีและหลีกเลี่ยงที่จะนำไปสู่การใช้กำลังระหว่างรัฐ, แต่ UN ได้ทำอะไรเพื่อสันติภาพไปแล้วบ้าง. ในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา UN ได้มีบทบาทสำคัญในการช่วยเหลือระงับและแก้ไขวิกฤตการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศ ด้วยหนทางนานัปการตั้งแต่การรักษาสันติภาพ (peacekeeping), การสร้างสันติภาพ (peacemaking), และการให้ความช่วยเหลือทางด้านมนุษยธรรม, รวมทั้งได้พยายามที่จะให้มีการหลีกเลี่ยงความขัดแย้งที่จะเกิดขึ้น. ส่วนในกรณีที่เกิดปัญหาความขัดแย้งก็จัดให้มีการจัดการกับรากเหง้าของปัญหาที่นำไปสู่สงครามและแสวงหาหนทางที่จะนำไปสู่สันติภาพที่ยั่งยืน. ความพยายามหลายครั้งของ UN ก็ประสบความสำเร็จเป็นที่น่าพอใจ อาทิ การช่วยระงับความขัดแย้งกรณีวิกฤตการณ์คิวบา (Cuban missile crisis) ในปี ค.. 1962, วิกฤตการณ์ในตะวันออกกลาง (Middle East crisis) ในปี ค.. 1973, ในปี ค.. 1988 ด้วยความสนับสนุนของ UN ทำให้สามารถนำสันติภาพกลับคืนมาและยุติสงครามระหว่างอิรักกับอิหร่านได้สำเร็จ, ในปี ค.. 1989 ก็จัดให้มีเจรจาที่นำไปสู่การถอนทหารสหภาพโซเวียตจากประเทศอัฟฆานิสถาน (Afghanistan), ในคริสต์ทศวรรษ 1990s UN กลายเป็นกลไกสำคัญที่นำอำนาจอธิปไตยกลับคืนสู่คูเวต และแสดงบทบาทหลักในการหยุดยั้งสงครามกลางเมืองในกัมพูชา, เอลซัลวาดอร์, กัวเตมาลา และโมแซมบิก, รวมทั้งการช่วยให้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งกลับขึ้นสู่อำนาจในเฮติ และ ฯลฯ.

คณะมนตรีความมั่นคงได้ก่อตั้งปฏิบัติการรักษาสันติภาพและกำหนดขอบเขตเพื่อธำรงรักษาสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ โดยปฏิบัติการส่วนใหญ่มักจะเกี่ยวกับปฏิบัติการทางทหาร อาทิ การสังเกตการณ์การหยุดยิงหรือการจัดตั้งเขตกันชนในขณะที่การเจรจากำลังดำเนินอยู่เพื่อหาข้อยุติในระยะยาว หรือปฏิบัติการที่เกี่ยวกับกองตำรวจกับกองพลเรือนในการควบคุมดูแลการเลือกตั้งและการดูแลเรื่องสิทธิมนุษยชน. ในบางปฏิบัติการ อาทิ ในประเทศมาเซโดเนีย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสาธารณรัฐยูโกสลาเวียมาก่อน UN ต้องมาดูแลจัดการเลือกตั้งและวางกำลังทางยุทธศาสตร์เพื่อป้องกันการปะทุของความขัดแย้งขึ้นอย่างรุนแรง. บางครั้งปฏิบัติการรักษาสันติภาพอาจจะใช้เวลาเพียงสั้นๆ เพียงไม่กี่เดือน แต่บางครั้งก็กินเวลาหลายปี. นับตั้งแต่ UN เริ่มใช้กองกำลังรักษาสันติภาพ (peacekeepers) ขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อปี ค.. 1948  ได้มีประเทศต่างๆ ราว 118 ประเทศให้ความช่วยเหลือทางด้านกำลังทหารและพลเรือนจำนวนมากกว่า 750,000 คน ซึ่งได้เข้าร่วมในปฏิบัติการต่างๆ จำนวน 53 ครั้ง. ในปัจจุบัน มีกองกำลังทหารและพลเมืองที่กำลังปฏิบัติการรักษาสันติภาพอยู่ในภูมิภาคต่างๆ 14 แห่งทั่วโลกราว 26,600 คน. เฉพาะในทวีปเอเชียนั้นมีหน่วยงานของ UN ทำงานด้านสิทธิมนุษยชนและเผยแพร่ประชาธิปไตยอยู่ในกัมพูชา, ทำงานช่วยสร้างความสมานฉันท์ของชาติขึ้นใหม่หลังจากสงครามกลางเมืองในประเทศอัฟฆานิสถาน, และมีกองกำลังช่วยดูแลความสงบเรียบร้อยในช่วงเปลี่ยนผ่านของรัฐบาลประเทศติมอร์ตะวันออกซึ่งเพิ่งจะได้รับเอกราชล่าสุดในปี ค.. 1999 จากประเทศอินโดนีเซีย.

                นอกจากกระบวนการรักษาสันติภาพ (Peacekeeping) แล้วกระบวนการสำคัญเพื่อธำรงรักษาสันติภาพ คือ การสร้างสันติภาพ (Peacemaking) และการเสริมสร้างสันติภาพ (Peace-building). กระบวนการสร้างสันติภาพเป็นการนำเอาคู่ขัดแย้งมาหาข้อตกลงร่วมกันผ่านวิถีทางการทูต, โดยคณะมนตรีความมั่นคงอาจจะเสนอคำแนะนำเพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งหรือนำสันติภาพกลับคืนมาผ่านทางการเจรจาหรือผ่านทางศาลยุติธรรมระหว่างประเทศก็ได้. เลขาธิการใหญ่เองก็มีบทบาทสำคัญในการสร้างสันติภาพ ด้วยการนำประเด็นความขัดแย้งที่จะนำไปสู่การทำลายสันติภาพและความมั่นคงไปอยู่ในความสนใจของคณะมนตรีความมั่นคง และทำตัวเป็น “good offices” เพื่อเป็นคนกลาง (mediation) ในการหาข้อตกลง หรืออาจจะแสดงบทบาท “quiet diplomacy” อยู่เงียบๆ หลังฉากผ่านตัวแทนพิเศษหรือด้วยตนเองก็ได้. นอกจากนี้ เลขาธิการใหญ่ยังสามารถใช้ “การทูตแบบเสริมป้อง” (preventive diplomacy) เพื่อแก้ปัญหาที่กำลังโต้แย้งกันอยู่ก่อนที่จะนำไปสู่วิกฤตการณ์, หรืออาจส่งคณะกรรมการไปตรวจสอบข้อเท็จจริง เพื่อสนับสนุนการสร้างสันติภาพในภูมิภาค หรือก่อตั้งสำนักงานการเมืองในท้องถิ่นเพื่อช่วยสร้างความเชื่อมั่นระหว่างคู่ขัดแย้ง. ในปัจจุบัน UN กำลังเพ่งความสนใจไปอยู่ที่สาเหตุของความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น เพราะความรุนแรงมีความหมายมากกว่าการบาดเจ็บล้มตายเนื่องจากสงครามระหว่างรัฐ แต่หมายถึงความรุนแรงทางโครงสร้างที่ไม่เท่าเทียมกันในสังคมอีกด้วย  การช่วยให้คำแนะนำในเรื่องการพัฒนาก็เป็นกุญแจสำคัญที่จะนำไปสู่การเสริมสร้างสันติภาพ (peace-building). ด้วยความร่วมมือกับหน่วยงานตัวแทนอื่นๆ กับการร่วมมือของประเทศที่บริจาคเงินและองค์กรพัฒนาเอกชน UN เริ่มทำงานในด้านสนับสนุนให้เกิดการปกครองที่เป็นธรรม (good governance หรือธรรมรัฐ), กฎหมายและระเบียบทางสังคม, การเลือกตั้งและการเคารพสิทธิมนุษยชนในประเทศที่กำลังต่อสู้กับปัญหานานัปการภายหลังความขัดแย้งที่รุนแรง, ในขณะเดียวกันก็ช่วยเหลือประเทศเหล่านี้สร้างระบบการบริหารปกครอง, ระบบสาธารณสุข, ระบบการศึกษา และ ฯลฯ ขึ้นมาอีกครั้ง ซึ่งบางครั้งก็ปฏิบัติการเหล่านี้ก็ต้องทำพร้อมกับกระบวนการสร้างสันติภาพ อาทิ การดูแลการเลือกตั้งในนามิเบียเมื่อปี ค.. 1989 หรือโครงการทำลายกับระเบิดในโมแซมบิกและการฝึกกองตำรวจในเฮติ, หรือเกิดภายหลังกระบวนการสร้างสันติภาพตามคำร้องขอของรัฐบาลประเทศนั้น อาทิ การตั้งสำนักงานดูแลสิทธิมนุษยชนในกัมพูชา.

                นอกจากแก้ปัญหาความขัดแย้งที่ปะทุขึ้นในตามภูมิภาคต่างๆ แล้ว  ความพยายามที่จะหาทางลดการสะสมกำลังอาวุธ ซึ่งในที่สุดแล้วจะนำไปสู่การกำจัดอาวุธนิวเคลียร์และอาวุธทำลายล้างสูงก็เป็นเป้าหมายหลักของ UN ซึ่งได้จัดให้มีเวทีเจรจาลดอาวุธจากหลายฝ่าย.  การเจรจาเหล่านี้ได้นำไปสู่ข้อตกลงในเรื่องดังกล่าว คือ สนธิสัญญาการหยุดเพิ่มอาวุธนิวเคลียร์ (Nuclear Non-Proliferation Treaty) ในปี ค.. 1968, สนธิสัญญาเลิกการทดลองอาวุธนิวเคลียร์ (Comprehensive Nuclear-Test-Ban Treaty) ในปี ค.. 1996 และสนธิสัญญากำหนดเขตปลอดอาวุธนิวเคลียร์ (nuclear-free zones). นอกจากนี้ สนธิสัญญาอื่นที่เกี่ยวกับเรื่องการห้ามพัฒนา, ผลิต, และกักเก็บอาวุธเคมีในปี ค.. 1992 และอาวุธแบคทีเรีย (bacteriological weapons) เมื่อปี ค.. 1972, สนธิสัญญาห้ามมีอาวุธนิวเคลียร์จากชายฝั่งและพื้นผิวมหาสมุทรเมื่อปี ค.. 1971 และจากอวกาศในปี ค.. 1967 ฯลฯ.  กล่าวได้ว่าในปี ค.. 1997 ประเทศมากกว่า 100 ชาติร่วมกันลงนามใน “อนุสัญญาออตตาวา” (Ottawa Convention) ที่กำหนดให้ “กับระเบิด” กลายเป็นสิ่งผิดกฎหมายสงคราม (outlawing landmines) ที่ UN พยายามสนับสนุนให้ทุกชาติผูกมัดต่อข้อตกลงนี้และสนธิสัญญาเกี่ยวกับอาวุธมหาประลัยอื่นๆ. นอกจากนี้ ยังสนับสนุนให้มีการควบคุมอาวุธขนาดเล็ก (small arms and light weapons) ซึ่งมีผลกระทบต่อชีวิตผู้คนในชีวิตประจำวันมากยิ่งกว่าอาวุธสงคราม ดังที่จะกำหนดให้มีการประชุมนานาชาติในปี ค.. 2001 ในเรื่องเกี่ยวกับการค้าอาวุธขนาดเล็กโดยตรง โดยที่ความสำคัญในประเด็นนี้เห็นได้ชัดจากการประชุมครบรอบหนึ่งร้อยปีการประชุมสันติภาพที่กรุงเฮก (The Hague Peace Conference, 1899) เมื่อปี ค.. 1999 ที่ผ่านมา. องค์กรที่ทำงานเกี่ยวกับพลังงานนิวเคลียร์ซึ่งมีฐานอยู่ที่กรุงเวียนนา (Vienna-based International Atomic Energy Agency) จะทำหน้าที่คอยดูแลว่าอุปกรณ์ทางด้านพลังงานนิวเคลียร์เพื่อการใช้ประโยชน์อย่างสันติจะไม่ถูกนำไปปรับปรุงไปใช้ด้านการทหาร และองค์กรที่เกี่ยวกับการห้ามผลิตอาวุธเคมีที่กรุงเฮก เนเธอร์แลนด์ จะทำหน้าที่เก็บข้อมูลทั่วโลกเพื่อคอยตรวจสอบในเรื่องดังกล่าวตามอนุสัญญาว่าด้วยอาวุธเคมี (chemical weapons convention).

                ปัญหาสำคัญอีกประการหนึ่งที่ UN ต้องเผชิญ คือ ปัญหาเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชน. ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (The Universal Declaration of Human Rights) ที่ประกาศโดยสมัชชาใหญ่ขององค์การสหประชาชาติเมื่อปี ค.. 1948 ได้กำหนดสิทธิเสรีภาพพื้นฐานที่มนุษย์ทุกคนไม่ว่าหญิงหรือชายจะต้องได้รับการคุ้มครอง คือ สิทธิในชีวิต, เสรีภาพและความเป็นชาติ (the right to life, liberty and nationality), สิทธิเสรีภาพในความคิด จิตสำนึก และการนับถือศาสนา (to freedom of thought, conscience and religion), สิทธิที่จะทำงาน (to work), สิทธิที่จะได้รับการศึกษา (to be educated), และที่จะมีส่วนร่วมในการปกครอง(to take part in government). สิทธิเหล่านี้มีข้อผูกพันทางกฎหมายในฐานะที่เป็นพันธะสัญญาระหว่างประเทศ ซึ่งเกือบทุกรัฐสมาชิกให้การรับรอง. ในบรรดาพันธะสัญญาเหล่านี้ บางพันธะสัญญาที่เกี่ยวกับสิทธิทางเศรษฐกิจ, สังคม และวัฒนธรรม (One Covenant deals with economic, social and cultural rights) และสิทธิการเป็นพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (civil and political rights), โดยทั้งหมดนี้รวมกันเป็น “International Bill of Human Rights”.  ปฏิญญาสากลฯ ได้วางรากฐานให้แก่อนุสัญญาและปฏิญญาที่เกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนอื่นๆ อีกจำนวนกว่า 80 ฉบับ รวมทั้งอนุสัญญาว่าด้วยการละเมิดคุกคามทางเชื้อชาติ (eliminate racial discrimination) และการข่มเหงทำความรุนแรงสตรี (discrimination against women), อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก, สถานะของผู้อพยพ และการป้องกันฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ (genocide), และปฏิญญาว่าด้วยการกำหนดอนาคตตนเอง (self-determination), และกระทั่งสิทธิในการพัฒนา. กล่าวได้ว่าการส่งเสริมให้มีการเคารพนับถือสิทธิมนุษยชนได้เพิ่มความสำคัญยิ่งขึ้นในการให้คำแนะนำด้านการพัฒนาของ UN โดยเฉพาะสิทธิในการพัฒนานั้นถือเป็นกระบวนการที่มีพลวัตที่จะผสานสิทธิในทุกเรื่องตั้งแต่สิทธิพลเมือง, วัฒนธรรม, เศรษฐกิจ, และสังคมการเมือง ซึ่งย่อมจะยังให้เกิดการอยู่เย็นเป็นสุข (well-being) ของปัจเจกชนทุกคนในสังคม โดยมีกุญแจสำคัญที่จะนำไปสู่การบรรลุถึงสิทธิในการพัฒนา คือ การขจัดความยากจน เป็นเป้าหมายหลักของ UN. นอกจากนี้ การละเมิดสิทธิมนุษยชนระหว่างการต่อสู้ในยูโกสลาเวียทำให้คณะมนตรีความมั่นคงก่อตั้งศาลระหว่างประเทศ (international tribunal) ในปี ค.. 1993 เพื่อนำผู้ถูกกล่าวหาว่ามีส่วนสำคัญทำให้เกิดสงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์มาขึ้นศาล  และต่อมาในปี ค.. 1994 คณะมนตรีก็ตั้งศาลแบบเดียวกันนั้นเพื่อพิพากษาข้อกล่าวหาในเรื่องการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในประเทศรวันดา (Rwanda), โดยศาลที่ดูแลเรื่องรวันดา (Rwanda Tribunal) ได้ประกาศคำพิพากษาเกี่ยวกับการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ขึ้นเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ศาลระหว่างประเทศในปี ค.. 1998  ส่วนศาล “Tribunal for the former Yugoslavia” นั้นยังคงตรวจสอบพิจารณาหลักฐานอาชญากรรมในเมืองโคโซโวอยู่ในปัจจุบัน. กล่าวได้ว่า เป้าหมายของ UN ที่จะจัดตั้งกลไกที่จะตรวจสอบดูแลการละเมิดสิทธิมนุษยชนได้บรรลุในปี ค.. 1998 เมื่อรัฐสมาชิกของ UN ได้ร่วมกันตกลงที่จะก่อตั้งศาลอาชญากรระหว่างประเทศ (International Criminal Court) ขึ้น โดยศาลนี้จะเป็นหนทางที่ลงโทษผู้ละเมิดในเรื่องการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์และอาชญากรรมที่ต่อต้านมนุษยชาติ.

                องค์การสหประชาชาติมีองค์กรระดับรองที่เรียกว่า “ทบวงชำนัญพิเศษ” (Subsidiary Organs) ซึ่งจะไม่กล่าวถึงในรายละเอียดในที่นี้ อาทิ ILO (International Labour Organization) ซึ่งก่อตั้งขึ้นมาเพื่อปรับปรุงสภาพการทำงานและโอกาสการจ้างงาน รวมทั้งดูแลมาตรฐานด้านแรงงานในทุกประเทศทั่วโลก, FAO (Food and Agriculture Organization of the UN) เพื่อปรับปรุงการผลิตภาพทางด้านการเกษตรและดูแลเรื่องความมั่นคงทางด้านอาหารสำหรับมนุษยชาติ เพื่อการอยู่ดีกินดีและคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้คนในชนบท, UNESCO (UN Educational, Scientific and Cultural Organization) เพื่อส่งเสริมการศึกษาสำหรับทุกคน รวมทั้งการพัฒนาทางวัฒนธรรม การพิทักษ์มรดกทางวัฒนธรรมและธรรมชาติของโลก และความร่วมมือทางวิทยาศาสตร์ และเพื่อการสื่อสารเสรี, WHO (World Health Organization), World Bank, IMF (International Monetary Fund), ICAO (International Civil Aviation Organization), UPU (Universal Postal Union), ITU (International Telecommunication Union), WMO (World Meteorological Organization), IMO (International Maritime Organization), WIPO (World Intellectual Property Organization), IFAD (International Fund for Agricultural Development), UNIDO (UN Industrial Development Organization), IAEA (International Atomic Energy Agency).

 

องค์การทางการค้าและการเงินระหว่างประเทศ

องค์กรทางการค้าและการเงินระหว่างประเทศที่สำคัญเป็นองค์กรที่เกิดขึ้นภายใต้ข้อตกลงที่เบรตตัน วูดส์เมื่อปี ค.. 1944 ซึ่งเป็นผลมาจากการประชุมของผู้แทน 44 ประเทศที่เบรตตัน วูดส์ นิวแฮมเชียร์ เพื่อหาข้อตกลงร่วมกันในการจัดตั้งสถาบันเพื่อทำหน้าที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจโลกหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 (WW II) เพื่อรวมทั้งโลกเข้าด้วยกันเสมือน “ตาข่ายของความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจและการพึ่งพาอาศัยกัน” ซึ่งจะเป็นการป้องกันประเทศต่างๆ ที่จะหันมาใช้อาวุธ และเพื่อสร้างระบบเศรษฐกิจเปิดของโลกให้เกิดการรวมตัวกันภายใต้การนำของสหรัฐเพื่อจะให้หลักประกันแก่สหรัฐในการเข้าถึงตลาดและวัตถุดิบทุกแห่งในโลก (คอร์เตน, 2542: 210). องค์กรที่เกิดภายใต้ข้อตกลงที่เบรตตัน วูดส์นี้จึงเรียกว่า  สถาบันเบรตตัน วูดส์. สถาบันเบรตตัน วูดส์ประกอบด้วย 1)ธนาคารโลก (World Bank), 2)กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund - IMF), และ3) ข้อตกลงทั่วไปว่าด้วยพิกัดอัตราภาษีศุลกากรและการค้า (General Agreement on Tariffs and Trade หรือ GATT) ซึ่งต่อมาพัฒนาเป็นองค์การการค้าโลก (World Trade Organization - WTO).  อย่างไรก็ตาม นอกจากนี้ยังมีองค์กรทางการค้าและการเงินระหว่างประเทศที่สำคัญและมองข้ามไม่ได้อีกองค์กรหนึ่ง คือ บรรษัทข้ามชาติ (transnational coporation) ซึ่งจะพิจารณาถึงเรื่องนี้กันในเนื้อหาส่วนที่ 4 ที่เกี่ยวกับผลกระทบของเหตุการณ์ระหว่างประเทศในปัจจุบัน.

ธนาคารโลก (World Bank)[4] มีหน่วยงาน 5 ส่วน คือ 1)ธนาคารเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระหว่างประเทศ (International Bank for Reconstruction and Development หรือ BIRD), 2)สมาคมเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศ (International Development Association หรือ IDA), 3)บรรษัทเงินทุนระหว่างประเทศ (International Finance Corporation หรือ IFC), 4)องค์การประกันการลงทุนพหุภาคี (Multilateral Investment Guarantee Agencyหรือ MIGA), และ 5)ศูนย์เพื่อการแก้ปัญหาความขัดแย้งเรื่องการลงทุนระหว่างประเทศ(International Centre for the Settlement of Investment Disputes หรือ ICSID).[5] ธนาคารเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระหว่างประเทศมีวัตถุประสงค์เดิมตั้งแต่ก่อตั้ง คือการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ยุโรปเพื่อการบูรณะฟื้นฟูภายหลังสงคราม และต่อมาได้พัฒนาเป็นหน่วยงานหลักของธนาคารโลก,  ส่วนหน่วยงานทั้งสามที่เหลือในปัจจุบันไม่ค่อยมีบทบาทมากนัก.  อย่างไรก็ตาม แม้ว่าธนาคารเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาจะมุ่งไปที่การฟื้นฟูและพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของยุโรปในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ก็ปรากฏว่าประเทศในยุโรปกู้เงินจากธนาคารโลกน้อยมาก,  เพราะสิ่งที่ยุโรปต้องการคือการกระจายความช่วยเหลือแบบให้เปล่า หรือเงินกู้ที่มีเงื่อนไขเพื่อรักษาดุลการชำระเงินเพื่อส่งเสริมการนำเข้า เพื่อตอบสนองความจำเป็นพื้นฐานชั่วคราว และในช่วงฟื้นฟูยุโรปนั้นแผนการมาร์แชลก็ได้ให้ความช่วยเหลือในลักษณะนี้แก่ยุโรปอยู่แล้ว. และจนถึงปี ค.. 1953 (คือ 9 ปีหลังก่อตั้ง)  จำนวนเงินกู้ทั้งหมดที่ธนาคารโลกให้กู้แก่ประเทศในยุโรปก็มีเพียง 1.75 Billions US Dollars, และในจำนวนนี้มีเพียง 497 Millions US Dollars ที่เป็นการกู้ไปบูรณะฟื้นฟูยุโรป ซึ่งนับเป็นจำนวนน้อยมากเมื่อเปรียบเทียบกับยอดเงินจำนวน 41.3 Billions US Dollars ที่ประเทศในยุโรปได้รับจาก “แผนการมาร์แชล” (Machall Plan) ซึ่งเกิดจากการที่นายพลจอร์จ ซี. มาร์แชล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ ได้แถลงที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ในเดือนมิถุนายน ค.. 1947 ว่าสหรัฐฯกำลังพิจารณาให้ความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจแก่ยุโรปเพื่อฟื้นฟูสภาพเศรษฐกิจของยุโรปให้เข้มแข็ง ซึ่งจะนำไปสู่การมีเสถียรภาพทางการเมือง. แผนการมาร์แชลได้รับอนุมัติงบประมาณจากรัฐสภาคองเกรสเป็นจำนวนเงิน 17 พันล้านเหรียญดอลล่าร์สหรัฐฯ โดยจะให้แก่ประเทศในยุโรปที่ตกลงจะปรับเงินตราภายในประเทศให้มีเสถียรภาพและจะฟื้นฟูสภาพเศรษฐกิจเท่านั้น. สหภาพโซเวียตและกลุ่มประเทศคอมมิวนิตส์พากันประณามแผนการนี้ว่าเป็นความพยายามของสหรัฐฯที่จะเข้าแทรกแซงและควบคุมเศรษฐกิจยุโรปและประกาศไม่เข้าร่วมแผนการ. อย่างไรก็ตาม จำนวนเงินที่ใช้จริงน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ คือเพียง 12 พันล้านเหรียญสหรัฐเท่านั้น โดยฝรั่งเศสกับเยอรมันตะวันตกได้รับมากกว่าครึ่งหนึ่ง, แต่ก็นับได้ว่าแผนการนี้ประสบความสำเร็จอย่างมากในการฟื้นฟูเศรษฐกิจของยุโรปตะวันตก และทำให้ระบบเศรษฐกิจยุโรปมีความผูกพันกับสหรัฐฯ มากยิ่งขึ้นกว่าที่เคยเป็นมาในอดีต.

กล่าวได้ว่า ภาวะขาดแคลนความต้องการกู้เงินจากธนาคารโลกในระยะแรกเกิดจากประเทศกำลังพัฒนาหรือประเทศด้อยพัฒนาขาดทักษะทางวิชาการและการวางแผนในการทำโครงการข้อเสนอกู้เงิน และยังเกิดความเห็นที่แตกแยกกันในหมู่ชนชั้นนำของรัฐบาลต่างๆ ระหว่างนโยบายเศรษฐกิจชาตินิยมกับนโยบายที่มุ่งส่งเสริมเศรษฐกิจข้ามชาติ  กล่าวคือ 1)กลุ่มนักเศรษฐกิจชาตินิยมต้องการมุ่งเน้นการผลิตเพื่อจำหน่ายภายในประเทศเป็นหลัก และหาวิธีการปกป้องตลาดภายในประเทศและทรัพยากรจากความไม่แน่นอนของภาวะความผันผวนของระบบเศรษฐกิจระหว่างประเทศ, และ 2)กลุ่มทุนข้ามชาติ คือกลุ่มแนวร่วมอุดมการณ์ตลาดเสรีของธนาคารโลกและมีแนวโน้มที่จะผลักดันให้เศรษฐกิจของประเทศเข้าไปสู่วงจรเศรษฐกิจโลก.

ข้อโต้แย้งระหว่างผู้กำหนดนโยบายทางเศรษฐกิจของประเทศ 2 กลุ่มนี้จะเกี่ยวพันกับการพัฒนาประเทศ โดยมีประเด็นสำคัญคือ หากดำเนินนโยบายเศรษฐกิจแบบชาตินิยมแล้วประเทศอุตสาหกรรมใหม่จะแสวงหาอุปสงค์ (demand หรือความต้องการซื้อของตลาด) จากตลาดได้จากที่ไหนเพื่อจะใช้เป็นพลังขับเคลื่อนการขยายตัวทางเศรษฐกิจในประเทศเหล่านั้นโดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรม, เนื่องจากตลาดภายในประเทศมีไม่เพียงพอรับพลังการผลิตได้ทั้งหมด?  คำตอบต่อข้อขัดแย้งดังกล่าวแบ่งเป็น 2 แนวทาง กล่าวคือ 1)การเน้นอุตสาหกรรมที่ผลิตเพื่อใช้ในประเทศแทนสินค้าที่เคยนำเข้ามาจากต่างประเทศ (เน้นยุทธศาสตร์การนำเข้า), และ 2)แนวทางสร้างอุตสาหกรรมภายในประเทศเพื่อรับใช้ตลาดส่งออก (เน้นยุทธศาสตร์ที่เน้นการส่งออก). แนวทางแรกเน้นการพึ่งตนเอง คือหาทางทดแทนการนำเข้า ซึ่งก็จะเป็นผลให้ลดความจำเป็นที่จะต้องใช้เงินตราต่างประเทศ  ด้วยการอุดหนุนภาคการผลิตภายในสำหรับรองรับสินค้าที่เคยสั่งเข้า  ซึ่งจะขัดแย้งกับกลุ่มทุนข้ามชาติสนับสนุนยุทธศาสตร์การส่งออกเพราะสามารถหารายได้จากตลาดที่กว้างใหญ่กว่าตลาดภายในประเทศ.  นโยบายที่เน้นการส่งออกมีความจำเป็นต้องกู้เงินมหาศาลมาลงทุนในการสร้างโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่รองรับการพัฒนาอุตสาหกรรมเพื่อการส่งออก ซึ่งจะสอดคล้องกับความต้องการ “ให้กู้เพื่อการพัฒนา” ของธนาคารโลก.  กลุ่มทุนข้ามชาติที่สนับสนุนการส่งออกและตลาดเสรีระหว่างประเทศจึงเป็นพันธมิตรโดยธรรมชาติกับธนาคารโลก. ธนาคารโลกจึงเปลี่ยนยุทธศาสตร์ด้วยการจัดตั้งสถาบันเพื่อการพัฒนา ที่จะประกอบด้วยนักวิชาการทางเศรษฐศาสตร์แนวเสรีนิยมในประเทศต่างๆ เพื่อคอยสร้างอิทธิพลทางความคิดในเรื่องการพัฒนาที่เน้นอุตสาหกรรมเพื่อการส่งออกให้แก่ผู้นำรัฐบาล.

แต่สิ่งที่เป็นสาเหตุผลักดันสำคัญให้ประเทศในโลกที่สามต้องหันมาพึ่งพิงธนาคารโลกมากยิ่งขึ้นเกิดขึ้นเมื่อกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (Organization of Petroleum Exporting Countries หรือกลุ่ม OPEC) ขึ้นราคาน้ำมันในต้นทศวรรษ 1970 ทำให้ประเทศที่ยากจนที่จำเป็นต้องนำเข้าน้ำมันจากต่างประเทศมีฐานะทางการเงินของเงินตราสำรองระหว่างประเทศอยู่ในขั้นวิกฤต, ขณะเดียวกันกับที่ธนาคารพาณิชย์ที่มีเงิน “ดอลล่าร์น้ำมัน” หรือเงินฝากของประเทศกลุ่ม OPEC อยู่เต็มจนล้นธนาคารและกลายเป็นภาวะที่ธนาคารต้องการหาทางระบายเงินกู้ออกด้วยเงื่อนไขดอกเบี้ยต่ำกว่าปกติ (เพื่อหาเงินมาจ่ายดอกเบี้ยให้ผู้ฝาก) และประเทศที่ยากจนทั้งหลายก็มีความจำเป็นอย่างหนักที่จะต้องกู้เงินตราต่างประเทศมาใช้ซื้อน้ำมัน ทำให้เกิดการกู้และการให้กู้กันอย่าง “เมามัน”. การเพิ่มราคาน้ำมันของกลุ่ม OPEC ทำให้หนี้ต่างประเทศของประเทศที่ยากจนทั้งหลายของประเทศฝ่ายใต้ในปลายทศวรรษ 1970 เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วจาก 21 Billions US Dollars ในปี ค.. 1970 เพิ่มขึ้นเป็น 110 Billions US Dollars ในปี ค.. 1980,  ส่วนหนี้ในประเทศปานกลางเพิ่มจาก 40 Billions US Dollars สูงขึ้นเป็น 317 Billions US Dollars.  เมื่อภาวะดอกเบี้ยกลับคืนสู่ปกติแล้ว ประเทศลูกหนี้ทั้งหลายก็อยู่ในสภาพล้มละลายและหมดปัญญาจ่ายดอกเบี้ยจำนวนมหาศาลให้ได้.

ในช่วงนี้เองที่ทั้งธนาคารโลก (Wolrd Bank) และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ก็ได้เข้ามาคอยดูแลสถานะทางการเงินการคลังของประเทศยากจนทั้งหลาย โดยการกำหนดเงื่อนไขสำหรับข้อตกลงทางการเงินระหว่างประเทศที่ล้มละลายกับกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ด้วยการกำหนดให้มี “การปรับโครงสร้าง” (Structural Adjustment) สถานะทางเศรษฐกิจการเงินการคลังของประเทศ. “การปรับโครงสร้าง” คือการปฏิรูปนโยบายเศรษฐกิจขนานใหญ่ เพื่อให้มีการนำเอาทรัพยากรและกิจกรรมการผลิตทั้งปวงจากประเทศที่ได้รับการปรับโครงสร้างแต่ละประเทศไปชำระหนี้ต่างประเทศให้ได้มากยิ่งขึ้น. ข้อจำกัดต่างๆ ที่เคยตั้งไว้เพื่อปกป้องภาคเศรษฐกิจภายในประเทศ ตลอดจนอากรทั้งขาเข้าและขาออกถูกลดลง และมีการสร้างแรงจูงใจที่จะดึงดูดนักลงทุนจากต่างประเทศ,  และเพื่อที่จะหาเงินจ่ายหนี้ต่างประเทศให้ได้มากขึ้น รัฐบาลก็ถูกสั่งให้ลดเงินสนับสนุนผู้ส่งออกและนักลงทุน และรายจ่ายเพื่อบริการและ สวัสดิการสังคมที่เคยเป็นนโยบายสำคัญของพวกชาตินิยมทั้งหลายก็ถูกลดลง.

กล่าวโดยสรุปได้ว่า การปฏิรูปปรับโครงสร้างโดยธนาคารโลกมีวัตถุประสงค์ 2 ประการ คือ 1)เพื่อให้หลักประกันว่าเงินกู้ทั้งจากธนาคารพาณิชย์และธนาคารกลางอื่นๆ จะได้รับการชำระหนี้คืน โดยมีการเน้นให้ดำเนินนโยบายเพื่อสร้างความเข้มแข็งแก่การส่งออก และดึงดูดการลงทุนเพื่อจะได้มีเงินตราต่างประเทศเพิ่มขึ้น, และ 2)ทำให้เกิดการบูรณาการรวมตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศให้เข้ากับระบบเศรษฐกิจโลก โดยทำให้อุปสรรคในการนำเข้าทั้งหมดถูกลดทอนให้เหลือน้อยที่สุดหรือยกเลิกไป เพราะจะได้ทำให้ต้นทุนการนำเข้าเพื่อผลิตสินค้าส่งออกลดต่ำลง และสร้างแรงกดดันในการแข่งขันแก่วิสาหกิจภายในประเทศให้ปรับปรุงประสิทธิภาพเพื่อให้สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้.  นอกจากนี้ เพื่อเพิ่มเงินตราต่างประเทศด้วยการดึงดูดการลงทุน, รัฐบาลจำเป็นต้องกดดันให้มีการกดค่าจ้างแรงงานเอาไว้ และงดเว้นภาษีการลงทุน หรือลดทอนกฎระเบียบเกี่ยวกับการรักษาสิ่งแวดล้อม, หรือไม่รัฐบาลก็เพิ่มการส่งออกทรัพยากรธรรมชาติและสินค้าเกษตรกรรมให้มากขึ้น ซึ่งจะยิ่งทำให้ราคาสินค้าลดลงในตลาดโลก และจะยิ่งสร้างแรงกดดันให้ต้องเพิ่มปริมาณการส่งออกมากขึ้นเพื่อรักษาระดับเงินตราต่างประเทศสำหรับจ่ายหนี้เอาไว้. หมายความว่าแทนที่ประเทศยากจนเหล่านี้จะพึ่งพิงตัวเองได้มากขึ้นในการปรับโครงสร้างตามนโยบายของธนาคารโลกและ IMF กลับเป็นว่าประเทศยากจนเหล่านี้ต้องเอาอนาคตของประเทศไป “จำนอง” ไว้กับระบบเศรษฐกิจระหว่างประเทศมากยิ่งขึ้นทุกที โดยที่อำนาจในการรักษาผลประโยชน์ของชาติและประชาสังคมก็ลดน้อยถอยลงไปด้วย.

                ปัญหาที่มีการพูดถึงกันมากในปัจจุบันก็คือ การเสียอำนาจอธิปไตยทางเศรษฐกิจและการเงินการคลังของประเทศที่ต้องกู้เงินจากธนาคารโลก หรือ IMF ดังจะเห็นได้จากการยื่นหนังสือเจตจำนงค์เพื่อขอกู้เงินและการเจรจาเงื่อนไขการกู้เงินระหว่างประเทศไทยหลังประสบกับวิกฤตทางการเงินในปี พ.. 2540. วีรพงษ์ รามางกูร อดีตรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจสมัยรัฐบาลพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ผู้มีประสบการณ์เจรจาต่อรองกับคณะเจรจาของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) โดยตรงด้วยตัวเอง ได้เล่าว่า

“เมื่อหัวหน้าคณะของกองทุนการเงินระหว่างประเทศเข้ามาเจรจาสัญญาเงินกู้กับประเทศไทยเพื่อลงนามในหนังสือแสดงเจตจำนงฉบับที่ 2 การเจรจานำโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังภายใต้การกำกับของรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจอีกที. รองนายกฯได้เจรจานอกรอบหลายครั้งในหลายประเด็น โดยเฉพาะนโยบายที่บีบรัดทางการเงิน-การคลังจนเกินไป ประเด็นที่ให้ออกกฎหมายค้ำประกันหนี้ต่างประเทศของเอกชนในทางอ้อม กล่าวคือ หนี้ต่างประเทศที่สถาบันการเงินไทยกู้ยืมหรือค้ำประกัน การเปิดเสรีให้ต่างชาติซื้อกิจการสถาบันการเงิน ธนาคาร กิจการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนและรัฐวิสาหกิจ.  เขาก็อ้างทฤษฎีเดียวกันกับที่เซอร์ ยอห์น อ้างว่า เพื่อให้ต่างชาติมีความเชื่อมั่นจะได้ไม่นำเงินออกและ กลับมาลงทุนใหม่.  เมื่อเราคัดค้านไม่ยอม เขาก็พูดตัดบทและทุบโต๊ะว่า จะเอาเงินหมื่นเจ็ดพันห้าร้อยล้านเหรียญสหรัฐหรือไม่. คุณเสรี จินตนเสรี ที่ปรึกษารองนายกฯฝ่ายเศรษฐกิจถึงกับลุกขึ้นยืนชี้หน้าคณะเจรจาฝ่ายไอเอ็มเอฟว่า กลับคำพูด ไม่รักษาคำพูดที่ตกลงกับรองนายกฯไว้ที่โรงพยาบาลกรุงเทพ ซึ่งขณะนั้นรองนายกฯนอนเจ็บอยู่และ ได้เรียกเขามาเจรจาที่โรงพยาบาล. ผู้แทนกองทุนก็ไม่ตอบว่ากระไร แต่ก็ย้ำว่าจะเอาเงินหรือไม่ ฝ่ายเราก็ต้องยอมเพราะกลัวประเทศจะล้มละลาย ไม่ได้ยอมเพราะเห็นด้วยกับฝ่ายกองทุนการเงินฯ” (วีรพงษ์, 2543; อ้างใน เกษียร, 2543: 6).

 

ปัญหาในเรื่องการกำหนดทิศทางและเงื่อนไขจำนวนหนึ่งที่กำหนดให้ประเทศกำลังพัฒนา/ด้อยพัฒนาเดินตามราวกับได้สูญเสียอำนาจอธิปไตย โดยปราศจากการตรวจสอบอย่างจริงจังทั้งของธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของทั้งสององค์กรอย่างมากในช่วงหลัง. ดังจะเห็นจากการประท้วงของผู้คนจำนวนมากในช่วงการประชุมธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เมื่อเดือนเมษายน พ.. 2543 ที่ผ่านมา โดยมีผู้เดินขบวนประท้วงและชูป้ายประณามทั้งสองสถาบันอยู่ภายนอกที่ประชุม อาทิ “ไอเอ็มเอฟ: ตัวการฆ่าล้างครอบครัว”, พร้อมกับตะโกนโห่ร้องว่า “ถนนของใคร? ถนนของพวกเราต่อมาทางตำรวจได้จับกุมผู้ประท้วงรวมทั้งสิ้น 1,300 คน และมีการใช้ความรุนแรงกับผู้ประท้วงวัยรุ่นคนหนึ่ง โดยอัดผู้ประท้วงคนนั้นลงกองกับพื้นก่อนคุมตัวไปดำเนินคดี.  อย่างไรก็ตาม นายลอเรนซ์ ซัมเมอรส์ รัฐมนตรีคลังของสหรัฐฯ กล่าวยอมรับระหว่างแถลงการณ์ในที่ประชุมคณะกรรมการเพื่อการพัฒนาของธนาคารโลกและไอเอ็มเอฟว่า “ความช่วยเหลือที่มอบให้แก่ประเทศที่ยากจนที่สุดในโลกในช่วง 50 ปีที่ผ่านมาได้ผลเป็นที่น่าผิดหวัง และเรียกร้องให้ทั้งสองสถาบันร่วมมือกันเพื่อสร้าง ‘ผลและความสำเร็จที่ดียิ่งขึ้น’ ” (ข่าว “ส่งท้ายประชุมแบงก์โลก/IMFกวาดจับผู้ประท้วงรวมกว่าพันหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน, 19 เมษายน ค.. 2000). ก่อนหน้านั้น นายโจเซฟ สติกลิซ (Joseph E. Stiglitz) อดีตหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของธนาคารโลก กล่าวว่าไอเอ็มเอฟทำเป็นหูหนวกไม่รับฟังคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญคนอื่นในขณะที่เกิดวิกฤตการณ์การเงินเอเชีย, พร้อมกับชี้ว่าธนาคารโลกและไอเอ็มเอฟต้องเผชิญกับเสียงประณามจากผู้ประท้วงซึ่งมาร่วมชุมนุมในกรุงวอชิงตันอย่างแน่นอน. สติกลิซเคยเขียนบทความลงในนิตยสาร New Republic ฉบับวันที่ 17 เมษายน ค.. 2000 ว่าตนเองรู้สึกเสียใจต่อท่าทีโต้ตอบวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจโลกในช่วงปี ค.. 1997 - 1999 ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศและกระทรวงการคลังสหรัฐฯ อย่างมาก, “หากบุคคลที่เรามอบความไว้วางใจให้ดูแลเศรษฐกิจโลก (ทั้งบุคคลที่อยู่ในไอเอ็มเอฟและกระทรวงการคลังสหรัฐฯ) ไม่ยอมรับฟังเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากผู้อื่น สิ่งต่างๆ จะยิ่งเลวร้ายเรื่อยๆ  สติกลิซได้วิพากษ์วิจารณ์การทำงานของไอเอ็มเอฟต่อวิกฤตการณ์การเงินโลกมาตลอดตั้งแต่ยังอยู่ทำงานกับเวิลด์แบงก์แล้ว และกล่าวว่า “กองทุนการเงินระหว่างประเทศมีความผิดที่แนะนำให้ประเทศเอเชียผู้ขอรับความช่วยเหลือใช้นโยบายรัดเข็มขัดการใช้จ่ายในช่วงที่วิกฤตดังกล่าวกำลังเริ่มปะทุขึ้น และโง่มากที่พยายามยัดเยียดให้รัสเซียทำการปฏิรูปโดยไม่ดูให้แน่ใจเสียก่อนว่าหมีขาวมีโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจรองรับการปฏิรูปนั้นแล้วหรือไม่สติกลิซประณามไอเอ็มเอฟว่า เพิกเฉยต่อคำแนะนำของบุคคลภายนอก อีกทั้งไม่ยอมรับฟังคำตำหนิติเตียนพนักงานของกองทุนฯ, “ไอเอ็มเอฟชอบทำงานแบบไม่มีคนภายนอกมาคอยจู้จี้ถามคำถามมากมาย...บรรดาผู้เชี่ยวชาญไอเอ็มเอฟมักมองว่าตนเองฉลาดกว่า มีการศึกษามากกว่า และถูกกดดันทางการเมืองน้อยกว่าเหล่านักเศรษฐศาสตร์ของประเทศผู้รับความช่วยเหลือ แต่ที่จริงแล้วนักเศรษฐศาสตร์เหล่านั้นสามารถทำงานได้อย่างค่อนข้างดีอยู่แล้วและมีหลายกรณีที่พวกเขาฉลาดกว่าหรือมีการศึกษามากกว่าเจ้าหน้าที่ของกองทุนฯ เสียอีก ซึ่งพนักงานไอเอ็มเอฟหลายคนก็เป็นแค่นักศึกษาหัวปานกลางระดับสามจากมหาวิทยาลัยชั้นหนึ่งเท่านั้นบทความของสติกลิซถูกนำเผยแพร่ในช่วงเวลาประจวบเหมาะกับการชุมนุมประท้วงของบรรดาองค์กรเพื่อสังคมต่างๆ ที่กรุงวอชิงตัน อันเป็นสถานที่จัดการประชุมของธนาคารโลกกับกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ข่าว “อดีตลูกหม้อ ธ.โลกบริภาษ IMF,” หนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน, 12 เมษายน ค.. 2000).

เสียงวิพากษ์เหล่านี้ทำให้กองทุนการเงินระหว่างประเทศแถลงเมื่อวันจันทร์ที่ 11 เมษายน ค.. 2000 ว่าจะว่าจ้างกลุ่มผู้เชี่ยวชาญจากภายนอกเพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบการทำงานของไอเอ็มเอฟ หลังโดนเสียงวิพากษ์อย่างหนาหูว่าไม่มีความโปร่งใสในการปฏิบัติงาน.  โธมัส เบิร์นส์ กรรมการบริหารคนหนึ่งของไอเอ็มเอฟ และเป็นประธานคณะผู้พิจารณาตรวจสอบทางเลือกเพื่อสร้างความโปร่งใสให้แก่กองทุนฯ แถลงการจัดตั้งคณะทำงานดังกล่าวเมื่อวันจันทร์ (10 เมษายน ค.. 2000) ว่าในอีก 5 เดือนข้างหน้าซึ่งไอเอ็มเอฟจะมีการประชุมประจำปีที่กรุงปราก ประเทศสาธารณรัฐเช็ก โดยทางกองทุนฯจะหารือว่าคณะกรรมการตรวจสอบการทำงานนี้จะมีหน้าที่อะไรบ้าง ซึ่งบอร์ดใหม่นี้จะช่วยให้ไอเอ็มเอฟมีความโปร่งใสมากยิ่งขึ้น. “การจัดตั้งคณะทำงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิวัฒนาการสร้างความโปร่งใสภายในไอเอ็มเอฟ ซึ่งความเคลื่อนไหวนี้เป็นการสนองตอบต่อเสียงวิพากษ์วิจารณ์ รวมทั้งสนองตอบความรู้สึกที่ว่า ไอเอ็มเอฟควรถูกประเมินโดยกลุ่มบุคคลจากภายนอกที่ไม่ขึ้นต่อผู้ใด และนั่นเราได้เรียนรู้บทเรียนที่มีคุณค่าจากการถูกประเมินโดยกลุ่มบุคคลดังกล่าวซึ่งเราได้ลงมือว่าจ้างไปบ้างแล้ว. คณะกรรมการชุดนี้จะมีหน้าที่ตรวจสอบการทำงานทุกด้านของกองทุนฯ รวมถึงการปล่อยกู้ให้กับประเทศต่างๆ ส่วนตัวไอเอ็มเอฟเองซึ่งเพิ่งจะว่าจ้างกลุ่มบุคคลจากภายนอก 3 กลุ่มให้มาตรวจสอบการทำงานของตนเอง ก็ยังสามารถเรียกร้องให้จัดตั้งคณะทำงานเช่นนี้ได้อีก ขณะที่เจ้าหน้าที่ของกองทุนฯ จะยังคงมีการประเมินทบทวนการทำงานของพวกเขาอยู่เป็นประจำ. อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวของไอเอ็มเอฟบางคนตั้งข้อสงสัยขึ้น ว่าคณะกรรมการชุดใหม่นี้จะเป็นอิสระอย่างแท้จริงหรือไม่ หรือเป็นเพียงแค่การเพิ่มหน่วยงานของไอเอ็มเอฟขึ้นมาอีกแห่งหนึ่ง เท่านั้น” (ข่าว “ไอเอ็มเอฟโต้เสียงประณาม ‘ไม่โปร่งใส’ ประกาศจัดตั้งคณะตรวจสอบการทำงานหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน, 12 เมษายน ค.. 2000).

นอกจากนี้  ในการประชุมที่เบร็ตตันวูดส์ครั้งนั้น สหรัฐอเมริกากับกลุ่มพันธมิตรตะวันตกยังคิดจะตั้ง “องค์การการค้าระหว่างประเทศ” (International Trade Organization หรือ ITO) เพื่อเป็นเสาหลักอีกเสาหนึ่งสำหรับกำกับควบคุมระเบียบการค้าในระบบเศรษฐกิจโลกควบขนานไปกับธนาคารโลก (ซึ่งคอยกำกับควบคุมแนวทางการพัฒนา) และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ซึ่งคอยกำกับควบคุมระเบียบการเงิน).  แต่สภาคองเกรสสหรัฐไม่สนับสนุน เพราะกำลังมุ่งสนใจเรื่องผลประโยชน์ภายในประเทศมากกว่าเห็นประโยชน์ของกิจการระหว่างประเทศ  องค์การการค้าระหว่างประเทศ หรือ ITO จึง “แท้ง” ไปก่อนจะได้เกิด และทำให้มีความคิดที่จะกำหนด “ข้อตกลงทั่วไปว่าด้วยพิกัดอัตราภาษีศุลกากรและการค้า” (General Agreement on Tariffs and Trade ซึ่งต่อไปจะเรียกชื่อย่อว่า GATT) เพื่อทำหน้าที่อำนวยให้การติดต่อการค้าดำเนินไปอย่างเป็นระบบขึ้นมาแทน.  อย่างไรก็ตาม แกตต์ก็มีข้อจำกัดใหญ่ 2 ประการ คือ 1)ไม่มีอำนาจบังคับประเทศคู่กรณีให้ยอมรับคำวินิจฉัยตัดสินข้อพิพาททางการค้าของแกตต์, และ 2)ประเทศภาคีสมาชิกต่างถือผลประโยชน์สำคัญของชาติเป็นที่ตั้งเหนือแกตต์ ฉะนั้นเมื่อประเทศใดเห็นว่าผลประโยชน์ของตนขัดกับพันธกรณีที่มีตามข้อตกลงแล้วก็จะไม่สนใจข้อกำหนดของแกตต์ทันที.  ความไม่มี “น้ำยา” ของแกตต์ทำให้ประเทศต่างๆ กลับมานั่งเจรจาหาทางปรับปรุงแกตต์ในการประชุมรอบอุรุกวัยที่เริ่มต้นเมื่อปี ค..1986 (เกษียร, 2543: 6).

การเจรจาแกตต์รอบอุรุกวัยเริ่มขึ้นเมื่อเดือนกันยายน ค.. 1986 (.. 2529) ที่อุรุกวัย จนถึงวันที่ 15 ธันวาคม ค.. 1993 (.. 2536) ที่เจนีวา นับเวลาได้ถึง 2,642 วัน ซึ่งนับได้ว่าเป็นการเจรจาที่ใหญ่และยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์โลก.  กล่าวกันว่าปริมาณการค้าโลกขยายตัว 12 เท่านับตั้งแต่เริ่มการเจรจาแกตต์เมื่อ ค.. 1947 โดยมูลค่าการค้าขยายจาก 57 billion Dollars ในปี ค.. 1947 เป็น 4,060 billion Dollars  ใน ค.. 1994. ประเด็นความขัดแย้งที่เป็นปัญหาใหญ่และยืดเยื้อมากในการเจรจา คือการเจรจาเรื่องสินค้าเกษตรกรรมและการบริหาร.  ในการเจรจาแกตต์รอบแรกๆ นั้นสหรัฐฯ เป็นฝ่ายต้องการปกป้องสินค้าเกษตรกรรม, แต่มาถึงในการเจรจารอบอุรุกวัยนั้นสหภาพยุโรปต้องการปกป้องภาคการเกษตร ทำให้การเจรจายืดเยื้อและทำท่าจะจบไม่ได้  และตกลงกันได้เกือบนาทีสุดท้าย (ดูรายละเอียดการเจรจาได้ใน พีเทอร์, 2538).

นอกจากนี้ ความขัดแย้งแข่งขันยืดเยื้อระหว่างค่ายโลกเสรีนำโดยอเมริกากับค่ายสังคมนิยมนำโดยสหภาพโซเวียตก็ถือว่าเป็นอุปสรรคใหญ่ในการเจรจา แต่การล่มสลายของค่ายสังคมนิยมที่ทำให้บรรดาอดีตประเทศสังคมนิยมหันมาดำเนินนโยบายเศรษฐกิจแบบทุนนิยม และแข่งกันเปิดประเทศ ด้วยนโยบายตลาดเสรี.  การประชุมรอบอุรุกวัยมีช่องทางเปิดกว้างด้านนโยบายให้รื้อและยกเครื่องแกตต์ใหม่ไปในทิศทางทุนนิยมเสรีเต็มที่ และนับเป็นโอกาสสำหรับสหรัฐและประเทศทุนนิยมตะวันตกที่จะดำเนินยุทธศาสตร์การครอบงำระบบเศรษฐกิจโลกด้วยการ 1)ปลูกฝังหลักเศรษฐกิจตลาดเสรีให้ตั้งมั่นขึ้นในขอบเขตทั่วโลก, 2)ยกระดับแกตต์ให้กลายเป็นองค์การระหว่างประเทศที่มีอำนาจผูกมัดคู่กรณีในการตกลงยุติข้อพิพาท, และ 3)สร้างพันธกรณีทางการค้าให้เหนียวแน่นแข็งแรงขึ้นในบรรดาธุรกิจด้านต่างๆ ที่บรรษัทข้ามชาติอเมริกันก็มีผลประโยชน์เกี่ยวพันเป็นพิเศษ โดยเฉพาะธุรกิจบริการ (อาทิ การธนาคาร กฎหมายให้คำปรึกษาด้านบริหารจัดการ ฯลฯ) และทรัพย์สินทางปัญญา (ลิขสิทธิ์และสิทธิบัตร). กล่าวคือ ด้านหนึ่งเปลี่ยนความสัมพันธ์ทางสังคมและสัมพันธภาพเชิงอำนาจภายในของรัฐต่างๆ ไปในทิศทางที่เกื้อกูลอุดหนุนนายทุนเงินกู้และนายเงินเจ้าที่ดิน ทำให้ภาคการผลิตเป็นเบี้ยล่างภาคการเงิน และถ่ายโอนทรัพย์สิน อำนาจและความมั่นคงในชีวิตไปจากประชาชนคนงานส่วนใหญ่, และในอีกด้านหนึ่งมุ่งเปิดเศรษฐกิจการเมืองของแต่ละรัฐให้อ้ากว้างรับผลผลิตบริษัท กระแสการเงิน และนักการเงินจากกลุ่มประเทศทุนนิยมศูนย์กลาง ทำให้นโยบายของรัฐเหล่านี้ขึ้นต่อกระแสและการตัดสินใจในวอชิงตัน นิวยอร์ก และศูนย์กลางทุนนิยมโลกแห่งอื่นๆ. ผลสำเร็จในการเจรจาข้อตกลงแกตต์ได้นำไปสู่การจัดตั้งองค์การค้าโลก (World Trade Organization) ในเวลาต่อมา ซึ่งตั้งขึ้นในปี ค..1995 โดยมีภาคีสมาชิก 135 ประเทศ กองเลขานุการ 500 คน และกลายเป็นเสาหลักหนึ่งในสี่ของโลกาภิบาลระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมในปัจจุบันร่วมกับกองทุนการเงินระหว่างประเทศ, ธนาคารโลก, และองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (Organization for Economic Cooperation and Development หรือ OECD ). สิทธิพิเศษที่เพิ่มขึ้นขององค์การการค้าโลกที่แกตต์ไม่มีได้แก่ “อำนาจกำกับควบคุมและตัดสินใจทางการค้าอย่างได้ผลจริง” ได้แก่ 1)กฎห้ามประเทศภาคีสมาชิกกีดขวางการค้า หากประเทศใดฝ่าฝืนจะถูกคว่ำบาตรถาวร, การตั้งอุปสรรคการค้านอกเหนือจากภาษีศุลกากรใดๆ ต่อให้อ้างว่าเพื่อปกป้องคุ้มครองสุขภาพหรือสิ่งแวดล้อมก็อาจถูกประเทศสมาชิกอื่นยื่นฟ้องต่อ “คณะกรรมการไต่สวนขององค์การการค้าโลก” ซึ่งจะรับฟังไต่สวนข้อพิพาทและลงมติตัดสินอย่างมีผลผูกมัด, และ 2)ในทางปฏิบัติ “คณะกรรมการไต่สวน” เปรียบเสมือนการมีสิทธิสภาพนอกอาณาเขตเหนือศาลตุลาการของแต่ละประเทศ ที่องค์การค้าโลกจะมีอำนาจเหนือและหักล้างผลประโยชน์ของแต่ละชาติ.  ภาคีสมาชิกแต่ละประเทศต้องรับประกันว่ากฎหมาย ระเบียบและขั้นตอนการบริหารของตนจักสอดคล้องกับพันธกรณีที่มีต่อองค์การการค้าโลก ทั้งนี้หมายรวมถึงกฎระเบียบในอดีต ปัจจุบันและอนาคต. น้ำหนักความสำคัญขององค์การการค้าโลกสะท้อนออกมาอย่างชัดเจนในคำแถลงของผู้อำนวยการองค์การคนแรกที่ว่า “พวกเรากำลังเขียนรัฐธรรมนูญเศรษฐกิจลูกโลกหนึ่งเดียวกันอยู่ขณะที่แกตต์จะประกาศคว่ำบาตรทางการค้าต่อประเทศสมาชิกใดมิได้ เว้นแต่ประเทศสมาชิกที่เหลือทั้งหมดลงมติเห็นชอบเป็นเอกฉันท์ ซึ่งทำให้แกตต์กลายเป็นเสือกระดาษไป, แต่องค์การการค้าโลกกลับถือหลักว่าการคว่ำบาตรที่คณะกรรมการไต่สวนข้อพิพาทลงมติไปแล้วจะมีผลบังคับใช้ต่อประเทศสมาชิกผู้ทำผิดกฎทันทีโดยอัตโนมัติ เว้นแต่ประเทศสมาชิกที่เหลือทั้งหมดลงมติคัดค้านเป็นเอกฉันท์ภายใน 90 วัน. เงื่อนไขทั้งหมดนี้เป็นผลมาจากความสลับซับซ้อนของการประชุมอุรุกวัย ซึ่งมีกลุ่มย่อยประชุมแยกทำข้อตกลงเฉพาะด้านขนานกันไปถึง 30 ฉบับ รวมเป็นสนธิสัญญาฉบับสุดท้ายที่มีความหนาถึง 26,000 หน้า. กล่าวคือ ในความเป็นจริงแล้วก็มีแต่ประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ คือ อเมริกา ญี่ปุ่น และสหภาพยุโรป เท่านั้นที่เท่าทันและได้เปรียบ  เพราะมีบุคลากรข้อมูลความชำนาญพรักพร้อม, ส่วนประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลายก็ตกกระไดพลอยโจนไป ต้องยอมเสียผลประโยชน์ด้านธุรกิจบริการและทรัพย์สินทางปัญญาให้อเมริกากับพวกเพื่อแลกคำมั่นสัญญาว่าจะเปิดตลาดยุโรป-อเมริกาให้รับสินค้าเกษตร-สิ่งทอจากพวกตนอย่างเสรี (เกษียร, 2543: 6).

เกษียร เตชะพีระกล่าวว่า ถึงที่สุดแล้วสภาพการค้าเสรีก็ไม่ได้เสรีทางการค้าจริงอย่างที่กล่าวอ้างกัน เพราะ “‘การค้าเสรี’ ชนิดที่ล่ามติดกับพันธะเงื่อนไขขององค์การการค้าโลก (World Trade Organization หรือ WTO) และอยู่ภายใต้การครอบงำของอเมริกาอีกต่างหาก…‘เสรี’ แบบมีโซ่ล่ามคออยู่หนึ่งเส้นและลูกพี่ขี่หลังอยู่อีกคนแบบนี้มันจะทำมาค้าคล่องได้อย่างไร (เกษียร, 2543: 6). เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นตามมาคือภาพเหล่านี้: “คน 1 พันล้านคนกำลังตกงานและทำงานต่ำระดับทั่วโลก! 50 ล้านคนกำลังตกงานในยุโรป! และ 2 ล้าน 5 แสนคนกำลังตกงานในเมืองไทย! ส่วนที่มีงานทำก็ตกอยู่ใต้เงื่อนไขการทำงานที่เลวร้ายลงทุกที ถูกขูดรีดอย่างหนักไม่เลือกชาย หญิง ผู้ใหญ่ เด็กเล็ก ดังปรากฎว่ามีแรงงานเด็กทำงานในสภาพทารุณโหดร้ายทั่วโลกถึง 300 ล้านคน! แต่ละปียังมีคนอดตายทั่วโลก 30 ล้านคน! และอีกกว่า 800 ล้านคนอดอยากขาดอาหาร! เมื่อ 40 ปีก่อน 20% ของพลโลกที่รวยที่สุดมีรายได้สูงกว่าพลโลกที่จนที่สุด 20% อยู่ 30 เท่า, มาบัดนี้ช่องว่างทางชนชั้นดังกล่าวถ่างกว้างออกไปเป็น 82 เท่า! ในจำนวนพลโลก 6 พันล้านคนทั่วดาวพระเคราะห์โลกดวงนี้  ผู้ที่อยู่อย่างมั่งมีศรีสุขมีไม่ถึง 500 ล้านคนนั้น, อีก 5 พัน 5 ร้อยล้านคนกลับต้องอยู่อย่างขัดสนขาดแคลน(เกษียร, 2543). บำรุง คะโยธา ที่ปรึกษาสมัชชา ออกแถลงการณ์วิพากษ์วิจารณ์องค์การการค้าโลกอย่างตรงไปตรงมาว่า “สำหรับเราองค์กรชาวนา เรามีจุดยืนตลอดว่าเราไม่เอาการค้าเสรี การเกษตรต้องเอาออกจากดับเบิลยูทีโอ ไม่ใช่ไปประชุมมีก้อร่อก้อติกกันไป การประชุมอังค์ถัดในเดือนกุมภาพันธ์องค์กรชาวนาต้องเคลื่อนไหวอย่างแน่นอน คือคัดค้านการค้าเสรี เอาแบบล้มโต๊ะกันเลย เราต้องมีจุดยืนที่ชัดเจน ไม่ใช่ไปโน้มเอียงผสมกลมกลืน เพราะเราได้รับบทเรียนที่เจ็บปวดมาแล้วหลายเรื่อง” (หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน, 16 มกราคม พ.. 2543; อ้างใน เกษียร, 2543: 6).

อย่างไรก็ตาม  ก็เป็นที่รู้กันโดยทั่วไปว่าแกตต์หรือองค์การการค้าโลกก็ไม่ใช่ระบบที่สร้างขึ้นมาเพื่อการค้าเสรีเพียงอย่างเดียว,  แต่แกตต์และองค์การการค้าโลกเป็นเครื่องมือเพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งทางการค้าระหว่างประเทศ ที่จะปะทุรุนแรงยิ่งขึ้น จึงเป็นเหมือนการประนีประนอมระหว่างการค้าเสรีกับเป้าหมายอื่นๆ เช่น การที่รัฐให้สวัสดิการแก่สังคม หรือการให้เงินอุปถัมภ์แก่ภาคการผลิตบางภาค. ผู้เชี่ยวชาญเรื่องแกตต์และองค์การการค้าโลกบางคนกล่าวว่า “ระบบแกตต์กับองค์การค้าโลกเป็นระบบเพื่อการหยุดยิงในสงครามเศรษฐกิจ”. การเรียก GATT ว่า “the cease-fire negotiation” คือการเจรจาเพื่อลดความขัดแย้งในเรื่องการเปิดตลาดการค้าต่างประเทศ และการปกป้องตลาดการค้าภายใน  หรือระหว่างการเปิดตลาดการค้าเสรีของสินค้าอุตสาหกรรม กับการพยายามกีดกันสินค้าภาคเกษตรกรรม  โดยคิดว่าภาคเกษตรกรรมเป็นภาคการผลิตที่เป็นยุทธปัจจัยและเป็นประเด็นความมั่นคงทางสังคมของรัฐในเรื่องอาหาร (ดู พีเทอร์, 2538).

                อิทธิพลจากมหาอำนาจทางการเมืองและเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศทุนนิยมตะวันตก หรือประเทศฝ่ายเหนือ (หมายถึงกลุ่มประเทศตะวันตกและประเทศอื่นๆ ที่พัฒนาแล้ว อาทิ ประเทศในกลุ่ม G7) ในการตัดสินและกำหนดนโยบายสำคัญทางด้านเศรษฐกิจและการเมืองบนเวทีประชาคมโลก  ทำให้กลุ่มประเทศกำลังพัฒนา/ด้อยพัฒนาในโลกที่สาม หรือเรียกกันในอีกชื่อหนึ่งว่าประเทศฝ่ายใต้ (หมายถึงประเทศยากจนและด้อยพัฒนา) จึงพยายามจัดตั้งหน่วยงานของตนขึ้นมาเพื่อสร้างพลังต่อรองในการเจรจา และเสนอนโยบายทางเลือกที่จะเอื้อต่อประเทศในซีกประเทศฝ่ายใต้มากขึ้น. ในอดีตกลุ่มประเทศในโลกที่สามก็เคยพยายามที่จะแหวกออกนอกกรอบโครงสร้างของความขัดแย้งระหว่างประเทศโลกเสรีและโลกคอมมิวนิสต์ของกลุ่มประเทศมหาอำนาจ ด้วยการก่อตั้งองค์กรระหว่างประเทศของตนขึ้น อาทิ การก่อตั้งขบวนการไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด (Non-aligned Movement หรือ NAM).[6] อย่างไรก็ตาม  แม้ว่าจะยังดำเนินการอยู่บ้างเป็นครั้งคราว  แต่ก็กล่าวได้ว่าขบวนการไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดหมดพลังในการเคลื่อนไหวไปมาก. ในปัจจุบันปัญหาในเรื่องการพัฒนาและระบบเศรษฐกิจที่ถูกครอบงำและครอบครองโดยสิ้นเชิงโดยโลกทุนนิยมตะวันตกกำลังได้รับการวิพากษ์วิจารณ์อยู่อย่างกว้างขวาง, และองค์กรของโลกที่สามที่แสดงบทบาทนี้อย่างเต็มที่ก็คือ “การประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา” (United Nations Conference on Trade and Development หรือ UNCTAD)[7] ดังจะเห็นได้จากการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา ครั้งที่ 10 เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ค.. 2000 ที่กรุงเทพมหานคร กลายเป็นเวทีวิจารณ์การผูกขาดครอบงำของประเทศฝ่ายเหนือ. รูเบนส์ ริคูเพโร เลขาธิการ“อังค์ถัด” กล่าวว่าการ “ประชุมที่กรุงเทพฯ ไม่เพียงแต่จะเป็นโอกาสอันดีสำหรับการสมานรอยร้าวที่ถ่างกว้างจนปรากฏชัดเจนแก่ตาในการประชุมขององค์การการค้าโลกที่นครซีแอตเติลเมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา  หากแต่เป็นโอกาสอันดีที่บรรดาภาคเอกชนทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นนักวิชาการ องค์การพัฒนาเอกชน หรือสหภาพแรงงานต่างๆ จะได้มี ‘เสียง’ ที่แท้จริงของตนเองในการประชุม, เป็นเสียงที่จะได้รับการสำเหนียกอย่างแท้จริงเสียด้วยส่วน อวานี เบห์แนม เลขาธิการสำนักงานการค้าและการพัฒนา ที่สังกัดอยู่ภายใต้ร่มเงาของ อังค์ถัด และดำรงตำแหน่งเป็นเลขานุการประจำการประชุมครั้งที่ 10 นี้ระบุว่า “อังค์ถัด 10 คือการประชุมของที่ประชุมที่สมาชิกส่วนใหญ่เป็นประเทศกำลังพัฒนา ต้องการและจงใจจะแสดงให้เห็นความแตกต่าง, เป็นการสร้างความแตกต่างจากการประชุมทุกๆ ครั้งที่ผ่านมา และแตกต่างจากการประชุมอื่นๆ ขององค์กรอื่นๆ อีกด้วย…อังค์ถัด 10 จะไม่มีเอกสารแม้แต่ชิ้นเดียวที่ถูกจัดเตรียมไว้ลับๆ ‘behind closed door’ แล้วมาประชุมกันเป็นพิธีเพื่อที่จะรับรองเอกสารดังกล่าว เหมือนการประชุมอื่นๆ  แต่อังค์ถัด 10 จะเป็นครั้งแรกที่เสียงทุกเสียงจะถูกสำเหนียก เสียงทุกเสียงจะมีสิทธิเท่าเทียมกัน ทุกประเทศไม่ว่าเล็กหรือใหญ่จะสามารถแสดงทรรศนะของตนออกมาได้โดยปราศจากความเกรงกลัว. ด้วยนัยดังกล่าวนี้ ทำให้ประเทศกำลังพัฒนาสามารถแสดงความคิดเห็น เสนอข้อเรียกร้อง และแสดงความต้องการของตนเองออกมาได้อย่างเต็มที่ และเท่าเทียมกันกับประเทศที่พัฒนาแล้ว. ข้อเรียกร้องทุกประการได้รับความสนใจและพิจารณาเท่าเทียมกัน. และ…จะปราศจากเหตุการณ์รุนแรงของการประท้วง การก่อจลาจลของคนที่ถูกปิดกั้นการแสดง ของคนที่ไม่ได้รับโอกาสให้แสดงความคิดเห็น, ตรงกันข้าม…จะเป็นการประชุมแบบเปิด ทุกฝ่ายมีโอกาสได้รับฟังหากต้องการฟัง มีโอกาสแสดงความคิดเห็น หรือซักถามตามความต้องการ. เจ้าหน้าที่ระดับสูงทั้งสองคนพยายามขจัดความเข้าใจสับสนที่หลายคนพยายามมองว่า การขาดการปรากฏตัวของผู้นำระดับสูงสุดของประเทศสมาชิก ทำให้การประชุมครั้งนี้ด้อยความสำคัญลงไป  จนบางคนสรุปว่า “นี่คือการประกาศอหังการของกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา ที่เตรียมจะรังสรรค์ทิศทางการค้าและการพัฒนาของโลกในอนาคตขึ้นเอง โดยยืนอยู่บนพื้นฐานของความเท่าเทียม การรับฟัง และการคิดเห็นร่วม เพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างสร้างสรรค์ในอนาคต. ความสำเร็จดังกล่าวจะปรากฏออกไปทั่วโลกในนามของ ปฏิญญากรุงเทพฯ และ แผนปฏิบัติการกรุงเทพฯ” (ข่าว “อังค์ถัดครั้งที่ 10 อหังการของประเทศกำลังพัฒนาที่กรุงเทพมหานครมติชนสุดสัปดาห์, ฉบับที่ 1016 (8 กุมภาพันธ์ 2543).)

วอลเดน เบลโล ผู้แทนจากโครงการศึกษาและการปฏิบัติงานพัฒนา (FOCUS) กล่าวว่า “สิ่งที่อังค์ถัดควรดำเนินการไม่ใช่การเอาตัวเอง ไปสร้างความชอบธรรมให้กับระบบการค้าของดับบลิวทีโอ แต่จะต้องแสดงจุดยืนในธรรมาภิบาลทางเศรษฐกิจโลก ที่จะช่วยลดอำนาจของดับบลิวทีโอและไอเอ็มเอฟลง และทำให้เกิดระบบพหุภาคี รวมทั้งเป็นองค์กรที่เป็นปากเสียงของประเทศกำลังพัฒนา ในการสร้างระเบียบการค้าโลกอย่างแท้จริงส่วนนายเดช พุ่มคชา ประธานคณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน (กป.อพช.) กล่าวว่า ทางองค์กรพัฒนาเอกชนจะต้องช่วยกันผลักดันให้ที่ประชุมสนใจที่จะทำให้ข้อตกลงของที่ประชุมภาคประชาสังคม ให้มีผลในทางปฏิบัติอย่างจริงจังและได้ประโยชน์ ใน 5 ประเด็น 1)เวทีอังค์ถัดต้องรับฟังข้อคิดเห็นและปฏิกิริยาต่างๆ ระหว่างประชุมด้วยจิตสำนึกประชาธิปไตยและมั่นคง, 2)ประมวลข้อเสนอของภาคประชาสังคมต่างๆ มาพิจารณาประกอบในที่ประชุมอย่างจริงจัง) 3)สรุปและนำเสนอผลกระทบของการค้าเสรีต่อนานาประเทศอย่างชัดเจน เพื่อให้ที่ประชุมและสาธารณชนเห็นปัญหาใกล้เคียงกันก่อนเจรจาเรื่องการค้า, 4)ให้ความสำคัญในการพิจารณาประเด็นปัญหาของกลุ่มประเทศสมาชิก ที่ได้รับผลกระทบด้านลบมากกว่ากลุ่มประเทศร่ำรวย หรือองค์การเหนือโลก, และ 5)ไม่จำเป็นต้องมีมติจำนวนมาก หากให้ความสำคัญต่อมติที่ส่งผลกระทบกว้างไกลและมีหลักประกันเป็นจริงได้ (ข่าว “เอ็นจีโอถล่มดับบลิวทีโอ เรียกร้องอังค์ถัดถ่วงดุลหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ, 8 กุมภาพันธ์ พ.. 2543).

องค์กรพัฒนาเอกชนนานาชาติได้ยื่นข้อเสนอที่มาจากการระดมความเห็นของเวทีประชาสังคมที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 7-8 กุมภาพันธ์ ค.. 2000 ต่อที่ประชุมอังค์ถัด 5 ประการ กล่าวคือ 1)มาตรการหรือยุทธศาสตร์ที่ป้องกันมิให้เกิดการผูกขาดการค้าการลงทุน ทั้งในระดับประเทศ ภูมิภาค และระดับโลก, 2)มาตรการคุ้มกันมิให้เกิดการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม หรือเปิดโอกาสให้บรรษัท ประเทศหนึ่งสามารถเข้าครอบงำหรือทำลายความมั่นคงทางอาหารของประเทศอื่นและทรัพยากรธรรมชาติซึ่งเป็นฐานการผลิต, 3)มาตการทางเศรษฐกิจการค้าที่คำนึงถึงสิทธิมนุษยชน สิทธิในการเป็นเจ้าของทรัพยากรของชุมชนท้องถิ่น ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และความเท่าเทียบกันทางเพศ, 4)มาตรการการสร้างชุมชนสังคมแบบองค์รวม หรือการพัฒนาอย่างยั่งยืน เน้นการพึ่งตนเองของประชาชาติ, และ 5)ยุทธศาสตร์ความร่วมมือ หรือการมีส่วนร่วมของประชาชน หรือประชาชาติในการช่วยเหลือและแบ่งปันกัน บนหลักธรรมาธิปไตยระหว่างมนุษย์ด้วยกันและสิ่งแวดล้อม. นอกจากนี้ยังจัดให้มีเวทีประชาคมสิ่งแวดล้อมและยื่นข้อเสนอต่อที่ประชุมต่อเวทีอังค์ถัด ว่าจะต้องกำหนดจุดยืนที่ชัดเจน ในการต่อต้านเสรีนิยมแบบใหม่ ที่เผยแพร่โดยประเทศอุตสาหกรรม องค์กรระหว่างประเทศ และบริษัทข้ามชาติ, ในการเข้ามาเอาทรัพยากรธรรมชาตินั้นจะต้องผลักดันกำหนดเงื่อนไขทางเศรษฐกิจ ที่เสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่ชุมชนท้องถิ่น, ในการจัดการทรัพยากรธรรมชาตินั้นจะต้องกำหนดให้มีมาตรการในการปกป้องคุ้มครองและสร้างข้อยกเว้นการผลิตภาคเกษตรกรรมรายย่อย เนื่องจากเป็นความอยู่รอดของเกษตรกรรมรายย่อย และความมั่นคงในชีวิตของคนส่วนใหญ่ (ข่าว “เอ็นจีโอชูธงป้องกันผูกขาด ปักหลักชุมนุมหน้าศูนย์ประชุมฯหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ, 10 กุมภาพันธ์ พ.. 2543). 

ขณะที่ศาสตราจารย์เสน่ห์ จามริก ประธานสถาบันวิจัยชุมชนท้องถิ่นเพื่อการพัฒนา กล่าวว่า “การค้าเสรี ดีแน่นอนหากเสรีอย่างแท้จริง แต่การค้าเสรีที่ขณะนี้ อยู่บนพื้นฐานที่ไม่เป็นธรรม และการค้าเสรีไม่ใช่เพียงการเข้ามาทะลุทะลวงการค้าอย่างเดียวหากเข้ามา ครอบงำสิทธิความเป็นคน ดังนั้น สิ่งที่รัฐบาลไทยควรจะต้องดำเนินการ คือการคำนึงถึงการพัฒนาเศรษฐกิจที่ยืนอยู่บนพื้นฐานของการพึ่งพาตนเองได้ และควรจะต้องเป็นการพัฒนาเศรษฐกิจที่สอดคล้องกับวัฒนธรรมของประเทศ เช่น การพัฒนาธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม  ส่วนนายสมชาย รอดเกลี้ยง ผู้อำนวยการศูนย์พัฒนาชุมชนเมือง กล่าวว่า “จากวิกฤตเศรษฐกิจพบว่าคนยากจนในเมืองเพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่าตัว และคาดว่าในอนาคตอีกประมาณ 7 ปี จะเพิ่มเป็นสัดส่วน 50:50 กันคนเมือง ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องจากการค้าเสรี ที่ทำให้มีการเปลี่ยนมือการถือครองที่ดินจากเกษตรกรเป็นนายทุนหรือผู้มีอำนาจ โดยการสำรวจของกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคมระบุว่า ในแต่ละปีมีแรงงานอพยพจากชนบทเข้าสู่เมืองประมาณ 33% ทำให้เมืองมีปัญหามากขึ้น โดยระบบเมืองขยายตัวอย่างไร้ทิศทาง โดยการแก้ปัญหาคนจนในความหมายของระบบการค้าเสรี หมายถึงการจัดทำโครงการเพื่อนำคนจนไปอยู่ตามขอบเมือง เพราะที่ดินในเมืองมีราคาแพง” (ข่าว “เอ็นจีโอชูธงป้องกันผูกขาด ปักหลักชุมนุมหน้าศูนย์ประชุมฯหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ, 10 กุมภาพันธ์ พ.. 2543).

อย่างไรก็ตาม ปรากฏว่าประเทศร่ำรวยที่พัฒนาแล้วหลายชาติก็แสดงท่าทีไม่ยอมรับความสำคัญของการประชุมอังค์ถัด ครั้งที่ 10 ดังรายงานคำกล่าวของนางริตา เฮย์เยส เอกอัครราชทูตสหรัฐประจำดับบลิวทีโอ ที่กล่าวว่า องค์การการค้าโลก (WTO) “คือองค์กรของกฎระเบียบและการดำเนินงาน แต่อังค์ถัดไม่ใช่ อังค์ถัดเป็นเพียงหน่วยงานที่มีหน้าที่จัดสรรความช่วยเหลือทางเทคนิค ให้กับประเทศที่ต้องการ” (ข่าว “ชาติกำลังพัฒนาจับมือยึดเวทีอังค์ถัดหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ, 8 กุมภาพันธ์ พ.. 2543).

 

องค์การเอกชนระหว่างประเทศ (Non-Governmental Organization)

)ความหมายขององค์การเอกชน

ความสำคัญของบทบาทองค์การเอกชนในด้านการพัฒนาและในทางการเมืองระหว่างประเทศที่เพิ่มสูงขึ้นทำให้มีความพยายามที่จะศึกษาถึงประวัติศาสตร์และพัฒนาการขององค์การเอกชนที่ไม่อยู่ในสังกัดภาครัฐ และเพื่อที่จะเข้าใจบทบาทดังกล่าวได้ก่อให้เกิดการสร้างกรอบความหมายขององค์การเอกชนในลักษณะต่างๆ.  กรอบแห่งนิยามความหมายขององค์การเอกชนที่มีผลสำคัญต่อการประเมินบทบาทของ NGOs คือกรอบนิยามของ The Central Evaluation Unit of the United Nations (1993) ที่กำหนดขอบเขตการเป็น NGOs นั้นว่าควรรวมถึงสมาคมอาชีพ, มูลนิธิ, สมาคมการค้า, สมาคมธุรกิจ, สถาบันวิจัยที่เกี่ยวข้องกับกิจการระหว่างประเทศ และสมาคมของสมาชิกรัฐสภา เข้าไปด้วย (Tvedt, 1998: 13).  ปัญหาก็คือนิยามนี้ได้ลดความสำคัญของความแตกต่างในแต่ละประเทศที่ไม่รวมเอาสมาคมการค้า, สมาคมธุรกิจ และสถาบันวิจัย เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งขององค์การ NGOs.  นิยามที่มีอิทธิพลในการศึกษาเกี่ยวกับ NGOs คือนิยามของ M. Pardon (1987) ที่หมายถึง “องค์การเอกชนที่ไม่มุ่งหวังผลกำไรที่ขึ้นทะเบียนอย่างถูกต้อง (คือมีสถานภาพทางกฎหมาย) ซึ่งหน้าที่หลักคือการดำเนินโครงการส่งเสริมการพัฒนาที่ให้ความสำคัญแก่ภาคประชาชน [private non-profit organizations that are publicly registered (i.e. have legal status) whose principle function is to implement development projects favouring the popular sectors]” โดยมักจะได้รับเงินสนับสนุนเกือบทั้งหมดจากองค์การที่ไม่ได้สังกัดภาครัฐที่ตั้งอยู่ในประเทศอุตสาหกรรม (Tvedt, 1998: 13). ปัญหาก็คือ นิยามนี้ยึดติดอยู่กับความหมายที่คิดเชื่อว่ามีความเป็น NGOs ที่ “ถูกต้อง” คือให้ความสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อภาคประชาชน  แต่ในความเป็นจริงมีข้อจำกัดมากที่จะนิยามว่า “ประชาชน” นั้นจะกินความหมายครอบคลุมแค่ไหน  จะหมายถึงคนส่วนใหญ่ทั้งหมด หรือจะหมายถึงเพียงประชาชนที่ยากจน หรือหมายถึงคนในระดับรากหญ้า. นอกจากนี้ปัญหาของการนิยามความยากจนในสังคมอุตสาหกรรมตะวันตกกับความยากจนในสังคมโลกที่สามที่ด้อยพัฒนา อาจจะมีความหมายที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง.  ตัวอย่างของปัญหาในการนิยามในลักษณะเช่นนี้ คือ NGO บางองค์กรที่ใหญ่มากที่มีอิทธิพลทางการเงิน และดำเนินงานเพื่อสังคมโดยไม่มุ่งผลกำไรจริงๆ  แต่ก็ริเริ่มดำเนินงานโดยเอกชน  อาทิ กรามีน แบงค์ในบังคลาเทศ ซึ่งเป็นธนาคารเพื่อคนยากจน หรือมูลนิธิสื่อสร้างสรรค์ของบริษัทบางจากฯ ที่ดำเนินงานด้านสื่อเพื่อจรรโลงสังคมประชาธิปไตย (ข่าว “เงินกู้เพื่อคนจน”, หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ (จุดประกาย) วันเสาร์ที่ 3 เมษายน 2542). 

                กล่าวโดยสรุปแล้ว  การนิยามความหมายขององค์การเอกชนนั้นแบ่งออกเป็น 4 ความหมายหลัก คือ 1)คำนิยามที่อิงอยู่กับสถานภาพทางกฎหมาย คือยึดถือการจดทะเบียนเป็นองค์กรตามนิติบัญญัติของรัฐ ซึ่งเป็นการให้สถานะทางกฎหมาย อันจะเป็นผลประโยชน์ต่อการสนับสนุนองค์การเอกชน หรือ NGOs  แต่ก็เป็นปัญหามากเพราะลักษณะการเป็นองค์การเอกชนนั้นไม่จำเป็นที่จะต้องสัมพันธ์อยู่กับการมีสถานภาพทางกฎหมาย  รวมทั้งในบางรัฐก็เข้มงวดกับการมีองค์การในลักษณะดังกล่าวเสียด้วยซ้ำ   แต่ลักษณะของการเป็นองค์กรควรจะอยู่ที่กิจกรรมการดำเนินงานเป็นหลักมากกว่า.

                2)นิยามที่อาศัยหลักทางเศรษฐกิจและการเงิน  ที่ให้ความสำคัญกับการวิเคราะห์ในเรื่องการให้ช่วยเหลือระหว่างประเทศว่ามีส่วนสำคัญในการกำหนดทิศทางด้านเศรษฐกิจและสังคมเชิงนโยบาย ทั้งในระดับภาครัฐต่อรัฐและภาคเอกชน ที่มักจะให้ผ่าน NGOs ในตะวันตก.  นิยามที่มีลักษณะนี้คือนิยามของ SNA (UN System of National Accounts) ที่ถือว่าหน่วยงานองค์กรใดที่ได้รับเงินอุดหนุนจากภาครัฐมากกว่า 50 % นั้นให้ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของหน่วยงานกลไกรัฐ.  ถ้าจะยึดถือตามคำนิยามนี้  ปัญหาก็คือ NGOs ส่วนใหญ่ในโลกนี้ล้วนจัดได้ว่าเป็นหน่วยงานของรัฐทั้งสิ้น  เพราะได้รับเงินทั้งทางตรงและทางอ้อมจากรัฐเกินกว่า 50 % แทบทั้งสิ้น  โดยเฉพาะ NGOs ส่วนใหญ่ในนอรเวย์  ที่เป็นแหล่งเงินทุนขนาดใหญ่ที่ให้การช่วยเหลือแก่ NGOs ในโลกที่สามนั้นให้เงินช่วยเหลือผ่านทาง NGOs เหล่านี้อีกทอดหนึ่ง โดยให้ทำหน้าที่กระจายเงินช่วยเหลือที่รัฐอุดหนุนมาทั้ง 100 % ไปยัง NGOs ในโลกที่สาม ซึ่งเกือบทั้งหมดอีกเช่นกันที่ต้องพึ่งพิงเงินช่วยเหลือระหว่างประเทศเหล่านี้ทั้งเกือบ 100 %.  นอกจากนี้ ปัญหาของนิยามนี้ก็คือได้มองข้ามความสำคัญในเชิงอุดมการณ์ขององค์กรไป  เพราะหลายๆ องค์กรนั้นกล่าวได้ว่าความสัมพันธ์เชิงอุดมการณ์ทางการเมืองมีพลังและมีความสำคัญเหนือกว่าการพึ่งพิงทางการเงินชั่วครู่ชั่วยาม.

                3)นิยามเชิงหน้าที่  อาทิ UNDP (United Nations Development Programme) ได้อ้างถึงองค์การเอกชนออกเป็น 2 ลักษณะ คือ องค์การประชาชน และองค์การที่ไม่อยู่ในภาครัฐ (popular organizations และ non-government organization) โดยที่นิยาม NGOs ว่าคือ “องค์การอาสาสมัครที่ทำงานร่วมกับคนอื่น และมักจะในนามของคนอื่นด้วย. งานและกิจกรรมของพวกเขาเล็งเข็มไปที่ประเด็นและผู้คนซึ่งอยู่นอกเหนือจากสมาชิกและเพื่อนร่วมงานของตน [voluntary organizations that work with and very often on behalf of others. Their work and their activities are focused on issued and peoples beyond their own staff and membership]” (Tvedt, 1998: 15). ส่วนองค์การประชาชน คือ “องค์การประชาธิปไตย ที่นำเสนอผลประโยชน์ของหมู่มวลสมาชิก  และต้องโปร่งใสต่อการตรวจสอบของพวกเขาเหล่านั้น [democratic organizations that represent the interest of their members and are accountable to them]” โดยที่ไม่จำเป็นต้องเป็นองค์การในระดับรากหญ้าแต่ประการใด.  รายงานของ UNDP กล่าวว่า NGOs อาจจะแตกต่างจากองค์การประชาชน เพราะมักจะเต็มไปด้วยการจัดแบ่งชั้นสายทางอำนาจโดยไม่มีลักษณะความเป็นประชาธิปไตย หรือไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบต่อกลุ่มประชาชนต่างๆ [often having bureaucratic hierachies without the democratic characters or accountability of most people’s groups]” (Tvedt, 1998: 15).  หรือบางท่านอาจจะนิยาม NGOs ว่า “องค์การเอกชนทุกองค์กร ไม่ว่าจะมีฐานชุมชนหรือไม่  จะเป็นประจำชาติหรือระหว่างชาติ  ต่างก็มีหลักของการอาสาสมัครเชิงองค์กรอยู่ในระดับหนึ่ง [all NGOs - whether community-based, national or international - also share to some degree the organizational principle of voluntarism]” (Bratton, 1989; อ้างใน Tvedt, 1998: 15).

                4)นิยามที่อิงกับโครงสร้างเชิงปฏิบัติการ (structural-operational definition) หมายถึงกลุ่มลักษณะดังนี้ คือ จัดตั้งขึ้นอย่างเป็นรูปแบบสถาบัน ซึ่งทำให้องค์การเอกชนที่มีกิจเฉพาะ (ad hoc) จะไม่ถูกนับว่าอยู่ในข่าย, ไม่เป็นหน่วยงานรัฐโดยโครงสร้างพื้นฐาน แม้ว่าอาจจะได้รับเงินอุดหนุนช่วยเหลือจากรัฐไม่ว่าจะเป็นสัดส่วนเท่าไร  แต่มีข้อแม้ว่าจะเข้ามาควบคุมครอบงำการบริหารงานและการกำหนดนโยบายไม่ได้, สามารถดูแลจัดการตนเองได้, เป็นการจัดการในลักษณะที่ไม่มุ่งหวังผลกำไร, และเข้าข่ายของการอาสาสมัครอยู่ในระดับหนึ่ง (Tvedt, 1998: 15).  ปัญหาก็คือ การที่ NGOs สัมพันธ์กับรัฐในบางประเทศก็ไม่ได้ส่งผลต่อสภาพความเป็นอิสระในการดำเนินงานขององค์กร คือไม่จำเป็นว่า NGOs จะต้องต่อต้านรัฐ หรือไม่จำเป็นว่าการที่มีความสัมพันธ์กับรัฐจะทำให้ความเป็น NGOs หมดความหมายไป หรือทำให้ระดับของการอาสาสมัครจะลดลงตามไปด้วย (Tvedt, 1998: 20).

                ดังนั้นจึงจะเห็นได้ว่า การเป็นองค์การเอกชนนั้นมีลักษณะบุคลิกสำคัญคือ การเป็นองค์การรับเงินช่วยเหลือจากแหล่งเงินอุดหนุน ไม่ว่าจากภายในหรือจากต่างประเทศ  โดยมีปัจจัยอื่นๆ คือการอาสาสมัครอันเป็นผลทางด้านอุดมการณ์และการไม่มุ่งหวังผลกำไรเป็นส่วนประกอบสำคัญ.  เราจึงอาจกล่าวได้ว่า นิยามที่กินความกว้างขวางที่สุดเกี่ยวกับ NGOs คือนิยามของ Terje Tvedt ในหนังสือเล่มล่าสุดของเขาเรื่อง Angels of Mercy or Development Diplomats?: NGOs & Foreign Aid.   Tvedt กล่าวว่า NGOs คือ “องค์การทั้งปวงที่อยู่ในช่องทางของการให้เงินช่วยเหลืออุดหนุน ที่ถูกแยกออกจากกลไกของรัฐในเชิงสถาบันและเป็นการจำหน่ายจ่ายแจกเงินอุดหนุนช่วยเหลือโดยไม่ได้มุ่งหวังผลกำไร” [a common denominator for all organizations within the aid channel that are institutionally separated from the state apparatus and are non-profit-distributing]” (Tvedt, 1998: 12) แต่หากกล่าวให้ถึงที่สุดแล้ว ความหมายที่ใช้กันอย่างกว้างขวางมากที่สุดในกรอบของการให้เงินช่วยเหลือในประเทศตะวันตก คือองค์การที่เป็นกลไกที่แยกออกต่างหากจากกลไกของรัฐ, ไม่ใช่องค์การที่มุ่งหวังผลกำไรในเชิงการค้าเป็นหัวใจหลัก  และมีระเบียบวาระของตนเองในการกำหนดทิศทางนโยบาย  ทั้งนี้เพื่อมุ่งสนองบริการต่อสาธารณะประโยชน์เป็นสำคัญ (Tvedt, 1998: 12-13).

                นิยามนี้กินความกว้างขวางครอบคลุมการทำความเข้าใจเกี่ยวกับบทบาทขององค์การเอกชนระหว่างประเทศได้มากกว่านิยามที่หมายความถึงเฉพาะองค์การ NGOs ที่ดำเนินงานทางด้านอุดมการณ์บางอย่าง หรือเกี่ยวกับการพัฒนา  เช่น องค์การเอกชนที่เกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน องค์การเอกชนที่เกี่ยวกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และองค์การเอกชนที่เกี่ยวกับการพัฒนาชุมชน   ที่ทำให้เกิดปัญหาในการเรียกชื่อ NGOs แตกต่างกันออกไป  คือ VO (Non-profit Voluntary Organization), CO (Charitable Organization), GO (Grassroots Organization), CSO (Civil Society Organization), AO (Associational Organization), PO (Private Organization), PVO (Private Voluntary Organization), CBO (Community-based Organization), QUANGO (Quasi-non-governmental Organization), GANGO (Gap-filling Non-Government Organization) เป็นต้น.

                นอกจากนี้  การกำหนดนิยามเช่นนี้สะท้อนให้เห็นภาพการกดดันทางการเมืองบางประการในการ “พูด” เกี่ยวกับองค์การเอกชน  เช่น ในประเทศบังคลาเทศที่รัฐเคยมอง NGOs ระหว่างประเทศด้วยความไม่เป็นมิตรและหวาดระแวงว่าจะเป็นตัวแทนเคลื่อนไหวของประเทศตะวันตกที่นิยมคริสเตียนบ้าง หรือเป็นกลุ่มการเมืองที่นิยมอินเดียบ้าง. รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับองค์การในลักษณะดังกล่าวจึงพึงพอใจที่จะเรียกขานองค์การเหล่านี้ว่าเป็น องค์การอาสาสมัครพัฒนาเอกชน (PVDO - Private Voluntary Development Organization)  โดยเฉพาะองค์การที่สำคัญและดำเนินงานโดยผู้นำที่มีบารมีสูง ที่ไม่ค่อยมีสมาชิกในองค์การจำนวนมากนัก เช่น กรามีน แบงค์ในบังคลาเทศ.  แต่ PVDO ก็เป็นองค์การที่ไม่มุ่งหวังผลกำไร และมีพันธะสำคัญที่ผูกพันอยู่กับการพัฒนาของคนยากจน.  หรือในประเทศไทยเองก็ตกอยู่ในสภาพปัญหาในการกำหนดนิยามดังกล่าว  จนกลายเป็นกระแสกดดันต่อภาพลักษณ์ในการทำงานขององค์การเอกชน จนทำให้ต้องเปลี่ยนชื่อเรียกจาก “องค์กรเอกชน” มาเป็น “องค์กรพัฒนาเอกชน” แทน  นัยหนึ่งก็คือการใช้ชื่อที่ก่อให้เกิดความรู้สึกในเชิงบวกเพื่อลดแรงเสียดทานทางการเมืองลงไป.  บางครั้งผู้นำขององค์การเอกชนในประเทศตะวันตกที่เป็นแหล่งเงินช่วยเหลือเองก็มีฐานะเป็นผู้นำทางการเมืองระดับในรัฐบาล  โดยที่ไม่ได้ทำให้หน่วยงาน NGOs สูญเสียความเป็นอิสระขององค์การ  แต่กลับเป็นช่องทางในการสร้างพลังกดดันเชิงนโยบายเพื่อให้ได้เงินทุนช่วยเหลือแก่องค์การเสียอีก.  นอกจากองค์การเอกชนจะเป็นการรวมกลุ่มอันเป็นผลจากแรงผลักดันของรัฐ เพื่อสร้างทางเลือกในการพัฒนาและการเข้าถึงทรัพยากรของกลุ่มแล้ว    ยังอาจกล่าวได้ว่า องค์การเอกชนอาจเกิดจากพลังการเปลี่ยนแปลงที่มาจากข้างบนก็ได้  โดยอาจจะเกิดจากภาครัฐเองที่ต้องการจะลดภาระในการให้บริการสาธารณะ หรือลดภาระค่าใช้จ่ายของภาครัฐในการพัฒนา ด้วยการยกให้เป็นเรื่องของหน่วยงานองค์การที่รัฐอาจมีส่วนจัดตั้งอยู่ด้วยเข้ามารับผิดชอบ  หรือในบางประเทศที่เป็นแหล่งเงินทุนช่วยเหลือมีความจำเป็นที่จะต้องออกไปจัดตั้งและสร้างเครือข่ายขององค์การเอกชนในชุมชนพื้นที่ในประเทศในโลกที่สาม เพื่อรองรับโครงการและงบประมาณของเงินช่วยเหลือ  และเพื่อรักษาสถานภาพการเป็นองค์การที่แทรกตัวเป็นช่องทางในการจ่ายเงินช่วยเหลือของตนเอง.

                กล่าวโดยสรุป องค์การเอกชนระหว่างประเทศ (Non-governmental Organizations - NGO)  คือ 1)องค์การทั้งปวงที่อยู่ในช่องทางของการให้เงินช่วยเหลืออุดหนุน คือได้รับเงินช่วยเหลือในการดำเนินกิจกรรม, 2)ไม่ใช่องค์กรของรัฐ หรือขององค์กรธุรกิจ คือเป็นองค์กรที่แยกออกจากกลไกของรัฐ, 3)เป็นการทำงานโดยไม่ได้มุ่งหวังผลกำไรแบบธุรกิจ  แต่มุ่งถึงผลต่อการพัฒนาความเป็นมนุษย์และสังคมโดยรวม, 4)มุ่งสนองความต้องการในบริการสาธารณะประโยชน์เป็นสำคัญ และ 5)ไม่ได้เน้นบทบาททางการเมืองในรูปแบบ.

 

)การจำแนกประเภทขององค์การเอกชน

การจำแนกที่ง่ายที่สุด คือการแยกระหว่างองค์การเอกชนภายในประเทศและองค์การเอกชนระหว่างประเทศ.  แต่ปัญหาก็คือ อะไรคือขอบเขตจำกัดของการเป็นองค์กรภายใน  เพราะองค์การเอกชนภายในประเทศส่วนใหญ่รับเงินอุดหนุนจากต่างประเทศ  ซึ่งถ้าจะวัดจากที่มาของแหล่งเงินแล้วก็จะเกิดปัญหาตามมาอีกมากว่าองค์การเอกชนเหล่านี้กำลังทำงานรับใช้ใคร เพราะองค์การเอกชนในโลกที่สามเกือบทั้งหมดรับเงินช่วยเหลือจากองค์การเอกชนในประเทศตะวันตก  โดยที่องค์การเอกชนในตะวันตกเองก็ได้รับเงินช่วยเหลือจากรัฐบาลของตัวเองอยู่จำนวนมาก  โดยที่บางองค์กรอาจได้รับเงินช่วยเหลือมาทั้ง 100%.  หรือไม่เช่นนั้นก็การจำแนกโดยใช้หน้าที่  คือองค์การเอกชนที่ทำงานในพื้นที่โดยตรง หรือเป็นองค์การเอกชนที่ทำหน้าที่เป็นเพียงแหล่งจัดสรรเงินช่วยเหลืออีกทอดหนึ่ง ซึ่งเป็นองค์การเอกชนที่ทำงานอยู่ในช่องทางของการให้เงินช่วยเหลือ.

โดยทั่วไปการจำแนกประเภทและลักษณะขององค์การเอกชนเน้นอยู่ที่ขนาด, สถานภาพทางกฎหมาย, รูปแบบของกิจกรรม, อุดมการณ์และเป้าหมายขององค์การ, ระดับความมากน้อยของการให้ความสำคัญแก่ผู้คนในระดับรากหญ้า เป็นต้น  โดยที่ศูนย์กลางของการศึกษาวิเคราะห์อยู่ที่กิจกรรมและรูปแบบของความสัมพันธ์ระหว่าง NGOs กับรัฐ (Tvedt, 1998: 37). 

 

บัญชีการจำแนกประเภท NGOs

(IDENGO - The International Classification of Development NGOs)

กลุ่ม 1: วัฒนธรรมและการฟื้นฟู (วัฒนธรรมและศิลปะ, กีฬา, ห้องสมุดและหอจดหมายเหตุ, พิพิธภัณฑ์ และสวนสัตว์)

กลุ่ม 2: การศึกษาและวิจัย (การประถมและมัธยมศึกษา, การศึกษาระดับสูง, การศึกษาผู้ใหญ่, การฝึกอาชีพ, การวิจัย)

กลุ่ม 3: สุขภาพพลานามัย (โรงพยาบาลและศูนย์ฟื้นฟูสุขภาพ, การปฐมพยาบาล, การรณรงค์ฉีดวัคซีน, และสัตวบาล)

กลุ่ม 4: การสังคมสงเคราะห์ (การสังคมสงเคราะห์ และการส่งเสริมรายได้)

กลุ่ม 5: สิ่งแวดล้อม (สิ่งแวดล้อมและสัตว์)

กลุ่ม 6: การพัฒนาและการเคหะ (การพัฒนาทางเศรษฐกิจ สังคม และชุมชน, การเคหะ, การจ้างงานและการฝึกอบรม, โครงการกระจายรายได้, การพัฒนาแหล่งน้ำ)

กลุ่ม 7: กฎหมาย สิทธิมนุษยชน และการเมือง (การประชาคม, สิทธิมนุษยชน, กฎหมายและการให้บริการทางกฎหมาย)

กลุ่ม 8: การเชื่อมประสาน (philanthropic Intermediaries) และการส่งเสริมอาสาสมัคร (การเชื่อมประสานและองค์การเครือข่าย, องค์การข่าวสารข้อมูล, การสร้างสถาบันและองค์กร)

กลุ่ม 9: กิจกรรมระหว่างประเทศ (เครือข่ายนานาชาติ และองค์กรที่ทำหน้าเป็นปากเสียง (advocacy) ในเวทีระหว่างประเทศ)

กลุ่ม 10: ศาสนา (องค์การเผยแพร่ศาสนา และองค์การทางศาสนาอื่น)

กลุ่ม 11: องค์การเพื่อผลประโยชน์ (สมาคมอาชีพและธุรกิจ, สมาคมการค้า, สมาพันธ์ชาวนา, กลุ่มผู้หญิง, และอื่นๆ)

กลุ่ม 12: อื่นๆ

(ดัดแปลงมาจาก Tvedt, 1998: 35).

ทั้งนี้ไม่ว่าองค์การเอกชนแต่ละแห่งแต่ละองค์กรจะแตกต่างกันเพียงไร  แต่องค์การเอกชนทั้งหมดในโลกต่างก็มีภาษาทางอุดมการณ์บางอย่างร่วมกัน และมีแหล่งเงินช่วยเหลือเดียวกัน  คือจะมากจะน้อยก็ต้องขึ้นอยู่กับยุทธศาสตร์เชิงนโยบายของประเทศแหล่งเงินในการให้เงินสนับสนุนองค์การเอกชน (Tvedt, 1998: 75). การให้เงินแก่องค์การเอกชนของตะวันตกในระบบความสัมพันธ์ที่ชี้นำโดยประเทศแหล่งเงินจึงอยู่บนพื้นฐานของความสัมพันธ์ทางอำนาจที่ไม่เท่าเทียมกัน  และเป็นหนทางหนึ่งในการที่จะยกเอาระดับมาตรฐานของการพัฒนาในตะวันตกเข้าไปครอบคนอื่นที่ถูกมองว่าด้อยพัฒนากว่าตนเอง.

 

)บทบาทองค์การเอกชนในการเมืองระหว่างประเทศ

                กล่าวอย่างรวบยอดแล้ว องค์การเอกชนแสดงบทบาทของตัวเองอยู่ในโครงเรื่องแบบโศกนาฎกรรม เหมือนละครโทรทัศน์  คือประการแรกสุดจะต้องมีเหยื่อผู้เคราะห์ร้าย  ที่ตกอยู่ภายใต้การกดขี่ข่มเหงของผู้ร้ายคนสำคัญ  โดยจะมีพระเอกขี่ม้าขาวเข้ามาช่วยทุกคราวไป.  เหยื่อผู้เคราะห์ในโครงเรื่องนี้ก็คือชาวบ้าน, ชุมชน, ผู้หญิง, ความยากจน, โลกที่สาม, ประเทศด้อยพัฒนาและกำลังพัฒนา;  ส่วนผู้ร้ายที่จะต้องเลวสุดทนก็ต้องเป็นรัฐ, สังคมทุนนิยมอุตสาหกรรม, ผู้ชาย, เมืองหลวง, ความมั่งคั่ง, มหาอำนาจ, และประเทศอุตสาหกรรมตะวันตก;  แน่นอนว่า พระเอกขี่ม้าขาวก็ต้องเป็น NGOs หรือองค์การเอกชน ที่จะเข้าไปช่วยเหลือปลดปล่อยให้เหยื่อรอดพ้นจากการกดขี่ข่มเหงต่างๆ นานา.

                ความสำคัญในกิจกรรมของ NGOs ระหว่างประเทศเพิ่มสูงขึ้นมากในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา จนกล่าวกันว่า NGOs ได้เป็นพลังสำคัญในการปฏิวัติโลก (the global associational revolution).  แต่ก็มีการกล่าวกันอีกเช่นกันว่า NGOs ระหว่างประเทศกำลังทำหน้าที่ที่ไม่แตกต่างไปจากสิ่งที่หมอสอนศาสนาในช่วงล่าอาณานิคมของตะวันตกกระทำ นั่นคือรับภาระของการเป็นผู้ปลดปล่อย จรรโลงความเจริญรุ่งเรืองให้แก่ประเทศที่ยังด้อยพัฒนาป่าเถื่อน โดยมองว่าคุณค่าของตะวันตกเป็นมาตรฐานทางศีลธรรมและสังคมวัฒนธรรม ไปเทศนาสั่งสอนให้คนที่ป่าเถื่อนต่ำต้อยกว่าตนเองได้เรียนรู้ที่จะมีชีวิตที่ดีแบบตะวันตก. กล่าวคือ NGOs มีภาระที่จะต้องนำเอาความคิดความเชื่อและแบบแผนการประพฤติปฏิบัติของสังคมเสรีนิยมประชาธิปไตยในตะวันตกมาส่งมอบให้กับชนชั้นนำและปัญญาชนพื้นเมืองในโลกที่สามให้ได้เรียนรู้ที่จะเดินในเส้นทางประชาธิปไตย ที่ถูกต้องเจริญรุ่งเรือง, หรือไม่ก็มองกันว่า NGOs ระหว่างประเทศคือวิถีทางหนึ่งในของตะวันตกที่จะเข้าไปเป็นกระบอกเสียงมีอิทธิพลต่อการเมืองในโลกที่สามให้เป็นไปตามความปรารถนาของตะวันตก.  NGOs จึงเป็นความพยายามของประเทศตะวันตกที่เป็นแหล่งเงินอุดหนุน ที่จะเข้าไปมีอิทธิพลต่อการเมืองทั้งภายในและระหว่างประเทศในโลกที่สาม โดยเฉพาะเมื่อมองจากบทบาทของการดำเนินนโยบายการให้เงินช่วยเหลือโดยพยายามที่จะเข้าไปกำหนดทิศทางของนโยบายทางเศรษฐกิจและสังคมการเมืองในโลกที่สาม เมื่อมองในกรอบของการให้เงินช่วยเหลือระหว่างประเทศทั้งหมด ทั้งในระดับภาครัฐและภาคองค์การเอกชน.  ทั้งนี้ในบางกรณีการให้เงินอุดหนุนแก่รัฐบาลตั้งอยู่บนเงื่อนไขของการให้เงินอุดหนุนแก่ภาคองค์การเอกชน เพื่อหลบเลี่ยงการโกงกิน และความเทอะทะไม่คล่องตัวเต็มไปด้วยความเหลื่อมล้ำต่ำสูงในระบบราชการของภาครัฐในการดำเนินงานทางด้านการพัฒนา. การให้เงินแก่ภาคองค์การเอกชนจึงตั้งอยู่บนฐานคติที่ว่า NGOs จะเป็นช่องทางที่สะดวกรวดเร็วที่สุดที่คนในระดับล่างสุด (อุดมคติของนโยบายการให้เงินอุดหนุน คือ คนที่ยากจนที่สุดในหมู่คนยากจนด้วยกัน) จะได้รับการช่วยเหลือ แทนที่จะต้องรอคอยส่วนแบ่งจากการจัดสรรปันส่วนจากงบประมาณของรัฐ.

ระบบการให้เงินช่วยเหลือแก่องค์การเอกชนเกิดขึ้นอย่างเป็นทางการในช่วงต้นทศวรรษ 1960 และขยายตัวอย่างมากในช่วงทศวรรษ 1980 และ 1990  คือหากจะกล่าวให้ถึงที่สุดแล้ว  องค์การเอกชน หรือ NGOs ไม่ว่าจะเป็นในตะวันตกเองหรือในประเทศด้อย/กำลังพัฒนานั้นล้วนเกิดขึ้นจากการริเริ่มของรัฐโดยตรงมาตั้งแต่ต้น  เพื่อทำหน้าที่เสริมให้กับโครงการช่วยเหลือที่รัฐบาลให้ต่อรัฐบาล โดยเฉพาะหลังจากที่การเมืองระหว่างประเทศในยุคหลังสงครามโลกเริ่มแบ่งแยกเป็น 2 ค่าย คือค่ายเสรีกับค่ายคอมมิวนิสต์ ดังที่รู้จักกันในนามของสงครามเย็น. โลกสังคมนิยมคอมมิวนิสต์นำโดยโซเวียตและจีน และโลกเสรีโดยการนำของสหรัฐฯ  ต่างก็พยายามเข้าไปในมีอิทธิพลในประเทศด้อย/กำลังพัฒนา เพื่อแย่งชิงเอาเป็นพันธมิตรในทางการเมืองในการแข่งขันกันยึดครองโลก.  ค่ายสังคมนิยมนั้นเข้าไปสัมพันธ์ให้ความช่วยเหลือจัดตั้งทั้งด้วยแนวคิด ทฤษฎี และสัมภาระยุทโธปกรณ์คู่มือของการยึดอำนาจให้กับบรรดาสหายนำปัญญาชนนักปฏิวัติในโลกที่สาม เพื่อเร่งกระบวนการปฏิวัติสากลให้ลุล่วงไปรวดเร็วขึ้นตามหลักคิดเรื่องความขัดแย้งทางชนชั้นระหว่างชนชั้นนายทุนและชนชั้นกรรมาชีพ  ซึ่งในขั้นตอนสุดท้ายในพัฒนาการทางประวัติศาสตร์แล้วจะสามารถขจัดการกดขี่ขูดรีดทางชนชั้นได้ด้วยการยึดกุมอำนาจรัฐและมีส่วนร่วมเป็นเจ้าของการผลิต. ส่วนโลกเสรีก็พยายามจัดตั้งแนวกำแพงเพื่อยันการลุกลามขยายตัวของการปฏิวัติของพลพรรคคอมมิวนิสต์  ด้วยการเข้าไปให้ความช่วยเหลือทั้งทางการพัฒนาและทางอาวุธให้แก่รัฐบาลในโลกที่สาม (Tvedt, 1998: 113) โดยไม่จำกัดเงื่อนไข ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลที่เผด็จการเลวร้ายปกครองอย่างอยุติธรรมอย่างไรก็ตาม. ปัญหาสำคัญในการให้ความช่วยเหลือแก่รัฐบาลในโลกที่สามก็คือ เงินช่วยเหลือที่ให้แก่รัฐบาลเหล่านี้ต้องผ่านขั้นตอนของภาครัฐบาลที่เต็มไปด้วยการโกงกินคอร์รัปชั่นไปตามเส้นสายรายทาง ยากลำบากที่เงินช่วยเหลือเหล่านี้จะไปถึงมือของประชาชนธรรมดาในสังคม  จนได้สร้างความเหลื่อมล้ำในการพัฒนาที่สร้างความมั่งคั่งให้แก่ชนชั้นนำกลุ่มเล็กๆ ในเมือง.  เงินช่วยเหลือเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นไปเพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานให้แก่การพัฒนาภาคอุตสาหกรรม และดึงดูดทรัพยากรให้มารวมศูนย์อยู่กับการพัฒนาภาคอุตสาหกรรมจนยังความพินาศล่มจมให้แก่ภาคเกษตรกรรมซึ่งเป็นส่วนใหญ่ของประเทศ.  โครงการให้เงินช่วยเหลือเพื่อการพัฒนาของโลกเสรีส่วนใหญ่จึงแทนที่จะสร้างการพัฒนาเสมอภาคให้แก่สังคมทั้งสังคมเพื่อลดความไม่เสมอภาคและอยุติธรรม หรือลดเงื่อนไขของความขัดแย้งอันจะนำไปสู่การปฏิวัติ กลับสร้างเงื่อนไขของความขัดแย้งให้แหลมคมยิ่งขึ้นและกลายเป็นตัวเร่งให้เกิดการปฏิวัติเร็วยิ่งขึ้น.  ดังนั้นสหรัฐฯ และองค์การสหประชาชาติที่สหรัฐฯ ครอบงำอยู่ จึงคิดหาหนทางใหม่เพื่อแก้ปัญหาการให้เงินช่วยเหลือดังกล่าว ด้วยการริเริ่มที่จะให้เงินช่วยเหลือผ่านทางองค์การเอกชน เพื่อให้เงินเหล่านั้นไปถึงมือของประชาชนได้มากและเร็วขึ้นโดยไม่ต้องผ่านภาครัฐที่เติบโตเทอะทะอืดอาดและโกงกิน  โดยขอให้รัฐบาลฝ่ายโลกเสรีให้เงินช่วยเหลือผ่านองค์การเอกชนดังกล่าวโดยไม่ต้องผ่านองค์การสหประชาชาติเพื่อหลบเลี่ยงการแทรกแซงและเข้าถึงแหล่งเงินทุนของค่ายสังคมนิยม นับตั้งแต่ปี ค.. 1962.  นับตั้งแต่ปี ค.. 1962  รัฐบาลสหรัฐฯ ได้ขอให้ฝ่ายพันธมิตรของโลกเสรีให้เงินช่วยเหลืออุดหนุนแก่องค์การอาสาสมัครเอกชน เพื่อ “ขยับขยายการสนับสนุนการให้เงินช่วยเหลือในการพัฒนาที่ให้กับภาครัฐให้กว้างขวางลึกซึ้งยิ่งขึ้น [widen and deepen the support for official development aid in the donor countries]”.  รัฐบาลตะวันตกเกือบทุกประเทศรับนโยบายนี้ของสหรัฐไปใช้ให้การอุดหนุนแก่องค์การเอกชน  โดยที่ต่อมาในช่วงทศวรรษ 1980 เกือบทุกรัฐได้จัดตั้งช่องทางในการให้เงินของตัวเองขึ้นมาอย่างเป็นระบบ (Tvedt, 1998: 48-49). ประธานาธิบดีแฮรี่ ทรูแมน แห่งสหรัฐฯ ประกาศนโยบายการให้เงินช่วยเหลือระหว่างประเทศ ด้วยการที่จะให้การให้เงินช่วยเหลือระหว่างรัฐบาลมีความสัมพันธ์กับการให้เงินช่วยเหลือองค์การเอกชน  และในปี ค.. 1964 รัฐบาลสหรัฐฯ ก็ได้จัดตั้งคณะกรรมาธิการที่ปรึกษาว่าด้วยการให้เงินช่วยเหลือแก่อาสาสมัครต่างประเทศ (Advisory Committee on Voluntary Foreign Aid) ขึ้นในกระทรวงต่างประเทศ  ซึ่งได้เชิญคนทั้งจากหน่วยงานของรัฐและจากองค์การเอกชน มาร่วมเป็นกรรมาธิการ  และยังคงดำเนินการอยู่ตราบกระทั่งปัจจุบัน.  สหรัฐฯ ใช้นโยบายอุดหนุนองค์การเอกชน เพื่อหวังผลในการดำเนินต่างประเทศมานับตั้งแต่ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 และ NGOs สหรัฐฯ ก็ได้เข้ามามีบทบาทอย่างมากในช่วงสงครามเย็นในฐานะที่เป็นกระบอกเสียงเพื่อสร้างความชอบธรรมให้แก่สหรัฐฯ อาทิ องค์การเอกชนสหรัฐฯ ที่เข้าไปทำงานอยู่ในเวียตนามและเกาหลีในช่วงสงคราม  รวมทั้งการเคลื่อนไหวของ CARE องค์การเอกชนระหว่างประเทศ ที่สนับสนุนสหรัฐฯ ทำสงครามกับนายพลนัสเซอร์แห่งประเทศอียิปต์ ที่สั่งปิดคลองสุเอซเมื่อปี ค.. 1956 (Tvedt, 1998: 61).

นอกจากนี้ หลังการสิ้นสุดสงครามเย็นทำให้โลกทุนนิยมไม่จำเป็นที่จะต้องปกป้องรัฐบาลเผด็จการในโลกที่สามที่เคยอุ้มชูเกื้อหนุนกันมาในการผนึกกำลังต่อต้านการขยายตัวของลัทธิคอมมิวนิสต์ในช่วงสงครามเย็น จึงพยายามสนับสนุนให้เกิดการเคลื่อนไหวทางสังคม เศรษฐกิจ และการเมืองอย่างรอบด้าน อาทิ สนับสนุนในเรื่องการปกครองการปกครองที่ดี โปร่งใส และตรวจสอบได้ (good governance) หรือที่เรียกกันว่า “ธรรมรัฐ”. ธนาคารโลกให้ความสำคัญกับโครงการเช่นนี้ด้วยการทำงานร่วมกับ NGO ในโลกที่สาม โดยได้จัดตั้งคณะกรรมการร่วมมือระหว่างธนาคารโลกกับ NGOs (NGO-Bank Committee) เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงให้การทำงานของรัฐได้รับการตรวจสอบจากสังคมอย่างรอบด้าน และเฉพาะในประเทศไทยก็ตั้งโครงการการลงทุนทางสังคม (Social Investment Program) ซึ่งเป็นโครงการเงินกู้ที่ให้เงินผ่าน NGO โดยตรง โดยไม่ให้ผ่านหน่วยงานราชการ (กองบรรณาธิการวารสารเศรษฐศาสตร์การเมือง, 2543: 28-29).

จนกระทั่งในทศวรรษ 1960 ถึง 1970 นั้นก็ยังมีจำนวน NGOs น้อยมากที่เกี่ยวข้องกับการให้เงินอุดหนุนเพื่อการพัฒนา   แต่กล่าวกันว่าในทศวรรษ 1980 นั้นคือทศวรรษของ NGOs (NGOs decade) เนื่องจากเป็นช่วงสำคัญที่เกิดการ “ส่งออก” การขยายจำนวน NGOs ในประเทศอุตสาหกรรมในตะวันตกไปสู่โลกที่สาม ที่ด้อยพัฒนาและกำลังพัฒนา   ว่ากันว่าจำนวนเงินช่วยเหลือทั้งหมดที่ NGOs ในประเทศตะวันตกที่เรียกกันว่า Northern NGOs จ่ายเงินช่วยเหลือให้กับ NGOs ในประเทศด้อย/กำลังพัฒนามีอัตราเพิ่มสูงขึ้นถึงสองเท่าเมื่อเปรียบเทียบกับอัตราการเติบโตของเงินช่วยเหลือระหว่างประเทศทั้งหมดในช่วงดังกล่าว  และมีจำนวน NGOs ในประเทศ OECD (Organization for Economic Co-operation and Development)  เพิ่มสูงขึ้นถึงประมาณ 4,000 องค์การ  และประมาณกันว่า NGOs เหล่านี้ได้ให้เงินช่วยเหลือและให้คำแนะนำแก่ NGOs ในโลกที่สามจำนวนถึง 10,000 ถึง 20,000 องค์การ   โดยมีเม็ดเงินสูงถึงจำนวนหลายพันล้านดอลล่าร์สหรัฐฯต่อปี (billions of dollars a year)  โดยที่ NGOs เหล่านี้ประมาณกันว่าคอยให้คำแนะนำช่วยเหลือแก่คนในโลกที่สามเป็นจำนวน 100 ถึง 250 ล้านคน.  การให้เงินช่วยเหลือในด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในลักษณะรัฐต่อรัฐในทศวรรษ 1990 นั้นเริ่มลดลงอย่างวูบวาบในนโยบายของประเทศที่เป็นแหล่งเงินอุดหนุน  แต่ความสำคัญของ NGOs ในช่องทางของระบบการให้เงินช่วยเหลือยังคงเติบโตอยู่ต่อมา  นอกจากนั้นแม้ว่าในปัจจุบันจะกล่าวกันว่า ทศวรรษของ NGOs ได้สิ้นสุดลงแล้ว  แต่ทว่าความสำคัญและพลังทางการเมืองของ NGOs ในด้านการพัฒนาและการเมืองระหว่างประเทศมิได้ลดถดถอยลงไปด้วย  ดังจะเห็นได้จากการที่ที่ปรึกษาระดับสูงของรัฐบาลอเมริกันกำลังพูดกันถึงบทบาทที่เพิ่มมากขึ้นของ NGOs ในการเมืองสหรัฐฯ  หรือรัฐบาลของบิล คลินตันเองก็ได้ให้เงินอุดหนุนแก่ NGOs เพิ่มขึ้น  รองประธานาธิบดีอัล กอร์ได้กล่าวในที่ประชุม The Social Summit ที่กรุงโคเปนฮาเกนเมื่อปี 1995 ว่า ในช่วงการเป็นประธานาธิบดีครั้งแรกของคลินตันนั้นทางทำเนียบขาวได้เพิ่มการช่วยเหลือและการสนับสนุนทางการเงินให้แก่ NGOs จากเดิมที่เคยให้เพียง 13 % สูงขึ้นถึง 50 % ของงบประมาณขององค์การเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศแห่งสหรัฐฯ (USAID - United States Agency for International Development) ในปีงบประมาณ 1996.

                ในประเทศนอรเวย์นั้นได้ก่อตั้งกองกิจการองค์การเอกชน (NGO division, Office for private Organizations) ขึ้นเมื่อปี ค.. 1978  เพื่อต้องการทำให้การจัดการดำเนินงานมีสภาพความเป็นสถาบันขึ้นอย่างจริงจัง และต่อมาก็ได้จัดตั้งหน่วยงานที่รับผิดชอบในการจัดสรรเงินช่วยเหลือแก่ NGOs ทั้งในและต่างประเทศขึ้น คือ NORAD (Norwegian Agency for International Development).  ในปี ค.. 1978  NORAD ได้ให้เงินช่วยเหลือแก่ NGOs ไปจำนวน 34 องค์กร เป็นเงินจำนวน 50 ล้านเหรียญโครนนอรเวย์.  ในทศวรรษต่อมา กล่าวกันว่า การให้เงินช่วยเหลือ NGOs ของนอรเวย์ได้ถึงจุด “ระเบิด” อันเป็นปรากฏการณ์ร่วมของการให้เงินช่วยเหลือผ่านองค์การเอกชนจากประเทศตะวันตก ดังที่เรียกขานกันต่อมาว่า ทศวรรษ 1980 คือทศวรรษของ NGOs  โดยในปี ค.. 1981 นั้น NORAD มีงบให้เงินแก่ NGOs เป็นเงินถึง 80 ล้านเหรียญโครนต่อปี และปีต่อมา ค.. 1982 ได้เพิ่มเงินพิเศษให้อีกเป็นเงิน 60 ล้านเหรียญโครน. ปลายทศวรรษ 1980s รัฐบาลและกระทรวงต่างประเทศนอรเวย์ดำเนินนโยบายชั่วคราวเพื่อใช้ NGOs ของนอรเวย์ให้ทำงานเพื่อตอบสนองต่อนโยบายต่างประเทศของนอรเวย์ โดยให้เงินช่วยเหลือแก่กลุ่มที่ต่อสู้กับการแบ่งแยกสีผิว (apartheid) โดยในทางกลับกันก็อาจกล่าวได้ว่า NGOs นอรเวย์ก็สามารถปรับเปลี่ยนนโยบายเกี่ยวกับโลกที่สามของกระทรวงต่างประเทศนอรเวย์ (Tvedt, 1998: 113-4). ในปี ค.. 1991 นั้นมีองค์การเอกชนในนอรเวย์จำนวน 134 องค์กร และมีองค์การเอกชนระหว่างประเทศอีกราว 20-30 องค์กร และองค์การเอกชนในประเทศด้อย/กำลังพัฒนาอีกหลายร้อยองค์กร ที่รับช่วยเหลือจากรัฐบาลนอรเวย์  โดยมียอดเงินสูงถึง 1.2 พันล้านเหรียญโครน.  ขณะที่ปี ค.. 1981 มีโครงการจำนวน 98 โครงการขอรับเงินช่วยเหลือ  มาถึงปี ค.. 1991 มีจำนวนโครงการเพิ่มขึ้นถึง 1,058 โครงการ.

                ประมาณการกันว่า เงินช่วยเหลือ ODA (Official Development Assistance) ที่จ่ายผ่านทาง NGOs ในประเทศตะวันตกไปยัง NGOs ในโลกด้อย/กำลังพัฒนาโดยรวมนั้นได้เพิ่มขึ้นจาก 1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯใน ค.. 1970 เป็น 7.2 พันล้านเหรียญสหรัฐฯในปี ค.. 1992 คือมีอัตราการเพิ่มขึ้นถึงสองเท่าเมื่อเปรียบเทียบกับอัตราการเพิ่มของเงินช่วยเหลือระหว่างประเทศทั้งหมด  และในนอรเวย์นั้น NGOs จำนวน 22 องค์กรในจำนวนที่ทำวิจัยสำรวจได้รับเงินอุดหนุนเกินกว่า 80 % จากรัฐ, 39 องค์กรได้รับมากกว่า 70 %  และอีก 23 องค์กรที่เหลือรับเงินช่วยเหลือต่ำกว่า 40 % (Tvedt, 1998: 21) หรือกล่าวได้โดยรวมว่า NGOs ในนอรเวย์ทั้งที่เคลื่อนไหวอยู่ในนอรเวย์เอง หรือเคลื่อนไหวอยู่ในโลกที่สาม  ไม่ว่าจะเป็นองค์กรที่ดำเนินกิจกรรมเองหรือเป็นเพียงองค์กรที่คอยทำหน้าที่จัดสรรเงินช่วยเหลือให้แก่องค์การเอกชนในโลกที่สาม  ต่างล้วนแล้วแต่ได้รับเงินช่วยเหลือจากรัฐบาลนอรเวย์แทบทั้งสิ้น.

เปอร์เซ็นต์ที่ NGOs ในตะวันตกได้รับเงินช่วยเหลือจากรัฐบาล

สวีเดน                                                                                      85%  (1994)

เบลเยี่ยม                                                                                   80% (1993)

อิตาลี                                                                                        77% (1991)

แคนาดา                                                                                    70% (1993)

สหรัฐฯ                                                                                      66% (1993)

ออสเตรเลีย                                                                                34%(1993-4)

ฝรั่งเศส                                                                                     15-22% (1993)

ออสเตรีย                                                                                   10% (1993)

อังกฤษ                                                                                      10% (1993)

 

กล่าวให้ถึงที่สุดแล้ว องค์การเอกชนในประเทศด้อย/กำลังพัฒนาเกือบทั้ง 100 % ล้วนได้รับเงินช่วยเหลือจากต่างประเทศในอัตราต่างๆ กัน  ไม่ว่าจะโดยจากรัฐบาลโดยตรงหรือผ่านองค์การเอกชนในตะวันตกอีกทอดหนึ่งก็ตาม, โดยมีกลไกลสำคัญชุดหนึ่ง คือ เจ้าหน้าที่รัฐที่ทำงานติดต่อให้ทุนแก่องค์การเอกชนทั้งในและระหว่างประเทศ  อาทิ เจ้าหน้าที่ในกระทรวงต่างประเทศ และกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม, องค์การเอกชนในประเทศแหล่งเงินที่ทำหน้าที่เป็นองค์กรจัดสรรเงิน, องค์การเอกชนระหว่างประเทศ และองค์การเอกชนในประเทศด้อย/กำลังพัฒนาที่ได้รับเงินช่วยเหลือจากประเทศตะวันตก. แม้ว่าเงินส่วนใหญ่จะเป็นไปในลักษณะ “ของขวัญ” (gift) แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผู้ใหญ่จะไม่คาดหวังผลตอบแทน  เพียงแต่ผลตอบแทนไม่ว่าในลักษณะใดจะไม่ถูกตีกรอบว่าจะต้องได้รับผลโดยฉับพลัน หรือเป็นจารีตต้องห้ามพูดถึงไม่ได้ เพราะจะทำให้เกิดประเด็นความสัมพันธ์ทางอำนาจขึ้นในการเมืองระหว่างประเทศ.  หลักการโดยกว้างๆ ในการให้เงินสนับสนุนของประเทศในกลุ่มสแกนดิเนเวียก็คือ บริษัทที่มุ่งหวังผลกำไรไม่อาจเข้ารับทุนช่วยเหลือได้  ซึ่งกว้างขวางมาก  ในขณะที่ประเทศแหล่งเงินอื่นๆ นั้นสมาคมการค้า หรือองค์กรผลประโยชน์ ก็สามารถเข้ารับเงินช่วยเหลือได้ในช่องทางองค์การเอกชน.

                การทำความเข้าใจองค์การเอกชนโดยมองจากช่องทางการให้เงินช่วยเหลือ จึงนอกจากจะทำให้เข้าใจช่องทางทรัพยากรและอำนาจของศูนย์กลางที่มีต่อชายขอบแล้ว  ยังทำให้เข้าใจถึงภาพของความเป็นช่องทางของข่าวสารข้อมูลและความชอบธรรมที่ไหลจากชายขอบเข้าสู่ศูนย์กลาง คือจากรากหญ้า (Tvedt, 1998: 76).  การพูดถึงช่องทางการให้เงินช่วยเหลือจึงจะทำให้เข้าใจถึงอำนาจ   โดยที่อำนาจนั้นก็เป็นสิ่งที่ต่อรองตะล่อมได้  เพราะส่วนหนึ่งนั้นก็คือองค์การเอกชนเหล่านี้มีพื้นฐานทางอุดมการณ์คล้ายคลึงกัน  คือคิดถึงความหมายของสิ่งที่เรียกว่า “การพัฒนาที่ดี และการพัฒนาที่ไม่ดี [good development and not good development]”  ดังกรณีที่องค์การเอกชนขนาดเล็กในประเทศกำลังพัฒนาสามารถต่อรองให้รัฐบาลตะวันตกที่ให้เงินช่วยเหลือต้องเปลี่ยนแปลงกรอบนโยบายตามที่ตนต้องการได้ เพราะเป็นองค์กรที่แหล่งเงินคิดว่ามีคุณค่าเพียงพอที่จะให้เงินช่วยเหลือ  โดยเฉพาะเมื่อมองจากมุมมองของอำนาจทางการเมืองและการสร้างภาพลักษณ์ให้แก่ผู้เป็นแหล่งเงิน  ดังที่จะเห็นได้จาก CIDA (Canadian International Development Agency) ของแคนาดาให้เงินแก่จำนวน 200 ล้านบาทแก่ศาสตราจารย์เสน่ห์ จามริก เพื่อใช้จ่ายจัดตั้งมูลนิธิชุมชนท้องถิ่นพัฒนา (LDF - Local Development Foundation) หรือที่เรียกกันต่อมาว่า สถาบันชุมชนท้องถิ่นพัฒนา (LDI)  โดยมอบภาระในการจัดการใช้จ่ายเงินทั้งหมดเป็นหน้าที่ของศาสตราจารย์เสน่ห์ด้วยความไว้วางใจเป็นการส่วนตัว (ดรุณี, 2540: 67). จึงกล่าวได้ว่าช่องทางในการให้เงินช่วยเหลือเป็นเสมือนกระแสน้ำที่บางครั้งน้ำก็อาจจะไหลย้อนทวนกระแสกลับไปยังต้นน้ำได้ (Tvedt, 1998: 76). ขณะที่ช่องทางการให้เงินช่วยเหลือแก่องค์การเอกชนเหล่านี้ได้รับเงินช่วยเหลือจากบรรยากาศทางการเมือง  ก็ได้มอบความชอบธรรมบางประการคืนให้แก่สถาบันทางการเมืองเป็นการตอบแทน  คือได้ช่วยขยายความกว้างและเกิดความลึกให้แก่การให้เงินเหลือระหว่างประเทศด้านการพัฒนาที่ประเทศตะวันตกให้แก่รัฐบาลประเทศด้อย/กำลังพัฒนา เพื่อมุ่งเน้นการพัฒนาทางการอุตสาหกรรม  แต่ก็ได้ปล่อยเงินส่วนหนึ่งมาในช่องทางที่จะเป็นทางเลือกในการพัฒนาให้แก่ผู้คนระดับล่างในสังคม โดยไม่ต้องผ่านระบบกลไกที่ซับซ้อนและมีลักษณะของระดับชั้นทางอำนาจสูงของระบบราชการ.  นอกจากนั้น แม้ว่าการกำหนดนิยามความหมายของการพัฒนาออกมาจากตะวันตก แต่องค์การเอกชนในทศวรรษที่ผ่านมาก็เรียนรู้ที่จะใช้ภาษาและสื่อมวลชนที่จะนำเสนอภาพของตัวเองต่อชุมชนที่เป็นแหล่งเงินช่วยเหลือ.  การประเมินการให้เงินช่วยเหลือจึงเป็นเรื่องของการจัดการทางภาษาและการจัดการข่าวสารมากพอๆ กับความสำเร็จในอดีตของโครงการ หรือบางกรณีอาจจะมากกว่าเสียด้วยซ้ำ อาทิเช่น กรณีที่บทบาทของกาชาดนอรเวย์ (Norwegian Red Cross) เข้าไปช่วยเหลือชาวรวันดาที่สามารถใช้สื่อดึงดูดเงินช่วยเหลือจากรัฐได้เป็นจำนวนมาก  ทั้งที่ไม่มีใครรู้จริงๆ ว่าการดำเนินงานในพื้นที่เป็นอย่างไร  ดังที่ BBC World รายงานว่าภารกิจหลักของโรงพยาบาลกาชาดนอรเวย์คือช่วยทหารที่เข่นฆ่าผู้คนให้รอดชีวิตมากกว่าอย่างอื่น (Tvedt, 1998: 91). การเติบโตขยายจำนวนขององค์การเอกชนจึงทำให้ปัญหาเรื่องการจัดการภาพลักษณ์กลายเป็นคำถามสำคัญ  เพราะความห่างไกลจากพื้นที่จนทำให้ไม่มีใครรู้ว่ากำลังทำอะไร หรือจะตรวจสอบจริงจังได้อย่างไร.  การแข่งขันกันหาเงินช่วยเหลือในหมู่องค์การเอกชน บางครั้งจึงไม่ใช่เรื่องของโครงการและความสำเร็จ  แต่เป็นการแข่งขันกันในการแสดงคุณค่าความสามารถในเชิงอุดมการณ์ของตัวเองเป็นสำคัญ คือ แสดงได้ว่าองค์กรสามารถจะตอบสนองต่อความต้องการของคนยากจนและกลุ่มคนที่อ่อนแอในสังคม  เนื่องจากเป็นผู้ใกล้ชิดกับคนธรรมดาคนยากมากกว่าคนอื่น (Tvedt, 1998: 80) ดังที่องค์การเอกชนในนอรเวย์อย่าง Red Barna และกาชาดนอรเวย์ ว่าจ้างที่ปรึกษาเพื่อคอยประเมินภาพลักษณ์ขององค์กรในความเห็นของประชาชน เพื่อหวังผลในการต่อรองให้ได้รับเงินช่วยเหลือ (Tvedt, 1998: 91).

                การกำหนดนโยบายการพัฒนาในโครงสร้างของแผนการให้เงินช่วยเหลือระหว่างประเทศเพื่อการพัฒนา ของประเทศตะวันตก ที่ให้กับประเทศด้อย/กำลังพัฒนา ได้ทำให้องค์การระหว่างประเทศ หรือ NGOs กลายเป็นเป็นตัวแสดงหลักตัวหนึ่งในเวทีทางการเมืองระหว่างประเทศ.  ประเด็นที่สำคัญและได้กลายมาเป็นนโยบายหลักในการให้เงินช่วยเหลือแก่องค์การเอกชนสามารถแบ่งออกได้เป็น 5 จังหวะ คือ 1)สหกรณ์ในช่วงทศวรรษ 1970, 2)กลุ่มผู้หญิงในช่วงทศวรรษ 1980, 3)กลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมในช่วงปลายทศวรรษ 1980, 4)กลุ่มที่เน้นเรื่องเอดส์ (HIV) ในช่วงเปลี่ยนจากทศวรรษ 1980 มาสู่ 1990, 5)องค์กรที่ให้ความสำคัญแก่เรื่องประชาสังคมในช่วงต้นทศวรรษ 1990 (Tvedt, 1998: 64). นอกจากนี้การตัดสินใจให้เงินช่วยเหลือของประเทศตะวันตกโดยภาพรวมทั้งหมดนั้นเกิดขึ้นในบริบทของการตัดสินใจทางการเมือง ที่ต้องการเพิ่มบทบาทของประเทศผู้ให้เงินช่วยเหลือในการเข้าไปมีบทบาทในการกำหนดนโยบายทางเศรษฐกิจของประเทศที่รับเงินช่วยเหลือ  โดยเฉพาะการแปรรูปและการเปิดตลาดเสรี ที่ถือเป็นนโยบายหลักของธนาคารโลกและประเทศที่ให้การช่วยเหลือระหว่างประเทศหลักๆ ในกลางทศวรรษ 1990 (Tvedt, 1998: 66). การพึ่งพิงทางการเงินจากต่างประเทศทำให้เกิดวิกฤตการณ์เกี่ยวกับตัวตนในหมู่องค์การเอกชนในโลกที่สาม คือได้กลายเป็นอิทธิพลของประเทศตะวันตกที่จะเข้าไปจัดการเปลี่ยนแปลงสังคมและโครงสร้างความสัมพันธ์ทางอำนาจระหว่างกลุ่มต่างๆ ในสังคมของโลกที่สาม (Tvedt, 1998: 69).

ในด้านหนึ่ง NGOs คือหนทางเลือกในการพัฒนาในระดับรากหญ้าของสังคม ที่จะคอยกระตุ้นเตือนเป็นสติให้กับการพัฒนาในระดับกว้างที่กำหนดชี้นำโดยภาครัฐ  ซึ่งมองในแง่นี้แล้วก็อาจกล่าวได้ว่า NGOs เป็นองค์การที่คอยต่อต้านขัดขวางความไร้สติและยุทธศาสตร์การพัฒนาที่อ่อนแอของรัฐ   แต่ในอีกด้านหนึ่ง NGOs คือความสะดวกในทางบริหารจัดการและเป็นหนทางแก้ปัญหาสำหรับรัฐ โดยที่รัฐเองไม่ต้องรับภาระเสียค่าใช้จ่าย และมีความคล่องตัวในการทำงานสูงกว่าภาครัฐอีกด้วย.  อย่างไรก็ตาม  การที่องค์การเอกชนในประเทศด้อย/กำลังพัฒนาส่วนใหญ่ต้องพึ่งพาเงินช่วยเหลือจากต่างประเทศผ่านทางองค์การเอกชนในประเทศตะวันตก  ซึ่งก่อให้เกิดลักษณะความสัมพันธ์แตกต่างกันออกไปในแต่ละประเทศ. 

ในประเทศบังคลาเทศนั้นมีความหวาดระแวงต่อการแทรกแซงทางการเมืองภายในประเทศผ่านองค์การเอกชนจากต่างประเทศสูง  ดังนั้นจึงพยายามจำกัดบทบาทองค์การเอกชนระหว่างประเทศและองค์การเอกชนภายในประเทศที่จะได้รับเงินช่วยเหลือต่างประเทศ.  ในต้นทศวรรษ 1990  เงินช่วยเหลือที่ประเทศบังคลาเทศได้รับผ่านองค์การเอกชนมีจำนวนถึง 100 ล้านเหรียญดอลล่าร์สหรัฐฯ คิดได้ราว 5 % ของเงินช่วยเหลือทั้งหมดที่ได้รับในช่วงเวลาเดียวกัน  โดยที่องค์การเอกชนที่มีอิทธิพลที่สุดคือองค์กรที่อยู่ในช่องทางการให้เงินช่วยเหลือและบรรดาองค์กรที่ได้รับเงินช่วยเหลือจากต่างประเทศ  (ทั้งนี้ไม่รวมองค์กรเอกชนที่อยู่ในเครือข่ายของมุสลิม) เนื่องจากรัฐบาลเผด็จการทำให้แหล่งเงินพยายามแสวงหาช่องในการให้เงินช่วยเหลือเพื่อการพัฒนาอื่นๆ ที่อยู่นอกภาครัฐ  ซึ่งทำให้องค์การเอกชนในบังคลาเทศเกือบทั้งหมดต้องพึ่งพิงเงินช่วยเหลือจากต่างประเทศแทบสิ้นเชิง. ก่อนปี ค.. 1971 นั้นมีองค์การเอกชนในบังคลาเทศน้อยมาก  แต่ในช่วงสงครามปลดปล่อยเมื่อปี ค.. 1971 ได้ก่อให้เกิดการจัดตั้งองค์การเอกชนระหว่างประเทศขึ้นเป็นจำนวนมาก  โดยที่มีองค์การเอกชนในประเทศเพียง 2 องค์กร ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นองค์กรที่มีอิทธิพลต่อองค์การเอกชนในบังคลาเทศ. รัฐบาลบังคลาเทศพยายามควบคุมและแข่งขันกับองค์การเอกชนในการรักษาและขอส่วนแบ่งของเงินช่วยเหลือ  โดยได้ออกกฎหมายให้องค์การเอกชนที่รับเงินช่วยเหลือจากต่างประเทศต้องจดทะเบียน และขออนุมัติโครงการที่จะได้รับเงินอุดหนุนจากต่างประเทศเป็นรายปี (Tvedt, 1998: 72). ในปี ค.. 1981  บังคลาเทศมีองค์การเอกชนต่างชาติอยู่เพียง 68 องค์กร  แต่ในปี ค.. 1993 ได้เพิ่มจำนวนขึ้นเป็น 109 องค์กร.  ในปี ค.. 1981 มีองค์การเอกชนภายในประเทศที่ได้รับเงินช่วยเหลือจากต่างประเทศเพียง 45 องค์กร  แต่ในปี ค.. 1993 ได้เพิ่มขึ้นเป็น 513 องค์กร.  ขณะที่ปี ค.. 1972-3  องค์การเอกชนได้รับเงินช่วยเหลือเพียง 1% ของเงินช่วยเหลือจากต่างประเทศทั้งหมด   แต่ในกลางทศวรรษ 1990 ยอดเงินได้เพิ่มขึ้นสูงถึง 15 %  โดยในต้นทศวรรษ 1990 รัฐยังคงรักษาส่วนแบ่งไว้ได้ถึง 80 - 90 % ของเงินทุนช่วยเหลือระหว่างประเทศ  แต่ก็มีแนวโน้มที่จะลดลงไปเรื่อยๆ และเงินช่วยเหลือที่ให้แก่รัฐบางครั้งก็วางอยู่บนเงื่อนไขที่ว่ารัฐบาลบังคลาเทศจะอนุญาตให้สามารถมีการให้เงินช่วยเหลือแก่องค์การเอกชนในบังคลาเทศได้โดยรัฐบาลไม่เข้าไปขัดขวางแทรกแซง.  รัฐบาลบังคลาเทศจึงมององค์การเอกชนว่าเป็น “อาวุธของจักรวรรดินิยม, ของศาสนาคริสต์, ของนโยบายต่อต้านรัฐบาล, และของนโยบายนิยมอินเดีย [weapons of imperialism, of Christianity, of anti-government policies, or of pro-Indian policies]” (Tvedt, 1998: 51). วิธีคิดดังกล่าวของรัฐสะท้อนให้เห็นอยู่ในเกณฑ์ในการจัดแบ่ง NGOs ที่มีอยู่ 3 ประการ คือ ประเทศดั้งเดิมที่เป็นที่ตั้งขององค์กร, พื้นที่ในการปฏิบัติงาน, และแหล่งเงินทุนช่วยเหลือ.  ดังนั้นจะเห็นได้ว่าในขณะที่ประเทศในตะวันตกมักจะใช้เกณฑ์ของกิจกรรม (activities) มากกว่าอุดมการณ์และพื้นที่ปฏิบัติการ  ในบังคลาเทศกลับใช้เกณฑ์การแบ่งประเภทที่สำคัญคือระดับความมากน้อยของอิทธิพลจากต่างประเทศและภูมิหลังขององค์กร.  อย่างไรก็ตาม  การที่ตะวันตกพยายามที่จะเน้นในแง่พื้นที่และอุดมการณ์ทางการเมืองในการกำหนดนิยามความเป็น NGOs  นั้นก็ได้แสดงให้เห็นถึงประเด็นทางอำนาจความสัมพันธ์ของการให้เงิน (p. 27). ทั้งที่ในกรอบของการให้เงินช่วยเหลือในนอรเวย์ ซึ่งเป็นแหล่งเงินช่วยเหลือขนาดใหญ่นั้น การมีและการกำหนดคุณค่าเชิงอุดมการณ์ร่วมกันระหว่าง NGOs กับการจัดสรรเงินช่วยเหลือนั้นมีความสำคัญอย่างมากในทางนโยบายการให้เงิน (Tvedt, 1998: 26). 

ในประเทศเอธิโอเปีย  องค์การเอกชนระหว่างประเทศที่เข้าไปช่วยเหลือฟื้นฟูและพัฒนาก่อนการล้มรัฐบาลเผด็จการ Mengistu เมื่อ ค.. 1991 นั้นมีความสัมพันธ์กับการต่อสู้เพื่อการปลดปล่อยของประชาชนในการเมืองภายในประเทศเอธิโอเปียสูง  คือทำงานใกล้ชิดกับกองทัพปลดแอก และองค์การทางการเมืองของกลุ่มชาติพันธุ์  และหลังจาก ค.. 1991 แล้วรัฐบาลใหม่กับ NGOs ระหว่างประเทศทำงานใกล้ชิดร่วมกันมาก  รวมทั้งรัฐบาลก็ดำเนินการจัดตั้งองค์การเอกชนขึ้นเองอีกด้วย.  ลักษณะโดยทั่วไปขององค์การเอกชนในเอธิโอเปียคือ รัฐกับองค์การเอกชนแข่งขันกันหาเงินอุดหนุน  โดยที่ภาครัฐกลับต้องการให้องค์การเอกชนทำงานมากกว่าที่จะให้รัฐเข้าไปดำเนินงานเอง.  นอกจากนี้ ปัญหาทางชาติพันธุ์ในการเมืองเอธิโอเปียทำให้รัฐบาลเองก็อยากที่จะใช้องค์การเอกชน เป็นอาวุธในการสร้างแรงกดดันและปราบปรามกลุ่มต่อต้าน  โดยเฉพาะหลังจากที่เกิดขบวนการเคลื่อนไหวขององค์การเอกชนเพื่อมนุษยธรรมอย่างขนานใหญ่ที่เข้าไปช่วยเหลือภาวะความแห้งแล้งครั้งใหญ่ในช่วง ค.. 1984-5  โดยรัฐบาลเอธิโอเปียปฏิเสธที่จะให้องค์การเอกชนเข้าไปให้บริการในเขตพื้นที่ปลดปล่อยของฝ่ายขบถ (Tvedt, 1998: 70). ใน ค.. 1994 นั้นปรากฏจำนวนตัวเลขว่าเงินช่วยเหลือที่ผ่านทางองค์การเอกชนสูงถึง 200 ล้านเหรียญดอลล่าร์สหรัฐฯ.

ส่วนในประเทศซิบแบบเวนั้น  รัฐบาลเป็นผู้สนับสนุนให้ประชาชนจัดตั้งองค์การเอกชน โดยเฉพาะองค์การที่มีฐานอยู่ในชุมชน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มเกษตรกรรมหรือกลุ่มสหกรณ์. การที่รัฐบาลซิบแบบเวให้การสนับสนุนในเชิงอุดมการณ์แก่องค์การเอกชน โดยเฉพาะกลุ่มสหกรณ์นั้นในแง่หนึ่งได้สร้างแรงดึงดูดเงินช่วยเหลือจากแหล่งเงินทุนในต่างประเทศเป็นอย่างมาก.  ในปลายทศวรรษ 1980 ได้มีแรงกดดันจากภายนอกให้รัฐบาลลดบทบาทของตัวเองในองค์การพัฒนาเอกชน  คือต้องการให้องค์กรเหล่านี้มีความเป็นอิสระจากการควบคุมแทรกแซงของรัฐมากขึ้น  พร้อมกับกระตุ้นให้เกิดการจัดตั้งองค์การเอกชนมากขึ้นเพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายของรัฐ.  สิ่งที่น่าสนใจก็คือ ในซิบแบบเวนั้นจำนวนเงินช่วยเหลือจากต่างประเทศที่ผ่านองค์การเอกชนมียอดสูงถึง 1 ใน 10 ของเงินช่วยเหลือระหว่างประเทศทั้งหมด คือประมาณ 40 ล้านเหรียญดอลล่าร์สหรัฐฯ ต่อปี  โดยคิดเป็นประมาณ 15-25 % ของเงินช่วยเหลือระหว่างประเทศที่ให้ผ่านรัฐในปี ค.. 1990.

                ในประเทศนิคารากัว  ในช่วงของรัฐบาลแซนดินิสต้า ปรากฏว่ารัฐกับองค์การเอกชนร่วมมือกันอย่างใกล้ชิด  กล่าวคือบรรยากาศทางการเมืองทำให้องค์การเอกชนที่ก่อตั้งขึ้นในช่วงทศวรรษ 1960 และ 1970 มีความเข้มแข็งมั่นคงขึ้น  โดยเจ้าหน้าที่จากองค์การเอกชนใหญ่บางคนได้เข้าไปรับตำแหน่งสำคัญทางการเมืองในรัฐบาล  และก่อให้เกิดองค์การเอกชนใหม่ๆ ขึ้นจำนวนมาก.  โดยรวมแล้ว  องค์การเอกชนที่เคยต่อต้านรัฐบาลมาก่อนหน้านั้น  แต่ครั้นมาถึงช่วงรัฐบาลแซนดินิสต้าแล้วกลับเป็นฝ่ายเดียวกับรัฐบาล  ทั้งนี้รวมทั้งองค์การเอกชนระหว่างประเทศและในประเทศ.  กล่าวให้ถึงที่สุดแล้ว  องค์การเอกชนระหว่างประเทศถูกดึงดูดเข้าไปทำงานในนิคารากัวก็เพราะขบวนการปฏิวัติของกลุ่มแซนดินิสต้า.  ในช่วงรัฐบาลแซนดินิสต้า ได้มีองค์การเอกชนระหว่างประเทศเข้าไปเปิดสำนักงานอยู่ในนิคารากัวช่วง 1980 เป็นจำนวนถึงกว่า 100 แห่ง.  อย่างไรก็ตาม  หลังที่เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่นำไปสู่การขึ้นสู่อำนาจของนาง Dona Violeta ในปี ค.. 1990 แล้วองค์การเอกชนได้กลับกลายมาเป็นเวทีสำหรับการต่อต้านรัฐบาลขึ้นอีกครั้งหนึ่ง  และได้เกิดการเผชิญหน้าและขัดแย้งกันระหว่างรัฐกับองค์การเอกชนเหมือนดังที่เคยเกิดขึ้นในช่วงก่อนรัฐบาลแซนดินิสต้า  โดยที่รัฐบาลเองก็พยายามที่จะจัดตั้งองค์การเอกชนของตัวเองขึ้นมาดำเนินการในพื้นที่และในด้านที่รัฐเข้าไม่ถึง (Tvedt, 1998: 67-68).  อย่างไรก็ตาม  ปรากฏว่าเงินช่วยเหลือระหว่างประเทศที่ให้ผ่านองค์การเอกชนหลังจากการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองกลับเพิ่มขึ้นสูงเกือบ 3 เท่าจากช่วงทศวรรษ 1980 ที่มีจำนวนเงินเพียง 35-40 ล้านเหรียญดอลล่าร์สหรัฐฯ คือได้เพิ่มขึ้นเป็น 100 ล้านเหรียญดอลล่าร์สหรัฐฯในปี ค..1992.

 

)บทบาทขององค์การเอกชนระหว่างประเทศในประเทศไทย

ยุทธศาสตร์หลักขององค์การเอกชนในประเทศไทย นั้นคือตั้งตัวเป็นพระเอก ที่คอยช่วยเหลือนางเอกที่เป็นเหยื่อของการพัฒนาที่เหลื่อมล้ำ คือให้ความสำคัญแก่ภาคอุตสาหกรรมจนยังความพินาศให้แก่ภาคเกษตรกรรมอันเป็นส่วนใหญ่ของประเทศ.  องค์การเอกชนในประเทศไทยที่ในระยะหลังเรียกกันว่า “อพชหรือ “องค์การพัฒนาเอกชน” จึงต้องต่อสู้กับภาครัฐที่โหดร้าย เป็นรัฐทุนนิยมที่อยุติธรรม  ด้วยการปลุกให้ปัญญาชนและประชาชนในระดับล่างของสังคมรู้สึกถึงการพัฒนาที่ผิดรูปผิดร่าง คือโตแต่หัว แขนขาลีบเรียว, โดยที่ในอีกด้านหนึ่งก็พยายามที่จะเข้าไปเปลี่ยนวิธีคิดของรัฐ คือพยายามที่จะเข้าไปมีส่วนในการกำหนดนโยบายการพัฒนาประเทศ ดังที่จะเห็นได้จากการเข้าไปมีส่วนในการกำหนดแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 8.  ขณะที่ UNEP ระบุว่ามี NGO ที่ทำงานเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาในตะวันตกเป็นจำนวน 1,650 องค์กร  “The Who is Who in the Service to the Earth” ระบุว่าใน ค.ศ. 1991 มีองค์กรด้านสิ่งแวดล้อมจำนวน 2,500 องค์กร โดยองค์กรเอกชนระหว่างประเทศเหล่านี้เชื่อมโยงกับขบวนการ NGOs ในไทยโดยให้เงินสนับสนุนการทำงานด้านสิ่งแวดล้อมและการพัฒนา ข้อมูล พ.. 2538 ระบุว่ามี NGOs ที่ทำงานทางด้านสิ่งแวดล้อมในประเทศไทยมีมากถึง 183 องค์กร (ประภาส, 2541: 129-130).

 

จำนวนเงินช่วยเหลือที่ NGOs ด้านสิ่งแวดล้อมไทยได้รับในปี 2538[8]

ประมาณ                                                             448.127       ล้านบาท

ประมาณ                                                        18,939,555       ดอลลาห์สหรัฐ

ประมาณ                                                             200,000       เหรียญแคนาดา

ผลจากการทำงานร่วมกับประชาชนในพื้นที่ปัญหาขององค์กรพัฒนาเอกชนด้านสิ่งแวดล้อมเหล่านี้ได้ทำให้เกิด “เครือข่ายของชาวบ้านคนยากจนจากชุมชนท้องถิ่นต่างๆ ซึ่งได้รับผลกระทบจากการพัฒนาของรัฐที่เกิดขึ้นท่ามกลางสงครามการแย่งชิงทรัพยากรธรรมชาติ ดิน น้ำ ป่า ระหว่างรัฐและภาคธุรกิจกับชาวบ้านที่อยู่ในชุมชนท้องถิ่น  ทั้งในชนบทและในเมือง นโยบายและโครงการพัฒนาของรัฐ กฎหมาย ฯลฯ ได้รุกรานวิถีชีวิตปกติ ละเมิดสิทธิในการจัดการทรัพยากรของชุมชนท้องถิ่น ทำลายวัฒน-ธรรม ที่แตกต่างหลากหลาย”  ทำให้ทางออกของชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากการพัฒนาจึงอยู่ที่ “ประชาชนต้องเป็นผู้กำหนดแนวทางการพัฒนา ต้องได้รับประโยชน์จากการพัฒนาอย่างแท้จริง  คนจนต้องมีส่วนร่วมในกระบวนการตัดสินใจในโครงการพัฒนาที่ส่งผลกระทบต่อประชาชน” (เอกสารเผยแพร่ฉบับที่ 1 “รวมพลัง ประสานใจ สู่ชัยคนจน”, เดือนมีนาคม 2540; อ้างในประภาส, 2541: 68 และ 87). เนื่องจากองค์การพัฒนาเอกชนเหล่านี้ได้ทำหน้าที่เหมือน “กระจกสะท้อนให้ชาวบ้านเห็นตัวเอง  ชาวบ้านเองไม่มีใครสามารถชักจูงได้  แต่ทำให้ได้คิด  ทำให้ชาวบ้านได้เห็นอีกด้านหนึ่ง ที่ผ่านมาถูกผูกขาดจากด้านเดียวคือราชการ  เมื่อ NGO เข้าไปในหมู่บ้านจึงถูกราชการขึ้นป้ายขับไล่” (ไพจิตร ศิลารักษ์, ชาวบ้านในสมัชชาคนจน, สัมภาษณ์เมื่อ 12 พฤษภาคม 2540 โดยประภาส, 2541: 130) ด้วยการ 1)เสริมสร้างองค์การชุมชนชาวบ้านให้เข้มแข็ง โดยกระบวนการแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ในการต่อสู้เคลื่อนไหว ทั้งภายในชุมชน ระหว่างชุมชนและในเครือข่ายทั้งประเทศ, และ 2)เสริมทักษะในการเตรียมข้อมูลและการเจรจาต่อรองกับรัฐราชการ, และ 3)ท้ายที่สุดคือการเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องในเรื่องปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เกิดผลกระทบจากนโยบายการพัฒนาของรัฐได้ทำให้เกิดการประท้วงครั้งประวัติศาสตร์ของสังคมไทยที่ยืดเยื้อยาวที่สุด คือ การประท้วงของสมัชชาคนจน (ประภาส, 2541: 130). ใน “คำประกาศลำน้ำมูล” หรือ “ปฏิญญาปากมูล” ที่ออกแถลงโดยสมัชชาคนจนได้ลงความเห็นร่วมกันว่า “แนวความคิดที่สนับสนุนแต่เพียงการเติบโตทางเศรษฐกิจของรัฐและภาคธุรกิจเอกชนเป็นแนวคิดที่เป็นอันตรายต่อประชาชนและต่อการพัฒนาสังคม  จึงถือเป็นการจำเป็นอย่างเร่งด่วนที่จะต้องได้รับการแก้ไขและเปลี่ยนแปลงทัศนะ ความคิด ยุทธศาสตร์ และการปฏิบัติในกระบวนการพัฒนา  ทั้งของรัฐและบรรษัทธุรกิจเอกชนเสียใหม่  ตามแนวทางที่จะมุ่งไปสู่ความก้าวหน้าของมวลมนุษยชาติที่ไร้พรมแดน” (คำประกาศลำน้ำมูล หรือ ปฏิญญาปากมูล, 15 ธันวาคม 2538; อ้างในประภาส, 2541: 69).

ตัวแทนชาวบ้านคนหนึ่งในการชุมนุมใหญ่ยกที่ 2 (2540) กล่าวว่า “พวกเรามันคนจน   คนจนจะเอาเงินมาจากไหน  เราไม่มีเงิน  ไม่มีอำนาจ  ไม่มีอาวุธ เกียรติ ศักดิ์ศรี  ยศตำแหน่งก็ไม่มี  คำพูดที่ฉะฉานชัดเจนก็ไม่มี….พวกเรามีแต่เท้า  เราต้องมารวมกันมากๆ  รวมกันนานๆ  เขาถึงจะฟังพวกเรา  การชุมนุมเท่านั้นคือพลังของคนจน” (คำกล่าวของตัวแทนชาวบ้านในการชุมนุมใหญ่ยกที่ 2 (ระหว่างวันที่ 25 มกราคม – 2 พฤษภาคม 2540) หน้าทำเนียบรัฐบาล, มกราคม 2540; อ้างโดยประภาส, 2541: 148. ส่วนการชุมนุมยกที่ 1 เกิดขึ้นในช่วงวันที่ 26 มีนาคม – 23 เมษายน 2539). พวกเขาบางคนเห็นว่า “ทหารอำนาจอยู่ที่ปืน  พวกนักธุรกิจอำนาจอยู่ที่เงิน  พวกเขาสามารถซื้อเสียงผ่านการเป็น ส.. นักการเมืองได้   แต่ในประสบการณ์ของคนจน  อำนาจของคนจนอยู่ที่ตีน” (คำให้สัมภาษณ์ของวีรพล โสภา ตัวแทนชาวบ้านในสมัชชาคนจน, 10 มีนาคม 2540 โดยประภาส, 2541:  150). บำรุง คะโยธา อดีตที่ปรึกษาสมัชชาคนจน แสดงความเห็นว่า “ในประวัติศาสตร์ จับอาวุธสู้เราก็ทำกันมาแล้ว มันได้ข้อสรุปว่าไม่ใช่แนวทาง  อีกพวกหนึ่งก็เข้าสู่ระบบตัวแทนรัฐสภา  แต่คนที่ต่อสู้ร่วมกันมาไปเป็นผู้แทนฯ แต่กลับไปเป็นฝ่ายต่อต้านปากมูล  กรณีครูประเวียนสู้สันติวิธี ผลคือตาย  ต่อสู้ด้วยกฎหมายเขาว่าไม่มีข้อมูล…เพราะฉะนั้นกระบวนการทางกฎหมายไม่ใช่ทางออก  พลังของประชาชนคือการเดินขบวน…การเดินขบวนไม่ใช่เป็นหนทางสุดท้าย  แต่เป็นทางเดียว  การเดินขบวนคือหัวใจที่สำคัญที่สุดของการสร้างอำนาจของประชาชน  การเดินขบวนเป็นการสร้างสะพานเชื่อมของประชาชน  เป็นวิธีการที่ทำให้เกิดอำนาจ คือหัวใจของการสร้างอำนาจ” (คำให้สัมภาษณ์ของบำรุง คะโยธา ที่ให้สัมภาษณ์เมื่อ 15 มีนาคม 2540 โดยประภาส, 2541: 64 และ 151).

 

สถิติการเดินขบวนประท้วงของประชาชน[9]

ปี 2491 มีจำนวนการเดินขบวนประท้วง                                                                              11              ครั้ง

ปี 2500 มีจำนวนการเดินขบวนประท้วง                                                                              23              ครั้ง

ปี 2518-2519 มีจำนวนการเดินขบวนประท้วง                                                                   153              ครั้ง

ปี 2531 มีจำนวนการเดินขบวนประท้วง                                                                            170              ครั้ง

ปี 2533 มีจำนวนการเดินขบวนประท้วง                                                                            170              ครั้ง

ปี 2537 มีจำนวนการเดินขบวนประท้วง                                                                            739              ครั้ง

ปี 2538 มีจำนวนการเดินขบวนประท้วง                                                                            754              ครั้ง

ปี 2539 มีจำนวนการเดินขบวนประท้วง                                                                            772              ครั้ง

ปี 2540 มีจำนวนการเดินขบวนประท้วง                                                                            815              ครั้ง

ปี 2541 มีจำนวนการเดินขบวนประท้วง                                                                            709              ครั้ง

ปี 2542 มีจำนวนการเดินขบวนประท้วง                                                                            786              ครั้ง

ปี 2543 มีแนวโน้มว่าจำนวนการเดินขบวนประท้วงจะเกิน                                             1000             ครั้ง

ช่วงรัฐบาลชาติชายเกิดโดยเฉลี่ย                                                             2 วันต่อ                   1              ครั้ง

ช่วงรัฐบาลชวน 1  และรัฐบาลบรรหาร                                   วันละ                      2              ครั้ง    

การประท้วงด้านสิ่งแวดล้อม ในปี 2537  มีจำนวนทั้งสิ้น                                                  276[10]           ครั้ง

การประท้วงด้านสิ่งแวดล้อม ในปี 2538  มีจำนวนทั้งสิ้น                                                  335              ครั้ง

 

ผลจากการเดินขบวนประท้วงเพื่อเรียกร้องให้รัฐสรุปปัญหาและยอมรับความผิดพลาดในการพัฒนาปรากฏอย่างเป็นรูปธรรมมากที่สุดเมื่อที่ปรึกษารัฐมนตรีท่านหนึ่งในรัฐบาลพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ กล่าวว่า “นายกรัฐมนตรีห้ามรัฐมนตรีและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง แสดงท่าทีต่อผู้ชุมนุมในลักษณะเช่นมีมือที่สามชักจูงมา  ให้ยอมรับว่าชาวบ้านเดือดร้อนจริง  เพราะท่านเชื่อว่าการพัฒนาที่ผ่านมาได้สร้างความเดือดร้อนให้กับชาวบ้าน” (อ้างในประภาส, 2541: 137). โดยที่พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ นายกรัฐมนตรีก็ออกมากล่าว ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2540 ภายหลังการเจรจากับตัวแทนสมัชชาคนจนว่า “เราเป็นรัฐบาลที่มาจากประชาชน  ดังนั้นเราจะแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน  โดยจะยึดเอาปัญหาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนเป็นตัวตั้ง  ไม่ใช่ยึดกฎหมาย กฎระเบียบราชการที่เป็นอุปสรรคต่อการแก้ไขปัญหามาเป็นที่ตั้ง” (อ้างในประภาส, 2541: 171).

 



[1] เนื้อหาเกี่ยวกับสภาวะธรรมชาติของมนุษย์ (State of Nature) และทฤษฎีการกำเนิดรัฐของโทมัส ฮอบส์ (Thomas Hobbes) แปลและเรียบเรียงมาจาก Berns, 1987: 396-420.

[2] “civil laws” คือกฎหมายที่เกี่ยวกับคดีความขัดแย้งระหว่างพลเมืองด้วยกันเอง  ซึ่งต่างจากกฎหมายอาญาอันเป็นความผิดที่พลเมืองละเมิดกฎหมายของรัฐ.

[3] จนถึงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 15 นี่เองที่บิสมาร์ค (Bismarck) สามารถรวบรวมรัฐเยอรมันกลับเข้ามาอยู่ภายใต้การนำของปรัสเซียได้ทั้งหมด  แต่ความพยายามที่จะรวบรวมชาวเยอรมันให้มาอยู่ภายใต้รัฐประชาชาติเดียวกันนี้เองที่กลายเป็นสาเหตุหลักอันหนึ่งที่นำไปสู่สงครามโลกทั้งสองครั้งในคริสต์ศตวรรษที่ 20 และทำให้เยอรมันถูกหั่นออกเป็นชิ้นๆ โดยรัสเซีย, อังกฤษ และฝรั่งเศสในปี ค.. 1945 และแม้ว่าเยอรมันตะวันตกกับตะวันออกจะกลับมารวมกันได้อีกครั้งในปี ค.. 1990  แต่ก็เป็นการรวมโดยปราศจากปรัสเซีย ซึ่งเคยเป็นหัวแรงใหญ่ในการรวมเยอรมันมาก่อน, ดู Pfaff, 1993: 42.

[4] เนื้อหาเกี่ยวกับประวัติและพัฒนาการของธนาคารโลกสรุปความมาจาก คอร์เตน (2542: 210-216).

[5] กองบรรณาธิการวารสารเศรษฐศาสตร์การเมือง (2542: 24). ส่วนกฤช เพิ่มทันจิตต์ ให้ข้อมูลว่าประกอบด้วย 3 องค์การ คือ 1)ธนาคารระหว่างประเทศเพื่อการบูรณะและการพัฒนา (The International Bank for Reconstruction and Development), 2)สมาคมพัฒนาการระหว่างประเทศ (The International Development Association), และ 3)บรรษัทเงินระหว่างประเทศ (The International Finance Corporation); กรุณาดูการวิเคราะห์เกี่ยวกับบทบาทของธนาคารโลกเพิ่มเติมในบทความที่สรุปจากวิทยานิพนธ์ปริญญาเรื่อง “Political Economy of Dependent Capitalist Development: Study on the Limits of the Capacity of the State to Rationalize in Thailand” ที่เสนอต่อมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนียเมื่อปี พ.. 2524 ของ กฤช (2528: 123-212).

[6] หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ประเทศต่างๆ ที่เคยตกเป็นอาณานิคมของตะวันตกได้กลายเป็นเอกราช หลุดพ้นจากการเป็นอาณานิคมของจักรวรรดินิยมตะวันตก. ผู้นำประเทศบางประเทศ เช่น เนห์รู นายกรัฐมนตรีแห่งอินเดีย, ซูการ์โน ประธานาธิบดีแห่งอินโดนีเซีย และนายพลนัสเซอร์ ประธานาธิบดีแห่งอียิปต์ หวาดกลัวว่าประเทศมหาอำนาจตะวันตกจะกลับเข้ามาครอบครองและครอบงำอีก รวมทั้งไม่ต้องการที่จะเข้าไปมีส่วนในความขัดแย้งระหว่างโลกเสรีกับค่ายคอมมิวนิสต์, จึงพยายามหาทางดำเนินการให้ประเทศในเอเซียและแอฟริกาที่เพิ่งได้เอกราชมาใหม่มารวมตัวกันเป็นพลังที่สาม (Third Force) หรือโลกที่สาม (Third World) ซึ่งแตกต่างไปจากโลกเสรี (Free World) หรือโลกคอมมิวนิสต์ (Communist World), ในฐานะที่ประเทศโลกที่สามมีลักษณะคล้ายคลึงกัน คือ 1)เป็นประเทศเกษตรกรรมและกำลังพัฒนาไปสู่อุตสาหกรรม, 2)เคยตกเป็นอาณานิคมของตะวันตก, และ 3)ไม่ต้องการฝักใฝ่กลุ่มประเทศคอมมิวนิสต์หรือกลุ่มประเทศโลกเสรี. ในเดือนเมษายน ค.. 1955  กลุ่มประเทศเหล่านี้ได้จัดประชุมขึ้นที่เมืองบันดุง ประเทศอินโดนีเซีย โดยมีโจว เอิน ไหล นายกรัฐมนตรีของสาธารณรัฐประชาชนจีนเข้าร่วมประชุมด้วย, และที่ประชุมได้ประกาศหลักการอยู่ร่วมกันโดยสันติ หรือที่เรียกกันว่า “หลักปัญจศีล” คือ 1)เคารพในอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของกันและกัน, 2)ไม่ก้าวร้าวรุกรานซึ่งกันและกัน, 3)ไม่แทรกแซงกิจการภายในของกันและกัน, 4)ปฏิบัติต่อกันอย่างเท่าเทียม, และ 5)อยู่ร่วมกันอย่างสันติ. ต่อมาในปี ค.. 1957  ประเทศอียิปต์ก็ได้จัดประชุมคล้ายกันที่กรุงไคโร โดยเรียกว่าการประชุมสมานฉันท์ของประชาชนแห่งเอเชียและแอฟริกา (Solidarity Conference of the Peoples of Asia and Africa) เพื่อประสานประโยชน์และร่วมมือกันในหมู่ประชาชนและประเทศในเอเชียและแอฟริกา และการประชุมดังกล่าวได้นำไปสู่การจัดตั้งขบวนการไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด (Non-aligned Movement – NAM) ในเวลาต่อมา.

[7] การประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา (United Nations Conference on Trade and Development หรือ UNCTAD) ก่อตั้งเมื่อปี พ.. 2507 ที่นครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ โดยมติของสมัชชาใหญ่ขององค์การสหประชาชาติ โดยมีวัตถุประสงค์ให้เป็น “เวทีที่ประเทศพัฒนาแล้วและประเทศกำลังพัฒนาร่วมกันแก้ไขปัญหาข้อพิพาททางการค้าระหว่างกัน  รวมทั้งกระตุ้นการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศสมาชิกและส่งเสริมความร่วมมือและการพัฒนาเศรษฐกิจระหว่างประเทศ” โดยในปัจจุบัน UNCTAD มีสมาชิกอยู่ทั้งหมด 188 ประเทศจากทั่วโลก. ดู หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ (วันจันทร์ที่ 31 มกราคม พ.. 2543) และดู ข่าวศูนย์ศึกษาเอเปค (ศูนย์ศึกษาเอเปค มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต) ฉบับที่ 02/2543 (31 มกราคม 2543).

[8] ยังไม่นับรวมเงินที่ DANCED (Danish Cooperation for Environment and Development) ให้แก่ NGOs ไทยนับแต่ปี 2537-2540 อีกประมาณ 250 ล้านบาท, ข้อมูลจากประภาส (2541: 130).

[9] ข้อมูลส่วนใหญ่ประมวลจากงานของ ประภาส, 2541: 5, 33, 37, และ 38. ส่วนตัวเลขตั้งแต่ปี พ.ศ. 2539 นำมาจากบทความในคอลัมน์ “กาคาบข่าว” เรื่อง “ม็อบ?: กว่า 700 มาทุกปีคราวนี้จะเกินพันถ้าม็อบมาสารพัด รัฐจะทำยังไงกันหนังสือพิมพ์ข่าวสด, วันที่ 16 มิถุนายน 2543.

[10] ประภาสเขียนในหน้า 38 ว่าในปีนี้มีจำนวนเดินขบวนประท้วงเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมถึง 279 ครั้ง.