บทที่ 4
จุดประสงค์: เพื่อให้นักศึกษาเข้าใจและสามารถอธิบายได้เกี่ยวกับปรากฏการณ์กระแสหลัก ที่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยยะสำคัญต่อประชาคมโลกในปัจจุบัน.
สงครามเย็น
(Cold War),
จุดจบของประวัติศาสตร์? และ การปะทะทางอารยธรรม?
สงครามเย็น (Cold War)
ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ความขัดแย้งหลักในการเมืองโลกได้เปลี่ยนจากความขัดแย้งเรื่องการยึดครองอาณานิคมและการแพร่ขยายระบอบจักรวรรดินิยมระหว่างชาติมหาอำนาจด้วยกันเองไปเป็นความขัดแย้งทางอุดมการณ์ระหว่างฝ่ายคอมมิวนิสต์ที่มีประเทศสหภาพโซเวียตเป็นผู้นำ กับฝ่ายเสรีนิยมที่มีสหรัฐอเมริกาเป็นผู้นำ. ความขัดแย้งระหว่างค่ายโลกเสรีกับโลกคอมมิวนิสต์ได้ก่อให้เกิดการแข่งขันการสะสมและผลิตอาวุธปรมาณู-นิวเคลียร์ และก่อให้เกิดความตึงเครียดขึ้นในเวทีการเมืองระหว่างประเทศ จนพร้อมที่จะระเบิดความขัดแย้งให้ขยายตัวออกไปจนเป็นสงครามโลกได้ทุกขณะ, เนื่องจากทั้งสองกลุ่มค่ายได้สร้างเครือข่ายพันธมิตรทางทหารของตนขึ้นมาเพื่อป้องกันการรุกรานของอีกฝ่ายหนึ่ง. กล่าวคือ ทางกลุ่มค่ายโลกเสรีได้สร้างกลุ่มพันธมิตรที่เรียกว่า องค์การสนธิสัญญานาโต้ (North Atlantic Treaty Organization - NATO) ขึ้นเมื่อ ค.ศ. 1949 โดยระบุไว้ในสนธิสัญญาว่า การโจมตีด้วยกำลังต่อสมาชิกประเทศใดประเทศหนึ่งหรือมากกว่านั้นจะถูกพิจารณาว่าเป็นการโจมตีต่อสมาชิกทั้งหมด (อ้างใน จุลชีพ, 2537: 188) โดยมีประเทศสมาชิกคือ อังกฤษ, ฝรั่งเศส, เบลเยี่ยม, เนเธอร์แลนด์, ลักแซมเบอร์ก, อิตาลี, เดนมาร์ก, นอรเวย์, ไอซแลนด์, โปรตุเกส, แคนาดา, และมีสหรัฐฯ เป็นผู้นำ (ต่อมาก็มีกรีซ ตุรกี และเยอรมันตะวันตกเข้าร่วมด้วย, พร้อมกับที่ฝรั่งเศสถอนตัวออกไปจากกลุ่มเมื่อปี ค.ศ. 1952). ส่วนทางกลุ่มค่ายโลกคอมมิวนิสต์ก็มีการทำสัญญาเรียกว่า กติกาสัญญาวอร์ซอ (Warsaw Pact) เมื่อปี ค.ศ. 1955 เพื่อเป็นการตอบโต้ภายหลังจากที่เยอรมันตะวันตกเข้าร่วมอยู่ในกลุ่มนาโต้เมื่อปี ค.ศ. 1955 โดยมีสมาชิกประกอบด้วยประเทศโปแลนด์, ฮังการี, เยอรมันตะวันออก, เชโกสโลวะเกีย, บัลแกเรีย, โรมาเนีย, แอลแบเนีย, และมีสหภาพโซเวียตเป็นผู้นำในการประสานกิจการด้านกำลังทหารและยุทธศาสตร์. นอกจากนี้เมื่อกลุ่มค่ายโลกเสรีได้กำหนดแผนการมาร์แชล (Marshall Plan) ของนายพลจอร์จ ซี. มาร์แชล รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ เพื่อให้ความช่วยเหลือและฟื้นฟูสภาพเศรษฐกิจของยุโรปเมื่อปี ค.ศ. 1947 สหภาพโซเวียตก็จัดตั้งสภาความช่วยเหลือร่วมกันทางเศรษฐกิจ (Comecon) ขึ้นเพื่อให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศสมาชิกคอมมิวนิสต์ในปี ค.ศ. 1949 (ดูภาคผนวก 2).
สาเหตุหลักที่นำไปสู่ความขัดแย้งระหว่างสองค่ายอุดมการณ์ก็คือ ช่วงปลายสงครามโลกครั้งที่ 2 นั้นสหภาพโซเวียตได้ตระหนักถึงปัญหาในเรื่องการดูแลพรมแดนทางบกระยะยาวติดต่อกับหลายประเทศในยุโรปตะวันออก (ดังจะเห็นได้จากการที่สหภาพโซเวียตต้องทำสนธิสัญญากับฮิตเล่อร์ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1939 (พ.ศ. 2482) แต่ก็ถูกฮิตเล่อร์บุกในปี ค.ศ. 1941), สหภาพโซเวียตจึงดำเนินการจัดตั้งแนวปราการต่อต้านการคุกคามจากภายนอก เพื่อเป็น แนวแห่งความมั่นคง ด้วยการส่งทหารเข้าขับไล่ทหารเยอรมันให้ออกไปจากพื้นที่ยุโรปตะวันออกและให้ทหารเข้ายึดครองประเทศต่างๆ ที่มีพรมแดนติดต่อกับสหภาพโซเวียต. ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สหภาพโซเวียตได้สนับสนุนพรรคคอมมิวนิสต์ขึ้นเป็นรัฐบาลในประเทศโปแลนด์, ฮังการี, บัลแกเรีย, โรมาเนีย, และแอลเบเนีย และยังได้สนับสนุนรัฐบาลของยูโกสลาเวียและ เชโกสโลวาเกีย ซึ่งมีผู้นำรัฐบาลที่นิยมและมีท่าทีประนีประนอมกับสหภาพโซเวียต. ต่อมาแม้ว่าจะถูกประเทศตะวันตกประท้วงว่าไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงที่ยัลต้า ที่จะให้มีการเลือกตั้งเสรีขึ้นในประเทศต่างๆ เหล่านี้ สหภาพโซเวียตก็ยอมให้มีการจัดตั้งรัฐบาลผสมระหว่างฝ่ายคอมมิวนิสต์ที่สหภาพโซเวียตสนับสนุนร่วมกับฝ่ายที่ไม่ใช่คอมมิวนิสต์. อย่างไรก็ตาม เมื่อสหภาพโซเวียตเริ่มขยายอิทธิพลเข้าไปในตะวันออกกลางและดินแดนใกล้เคียง เช่น อิหร่าน, ตุรกี, และกรีซ ทำให้สหรัฐฯ เริ่มหวาดระแวงและไม่ไว้วางใจสหภาพโซเวียต. ในอิหร่านนั้นสหภาพโซเวียตส่งทหารเข้ายึดตั้งแต่ปี ค.ศ. 1941 เพื่อขัดขวางการขยายอิทธิพลของเยอรมัน และเพื่อเปิดแนวติดต่อกับฝ่ายสัมพันธมิตร เพื่อการขนส่งเสบียงและอาวุธยุทโธปกรณ์, แต่เมื่อสงครามสิ้นสุดลงแล้วและกองกำลังฝ่ายสัมพันธมิตรอื่นๆ ได้ถอนกำลังออกหมดแล้วแต่สหภาพโซเวียตก็ยังไม่ยอมถอนกำลังทหารออกจากอิหร่าน จนสหรัฐฯ ประกาศว่าจะใช้กำลังเข้าปกป้องอิหร่านในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1946 สหภาพโซเวียตจึงยอมถอนทหารออกไป. ส่วนในตุรกีนั้นสหภาพโซเวียตได้เรียกร้องพรมแดนบางส่วนที่ติดกับสหภาพโซเวียตจากตุรกี และบีบบังคับให้ตุรกียินยอมให้สหภาพโซเวียตมีส่วนร่วมในการควบคุมช่องแคบดาร์ดาแนลซึ่งอยู่ระหว่างทะเลดำกับทะเลเมดิเตอร์เรเนียน, แต่สหรัฐฯ ได้ส่งกองกำลังเข้าช่วยเหลือ สหภาพโซเวียตจึงยุติข้อเรียกร้องดังกล่าว.
ขณะที่ต้องเผชิญหน้ากับกองกำลังของขบวนการคอมมิวนิสต์ รัฐบาลกรีซจึงเรียกร้องขอความช่วยเหลือจากสหรัฐอเมริกา. ประธานาธิบดีฮารี่ ทรูแมนและคณะที่ปรึกษา เริ่มหวาดระแวงยิ่งขึ้นและมองว่าสหภาพโซเวียตกำลังแพร่ขยายอิทธิพลของลัทธิคอมมิวนิสต์ และต้องการขยายดินแดนเพื่อครอบครองโลก และเริ่มคิดว่าสหภาพโซเวียตกำลังต้องการขยายอิทธิพลเข้าไปในยุโรปตะวันตกและบริเวณใกล้เคียง. ดังนั้นเมื่อรัฐบาลอังกฤษแจ้งว่าไม่สามารถให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศทั้งสองได้อีกต่อไปแล้วนั้น ประธานาธิบดีทรูแมนฯ จึงแถลงต่อรัฐสภาของอเมริกาเมื่อวันที่ 12 มีนาคม ค.ศ. 1947 เพื่อขออำนาจในการส่งทหารและพลเรือนไปยังกรีซ และขออนุมัติเงิน 400 ล้านเหรียญดอลล่าร์สหรัฐฯ เพื่อให้ความช่วยเหลือแก่กรีซและตุรกีสำหรับป้องกันการขยายตัวของลัทธิคอมมิวนิสต์ (ดูภาคผนวก 1). นอกจากนี้ ประธานาธิบดีทรูแมนยังประกาศว่า สหรัฐฯ จะช่วยเหลือประชาชนในประเทศต่างๆ ทั้งหลายที่กำลังต่อสู้เพื่อธำรงรักษาไว้ซึ่งเสรีภาพจากการข่มขู่ของชนกลุ่มน้อยที่ถืออาวุธ หรือกองกำลังจากภายนอก และคำแถลงนี้เรียกกันต่อมาว่า หลักการทรูแมน (Truman Doctrine). และกล่าวได้ว่า หลักการทรูแมน เป็นจุดเริ่มต้นของความพยายามของสหรัฐฯ ในการสะกัดกั้นการขยายอิทธิพลของลัทธิคอมมิวนิสต์ซึ่งนำโดยสหภาพโซเวียต ด้วยมาตรการทางการเมือง เศรษฐกิจ และการทหาร ซึ่งรวมถึงการเป็นจุดเริ่มต้นของการปิดล้อมทางทหารรอบๆ สหภาพโซเวียตและประเทศบริวารในยุโรปตะวันออก.
อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์สำคัญที่เป็นเสมือนสัญลักษณ์ของจุดเริ่มต้นสงครามเย็นอย่างแท้จริงคือเหตุการณ์วิกฤตการณ์เบอร์ลิน. เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 กำลังสิ้นสุดลงนั้น เยอรมันถูกยึดครองด้วยกองกำลังฝ่ายสัมพันธมิตรสองกลุ่ม โดยที่จุดบรรจบของเขตยึดครองอยู่ที่กรุงเบอร์ลิน ซึ่งทำให้กรุงเบอร์ลินถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ เบอร์ลินตะวันออกถูกกองกำลังของทหารสหภาพโซเวียตยึดครอง และเบอร์ลินตะวันตกถูกกองกำลังของสัมพันธมิตรตะวันตกยึดครอง. ภายหลังสงคราม สหรัฐฯ ต้องการที่จะฟื้นฟูเยอรมันส่วนที่อยู่ภายใต้เขตยึดครองของตะวันตก ทำให้สหภาพโซเวียตซึ่งไม่ต้องการให้เยอรมันเข้มแข็งขึ้นมาอีกไม่พอใจและหวาดระแวงสหรัฐ และเมื่อกลุ่มพันธมิตรตะวันตก คือสหรัฐฯ, อังกฤษ และฝรั่งเศส ได้ปรึกษาตกลงกันในปี ค.ศ. 1948 ว่าจะให้เยอรมันเป็นเอกราช และต้องการรวมเยอรมันเข้าด้วยกันโดยวิธีการเลือกตั้งเสรี, สหภาพโซเวียตจึงได้ปฏิเสธข้อเสนอนี้ของฝ่ายตะวันตกไป. ต่อมาในเดือนกรกฎคม ค.ศ. 1948 ก็ได้เกิดวิกฤตการณ์เบอร์ลินขึ้น ซึ่งเป็นการเผชิญหน้ากันระหว่างสหภาพโซเวียตกับฝ่ายสัมพันธมิตรตะวันตก โดยกองกำลังของสหภาพโซเวียตได้ดำเนินการปิดกั้นถนนที่ผ่านไปยังเบอร์ลินตะวันตก ทำให้ไม่สามารถขนส่งอาหารและสินค้าต่างๆ ไปยังเบอร์ลินตะวันตกได้. ฝ่ายสัมพันธมิตรตะวันตกได้พยายามช่วยเหลือด้วยการส่งสินค้าและสิ่งของจำเป็นต่างๆ แก่ผู้คนในเขตปิดล้อมในกรุงเบอร์ลินทางอากาศเป็นเวลาเกือบ 1 ปี จนถึงเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1949 สหภาพโซเวียตจึงได้ยกเลิกการปิดกั้นเบอร์ลิน. ในปลายปี ค.ศ. 1949 นั้นเขตเยอรมันที่อยู่ภายใต้การยึดครองของสัมพันธมิตรตะวันตกจึงได้รวมกันเป็นประเทศเอกราชภายใต้ชื่อ สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี หรือเยอรมันตะวันตก, ขณะที่ส่วนที่อยู่ภายใต้การยึดครองของสหภาพโซเวียตก็ได้ถูกประกาศเป็น สาธารณรัฐประชาธิปไตยเยอรมนี หรือเยอรมันตะวันออก. ต่อมาในวันที่ 12 สิงหาคม ค.ศ. 1961 รัฐบาลเยอรมันตะวันออกก็ได้สร้างกำแพงเพื่อแบ่งแยกเขตเบอร์ลินตะวันออกกับเบอร์ลินตะวันตกออกจากกัน และเพื่อป้องกันการลักลอบหลบหนีเข้าไปในเขตเยอรมันตะวันตกของชาวเยอรมันตะวันออก, ขณะที่มีผู้คนจำนวนมากที่ถูกทหารยามยิงตายในขณะที่พยายามหลบหนีด้วยการข้ามกำแพงเบอร์ลินไปในเขตตะวันตก. กล่าวได้ว่า กำแพงเบอร์ลิน ได้กลายเป็นสัญลักษณ์สำคัญของสงครามเย็น ซึ่งเป็นการต่อสู้ขัดแย้งทางอุดมการณ์ และเป็นกำแพงที่แบ่งแยกโลกเสรีกับโลกคอมมิวนิสต์ออกจากกันทั้งในเชิงสัญลักษณ์และในโลกของความเป็นจริง.
ความขัดแย้งระหว่างโลกเสรีกับโลกคอมมิวนิสต์ได้ขยายออกไปสู่ภูมิภาคอื่นๆ อีก โดยเฉพาะหลังจากการได้รับชัยชนะเหนือพรรคก๊กมิ่นตั๋งของพรรคคอมมิวนิสต์จีนในปี ค.ศ. 1949 (พ.ศ. 2492) ซึ่งทำให้สหรัฐฯ เกรงว่าลัทธิคอมมิวนิสต์จะแพร่ขยายตัวไปอีกจึงเริ่มดำเนินนโยบาย ปิดล้อมคอมมิวนิสต์ (Containment Policy) เพื่อปิดกั้นการขยายอิทธิพลของลัทธิคอมมิวนิสต์ และยังได้ขยายนโยบายความมั่นคงร่วมกัน (collective security) เข้ามาในเอเชียโดยการทำสัญญาพันธมิตรทางการทหารกับประเทศต่างๆ ในเอเชีย อาทิเช่น ทำสนธิสัญญากับญี่ปุ่นในปี ค.ศ. 1951, ทำสนธิสัญญากับเกาหลีใต้ในปี ค.ศ. 1952, ทำสนธิสัญญากับไต้หวันในปี ค.ศ. 1954, และต่อมาได้มีการทำสนธิสัญญาป้องกันร่วมกันแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Southeast Asia Treaty Organization - SEATO) โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์ โดยร่วมมือกับกลุ่มประเทศโลกเสรีในตะวันตกกับประเทศในภูมิภาคเอเชีย กล่าวคือ สหรัฐฯ, อังกฤษ, ฝรั่งเศส, ออสเตรเลีย, นิวซีแลนด์, ปากีสถาน, ฟิลิปปินส์, และไทยในปี ค.ศ. 1954. การคิดว่าคอมมิวนิสต์กำลังแพร่ขยายอิทธิพลเข้ามาในทวีปเอเชีย โดยมีจีนเป็นตัวแทนของสหภาพโซเวียตในการแพร่ขยาย ทำให้ประเทศในดินแดนแถบนี้จึงถูกมองว่าเหมือนกับตัวโดมิโนที่จะต้องล้มต่อๆ กันไป กล่าวคือ The head pin was China. It is down already. The two pins in the second row are Burma and Indochina. If they go, the three pins in the next row, Siam, Malaya, and Indonesia, are pretty sure to topple in their turn. And if all the rest of Asia goes, the resulting psychological, political and economic magnetism will almost certainly drag down the four pins of the fourth row, India, Pakistan, Japan and the Philippines (Stewart Alsop, อ้างใน Kennedy, 1987: 382). การคิดว่าลัทธิคอมมิวนิสต์จะแพร่ขยายออกไปเหมือนตัวโดมิโนทำให้สหรัฐฯ ตัดสินใจส่งทหารเข้าไปปฏิบัติการในดินแดนที่เป็นชายขอบของประเทศที่ปกครองด้วยระบบคอมมิวนิสต์ ดังกรณีวิกฤตการณ์ในเกาหลีเมื่อ ค.ศ. 1950 และต่อมาในเวียดนามเมื่อ ค.ศ. 1964 เพื่อสะกัดกั้นการแพร่ขยายของลัทธิคอมมิวนิสต์.
ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ประเทศเกาหลีถูกญี่ปุ่นยึดครอง, ต่อมาเมื่อญี่ปุ่นยอมแพ้กองกำลังทหารของสหภาพโซเวียตได้เข้าควบคุมดูแลดินแดนที่อยู่เป็นส่วนเหนือเส้นขนานที่ 38 ซึ่งต่อมาได้รับจัดตั้งเป็นประเทศเกาหลีเหนือ โดยมีระบอบการปกครองแบบคอมมิวนิสต์ ภายใต้การสนับสนุนของสหภาพโซเวียต, ส่วนกองกำลังทหารของสหรัฐฯ ได้เข้าไปดูแลดินแดนภายใต้เส้นขนานที่ 38 ซึ่งต่อมากลายเป็นประเทศเกาหลีใต้ โดยมีระบอบการปกครองแบบเสรีประชาธิปไตย ภายใต้การสนับสนุนของสหรัฐฯ. ต่อมาเมื่อเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1950 กองกำลังทหารของประเทศเกาหลีเหนือภายใต้การสนับสนุนของสหภาพโซเวียตได้เข้าบุกโจมตีเกาหลีใต้เพื่อรวมประเทศทั้งหมดให้อยู่ภายใต้การปกครองแบบคอมมิวนิสต์. เมื่อเกาหลีเหนือรุกผ่านเส้นขนานที่ 38, สหรัฐฯ มองว่าการบุกโจมตีเกาหลีใต้เป็นการท้าทายของฝ่ายคอมมิวนิสต์ที่พยายามขยายอิทธิพลเข้ามาในเอเชีย, สหรัฐฯ จึงได้ประท้วงต่อคณะมนตรีความมั่นคงแห่งองค์การสหประชาชาติ และคณะมนตรีความมั่นคงฯ ก็ได้มีมติให้ใช้กำลังทหารเข้าตอบโต้ (โดยการลงมติดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงที่ตัวแทนของสหภาพโซเวียตกำลังประท้วงจึงไม่ได้เข้าร่วมประชุมในการลงมติดังกล่าว). กองกำลังทหารของฝ่ายสหประชาชาติภายใต้การบัญชาการของนายพลดักลาส แมคอาเธอร์ (Douglas MacArthur) จึงบุกตอบโต้จนเกาหลีเหนือถอนกลับไปถึงเส้นขนานที่ 38 ในช่วงเดียวกันนั้นประเทศจีนก็ได้ออกมาเตือนมิให้กองกำลังของสหประชาชาติที่นำโดยสหรัฐฯ ล่วงล้ำดินแดนเกาหลีเหนือ คือบุกเลยเส้นขนานที่ 38 ขึ้นไปมิฉะนั้นจีนจะเข้าไปสู้รบในสงครามด้วย; เนื่องจากประเทศเกาหลีเหนืออยู่ติดชายแดนจีน, จีนจึงรู้สึกว่าตนกำลังถูกคุกคามอำนาจอธิปไตยและความมั่นคง. และเมื่อกองกำลังของสหประชาชาติไม่สนใจคำเตือน และได้บุกเลยเส้นขนานที่ 38 ขึ้นไป ประเทศจีนก็ตัดสินใจส่งกองกำลังทหารเข้าปะทะกับกองกำลังของสหประชาชาติที่แม่น้ำยาลูในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1950 (พ.ศ. 2493). การสู้รบยืดยื้อและไม่มีฝ่ายใดชนะเด็ดขาด, แต่จีนก็สูญเสียกำลังทหารและทรัพยากรไปเป็นจำนวนมาก. ประธานาธิบดีทรูแมนแห่งสหรัฐฯ ไม่ต้องการให้ขยายสงครามออกไปจนควบคุมไม่ได้ ซึ่งขัดแย้งกับความเห็นนายพลแมคอาร์เธอร์, ประธานาธิบดีทรูแมนจึงได้ปลดนายพลแมคอาเธอร์จากตำแหน่งผู้บัญชาการรบ. จนในที่สุดสหภาพโซเวียตก็เสนอให้มีการเจรจายุติความขัดแย้ง โดยในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2494 เมื่อตัวแทนของสหภาพโซเวียตได้กลับเข้าร่วมประชุมของคณะมนตรีความมั่นคงอีกครั้ง และได้เสนอให้มีการเจรจายุติความขัดแย้งในคาบสมุทรเกาหลี ซึ่งการเจรจาได้ดำเนินเป็นเวลานานจนกระทั่งสามารถลงนามในข้อตกลงหยุดยิงได้ในปี ค.ศ. 1953 (พ.ศ. 2496) สงครามเกาหลีจึงยุติลง.
ห้วงเวลาขณะนับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1951 (พ.ศ. 2494) นายพลดไวต์ ไอเซนฮาวร์ (Dwight D. Eisenhower) ก็เริ่มใช้ประเด็นการต่อต้านคอมมิวนิสต์ในการหาเสียงเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี โดยกล่าวหาว่าประธานาธิบดีฮารี่ ทรูแมนทำให้โลกเสรีต้องสูญเสียจีนไปให้แก่ฝ่ายคอมมิวนิสต์ในปี ค.ศ. 1949 (พ.ศ. 2492) ซึ่งเป็นผลทำให้การเมืองสหรัฐฯ เริ่มเดินเข้าสู่ยุคต่อต้านคอมมิวนิสต์อย่างเต็มรูปแบบตามนโยบายของโจเซฟ แมคคาร์ธี ซึ่งเป็นที่ปรึกษาประธานาธิบดี. การปฏิวัติของประเทศจีน, สงครามเกาหลี, และต่อมาคือการที่ฝรั่งเศสพ่ายแพ้ในเวียดนามในปี ค.ศ. 1954 (พ.ศ. 2497) ซึ่งกลายเป็นจุดแตกหักที่ทำให้ฝรั่งเศสต้องสูญเสียอาณานิคมแห่งนี้ไป และทำให้สหรัฐฯ เห็นความจำเป็นที่จะต้องดำเนินนโยบายเข้ามาแสดงบทบาทในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างเต็มที่ และดำรงบทบาทนั้นต่อมาตราบจนสิ้นสุดสงครามเวียดนามในปี ค.ศ. 1975 (พ.ศ. 2518).
การเข้ามาแสดงบทบาทอย่างเต็มที่ของสหรัฐฯ ทำให้สงครามเย็นระหว่างสองอภิมหาอำนาจนั้นกลายเป็น สงครามร้อนที่ระอุอ้าว ขึ้นในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวคือ สงครามระหว่างเวียดนามเหนือซึ่งมีระบอบการปกครองแบบคอมมิวนิสต์กับเวียดนามใต้ซึ่งมีระบอบการปกครองแบบเสรีประชาธิปไตยโดยมีสหรัฐหนุนหลัง. กล่าวได้ว่า พัฒนาการของความขัดแย้งในเวียดนาม ซึ่งเป็นอดีตอาณานิคมของฝรั่งเศสนั้น เริ่มขึ้นตั้งแต่ช่วงต้นสงครามโลกครั้งที่ 2. กล่าวคือในปี ค.ศ. 1939 (พ.ศ. 2482) เมื่อประเทศฝรั่งเศสถูกกองทัพนาซีเยอรมันเข้ายึดครอง, ประเทศญี่ปุ่นก็ดำเนินการเข้ายึดเวียดนาม. ในช่วงสงครามนั้นก็ได้เปิดโอกาสให้โฮ จิ มินห์ ผู้นำคอมมิวนิสต์ ซึ่งดำเนินการต่อสู้เพื่อเอกราชมาตั้งแต่ก่อนสงคราม (ดู Sud Chonchirdsin, 1995) และได้จัดตั้งขบวนการต่อสู้เพื่อเอกราชชื่อ เวียดมินห์ ขึ้นในปี ค.ศ. 1941 (พ.ศ. 2483) เพื่อดำเนินการต่อสู้กับฝรั่งเศสที่กำลังอ่อนแอ และต่อสู้กับญี่ปุ่นที่กำลังรุกราน ด้วยความช่วยเหลือของมวลชน. ต่อมาในวันที่ 2 กันยายน ค.ศ. 1945 ในขณะที่ญี่ปุ่นกำลังแพ้สงคราม, เวียดนามก็ได้ประกาศเอกราช พร้อมกับที่เริ่มต่อสู้กับฝรั่งเศสที่พยายามกลับเข้ามามีอำนาจในอินโดจีนอีกครั้ง. อย่างไรก็ตาม เมื่อฝ่ายสัมพันธมิตรได้ชัยชนะในสงครามก็ได้ส่งกองกำลังทหารเข้ามาปลดอาวุธทหารญี่ปุ่นในเวียดนาม ซึ่งทำให้ฝรั่งเศสสามารถกลับมาครอบครองเวียดนามเป็นอาณานิคมได้อีกครั้งหลังสงครามโลกครั้งที่ 2, แต่ก็ต้องเผชิญกับการต่อต้านจากขบวนการเวียดมินห์อย่างดุเดือด. ในที่สุดในปี ค.ศ. 1954 (พ.ศ. 2497) ฝรั่งเศสก็พ่ายแพ้พรรคคอมนิสต์เวียดนาม (เวียดมินห์) ที่สมรภูมิเดียนเบียนฟู อันเป็นที่มั่นสำคัญของฝรั่งเศส และความพ่ายแพ้ครั้งนี้ได้นำไปสู่การเจรจาตกลงให้แบ่งเวียดนามออกเป็น 2 ประเทศ คือประเทศเวียดนามเหนือที่ปกครองโดยระบบคอมมิวนิสต์ กับเวียดนามใต้ที่ปกครองแบบประชาธิปไตย โดยมีกษัตริย์เป็นประมุข ตามสนธิสัญญาสันติภาพเจนีวา (กรกฎาคม ค.ศ. 1954). และเมื่อฝรั่งเศสประกาศให้เอกราชแก่เวียดนามใต้, สหรัฐฯ จึงเข้ามาช่วยเหลือสนับสนุนแก่เวียดนามใต้ เพื่อต่อต้านกับการแพร่ขยายของลัทธิคอมมิวนิสต์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้. ภายหลังจากที่มีการแบ่งแยกออกเป็น 2 ประเทศได้ไม่นานนัก, กองทัพของเวียดนามเหนือก็พยายามรวมประเทศให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอีกครั้งด้วยการให้ความช่วยเหลือแก่ขบวนการเคลื่อนไหวของประชาชนในเวียดนามใต้ ที่มีชื่อจัดตั้งว่า เวียดกง ซึ่งทำให้สงครามในอินโดจีนเริ่มปะทุกลับขึ้นมาอีกครั้งในปี ค.ศ. 1965 และจบลงด้วยชัยชนะของเวียดนามเหนือที่สามารถบุกยึดกรุงไซ่ง่อนได้ในเมษายน ค.ศ. 1975 แม้ว่าจะได้รับการต่อต้านอย่างหนักจากกองกำลังของสหรัฐฯ ที่เข้ามาตั้งฐานทัพอยู่ทั้งในเวียดนามใต้และในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่ก็ต้องพ่ายแพ้อย่างหมดรูปของกองทัพสหรัฐฯ ในสงครามเวียดนาม (ดู เหงียน เกา กี, 2520).
การเผชิญหน้าขัดแย้งกันระหว่างทั้งสองค่ายในช่วงสงครามเย็นได้นำไปสู่การพัฒนาอาวุธที่มีอานุภาพการทำลายที่สูงยิ่งขึ้นทุกที และดูเหมือนจะไม่มีใครจะสามารถชนะโดยไม่สูญเสียเลย. ในช่วงแรกนั้น แม้ว่าสหภาพโซเวียตจะเป็นรองด้านพลานุภาพด้านอาวุธ แต่ต่อมาก็สามารถทดลองระเบิดปรมาณูได้สำเร็จในปี ค.ศ. 1949, ระเบิดไฮโดรเจนในปี ค.ศ. 1953, และต่อมาในปี ค.ศ. 1957 สหภาพโซเวียตก็สามารถส่งดาวเทียมชื่อสปุตนิก (Sputnik) ขึ้นไปโคจรรอบโลกได้สำเร็จเป็นประเทศแรกในโลก อันแสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีของสหภาพโซเวียต, และต่อมาสามารถพัฒนาขีปนาวุธข้ามทวีป (Intercontinental Ballistic Missile-ICBM) ที่จะสามารถส่งหัวรบนิวเคลียร์จากสหภาพโซเวียตข้ามทวีปไปถล่มทำลายสหรัฐฯ ได้. จนกระทั่งว่า ถ้าหากว่าเกิดความขัดแย้งตึงเครียดขึ้นมารุนแรงจริงๆ ก็อาจนำไปสู่สงครามนิวเคลียร์และความพินาศของโลกทั้งหมด. สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างสองค่ายมีสภาพเหมือนดังที่วินสตัน เชอร์ชิล อดีตนายกรัฐมนตรีของอังกฤษเคยกล่าวไว้ว่าคือ ดุลยภาพแห่งความหวาดกลัว (Balance of Terror) คือเป็นการแข่งขันทางอำนาจที่ไม่มีผู้ชนะ, นอกจากความหวาดกลัวต่อกันปราศจากสันติสุข.
อย่างไรก็ตาม ในช่วงภาวะของสงครามเย็นที่มีความขัดแย้งตึงเครียดระหว่างฝ่ายโลกเสรีกับฝ่ายคอมมิวนิสต์นั้นก็ได้เกิดความขัดแย้งขึ้นทั้งในกลุ่มประเทศคอมมิวนิสต์ ระหว่างสหภาพโซเวียตกับจีนที่พยายามแสวงหาแนวทางที่เป็นอิสระจากโซเวียตในการดำเนินความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ, และได้เกิดความขัดแย้งในกลุ่มโลกเสรีเอง เมื่อฝรั่งเศสต้องการความเป็นอิสระในการดำเนินนโยบายต่างประเทศ จึงขอถอนตัวออกจากการเป็นสมาชิกนาโต้ และทำให้สำนักงานใหญ่ขององค์การนาโต้ต้องย้ายจากกรุงปารีสไปยังกรุงบรัสเซลล์ ประเทศเบลเยี่ยมเมื่อปี ค.ศ. 1952. ส่วนในทางด้านประเทศในโลกที่สามเองก็พยายามรวมกลุ่มกัน เพราะไม่ต้องการเข้าไปอยู่ในโครงสร้างของความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ กับสหภาพโซเวียต อันนำไปสู่การก่อตั้งขบวนการไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด (Non-aligned Movement - NAM) ซึ่งเริ่มการประชุมกันครั้งแรกที่บันดุง ประเทศอินโดนีเซีย เมื่อปี ค.ศ. 1955.
ในฝ่ายโลกเสรีนั้น ประเด็นความขัดแย้งที่สำคัญคือ ประเทศฝรั่งเศสไม่พอใจกับอิทธิพลของสหรัฐฯ ในยุโรปตะวันตก และฝรั่งเศสต้องการดำเนินนโยบายต่างประเทศอย่างอิสระ ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญให้ฝรั่งเศสถอนตัวจากการเป็นสมาชิกของนาโต้ และทำให้สำนักงานใหญ่ของนาโต้ต้องย้ายไปยังกรุงบรัสเซลล์ ประเทศเบลเยี่ยม. นอกจากนี้ฝรั่งเศสยังต้องการสร้างอาวุธนิวเคลียร์ด้วยตนเอง ซึ่งทำให้นายพลชาร์ล เดอร์โกล นายกรัฐมนตรีฝรั่งเศสในขณะนั้นไม่ยอมลงนามในข้อตกลงจำกัดอาวุธนิวเคลียร์ในปี ค.ศ. 1963. และฝรั่งเศสเองก็พยายามเป็นผู้นำในยุโรปด้วยการสร้างตลาดร่วมยุโรป (Common Market) เพื่อช่วยเหลือและร่วมกันทางเศรษฐกิจ ที่พัฒนามาเป็นประชาคมยุโรปในปัจจุบัน.
ส่วนในค่ายคอมมิวนิสต์นั้น การที่โจเซฟ สตาลิน ผู้นำของสหภาพโซเวียตใช้ความรุนแรงกำจัดศัตรูทางการเมืองของตนจำนวนมากก็ได้ก่อให้เกิดศัตรูแก่เขาเป็นจำนวนมากเช่นกัน. ดังนั้นหลังจากที่สตาลินสิ้นชีวิต, นิกิตา ครุสซอฟ (Nikita Khrushchev) ซึ่งได้ขึ้นมามีอำนาจเป็นเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์โซเวียตและผู้นำสูงสุดของสหภาพโซเวียตแทนนั้นก็ได้ออกแถลงการณ์ประณามความโหดร้ายของสตาลินและ อาชญากรรม ในยุคของสตาลินในการประชุมสมัชชาพรรคคอมมิวนิสต์โซเวียตครั้งที่ 20 เมื่อปี ค.ศ. 1956. ครุสซอฟแสดงความเห็นว่า การปฏิวัติจะสามารถดำเนินเพื่อให้บรรลุเป้าหมายได้โดยไม่จำเป็นต้องใช้วิธีการรุนแรงเหมือนกับในยุคของสตาลิน และเริ่มดำเนินนโยบายประนีประนอมอะลุ้มอะล่วยกับประเทศบริวารโดยไม่ได้ควบคุมอย่างเข้มงวดเหมือนยุคสตาลิน. ผลกระทบที่ตามมา ก็คือเกิดการเรียกร้องเสรีภาพกันขึ้นอย่างกว้างขวาง อาทิ กรรมกรโรงงานในโปแลนด์เดินขบวนประท้วงรัฐบาลเมื่อมิถุนายน ค.ศ. 1956. ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในโปแลนด์ทำให้ผู้นำสหภาพโซเวียตคิดจะใช้กำลังเพื่อยุติปัญหา, แต่ผู้นำของโปแลนด์ก็พยายามชักชวนให้สหภาพโซเวียตประนีประนอมและร่วมมือกันแก้ปัญหา โดยชี้ให้เห็นว่าการลดการควบคุมโปแลนด์ไม่ได้ทำให้โปแลนด์เป็นภัยต่อความมั่นคงของโซเวียต หรือเป็นผลเสียต่อระบบคอมมิวนิสต์. ส่วนในประเทศฮังการีก็เกิดการเดินขบวนประท้วงรัฐบาลในปีเดียวกันนั้น และผู้นำของพรรคคอมมิวนิสต์ฮังการีประกาศจะถอนตัวออกจากการเป็นสมาชิกกติกาสัญญาวอร์ซอ จนทำให้ครุสซอฟตัดสินใจส่งทหารเข้าปราบและได้จัดการให้กลับอยู่ในการควบคุมของโซเวียตได้ภายใน 2 วัน. อย่างไรก็ตาม ความขัดแย้งในกลุ่มค่ายคอมมิวนิสต์ที่สำคัญคือความขัดแย้งระหว่างจีนกับโซเวียต. กล่าวคือ ภายหลังที่จีนคอมมิวนิสต์ยึดอำนาจจากพรรคก๊กมิ่นตั๋งได้อย่างเด็ดขาดในปี ค.ศ. 1949 แล้วก็สถาปนาระบอบการปกครองแบบคอมมิวนิสต์ขึ้นในสาธารณรัฐประชาชนจีน และได้มีความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกับสหภาพโซเวียต โดยมีการลงนามสัญญามิตรและความช่วยเหลือซึ่งกันและกันเป็นเวลา 30 ปีเมื่อปี ค.ศ. 1950 ซึ่งจะเป็นการประกันความมั่นคงให้กับจีนที่ยังอ่อนแอและกำลังพัฒนาประเทศทั้งทางเศรษฐกิจและทหาร เนื่องจากจีนกำลังถูกคุกคามจากการส่งเรือรบเข้าไปช่วยเหลือเกาะไต้หวันของกองทัพสหรัฐฯ. การเข้าไปมีความสัมพันธ์กับสหภาพโซเวียตทำให้จีนถูกจำกัดเสรีภาพและความคล่องตัวในการดำเนินนโยบายต่างประเทศ แต่ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศทั้งสองกลับเสื่อมลงหลังการมรณกรรมของสตาลิน โดยเฉพาะหลังจากที่ครุสซอฟ เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์สหภาพโซเวียตคนใหม่ได้ออกแถลงการณ์ประณามสตาลินในการประชุมใหญ่ครั้งที่ 20 ของพรรค (ค.ศ. 1956) ว่าเป็นผู้นำที่โหดร้าย. ผู้นำจีนไม่เห็นด้วยกับพฤติกรรมดังกล่าว และต่อมาประกาศเลิกยกย่องความเป็นผู้นำของโซเวียต. ความขัดแย้งดังกล่าวมีสาเหตุสำคัญมาจากการตีความอุดมการณ์มาร์กซิสม์-เลนินนิสม์ เพราะจีนมีความเห็นว่าโซเวียตภายใต้การนำของครุสซอฟได้เบี่ยงเบนไปจากอุดมการณ์ปฏิวัติของมาร์กซิสม์-เลนินนิสม์ คือลดความเคร่งครัดทางอุดมการณ์, อีกทั้งมีท่าทีประนีประนอมกับสหรัฐฯ. ความขัดแย้งดังกล่าวข้างต้นทำให้จีนวิพากษ์วิจารณ์จนทำให้สหภาพโซเวียตตัดสินใจระงับและยุติการให้ความช่วยเหลือแก่จีน. นอกจากนี้ จีนยังขัดแย้งกับสหภาพโซเวียตในเรื่องการให้ความช่วยเหลือจีนผลิตอาวุธนิวเคลียร์ ที่โซเวียตตั้งเงื่อนไขที่จีนรับไม่ได้ จนทำให้จีนตัดสินใจสร้างระเบิดนิวเคลียร์เองแทนที่จะรับความช่วยเหลือจากสหภาพโซเวียต. อย่างไรก็ตาม ความขัดแย้งที่รุนแรงที่สุดระหว่างจีนกับสหภาพโซเวียตนั้น คือการพิพาทกันเรื่องพรมแดน ซึ่งเป็นความขัดแย้งกันเหนือดินแดนที่มีพื้นที่มากกว่า 35,000 ตารางกิโลเมตร โดยส่วนใหญ่เกิดปัญหาจากสนธิสัญญาที่ไม่เท่าเทียมกันหลายฉบับนับตั้งแต่ในสมัยพระเจ้าซาร์กับจีนในสมัยราชวงศ์ชิงตั้งแต่ปี ค.ศ. 1689 จนถึงปี ค.ศ. 1884. ความขัดแย้งดังกล่าวนำไปสู่การปะทะกันด้วยกำลังครั้งใหญ่ที่เกาะเจินเป่า (Damansky) ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1969 และในช่วงปี ค.ศ. 1960-1985 นั้นกำลังทหารของทั้งสองประเทศก็ปะทะกันเป็นครั้งคราว และมีการระดมทหารมาประจำอยู่ตามพรมแดนเป็นจำนวนมาก. ข้อมูลแห่งหนึ่งอ้างว่าในกลางทศวรรษ 1970 นั้นประมาณ 25% ของการเตรียมการทางทหารสหภาพโซเวียตอยู่ที่พรมแดนจีน, ในขณะที่ประมาณ 60% ของกองกำลังทหารราบจีนก็ย้ายไปประจำที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของจีนที่ติดกับพรมแดนสหภาพโซเวียต (เขียน, 2541: 459). นอกจากนี้ สหภาพโซเวียตยังส่งกำลังทหารจำนวนมากไปประจำฐานทัพและติดตั้งอาวุธทันสมัยอยู่ในประเทศต่างๆ ที่ตั้งอยู่แวดล้อมประเทศจีน คือ มองโกเลีย อัฟกานิสถาน และเวียดนาม.นอกจากจีนแล้ว ในทศวรรษที่ 1960 เป็นต้นมานั้นประเทศในยุโรปตะวันออกต่างก็พยายามที่จะดำเนินนโยบายต่างประเทศที่เป็นอิสระจากโซเวียตมากขึ้น จนกล่าวได้ว่ากลุ่มประเทศคอมมิวนิสต์มิได้มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเหมือนช่วงแรก.
ความขัดแย้งในทั้งกลุ่มค่ายทำให้ภาวะความขัดแย้งในสงครามเย็นลดความตึงเครียดลงอย่างมาก,
นอกจากนี้ผู้นำสหภาพโซเวียตและผู้นำจีนคอมมิวนิสต์ในช่วงหลังๆ
ก็เริ่มดำเนินนโยบายเปิดเสรีมากยิ่งขึ้นและเริ่มดำเนินความสัมพันธ์ทางการทูตในภาวะปกติกับโลกเสรี
โดยเฉพาะกับสหรัฐฯ ในภาวะที่ปกติมากขึ้น.
โดยในส่วนของผู้นำจีนนั้น
สหรัฐฯได้จัดส่งคณะทูตเข้าไปติดต่อสัมพันธ์ในช่วงต้นทศวรรษ 1970
ดังที่เรียกกันต่อมาเป็นการดำเนินนโยบายทางการทูตด้วยการใช้เทเบิลเทนนิส (Pingpong
Policy) เป็นเครื่อง ดังที่จะเห็นได้จากภาพยนตร์เรื่อง Forest
Gump
ซึ่งในที่สุดแล้วได้นำไปสู่การตั้งสถานทูตแลกเปลี่ยนกันในทั้งสองประเทศ. ส่วนทางด้านสหภาพโซเวียตนั้น
การดำเนินนโยบายกลาสนอสและเปเรสตรอยกาของนายมิคาอิล
กอร์บอชอฟที่ต้องการเปิดเสรีทางการเมืองและเศรษฐกิจ ก็ได้นำไปสู่การสร้างความสัมพันธ์อันดีกับทางโลกเสรี
และในที่สุดทำให้บรรยากาศของการเจรจาลดและจำกัดการผลิตอาวุธนิวเคลียร์ก็เป็นจริงมากยิ่งขึ้น จนท้ายที่สุดก็นำไปสู่เหตุการณ์สำคัญในช่วงท้ายๆ
ที่นำไปสู่การล่มสลายของสหภาพโซเวียตและการยุติลงของสงครามเย็น กล่าวคือ ในปี ค.ศ.
1986
หนังสือพิมพ์สหภาพโซเวียตเริ่มวิพากษ์วิจารณ์อาชญากรรมในสมัยสตาลินอีกครั้ง
หลังจากที่เงียบหายไปเมื่อสิ้นสุดยุคครุสซอฟในทศวรรษที่ 1960. เสรีภาพของข่าวสารได้ขยายตัวไปอย่างรวดเร็วหลังจากนั้น, และในปี 1989 กอร์บอชอฟ
ซึ่งเป็นเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์อยู่ในขณะนั้นและผู้นำคนอื่นๆ
ก็เริ่มถูกโจมตีอย่างเปิดเผยในหน้าหนังสือพิมพ์, จนกระทั่งในปี
ค.ศ. 1990 และ 1991
ก็เกิดมีการเดินขบวนประท้วงขนาดใหญ่ขึ้นจำนวนมากในสหภาพโซเวียตเพื่อเรียกร้องให้กอร์บอชอฟลาออก. ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1989
เมื่อมีการเลือกตั้งรัฐสภาที่เพิ่งผ่านการปฏิรูปของสหภาพโซเวียต
และการเลือกตั้งอื่นในสาธารณรัฐต่างๆ ของสหภาพโซเวียตก็จะมีตามมาในปีต่อๆ ไปนั้น
พรรคคอมมิวนิสต์พยายามที่จะเอาชนะใจมวลชน
แต่ก็ปรากฏว่าสมาชิกสภาในระดับต่างๆ กลับเป็นคนภายนอกพรรคมากยิ่งขึ้นทุกที. ในขณะเดียวกันนั้น
บรรยากาศทางการเมืองในยุโรปตะวันออกก็เริ่มเคลื่อนไปในทิศทางของการเปิดเสรีมากยิ่งขึ้น
โดยในต้นปี ค.ศ. 1989
นักปฏิรูปในพรรคสังคมนิยมแรงงานแห่งฮังการี (Hungarian Socialist Workers
Party) ประกาศแผนที่จะจัดให้มีการเลือกตั้งเสรีแบบหลายพรรคในปีต่อไป
และในเดือนเมษายนของปี ค.ศ. 1989 นั้นก็มีการตกลงร่วมกันระหว่างพรรคแรงงานโปแลนด์กับสหภาพการค้าโซลิดาริตี้
(Solidarity trade union) ซึ่งได้นำไปสู่ชัยชนะของรัฐบาลฝ่ายโซลิดาริตี้เหนือพรรคคอมมิวนิสต์ในการเลือกตั้งเดือนกรกฎาคม
ค.ศ. 1989. ต่อมาในเดือนกรกฎาคมและสิงหาคม
ค.ศ. 1989
นั้นก็มีผู้คนเรือนแสนจากเยอรมันตะวันออกหลบหนีไปยังเยอรมันตะวันตก
ซึ่งนำไปสู่วิกฤตการณ์ครั้งใหญ่หลังการสร้างกำแพงเบอร์ลินเมื่อปี ค.ศ. 1961 และนำไปสู่การทำลายกำแพงเบอร์ลินในปี ค.ศ. 1989 พร้อมกับการล่มสลายของประเทศเยอรมันตะวันออก.
เมื่อเยอรมันตะวันออกล่มสลายก็กลายเป็นชนวนให้นำไปสู่การล่มสลายของรัฐบาลคอมมิวนิสต์อื่นๆ
ในเชคโกสโลวาเกีย, บัลแกเรีย, และโรมาเนีย. ครั้งถึงต้นปี ค.ศ. 1991 ประเทศคอมมิวนิสต์ทั้งหลายในยุโรปตะวันออก รวมทั้งอัลแบเนียและรัฐต่างๆ
ในประเทศยูโกสลาเวียก็เปิดให้มีการเลือกตั้งอย่างเสรี. พรรคคอมมิวนิสต์ถูก ถีบ ออกจากสำนักงานต่างๆ ของรัฐบาลเกือบทุกประเทศ
ยกเว้นในโรมาเนีย, เซอร์เบีย, อัลแบเนีย,
และบัลแกเรีย (รัฐบาลพรรคคอมมิวนิสต์ในบัลแกเรียนั้นก็ถูกบีบให้ลาออกภายในเวลาไม่นานนัก).
กล่าวได้ว่า ประเทศสมาชิกต่างๆ
ของกลุ่มสนธิสัญญาวอร์ซอว์แห่งกลุ่มค่ายคอมมิวนิสต์ได้ล่มลงไปจนหมดสิ้น
และกองกำลังของสหภาพโซเวียตก็ถูกบีบบังคับให้ถอนออกไปจากยุโรปตะวันออก. ต่อมาในเดือนมกราคม ค.ศ. 1990 มาตราที่ 6
ของรัฐธรรมนูญสหภาพโซเวียตที่เขียนกำหนดให้พรรคคอมมิวนิสต์เป็นพรรคที่ต้องมีบทบาทนำ
(a leading role) ถูกยกเลิกใช้อย่างเป็นทางการ
ซึ่งหมายความว่าพรรคการเมืองใดก็สามารถเข้ามาเป็นรัฐบาลสหภาพโซเวียตก็ได้ถ้าชนะการเลือกตั้งเข้ามา. พร้อมกับการยกเลิกมาตราที่
6 ก็เกิดมีการตั้งพรรคการเมืองอื่นๆ
ที่ไม่ใช่พรรคคอมมิวนิสต์ขึ้นจำนวนหนึ่งในสหภาพโซเวียต
ซึ่งสามารถขึ้นไปมีอำนาจในรัฐบาลท้องถิ่นในบางสาธารณรัฐ. และที่น่าสนใจก็คือการที่บอริส
เยลซิน (Boris Yeltsin) ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐรัสเซียในฤดูใบไม้ผลิปี
ค.ศ. 1990 ผู้ซึ่งต่อมาได้ลาออกจากพรรคคอมมิวนิสต์พร้อมผู้สนับสนุนของเขาอีกจำนวนมาก. นักการเมืองกลุ่มนี้ได้เริ่มต้นโฆษณาถึงการรื้อฟื้นเรื่องสิทธิเสรีภาพเหนือทรัพย์สินส่วนตัวและระบบเศรษฐกิจแบบตลาดขึ้นมาใช้อีกครั้ง
(หมายถึงการล้มเลิกระบบการปกครองแบบสังคมนิยมคอมมิวนิสต์).
ในปี ค.ศ. 1990 รัฐสภาที่มาจากการเลือกตั้งในทุกสาธารณรัฐของสหภาพโซเวียต
(รวมทั้งรัสเซียและยูเครน) ต่างก็ประกาศ
อำนาจอธิปไตย (sovereignty) ของตน, ขณะที่สาธารณรัฐบางแห่งในทะเลบอลติกไปไกลกว่านี้อีกด้วยการประกาศเอกราชสมบูรณ์
(Complete independence) โดยไม่ขึ้นกับสหภาพโซเวียตอีกต่อไปในเดือนมีนาคม
ค.ศ. 1990 ซึ่งนำไปสู่การถกเถียงกันอย่างกว้างขวางในสหภาพโซเวียตว่าควรจะรักษาสหภาพโซเวียตไว้อีกต่อไปหรือไม่
และเหตุการณ์ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้สหภาพโซเวียตล่มสลายลง. ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1991 รัสเซียก็เปิดประชุมรัฐสภาที่มาจากการเลือกตั้งเสรีขึ้นเป็นครั้งแรก
และเลือกให้บอริส เยลต์ซิน เป็นประธานาธิบดีของสหพันธรัฐรัสเซีย (Russian
Federation) ซึ่งเท่ากับเป็นการเร่งเครื่องให้ถอดถอนอำนาจจากรัฐบาลกลางของสหภาพโซเวียตที่กรุงมอสโกไปที่ชายขอบคือสาธารณรัฐต่างๆ. ครั้นเมื่อการรัฐประหารต่อต้านกอร์บอซอฟโดยกลุ่มคอมมิวนิสต์หัวรุนแรงที่เกิดในเดือนสิงหาคม
ค.ศ. 1991 ไม่ประสบความสำเร็จและการรัฐประหารต้องพังลงเนื่องจากการไร้ความสามารถของบรรดาผู้ก่อการเองและเนื่องจากเผชิญกับการต่อต้านจากผู้สนับสนุนการปกครองแบบประชาธิปไตยที่นำโดยเยลต์ซินเอง. และกล่าวได้ว่าสหภาพโซเวียตที่เป็นผู้นำสำคัญของกลุ่มค่ายคอมมิวนิสต์ก็ถึงแก่กาลล่มสลายลงอย่างสมบูรณ์
(Fukuyama, 1992: 26-28).
จุดจบของประวัติศาสตร์? (The End of History?)
การสิ้นสุดของสงครามเย็นทำให้มีนักปรัชญาการเมืองบางท่าน คือ ฟรานซิส ฟูกูยามา (Francis Fukuyama) ประกาศว่า มนุษยชาติได้เดินทางมาถึงจุดกาลอวสานของประวัติศาสตร์ (we have reached the end point of History) ในบทความเลื่องชื่อเรื่อง The End of History? และต่อมาบทความชิ้นนี้ก็ได้รับการขยายความอย่างละเอียดพิสดารเป็นหนังสือชื่อเดียวกันนั้นว่า แท้ที่จริงเมื่อกล่าวถึงจุดอวสานของประวัติศาสตร์นั้นเขากำลังหมายถึง จุดอวสานของวิวัฒนาการด้านอุดมการณ์ของมนุษยชาติ และการที่การปกครองระบอบเสรีนิยมประชาธิปไตยได้ถูกทำให้เป็นสากลในฐานะที่เป็นรูปแบบสุดท้ายของระบอบการปกครองของมนุษย์ (The end point of mankinds ideological evolution and the universalization of Western liberal democracy as the final form of human government) (Fukuyama, 1989: 4).
ประวัติศาสตร์คือเรื่องราวเกี่ยวกับอดีต หรือความเป็นมาของมนุษย์ในอดีตที่นำเรามาสู่ปัจจุบัน หรือวิชาที่ว่าด้วยเหตุการณ์ในอดีตและความเป็นมาของมนุษย์. อย่างไรก็ตาม อดีตหรือประวัติศาสตร์ของแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับว่าแต่ละคนจะให้ความหมายเกี่ยวกับอดีตของตัวเองอย่างไร จะเริ่มต้นที่จุดไหน โดยมีอะไรเป็นแรงผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่วิวัฒนาการมาสู่ปัจจุบัน, และเปลี่ยนแปลงมาอย่างไร. ประวัติศาสตร์จึงเป็นการเลือกที่จะเล่าเรื่องบางเรื่องที่เกี่ยวกับอดีตของมนุษย์ เพื่อจุดมุ่งหมายมารับใช้การให้ความหมายต่อการดำรงอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งย่อมทำให้รูปแบบทางประวัติศาสตร์ของแต่ละคนในแต่ละสังคมไม่เหมือนกัน อาทิเช่น 1)ประวัติศาสตร์หมายถึงวิวัฒนาการความก้าวหน้าของมนุษย์ คือเชื่อมั่นในพลังแห่งเหตุผลและการค้นหาความจริงแบบวิทยาศาสตร์ว่าจะนำมนุษย์ไปสู่ความก้าวหน้าทันสมัยที่ไม่มีวันสิ้นสุด หรือก้าวหน้าไปเรื่อยๆ (open end history); 2)ประวัติศาสตร์เป็นบทเรียนเกี่ยวกับอดีตและปัจจุบัน และเครื่องมือในการคาดคำนวณอนาคต ซึ่งทำให้นักประวัติศาสตร์ในสายนี้พยายามศึกษาอดีตเพื่อเข้าใจปัจจุบัน เพื่อที่จะทำนายถึงความเป็นไปได้ในอนาคต เพื่อหลีกเลี่ยงเหตุการณ์ที่ไม่พึงประสงค์บางอย่าง; 3)ประวัติศาสตร์เป็นเจตจำนงค์ที่ถูกกำหนดและควบคุมโดยพระเจ้า (providence) ซึ่งประวัติศาสตร์แนวทางตั้งอยู่บนหลักศรัทธาต่อพระเจ้า โดยมีจุดเริ่มต้นนับตั้งแต่การสร้างโลกและสร้างมนุษย์คู่แรก, การตกสวรรค์, การรอคอยการมาโปรดของพระศาสดา, และการกลับคืนสู่สวรรค์ไปอยู่กับพระเจ้า, กล่าวโดยสรุปเรียกกันว่า ประวัติศาสตร์แห่งความรอดของมนุษยชาติทั้งมวล เป็นต้น.
แต่ประวัติศาสตร์แบบที่ฟูกูยามากำลังกล่าวถึง คือประวัติศาสตร์แห่งวิวัฒนาการความก้าวหน้าไปสู่ระดับที่สูงขึ้นเรื่อยๆ ของความคิดที่เกี่ยวกับเหตุผลและเสรีภาพของมนุษย์ โดยมีจุดหมายหลักของวิวัฒนาการอยู่ที่การบรรลุถึงการตระหนักรู้เกี่ยวกับตัวเองอย่างสมบูรณ์ (history as the progress of man to higher levels of rationality and freedom, and this process had a logical terminal point in the achievement of absolute self-consciousness) (Fukuyama, 1992: 64). การตระหนักรู้เกี่ยวกับตนเองอย่างสมบูรณ์ คือการบรรลุถึงเสรีภาพที่ทำให้สามารถตัดสินใจอย่างมีความรับผิดชอบเต็มที่ โดยเสรีภาพที่ว่านี้ก็เป็นเสรีภาพแบบที่ปรากฏอยู่ในรัฐเสรีนิยมสมัยใหม่ดังที่ปรากฏให้เห็นอย่างชัดแจ้งหลังการปฏิวัติฝรั่งเศสเมื่อปี ค.ศ. 1789, เพราะสิ่งที่เป็นเป้าหมายสูงสุดของรัฐ คือการต่อสู้เพื่อให้บรรลุถึงเสรีภาพของมนุษย์ และจะมีเฉพาะแต่รัฐเสรีนิยมประชาธิปไตย (Liberal Democracy) เท่านั้นที่สามารถทำให้มนุษย์สามารถดำรงชีวิตอยู่อย่างมีเสรีภาพด้วยความสมเหตุสมผลและมีความรับผิดชอบต่อการตัดสินใจของตนเองอย่างเต็มที่อย่างสำนึกรู้. กล่าวโดยสรุป ฟูกูยามากล่าวถึงประวัติศาสตร์ในความหมายของ วิวัฒนาการความก้าวหน้าแห่งสถาบันทางการเมืองและเศรษฐกิจของมนุษย์ (progressive evolution of human political and economic institutions) (Fukuyama, 1999: 17).
การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์มนุษย์จึงเป็นวิวัฒนาการและความขัดแย้งทางความคิดของมนุษย์ต่อวิธีคิดเรื่องเสรีภาพ และการพยายามที่จะบรรลุถึงเสรีภาพที่อยู่ในอุดมคติให้ได้ในโลกของความเป็นจริง, โดยมีพลังที่คอยขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงต่างๆ เพื่อให้รัฐสามารถบรรลุถึงเป้าหมายสูงสุดนั้นได้ คือ 1)ตรรกะเหตุผลของวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ (logic of modern science) คือพลังแห่งเหตุผลที่อยู่ในวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ ที่เชื่อว่าจะสามารถค้นหาความจริงเกี่ยวกับธรรมชาติและนำมารับใช้ตอบสนองความต้องการของมนุษย์ได้ไม่มีวันสิ้นสุด, และ 2)การต่อสู้เพื่อการยอมรับ (the struggle for recognition) คือการต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งการยอมรับจากผู้อื่น. กล่าวคือ ความปรารถนาของมนุษย์นั้นไม่ได้หยุดอยู่เพียงแค่การต้องการความมั่งคั่งทางวัตถุ (material well-being) แต่คือการแสวงหาการได้รับการยอมรับในเรื่องศักดิ์ศรีและสถานภาพจากมนุษย์คนอื่นๆ และความปรารถนาต่อการได้รับการยอมรับจากผู้คนนี้เป็นความต้องการพื้นฐานที่อยู่เบื้องหลังการเมืองทั้งปวง (this demand for recognition is the fundamental passion the underlies politics) (Fukuyama, 1999: 17). ความต้องการในเรื่องการยอมรับและปฏิบัติต่อจากผู้อื่นในฐานะมนุษย์อย่างมีเกียรติและศักดิ์ศรีเป็นพลังทางจิตวิทยาที่จะนำไปสู่การเกิดของพลังทางอุดมการณ์ที่จะขับเคี่ยวต่อสู้เพื่อให้บรรลุถึงการมีเสรีภาพ ซึ่งเป็นรูปแบบสูงสุดของการได้รับการยอมรับจากผู้อื่นอย่างเป็นสากลบนพื้นฐานของเกียรติศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์อย่างเท่าเทียมกัน เนื่องจากลักษณะทางจิตวิทยาที่อยู่ในจิตวิญญาณ (Thymos) ของมนุษย์เกี่ยวกับวิธีคิดในเรื่องคุณค่าของตัวเองที่ต้องการให้คนอื่นยอมรับนับถือ (recognition) นั้นสามารถแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ 1)megalothymia คือ ความปรารถนาให้คนอื่นยอมรับว่าตัวเองเหนือกว่าคนอื่น และ 2)isothymia คือ ความปรารถนาให้คนอื่นยอมรับว่าตัวเองเท่าเทียมกับคนอื่น, กล่าวคือ ขณะที่ isothymia ต้องการความเท่าเทียมกันกับผู้อื่นนั้น megalothymia กลับต้องการเอาคนอื่นมาเป็นทาส (enslave) เพื่อให้ยอมรับอำนาจของตน.
Megalothymia คือจิตวิญญาณส่วนที่เป็นกิเลสตัณหาตัวสำคัญที่เป็นแหล่งปัญหาสำหรับชีวิตทางการเมืองของมนุษย์ เพราะนอกจากการได้รับการยอมรับว่าตัวเองเหนือกว่าผู้อื่นจะเป็นสิ่งที่น่าพึงพอใจแล้ว การได้รับการยอมรับจากมนุษย์ ทุกผู้คน จะยิ่งเป็นสิ่งน่าพึงพอใจกว่าขึ้นไปอีก (a highly problematic passion for political life, for its recognition of ones superiority by another person is satisfying, it stands to reason that recognition by all people will be more satisfying). ดังนั้น Thymos ซึ่งตอนแรกเป็นเพียงความปรารถนาความรู้เคารพนับถือต่อตัวเอง (self-respect) ด้วยการได้รับการยอมรับจากผู้อื่นอย่างเจียมเนื้อเจียมตัว, ก็สามารถสำแดงตนออกมาเป็นความปรารถนาในลักษณะที่ต้องการครอบงำคนอื่น (desire to dominate). ลักษณะด้านมืดของ Thymos ได้กระตุ้นให้เกิดการรบราฆ่าฟันกันของมนุษย์และในที่สุดแล้วก็นำไปสู่การกดขี่ครอบงำของผู้ที่เป็นเจ้านายที่กระทำต่อผู้ที่เป็นบ่าวทาส. กล่าวคือ คนที่มี megalothymia มากกว่าก็จะยอมทำทุกอย่างเพื่อให้คนอื่นยอมรับความเหนือกว่าของตนเอง แม้กระทั่งยอมเสี่ยงชีวิตในสงคราม ซึ่งกลายเป็นตัวชี้ถึงความเหนือกว่าของตนเอง และทำให้ผู้ที่ยอมเสี่ยงชีวิตกลายเป็นนายไปโดยธรรมชาติ และทำให้คนที่เป็นนายนั้นมีอิสรภาพเสรีภาพเหนือกว่าผู้อื่น โดยแสดงออกถึงเสรีภาพนั้นโดยการยอมเสี่ยงชีวิตในการทำสงคราม (The master is free, demonstrates his freedom by risking his life in a bloody battle, p.195). ส่วนคนที่กลัวตาย เนื่องจากในจิตวิญญาณมีส่วนของ isothymia มากกว่า megalothymia ก็ต้องตกเป็นทาสไปโดยปริยาย. ลักษณะการต่อสู้กันทางจิตวิทยานี้ถือเป็นธรรมชาติพื้นฐานของมนุษย์ ที่นำไปสู่การเกิดสังคมแบบนาย-ทาส และต่อมาพัฒนามาเป็นรัฐแบบที่มีเจ้าเป็นผู้ปกครองในที่สุด (The struggle of ambitious princes for recognition was broadly assumed to be a general characteristic both of human nature and of politics) และตรรกะของการแสวงหาการยอมรับนับถือจากผู้อื่นนี้ในที่สุดแล้วก็นำมนุษย์วิวัฒนาการไปสู่ความปรารถนาที่จะได้รับการยอมรับนับถือจากผู้อื่นทั้งหมดอย่างเป็นสากล ซึ่งอยู่ในรูปลักษณะที่เราเรียกกันว่าจักรวรรดินิยม (The logic of recognition ultimately led to the desire to be universally recognized, that is, to imperialism) (Fukuyama, 1992: 182-3).
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการเป็นทาสของผู้ที่มี isothymia มากกว่านั้นจะทำให้ชีวิตต้องขาดเสรีภาพ เนื่องจากชีวิตต้องขึ้นอยู่กับผู้ที่เป็นนาย จึงเป็นเหตุผลและแรงผลักดันให้ผู้เป็นทาสต้องทุ่มเทแรงงานไปกับการทำงานเพื่อปลดปล่อยตัวเองจากการถูกกดขี่ในโลกของความเป็นจริง และเพื่อสร้างความมีตัวตนในเชิงสัญลักษณ์ที่มุ่งเน้นให้เห็นถึงศักยภาพของความเป็นมนุษย์ในการสามารถเอาชนะเหนือธรรมชาติ. ด้วยการทุ่มเทแรงกายให้กับการสร้างผลงานเพื่อเอาชนะธรรมชาตินี้เองที่ทำให้ผู้เป็นทาสเริ่มมีวิธีคิดเกี่ยวกับเสรีภาพอีกแบบหนึ่งที่ไม่ได้เกิดขึ้นและดำรงอยู่ในชีวิตจริงของความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ด้วยกันเอง คือเสรีภาพของมนุษย์ที่สามารถเอาชนะต่อการครอบงำของธรรมชาติ (work itself represented freedom because it demonstrated mans ability to overcome natural determination, to create through his labor) (Fukuyama, 1992: 194). เสรีภาพจึงเป็นอุดมการณ์ที่เกิดจากอุดมคติของพวกทาส ที่มีจิตวิญญาณแบบ isothymia. การเรียกร้องต้องการความเท่าเทียมกันจึงเป็นอุดมการณ์ที่เป็นเป้าหมายร่วมกันของผู้ที่เป็นทาสทั้งมวล ที่ต้องการปลดปล่อยตัวเองจากการตกเป็นทาสเนื่องจากความขลาดกลัวการสูญเสียชีวิตของตนเองในตอนแรก (Fukuyama, 1992: 62).
เสรีภาพในฐานะที่เป็นอุดมการณ์สูงสุดของมนุษย์ปรากฏขึ้นเป็นครั้งแรกในอุดมการณ์ของศาสนาคริสต์ เพราะศาสนาคริสต์เป็นศาสนาแรกที่ สถาปนาหลักการของความเท่าเทียมกันอย่างเป็นสากลของมนุษย์ทุกรูปนามเมื่ออยู่เบื้องหน้าพระพักตร์ของพระผู้เป็นเจ้า ความเข้าใจเรื่องเสรีภาพของศาสนาคริสต์หมายถึงความเท่าเทียมของมนุษย์ทั้งมวล (Fukuyama, 1992: 196). แต่ศาสนาคริสต์ก็จบอุดมการณ์ของตัวเองลงเพียงแค่การประนีประนอมกับโลกของความเป็นจริงที่ว่าตัวเองเป็นเพียงแค่ทาสที่ปราศจากเสรีภาพความเท่าเทียมกันอย่างที่คิด และด้วยการประกาศว่าไม่ให้คาดหวังการปลดปล่อยในชีวิตจริง หากแต่มุ่งเน้นถึงชีวิตในโลกหน้าที่มนุษย์ทุกคนจะสามารถเท่าเทียมกันเมื่ออยู่เบื้องหน้าพระพักตร์ของพระผู้เป็นเจ้าในวันพิพากษาเมื่อวันสิ้นโลกมาถึง. ในแง่นี้จึงกล่าวได้ว่า มนุษย์ได้สร้างพระเจ้าขึ้นมาในฐานะอภิมหาโครงการของอุดมการณ์แห่งเสรีภาพ เพราะพระเจ้าถูกมองว่าเป็นนายทาสที่สมบูรณ์แบบ (perfect Master).[1]
การปฏิวัติฝรั่งเศส[2] เมื่อปี ค.ศ. 1789 (พ.ศ. 2332) จึงเป็นเหตุการณ์ที่ทำให้ความคิดเรื่องเสรีภาพและความเท่าเทียมกันในอุดมการณ์ทางสังคมของชาวคริสต์ได้กลายเป็นความจริงขึ้นมาบนพื้นโลกมนุษย์ เพราะในเหตุการณ์ดังกล่าวนั้นคนซึ่งเคยตกเป็นทาสเนื่องจากความขลาดกลัวได้กลับยินยอมเสี่ยงชีวิตเข้าต่อสู้เพื่อแลกมาซึ่งสิทธิเสรีภาพให้กับตนเอง ซึ่งเท่ากับว่าได้สามารถเอาชนะความกลัวตายอันเป็นเหตุผลประการแรกสุดที่ทำให้ตัวเองต้องตกเป็นทาส. การปฏิวัติจึงเท่ากับการได้ผลักดันให้อุดมคติเกี่ยวกับเสรีภาพและความเท่าเทียมกันของมนุษย์ได้บรรลุถึงความเป็นจริง และเท่ากับเป็นการนำเอาพระเจ้าลงมาสู่โลกมนุษย์ และให้เข้าไปนั่งอยู่ในสภาผู้แทนราษฎร, ทำเนียบประธานาธิบดี, และระบบราชการในรัฐสมัยใหม่ (Fukuyama, 1992: 199). หลังจากนั้น หลักการความเสมอภาค ภราดรภาพ และอิสรภาพเสรีภาพ ที่ได้รับการสถาปนาขึ้นในรัฐเสรีนิยมประชาธิปไตย (liberal democracy) ของฝรั่งเศสภายหลังการปฏิวัติ ค.ศ. 1789 ก็ได้แพร่กระจายออกไปยังที่อื่นๆ โดยเฉพาะภายหลังที่กองทัพของสาธารณรัฐสามารถเอาชนะเหนือกองทัพของกษัตริย์แห่งปรัสเซียได้ในสงครามที่เมืองเจนาเมื่อเดือนตุลาคม ค.ศ. 1806 (พ.ศ. 2349) เนื่องจากชัยชนะของสาธารณะรัฐฝรั่งเศสที่เป็นรัฐเสรีนิยมประชาธิปไตยเหนือรัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นครั้งแรกนั้นมีความหมายเท่ากับเป็นจุดสิ้นสุดของประวัติศาสตร์แห่งวิวัฒนาการทางความคิดของมนุษย์ที่จะบรรลุถึงอุดมคติในเรื่องสิทธิเสรีภาพและความเท่าเทียมกันบนโลกมนุษย์, ส่วนเหตุการณ์ต่างๆ หลังจากนั้นเป็นเพียงแค่ส่วนขยายที่มนุษย์จะช่วยกันผลักดันและต่อเติมให้อุดมการณ์นี้แผ่ขยายครอบคลุมไปทั่วโลกเท่านั้น.
อย่างไรก็ตาม ภายหลังการปฏิวัติฝรั่งเศสที่เสมือนการบรรลุถึงอุดมคติเสรีภาพของศาสนาคริสต์ ก็กลับมีอุดมการณ์สำคัญที่ขึ้นมาท้าทายวิธีคิดเกี่ยวกับเสรีภาพของฝ่ายเสรีนิยมประชาธิปไตย (Liberalism) คืออุดมการณ์ของลัทธิสังคมนิยมคอมมิวนิสม์ (Communism) ที่ใฝ่ฝันถึงสังคมที่ทุกคนมีความเท่าเทียมกัน โดยไม่มีการแบ่งแยกทางชนชั้นเป็นชนชั้นนายทุนกับชนชั้นแรงงานเหมือนสังคมในอุดมคติของฝ่ายเสรีนิยม เนื่องจากลัทธิสังคมนิยมใฝ่ฝันและต้องการสร้างสังคมที่ปราศจากชนชั้น โดยให้มนุษย์ทุกคนเป็นเจ้าของทุนร่วมกัน และเป็นสังคมที่มีเสรีภาพ ภราดรภาพ และความเสมอภาคเท่าเทียมกันอย่างแท้จริง. โดยที่การท้าทายอย่างแท้จริงได้เกิดขึ้นนับตั้งแต่เกิดการปฏิวัติในประเทศรุสเซียเมื่อเดือนตุลาคม ค.ศ. 1917 (พ.ศ. 2460) และก่อให้เกิดความขัดแย้งแข่งขันกันอย่างรุนแรงระหว่างฝ่ายเสรีนิยมประชาธิปไตยกับฝ่ายสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ในช่วงสงครามเย็น.
การทำลายกำแพงเบอร์ลินในปี ค.ศ. 1989 ซึ่งเป็นเสมือนการพังทลายของ กำแพงเหล็ก (Iron curtain) ที่แบ่งโลกเสรีกับโลกคอมมิวนิสต์ออกจากกัน และการล่มสลายของสหภาพโซเวียตซึ่งเป็นแม่แบบสำคัญของสังคมในอุดมคติของฝ่ายสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ในปี ค.ศ. 1989 (พ.ศ. 2532) จึงเปรียบเสมือนการล่มสลายของอุดมการณ์คอมมิวนิสต์ทั้งหมด เนื่องจากแม้ว่าจีนจะยังคงความเป็นรัฐสังคมนิยมคอมมิวนิสต์อยู่อย่างเหนียวแน่นแต่ก็สูญเสียลักษณะสำคัญของการเป็นสังคมนิยมคอมมิวนิสต์จากการที่จีนเริ่มเปิดประเทศให้กับระบบทุนนิยมและเปลี่ยนแปลงระบบเศรษฐกิจของประเทศเป็นระบบตลาดเสรีแทน ซึ่งหมายความว่าเอกชนสามารถผลิตสินค้าเพื่อการตลาดได้อย่างเสรี และความแตกต่างทางชนชั้นระหว่างเจ้าของทุนกับแรงงานก็จะเริ่มกลับมาเยือนจีนอีกครั้งหนึ่งนั่นเอง. ส่วนสาเหตุหลักสำคัญที่อยู่เบื้องหลังที่นำไปสู่การล่มสลายของสหภาพโซเวียตก็คือปรากฏการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจของเอเชียตะวันออกนับตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้น, กล่าวคือความสำคัญทางเศรษฐกิจเหล่านี้ไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะแต่ประเทศญี่ปุ่นเท่านั้น แต่ในที่สุดแล้วก็สามารถดึงเอาประเทศอื่นๆ ในเอเชียที่ยอมรับเอาหลักการตลาดเสรีนำมาใช้จนสามารถสมานตัวเองเข้ากับระบบเศรษฐกิจทุนนิยมโลกได้. ความสำเร็จของประเทศยากจนเหล่านี้ที่ไม่ได้มีทรัพยากรอะไรเลยนอกจากประชากรที่ต้องทำงานหนัก แต่ก็สามารถใช้เป็นหนทางไปเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ในการเปิดกว้างของระบบเศรษฐกิจสากล และสร้างความมั่งคั่งขึ้นอย่างคาดไม่ถึง ซึ่งนำไปสู่การที่สามารถลดช่องว่างระยะห่างกับมหาอำนาจทุนนิยมตะวันตกทั้งในยุโรปและอเมริกาเหนือได้อย่างรวดเร็ว. ความมหัศจรรย์ทางเศรษฐกิจของเอเชียตะวันออกได้รับการพูดถึงกันอึงคะนึงไปทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มค่ายคอมมิวนิสต์. กล่าวให้ถึงที่สุดแล้ว วิกฤตการณ์ที่สำคัญของโลกคอมมิวนิสต์เริ่มขึ้นเมื่อผู้นำของจีนคอมมิวนิสต์เริ่มตระหนักและยอมรับว่าการพัฒนาประเทศของตนกำลังถูกประเทศทุนนิยมในอเชียทิ้งไว้เบื้องหลังชนิดห่างไม่เห็นฝุ่น และเริ่มตระหนักว่านโยบายการวางแผนเศรษฐกิจจากส่วนกลางอย่างเบ็ดเสร็จแบบสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ได้เป็นเสมือนคำสาปแช่งให้จีนกลายเป็นประเทศที่ยากจนล้าหลัง. บทเรียนจากเอเชียเหล่านี้ต่อมาได้รับการพิจารณาอย่างพินิจพิเคราะห์โดยนักเศรษฐกิจในสหภาพโซเวียต ซึ่งมองเห็นถึงความสูญเปล่าและไร้ประสิทธิภาพที่ระบบวางแผนจากส่วนกลางได้นำมาสู่ระบบเศรษฐกิจของสหภาพโซเวียต. ในขณะที่กลุ่มประเทศในยุโรปตะวันออกไม่จำเป็นต้องเรียนรู้บทเรียนเหล่านั้นสักเท่าไร เนื่องจากเข้าอกเข้าใจเป็นอย่างดีกว่าประเทศคอมมิวนิสต์อื่นๆ ว่าความล้มเหลวที่จะบรรลุถึงมาตรฐานการครองชีพอย่างที่ประชากรในประเทศอื่นๆ ในยุโรปตะวันตกกำลังได้รับนั้นมีสาเหตุหลักมาจากระบบสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ที่ถูกนำมาใช้นับตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ในประเทศของตนโดยสหภาพโซเวียต (ดูบทที่ 4 The Worldwide Liberal Revolution ใน Fukuyama, 1992: 39-51). การล่มสลายของสหภาพโซเวียตและการเปิดประเทศสังคมนิยมคอมมิวนิสต์อื่นๆ ไปสู่ระบอบการปกครองแบบเสรีนิยมประชาธิปไตยกับเศรษฐกิจแบบตลาดเสรีจึงเปรียบเสมือนเป็นการพ่ายแพ้ในการแข่งขันกันทางอุดมการณ์ระหว่างค่ายโลกเสรีและค่ายคอมมิวนิสต์ในช่วงสงครามเย็น, และหมายความว่านับแต่บัดนี้เป็นต้นไป อุดมการณ์ทางการเมืองหลักที่สำคัญเกี่ยวกับเสรีภาพของมนุษย์เหลืออยู่เพียงหนึ่งเดียว คืออุดมการณ์แบบเสรีประชาธิปไตย (liberal democracy).
การแพร่ขยายของการปกครองแบบเสรีนิยมประชาธิปไตย
ประเทศ 1790 1848 1900 1919 1940 1960 1975 1990
สหรัฐฯ x x x x x x x x
แคนาดา x x x x x x
สวิตเซอร์แลนด์ x x x x x x x x
อังกฤษ x x x x x x x
ฝรั่งเศส x x x x x x เบลเยี่ยม x x x x x x
เนเธอร์แลนด์ x x x x x x
เดนมาร์ก x x x x x
เพียดมองต์/อิตาลี x x x x x
เสปญ x
โปรตุเกส x
สวีเดน x x x x x x
นอรเวย์ x x x x
กรีซ x x x
ออสเตรีย x x x x
เยอรมันตะวันตก x x x x
เยอรมันตะวันออก x x
โปแลนด์ x x
เชคโกสโลวะเกีย x x
ฮังการี x
บัลแกเรีย x
โรมาเนีย x
ประเทศ 1790 1848 1900 1919 1940 1960 1975 1990
ตุรกี x x x
ลัตเวีย x
ลิธัวเนีย x
เอสโตเนีย x x
ฟินแลนด์ x x x x x
ไอร์แลนด์ x x x x
ออสเตรเลีย x x x x x
นิวซีแลนด์ x x x x x
ชิลี x x x x
อาร์เจนตินา x x x
บราซิล x x
อุรุกวัย x x x x
ปารากวัย x
เม็กซิโก x x x x
โคลัมเบีย x x x x x
คอสตาริกา x x x x x
โบลิเวีย x x
เวเนซุเอลา x x x
เปรู x x
เอควาดอร์ x x
เอล
ซัลวาดอร์ x x
นิคารากัว x
ฮอนดูรัส x
จาไมกา x x
โดมินิกัน x
ตรินิแดด x x
ญี่ปุ่น x x x
อินเดีย x x x
ศรีลังกา x x x
สิงคโปร์ x x
เกาหลีใต้ x
ไทย x x x
ฟิลิปปินส์ x x
เมาริธิอุส x
เซเนกัล x x
บอสซวานา x
นามิเบีย x
ปาปัวนิวกินี x
อิสราเอล x x x
เลบานอน x
รวมทั้งสิ้น 3 5 13 25 14 36 31 61
(ดัดแปลงจากตาราง Liberal
Democracies Worldwide ใน Fukuyama, 1992: 49-50).
การปะทะทางอารยธรรม? (The Clash of Civilizations?) ในประชาคมโลกยุคหลังสงครามเย็น[3]
กล่าวได้ว่า ภายหลังสิ้นสุดความขัดแย้งทางอุดมการณ์ในช่วงสงครามเย็น สิ่งที่เป็นรากฐานสำคัญที่สุดของความขัดแย้งในประชาคมโลกปัจจุบันไม่ได้เกี่ยวกับความขัดแย้งในเรื่องอุดมการณ์หรือในเรื่องเศรษฐกิจอีกต่อไป แต่เป็นความขัดแย้งที่มีรากฐานจาก วัฒนธรรม. กล่าวคือ แม้ว่ารัฐชาติ (nation state) จะยังคงเป็นตัวแสดงที่มีบทบาทและพลังอำนาจสำคัญที่สุดในการเมืองโลก (แม้ว่าบทบาทของรัฐชาติจะลดลงไปมากแล้วก็ตาม) แต่ความขัดแย้งหลักในประชาคมโลกจะเป็นความขัดแย้งระหว่างชาติและกลุ่มอารยธรรมที่แตกต่างกัน ซึ่งจะเป็นประเด็นที่ครอบงำและเป็นประเด็นความขัดแย้งหลักในประชาคมโลก.[4]
ปัญหาความขัดแย้งทางอารยธรรมจะเป็นระยะสุดท้ายของวิวัฒนาการแห่งความขัดแย้งของมนุษย์ในยุคสมัยใหม่. ก่อนหน้านี้เป็นเวลาร้อยกว่าปีนับตั้งแต่สนธิสัญญาเวสฟาเลีย (Peace of Westphalia) ในปี ค.ศ. 1648[5] ซึ่งก่อให้เกิดระบบความสัมพันธ์ระหว่างรัฐยุคใหม่ (modern international system) ขึ้นนั้น ความขัดแย้งในประชาคมโลกโดยส่วนใหญ่คือความขัดแย้งระหว่างเจ้าผู้ปกครองด้วยกันเอง ไม่ว่าจะเป็นองค์จักรพรรดิ กษัตริย์สมบูรณาญาสิทธิ์ หรือกษัตริย์ที่อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ ที่ต้องการขยายระบบราชการ, กองทัพ, และความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจการค้าแบบทุนนิยม และที่สำคัญที่สุดคือการขยายอาณาเขตดินแดน. อย่างไรก็ตาม ในกระบวนการความขัดแย้งดังกล่าวได้นำไปสู่การเกิดรัฐชาติ (nation states) และภายหลังการปฏิวัติฝรั่งเศสซึ่งนำไปสู่การเกิดรัฐชาติขึ้นอย่างเป็นทางการแล้ว ความขัดแย้งหลักในประชาคมโลกได้กลายเป็นความขัดแย้งระหว่างประชาชาติ ดังคำกล่าวของ R. R. Palmer เมื่อปี ค.ศ. 1793 ที่ว่า The wars of kings were over; the war of peoples had begun. ความขัดแย้งระหว่างรัฐชาติกลายเป็นรูปแบบหลักของความขัดแย้งในประชาคมโลกจนกระทั่งสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 1. หลังจากนั้น ผลสืบเนื่องจากการปฏิวัติของขบวนการสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ในรุสเซียในปี ค.ศ. 1917 และปฏิกิริยาที่มีต่อการปฏิวัติรุสเซีย ทำให้ความขัดแย้งระหว่างประชาชาติต่างๆ กลายมาเป็นความขัดแย้งระหว่างอุดมการณ์ โดยเริ่มตั้งแต่ความขัดแย้งระหว่างอุดมการณ์สังคมนิยมคอมมิวนิสต์, อุดมการณ์ของรัฐเผด็จการฟาสซิสม์-นาซีอิสม์ และอุดมการณ์เสรีนิยมประชาธิปไตย, และต่อมาได้พัฒนามาเป็นความขัดแย้งระหว่างอุดมการณ์สังคมนิยมคอมมิวนิสต์กับอุดมการณ์เสรีนิยมประชาธิปไตยไปในที่สุด. ในช่วงสงครามเย็นนั้น ความขัดแย้งทางอุดมการณ์ระหว่างสังคมนิยมคอมมิวนิสต์กับเสรีนิยมประชาธิปไตยได้กลายเป็นความขัดแย้งระหว่างสองอภิมหาอำนาจ ซึ่งได้พัฒนามาจนไม่เหลือรูปแบบของความขัดแย้งระหว่างรัฐชาติแบบจารีตของยุโรปอีกแล้ว เนื่องจากแต่ละฝ่ายได้กำหนดนิยามและเอกลักษณ์ความเป็นตัวตนของตัวเองผ่านอุดมการณ์ที่ตนกำลังยึดถืออยู่. อย่างไรก็ตาม ความขัดแย้งที่ครอบงำประชาคมโลกทั้งหมดที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นความขัดแย้งระหว่างเจ้าผู้ปกครอง, ระหว่างรัฐชาติ, หรือระหว่างอุดมการณ์นั้นโดยรูปการณ์เบื้องต้นแล้วล้วนแต่เป็นความขัดแย้งที่จำกัดอยู่เฉพาะภายในอารยธรรมตะวันตกเท่านั้น ซึ่งหมายถึงทั้งสงครามเย็น, สงครามโลกทั้งสองครั้ง, และสงครามอื่นๆ ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 17 ถึง 19. เพิ่งจะภายหลังสงครามเย็นนี้เองที่ความขัดแย้งในประชาคมโลกได้เคลื่อนออกไปจากความขัดแย้งในกลุ่มประเทศที่อยู่ในอารยธรรมตะวันตกไปยังส่วนอื่นๆ ของโลก, ทั้งระหว่างอารยธรรมตะวันตกกับอารยธรรมอื่นๆ ที่อยู่นอกอารยธรรมตะวันตก หรือระหว่างอารยธรรมอื่นๆ ที่อยู่นอกอารยธรรมตะวันตกด้วยกันเอง. กล่าวให้ถึงที่สุด ในการเมืองแห่งอารยธรรมนั้น รัฐบาลและประชาชาติอื่นๆ ที่อยู่นอกอารยธรรมตะวันตกไม่ได้เป็นเพียงแค่วัตถุ (object) ทางประวัติศาสตร์ที่ถูกกระทำจากลัทธิล่าอาณานิคมของตะวันตกแต่เพียงอย่างเดียวอีกต่อไป แต่ได้เข้าร่วมกับตะวันตกในฐานะที่เป็นตัวขับเคลื่อนและผู้กำหนดทิศทางของประวัติศาสตร์ (movers and shapers of history).
ในช่วงสงครามเย็นนั้นโลกถูกแบ่งออกเป็นโลกที่หนึ่ง, โลกที่สอง, และโลกที่สาม. การแบ่งแบบนี้ไม่มีความหมายอีกต่อไปในปัจจุบัน แต่สิ่งที่จะทำให้การแบ่งกลุ่มมีความหมายในปัจจุบันได้นั้นไม่ใช่เป็นการแบ่งด้วยระบบการเมืองหรือระบบเศรษฐกิจ หรือตามระดับของการพัฒนาทางเศรษฐกิจ แต่ควรจะแบ่งตามลักษณะทางวัฒนธรรมและอารยธรรม. ปัญหาก็คือ อะไรคืออารยธรรมที่เรากำลังหมายถึง. กล่าวโดยรวบรัด อารยธรรมคือตัวตนทางวัฒนธรรม (A civilization is a cultural entity). หมู่บ้าน, ภูมิภาค, กลุ่มชาติพันธุ์, สัญชาติ, และกลุ่มศาสนานั้นต่างก็มีความแตกต่างกันทางวัฒนธรรมอยู่ในบางระดับแม้ว่าจะมีความร่วมกันในทางวัฒนธรรม (cultural heterogeneity) บางอย่างก็ตาม. ตัวอย่างเช่น วัฒนธรรมของหมู่บ้านในอิตาลีภาคใต้อาจจะแตกต่างกับหมู่บ้านในอิตาลีภาคเหนือ แต่ทั้งสองหมู่บ้านก็จะยังคงมีความร่วมกันบางอย่างแบบอิตาลีที่แตกต่างกับความเป็นหมู่บ้านในเยอรมัน, และชุมชนชาวยุโรปที่แม้ว่าจะมีความแตกต่างกันอยู่บ้างแต่ก็มีลักษณะทางวัฒนธรรมร่วมกันที่ทำให้มีความแตกต่างจากชุมชนของชาวอาหรับหรือชาวจีน. กล่าวให้ถึงที่สุดแล้ว ชาวอาหรับ, ชาวจีน, และชาวตะวันตกนั้นไม่ได้มีความร่วมกันเลยในมิติที่กว้างที่สุดของความเป็นตัวตนในทางวัฒนธรรม. อารยธรรมจึงเป็นการจัดกลุ่มทางวัฒนธรรมในระดับสูงที่สุดและเป็นระนาบที่กว้างที่สุดของตัวตนที่เป็นเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่ผู้คนยึดถือ ซึ่งจะทำให้มนุษย์มีความแตกต่างกับสิ่งมีชีวิตในสายพันธุ์อื่นๆ (highest cultural grouping of people ad the broadest level of cultural identity people have sort of that which distinguishes human from other species) (Huntington, 1993: 24). ผู้คนจึงต่างก็มีตัวตนที่เป็นเอกลักษณ์ (identity) อยู่ในระดับต่างๆ หลายระดับ อาทิเช่น ผู้ที่อาศัยในกรุงโรมอาจจะนิยามตัวเองได้หลายระดับว่าเป็นชาวโรมัน, ชาวอิตาเลี่ยน, ชาวนิกายแคทธอลิค, ชาวคริสต์, ชาวยุโรป, และที่ใหญ่สุดคือเป็นชาวตะวันตก. อารยธรรมที่มนุษย์แต่ละคนดำรงชีวิตสังกัดอยู่จึงเป็นระดับระนาบที่กว้างที่สุดของการให้ความหมายที่เป็นเอกลักษณ์ต่อตัวเอง (identification) ที่มนุษย์แต่ละคนจะเติมใส่ให้กับตัวเอง. อย่างไรก็ตาม ผู้คนสามารถและมักจะให้ความหมายใหม่ๆ เกี่ยวกับเอกลักษณ์ความเป็นตัวตนของตัวเองอยู่เสมอ จึงเป็นผลให้องค์ประกอบและขอบเขตของอารยธรรมเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอเช่นกัน.
แต่ละอารยธรรมจึงมีขอบเขตแตกต่างกัน กล่าวคือ บางอารยธรรมอาจจะเกี่ยวข้องกับผู้คนจำนวนมาก ดังเช่นอารยธรรมจีน (ซึ่ง Lucian Pye บอกว่าเป็นอารยธรรมที่แสร้งทำตัวเป็นรัฐ), หรืออาจเกี่ยวกับผู้คนเพียงเล็กน้อย ดังเช่นอารยธรรมของชาว Anglophone Caribbean; นอกจากนี้บางอารยธรรมยังอาจจะหมายรวมเอารัฐชาติหลายรัฐด้วย, ขณะที่บางอารยธรรมหมายถึงรัฐชาติเพียงรัฐเดียวเท่านั้น ดังเช่นอารยธรรมญี่ปุ่น. บ่อยครั้งที่อารยธรรมต่างๆ จะผสมผสานและทาบซ้อนอยู่ด้วยกัน และอารยธรรมที่ใหญ่บางอารยธรรมยังอาจจะมีแยกย่อยออกเป็นหลายอารยธรรมย่อยๆ อาทิ อารยธรรมตะวันตกแยกออกเป็น 2 สายหลัก คือยุโรปกับอเมริกาเหนือ, อารยธรรมอิสลามก็แบ่งออกเป็นอารยธรรมย่อยๆ สายอาหรับ ตุรกี และมาเลย์. อย่างไรก็ตาม อารยธรรมก็ยังคงเป็นตัวตนบางอย่างที่ทรงความหมายและคุณค่าอยู่ในตัวเอง และแม้ว่าเส้นแบ่งระหว่างอารยธรรมบางครั้งจะยังพร่าเลือนไม่เฉียบคมชัดเจน แต่อารยธรรมก็ยังเป็นสิ่งที่ดำรงอยู่ในความเป็นจริง. นอกจากนี้ อารยธรรมยังเป็นพลวัตอยู่ในตัวเอง เนื่องจากอารยธรรมมีความรุ่งเรืองและการแตกดับ, แบ่งแยกและสมานเข้าหากัน. และก็ดังเช่นที่นักเรียนประวัติศาสตร์ทั้งหลายทราบเป็นอย่างดีว่า อารยธรรมบางครั้งก็มีการสูญสลายและถูกฝังไว้ในผืนทรายแห่งกาลเวลา.
ชาวยุโรปมักจะคิดว่ารัฐชาติคือตัวแสดงหลักในกิจการต่างๆ บนพื้นลูกโลก, แต่ที่เป็นอย่างนั้นในความจริงก็เพิ่งจะเป็นมาได้ไม่นานเพียงแค่ 2-3 ศตวรรษเท่านั้น. ประวัติศาสตร์มนุษย์จะว่าไปแล้วคือประวัติศาสตร์ของอารยธรรม. ในงานศึกษาที่ยิ่งใหญ่ของนักประวัติศาสตร์อย่าง Arnold Toynbee ได้นับจำนวนอารยธรรมหลักๆ ของมนุษย์ในอดีตได้ถึง 21 อารยธรรม, แต่ในจำนวนนี้มีเพียง 6 อารยธรรมหลักเท่านั้นที่ยังดำรงอยู่ในโลกปัจจุบัน. นอกจากนี้ อัตลักษณ์ทางอารยธรรม (civilization identity) กำลังจะเพิ่มความสำคัญมากยิ่งขึ้นในอนาคต และโลกอนาคตจะต้องถูกกำหนดทิศทางจากผลของการปฏิสังสรรค์ระหว่างอารยธรรมหลักๆ ถึง 8 อารยธรรม กล่าวคือ ตะวันตก (Western), ขงจื้อ (Confucian), ญี่ปุ่น (Japanese), อิสลาม (Islamic), ฮินดู (Hindu), สลาวิค-ออโธดอกซ์ (Slavic-Orthodox), ลาตินอเมริกา (Latin American), แอฟริกา (Africa). ความขัดแย้งที่สำคัญที่สุดในอนาคตจึงจะต้องเกิดตามแนวของเส้นพรมแดนทางวัฒนธรรมที่แบ่งแยกอารยธรรมเหล่านี้ออกจากกัน.
แต่ปัญหาที่ต้องถามก็คือ ทำไมอารยธรรมเหล่านี้จะต้องมาปะทะกันด้วยเล่า? เหตุผลที่ทำให้อารยธรรมกลายเป็นสาเหตุพื้นฐานของปัญหาความขัดแย้งในการเมืองโลกปัจจุบันนั้นมีอยู่ 6 ประการ คือ
1)ความแตกต่างทางอารยธรรมเป็นความแตกต่างที่ พื้นฐานสุดๆ ทั้งในด้านประวัติศาสตร์ความเป็นมา, ภาษา, วัฒนธรรม, จารีตประเพณี, และที่สำคัญที่สุดคือความแตกต่างทางศาสนา. ผู้คนจากต่างอารยธรรมมีทัศนะที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์, ปัจเจกบุคคลกับกลุ่มสังคม, พลเมืองกับรัฐ, พ่อแม่กับลูก, ผัวกับเมีย, รวมไปถึงความแตกต่างที่ค่อนข้างสำคัญมากเรื่องสิทธิกับความรับผิดชอบ, เสรีภาพกับสิทธิอำนาจ (authority), ความเท่าเทียมกับช่วงชั้นทางอำนาจ (equality and hierarchy). ความแตกต่างเหล่านี้มีพัฒนาการมาเป็นเวลานับหลายร้อยปี ซึ่งไม่ใช่เป็นเรื่องเล็กน้อยที่จะสลายไปภายในเวลาอันสั้น และมีรากลึกล้ำยิ่งกว่าความแตกต่างในเรื่องอุดมการณ์ทางการเมืองและระบอบการเมืองการปกครองของรัฐ. ความแตกต่างกันไม่ได้หมายความว่าจะต้องนำไปสู่ความขัดแย้ง และความขัดแย้งไม่จำเป็นจะต้องนำไปสู่ความรุนแรง. แต่ความแตกต่างทางอารยธรรมในรอบหลายร้อยปีที่ผ่านมานั้นได้ก่อให้เกิดความขัดแย้งที่รุนแรงที่สุดอยู่หลายครั้ง.
2)โลกกลายเป็นพื้นที่ที่เล็กลงอย่างมากในยุคสารสนเทศเนื่องจากข่าวสารทำให้คนสามารถติดต่อกันได้ง่ายและมากขึ้น. การปฏิสังสรรค์ระหว่างผู้คนที่แตกต่างกันทางอารยธรรมมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งนำไปสู่การเกิดสำนึกอันแรงกล้าที่ชัดเจนยิ่งขึ้นในเรื่องความแตกต่างทางอารยธรรมและความร่วมกันภายในอารยธรรมของตน ดังที่เห็นได้จากการอพยพของชาวแอฟริกาเหนือไปอยู่ในฝรั่งเศสได้เพิ่มความรู้สึกเกลียดชังชาวแอฟริกันมากยิ่งขึ้นในหมู่ชาวฝรั่งเศส, หรือการที่ชาวอเมริกันมีปฏิกิริยาในทางลบต่อการลงทุนของญี่ปุ่นมากยิ่งกว่าการลงทุนจากแคนาดาหรือยุโรป, หรือตัวอย่างที่ว่า คนชื่อ Ibo ในประเทศไนจีเรีย อาจจะเป็น Owerri Ibo หรือ Onitsha Ibo ที่อยู่ในแถบภาคตะวันออกของไนจีเรีย (จำแนกตามถิ่นฐานบ้านเกิด), ซึ่งถ้าอยู่ในเมืองลากอส (เมืองหลวงไนจีเรีย) เขาก็จะเป็นเพียงคนที่มีชื่อว่า Ibo เฉยๆ, แต่ถ้าเขาอยู่ในลอนดอนแล้ว เขาไม่ได้มีชื่อว่า Ibo เฉยๆ เสียแล้ว เพราะใครๆ ก็เรียกว่าเป็นชาวไนจีเรียน, และที่ซ้ำร้ายหนักกว่านั้นถ้าหากว่าเขาอยู่ในนิวยอร์กเขาก็จะกลายเป็นไอ้แอฟริกันไปเลย ดังกรณีที่มีเด็กผู้ชายคนหนึ่งเปิดประเด็นคำถามอยู่ในอินเตอร์เน็ตว่า Im not a white boy, Im a Puerto Rican.
3)ความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมที่ทันสมัยมากขึ้นแพร่ขยายออกไปทั่วโลกทำให้ผู้คนต้องแยกตัวออกจากอัตลักษณ์ของชุมชนท้องถิ่นที่ดำรงมายาวนานมากยิ่งขึ้น ซึ่งในด้านหนึ่งทำให้ความเป็นแหล่งที่มาของอัตลักษณ์จากรัฐชาติอ่อนอำนาจลง และในอีกด้านหนึ่งก็ทำให้ผู้คนยุคใหม่หันไปเข้าหาศาสนาเป็นที่พึ่งมากขึ้นในรูปแบบของการกลับไปแสวงหารากเหง้า (fandamentalism) ที่กำลังเกิดในหลายที่หลายแห่งทั่วโลก ทั้งในศาสนาคริสต์ของตะวันตก, ศาสนายิว, ศาสนาพุทธ, ศาสนาฮินดู, ศาสนาอิสลาม. โดยที่ผู้คนที่เป็นกำลังสำคัญในขบวนการกลับไปสู่รากเหง้าเหล่านี้ในเกือบทุกประเทศและในเกือบทุกศาสนาล้วนแล้วแต่เป็นคนหนุ่มสาว, มีการศึกษาระดับวิทยาลัย, ชนชั้นกลาง, นักธุรกิจ, และคนทำงานระดับมืออาชีพอื่นๆ. การกลับมาของศาสนาได้กลายเป็นพื้นฐานหลักสำคัญของอัตลักษณ์และพันธะสัญญาที่ข้ามพรมแดนรัฐชาติและกลายเป็นตัวผูกรัดอารยธรรมนั้นเข้าด้วยกันยิ่งขึ้น.
4)ขณะที่อารยธรรมตะวันตกกำลังรุ่งเรืองสุดขีดอยู่ในปัจจุบันนั้น ก็กำลังเกิดปรากฏการณ์การกลับไปหารากเหง้า (return to the roots) อยู่ในอารยธรรมต่างๆ ที่อยู่นอกอารยธรรมตะวันตก. ปัจจุบันเราได้ยินมากขึ้นเรื่อยๆ เกี่ยวกับเรื่องกระแสมองกลับเข้ามาข้างใน, กระบวนการทำให้เป็นเอเชีย (Asianization) ในญี่ปุ่น, อวสานของมรดกตกทอดของการเมืองแบบเปิดเสรีของนายกรัฐมนตรีเนห์รูและกระบวนการทำให้เป็นฮินดู (Hinduization) ของอินเดีย, ความล้มเหลวของแนวคิดเรื่องสังคมนิยมและชาตินิยม และกระบวนการกลับไปเป็นอิสลาม (re-Islamization) ในตะวันออกกลาง, และการถกเถียงกันอย่างเอาจริงเอาจังระหว่างผู้สนับสนุนกระบวนการทำให้เป็นตะวันตกกับกระบวนการกลับไปเป็นรัสเซีย. กล่าวได้ว่า ขณะที่อารยธรรมตะวันตกกำลังรุ่งเรืองอำนาจสุดขีดนั้นก็ต้องเผชิญหน้ากับกระแสนอกอารยธรรมตะวันตกที่มีทั้งความปรารถนาและเจตจำนงที่จะทุ่มเททรัพยากรของตัวลงไปเพื่อกำหนดทิศทางแห่งการเปลี่ยนแปลงโลกให้หันเหไปสู่ทิศทางที่ไม่เป็นตะวันตกมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ. ในยุคสองสามร้อยปีที่ผ่านมานั้นขณะที่ชนชั้นนำของสังคมต่างๆ ที่อยู่นอกอารยธรรมตะวันตกต่างพากันให้ความสำคัญแก่ความรู้และวัฒนธรรมตะวันตกอย่างมาก เนื่องจากโดยมากชนชั้นนำเหล่านี้ได้รับการศึกษาจากศูนย์กลางของตะวันตกที่มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด, ซอร์บอร์น หรือแซนด์เฮิร์สต์ และรับเอาแบบแผนคุณค่าของตะวันตกเข้าไปอย่างเต็มที่ ขณะที่ผู้คนพลเมืองทั่วไปยังยึดติดอยู่กับจารีตประเพณีดั้งเดิมกว่า; สถานการณ์ในปัจจุบันกลับตรงกันข้าม เนื่องจากผู้คนเริ่มหันมานิยมชมชื่นกับค่านิยมวัฒนธรรมตะวันตก (ซึ่งส่วนใหญ่คือวัฒนธรรมอเมริกัน) ขณะที่ชนชั้นนำกลับเริ่มหันเข้าหาจารีตประเพณีท้องถิ่นดั้งเดิมเป็นเครื่องมือทางการเมืองเพิ่มขึ้น เช่น Hinduization, Asianization, re-Islamization.
5)ขณะที่การเปลี่ยนแปลงฐานะทางสังคมและอุดมการณ์ทางการเมืองเป็นเรื่องที่ยังพอเป็นไปได้ แต่การเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมกลับเป็นเรื่องที่ยากกว่ามาก, เหมือนกับการที่คนที่เคยสมาทานอุดมการณ์สังคมนิยมคอมมิวนิสต์ที่อาจกลับมาสมาทานแนวทางประชาธิปไตยได้ แต่การที่จะให้คนเชื้อชาติหนึ่งคิดเปลี่ยนแปลงตัวเองเป็นอีกเชื้อชาติย่อมไม่ใช่เรื่องง่ายนัก. ก่อนหน้านี้ในช่วงสงครามเย็นมีคำถามสำคัญในความขัดแย้งทางอุดมการณ์คือ คุณอยู่ข้างไหน? (Which side are you on?) ซึ่งผู้คนจำนวนมากก็เลือกข้างที่จะยืนและอาจเปลี่ยนแปลงข้างเป็นพวกแดงหรือพวกไม่แดง, พวกซ้ายหรือพวกขวา; แต่คำถามในการปะทะขัดแย้งระหว่างอารยธรรมก็คือ คุณเป็นคนอะไร[และมาจากไหน]? (What are you?) ซึ่งนับตั้งแต่บอสเนียจนถึงซูดานนั้น สำหรับคำตอบที่ผิดพลาด (คือตอบไม่ตรงใจผู้ถาม) นั้นหมายถึงโอกาสที่จะได้กินลูกกระสุน. แต่สิ่งที่อาจจะรุนแรงยิ่งกว่าปัญหาเรื่องเชื้อชาติก็คือปัญหาเรื่องการนับถือศาสนาเป็นเรื่องที่ทำให้ผู้คนเกิดการแบ่งแยกออกจากกันอย่างชัดเจน; เนื่องจากผู้คนอาจจะเป็นลูกครึ่งฝรั่งเศสกับอาหรับได้ และแม้กระทั่งถือหนังสือเดินทางสองสัญชาติก็ยังไหว แต่กลับเป็นเรื่องที่ยากเย็นกว่ามากหากคนเราคิดจะเป็นทั้งชาวคริสต์นิกายโรมันแคทธอลิกพร้อมกับเป็นชาวมุสลิมไปด้วย.
6)ในปัจจุบัน การตั้งกลุ่มการค้าภายในภูมิภาคกำลังเพิ่มมากขึ้นเพื่อส่งเสริมและช่วยเหลือทางการค้ากันภายในกลุ่ม พร้อมกับที่มีการกีดกันการค้ากับนอกกลุ่ม, ซึ่งสัดส่วนของการค้าภายในภูมิภาคแบบนี้กำลังเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ. ความสำเร็จของการค้าภายในกลุ่มภูมิภาคที่ประสบความสำเร็จนี้มีส่วนอย่างมากในการทำให้เกิดความสำนึกเรื่องกลุ่มอารยธรรมเดียวกัน เนื่องจากความสำเร็จของการตั้งกลุ่มที่ว่าจะมีสัดส่วนสูงขึ้นถ้าหากเป็นการรวมกลุ่มภายในกลุ่มอารยธรรมเดียวกัน ดังเช่น สหภาพยุโรปที่ตั้งขึ้นได้สำเร็จก็มีเหตุผลหลักอยู่ที่การมีรากฐานร่วมกันทางอารยธรรมคริสต์ศาสนาและอารยธรรมยุโรปตะวันตก, ในขณะที่ญี่ปุ่นกลับประสบปัญหาในเรื่องดังกล่าวมากกว่าเพราะอารยธรรมญี่ปุ่นค่อนข้างจำกัดอยู่เฉพาะบนเกาะญี่ปุ่นเท่านั้น. แต่การมีอารยธรรมร่วมกันเช่นนี้จะเอื้อต่อลักษณะการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจกับกลุ่มอารยธรรมจีน (จีนคอมมิวนิสต์, ไต้หวัน, ฮ่องกง, และสิงคโปร์) ได้มากกว่า เนื่องจากการสิ้นสุดของสงครามเย็นจะทำให้กลุ่มทุนในอารยธรรมจีนสามารถแผ่สยายความร่วมมือทางการค้ากันสูงยิ่งขึ้นผ่านรากฐานของความสัมพันธ์ดั้งเดิมของวงศ์ตระกูล หรือสมาคมแซ่ในกรณีของชาวจีนอพยพโพ้นทะเลทั้งหลาย.
ความแตกต่างทางอารยธรรมเหล่านี้จะทำให้เกิดการแบ่งแยกระหว่าง พวกเรา กับ พวกเขา ซึ่งจะส่งผลไปถึงเรื่องต่างๆ เกี่ยวกับการกำหนดนโยบายต่างประเทศ อาทิ เรื่องสิทธิมนุษยชน, การอพยพ, การค้า, จนไปถึงเรื่องสิ่งแวดล้อม; และที่สำคัญที่สุดก็คือ ความพยายามของตะวันตกในการโฆษณาสนับสนุนความคิดความเชื่อในเรื่องเสรีนิยมประชาธิปไตยว่าเป็นสิ่งที่มีคุณค่าสากลเพื่อที่จะธำรงรักษาการครอบงำและความเป็นจ้าวเหนือกว่าทั้งในทางการทหารและเศรษฐกิจจะทำให้เกิดการตอบโต้ที่รุนแรงจากอารยธรรมอื่นๆ ที่อยู่นอกอารยธรรมตะวันตก เนื่องจากพร้อมๆ กับการที่อุดมการณ์ลดความศักดิ์สิทธิ์ลง ผู้นำรัฐก็เลือกที่จะใช้ศาสนาและอารยธรรมเป็นเครื่องมือทางการเมืองกันมากยิ่งขึ้น.
การปะทะกันทางอารยธรรมจะเกิดขึ้นใน 2 ระดับ คือ 1)ในระดับจุลภาคนั้นรัฐที่อยู่ใกล้ชิดกันแต่แตกต่างทางอารยธรรมจะเกิดการต่อสู้ขัดแย้งกันอย่างรุนแรงในเรื่องอาณาเขตดินแดน, และ 2)ในระดับมหภาค ที่รัฐจากต่างอารยธรรมกันจะแข่งขันกันเพื่อครองความเหนือกว่าทั้งทางอำนาจการทหารและเศรษฐกิจ ทำให้เกิดการต่อสู้กันเพื่อการควบคุมครอบงำสถาบันระหว่างประเทศ และทำให้เกิดความขัดแย้งกันอย่างรุนแรงเกี่ยวกับเรื่องคุณค่าทางศาสนาและการเมือง.
ในขณะที่สงครามเย็นเริ่มขึ้นเมื่อ ม่านเหล็ก ได้แบ่งยุโรปออกเป็น 2 ส่วนทั้งในทางการเมืองและในทางอุดมการณ์ และสงครามเย็นก็จบลงด้วยพร้อมกับการพังทลายของ ม่านเหล็ก ที่ทำให้การแบ่งยุโรปออกจากกันในทางอุดมการณ์ได้สูญหายระเหิดระเหยไป พร้อมกับการเกิดขึ้นของการแบ่งยุโรปแบบใหม่ระหว่าง Western Christianity ฝ่ายหนึ่ง กับ Orthodox Christianity และอิสลาม อีกฝ่าย. กล่าวได้ว่า ม่านทางวัฒนธรรมเกือบจะเข้าไปแทนที่ม่านทางอุดมการณ์ ดังที่เหตุการณ์ในยูโกสลาเวียกำลังแสดงให้เห็น, โดยที่เส้นแบ่งทางวัฒนธรรมไม่ได้เป็นเพียงแค่เส้นแบ่งแห่งความแตกต่างเท่านั้น แต่ในห้วงเวลาปัจจุบันยังเป็นเส้นแบ่งของความขัดแย้งที่ก่อให้เกิดความรุนแรงนองเลือด. ความขัดแย้งสำคัญในปัจจุบันของยุโรปตะวันตก โดยเฉพาะในแหลมบอลข่าน คือความขัดแย้งระหว่างอารยธรรมตะวันตกกับอารยธรรมอิสลามที่กล่าวได้ว่ามีรากเหง้ายาวนานกว่า 1,300 ปี. กล่าวคือ ภายหลังเกิดศาสนาและจักวรรดิอิสลามได้ไม่นาน, ชาวอาหรับและชาวมัวร์ก็บุกเข้าตีเข้ายึดทวีปตะวันตกปี ค.ศ. 732. นับตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 11-13 นักรบครูเสดพยายามนำศาสนาคริสต์กลับไปสถาปนาในดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์ (คือกรุงเยรุซาเลม ปัจจุบันอยู่ในประเทศอิสราเอล) ซึ่งก็ประสบความสำเร็จชั่วครั้งชั่วคราวอยู่ช่วงระยะเวลาหนึ่ง. ครั้นเมื่อจักรวรรดิออตโตมันของพวกเติร์ก (อิสลาม) รุ่งเรืองขึ้นมาในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 14-17 จักรวรรดิอิสลามแห่งนี้ก็หมุนกงล้อประวัติศาสตร์กลับที่เดิมด้วยการบุกยึดตะวันออกกลาง, แหลมบอลข่าน, กรุงคอนสแตนติโนเปิล และบุกไปถึงกรุงเวียนนา ซึ่งเป็นเมืองหลวงของออสเตรีย. นับตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 19 อาณาจักรออตโตมันก็เสื่อมอำนาจลง, ทำให้มหาอำนาจตะวันตกคือ อังกฤษ ฝรั่งเศส และอิตาลี สามารถเข้าไปยึดครองดินแดนในแอฟริกาและตะวันออกกลางไว้ได้ทั้งหมด. หลังสงครามครั้งที่ 2 บรรดาอาณานิคมของตะวันตกเหล่านี้ต่างก็ได้รับเอกราช พร้อมๆ กับการเกิดกระแสชาตินิยมและขบวนการฟื้นฟูศาสนาอิสลามเพื่อต่อต้านจักรวรรดินิยมตะวันตกในขณะที่ตะวันตกเริ่มต้องพึ่งพิงประเทศในอ่าวเปอร์เซียอย่างมากในเรื่องพลังงาน ซึ่งทำให้ประเทศมุสลิมมั่งคั่งร่ำรวยทั้งเงินตราและอาวุธ และก่อให้เกิดความขัดแย้งระหว่างตะวันตกกับประเทศมุสลิมขึ้นมากครั้งตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 อาทิ สงครามอาหรับกับอิสราเอล, สงครามฝรั่งเศสกับอัลจีเรียในช่วงทศวรรษ 1950, สงครามอังกฤษและฝรั่งเศสร่วมกันบุกอียิปต์ในปี ค.ศ. 1956 เมื่อนายพลนัสเซอร์แห่งอียิปต์สั่งปิดและยึดคลองสุเอซ และ ฯลฯ.
นอกจากนี้ สงครามอ่าวเปอร์เซียไม่ได้ถูกมองจากกลุ่มประเทศมุสลิมว่าเป็นเพียงแค่ความขัดแย้งระหว่างตะวันตกและคูเวตฝ่ายหนึ่งกับอิรักอีกฝ่ายหนึ่งเท่านั้น แต่คือความขัดแย้งระหว่างโลกตะวันตกกับโลกมุสลิม. คณบดีสำนักอิสลามศึกษาแห่งมหาวิทยาลัย Umm Al-Gura เมืองเมกกะ กล่าวในเทปคาสเซ็ตที่เผยแพร่ออกไปอย่างกว้างขวางว่าสงครามอ่าวเปอร์เซีย ไม่ใช่สงครามที่โลกร่วมกันต่อต้านอิรักเท่านั้น. แต่นี่คือสงครามที่โลกตะวันตกทำเพื่อต่อต้านศาสนาอิสลาม. แม้กระทั่ง คาเมนี (Khamenei) ผู้นำอิหร่านคนปัจจุบัน ซึ่งเคยเป็นศัตรูเก่าของอิรักก็ยังออกมากล่าวเรียกร้องการทำสงครามศักดิ์สิทธิ์ (Jihad) เพื่อต่อต้านตะวันตก โดยกล่าวว่าสงครามศักดิ์สิทธิ์ครั้งนี้จะเป็น การต่อสู้กับความก้าวร้าวตะกละของอเมริกา ใครก็ตามที่ถูกสังหารในการรบนี้ถือเป็นผู้เสียสละ. กษัตริย์ฮุสเซนแห่งจอร์แดน ซึ่งมีบทบาทมากในการแก้ปัญหาความขัดแย้งระหว่างปาเลสไตน์กับอิสราเอลมีความเห็นว่า นี่คือสงครามต่อต้านชาวอาหรับและชาวมุสลิมทั้งมวล ไม่ใช่เป็นการต่อต้านแต่อิรักเท่านั้น.
ความพยายามของตะวันตกในการครอบงำสถาบันการเมืองและเศรษฐกิจระหว่างประเทศในปัจจุบันทำให้ตะวันตกถูกแยกออกจากส่วนอื่นๆ ของโลก, เพราะคำว่าประชาคมโลกที่ตะวันตกชอบใช้เป็นเพียงแค่คำ กลวงๆ ที่ไม่มีความหมายอย่างแท้จริงนอกจากเป็นการสะท้อนถึงความต้องการและผลประโยชน์ของตะวันตกเป็นสำคัญ. แกนกลางหลักของความขัดแย้งในการเมืองโลกในอนาคตจึงเป็นความขัดแย้งระหว่าง ตะวันตกกับส่วนอื่นๆ ที่เหลือ (The West and the Rest) และจะเป็น การตอบโต้ของอารยธรรมอื่นๆ ต่ออำนาจและคุณค่าแบบตะวันตก (The central axis of world politics in the future is likely to be the conflict between the West and the Rest.)
ทางเลือกสำหรับ The Rest ก็คือ 1)โดดเดี่ยวตัวเองจากการแทรกซึมบ่อนทำลายวัฒนธรรมจากตะวันตก ด้วยการถอดถอนตัวเองออกไปจากระบบความสัมพันธ์ในประชาคมโลกที่มีตะวันตกครอบงำอยู่, หรือ 2)ร่วมกองเกวียนคาราวาน (band-wagoning) ด้วยการพยายามเปลี่ยนแปลงตัวเองให้สามารถเข้าร่วมขบวนกับตะวันตก และรวมทั้งยอมรับในเรื่องคุณค่าและสถาบันทางการเมืองสังคมแบบตะวันตก, หรือไม่ก็ 3)พยายาม ถ่วงดุล กับตะวันตกด้วยการพัฒนาอำนาจทางเศรษฐกิจและทหารร่วมกับสังคม-ประเทศอื่นๆ ที่ต่อต้านตะวันตกในขณะที่พยายามรักษาคุณค่าและสถาบันแบบจารีตท้องถิ่นไว้ คือทำให้ทันสมัยแต่อย่าให้เป็นตะวันตก.
แนวทางนโยบายสำหรับตะวันตกก็คือ ในระยะสั้นตะวันตกจะต้องสร้างความร่วมมือและความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันภายในกลุ่มอารยธรรมตะวันตก, รวมทั้งดึงเอาประเทศในยุโรปตะวันออกและละตินอเมริกาที่มีวัฒนธรรมใกล้เคียงกับตะวันตกเข้ามาเป็นพันธมิตร และธำรงรักษาความร่วมมือและสัมพันธ์ที่ดีกับรุสเซียกับญี่ปุ่นเอาไว้. นอกจากนี้ตะวันตกจะต้องหลีกเลี่ยงสงครามภายในกลุ่มอารยธรรมไม่ให้ขยายเป็นสงครามระหว่างอารยธรรมขึ้นมา, รวมทั้งจะต้องควบคุมและจำกัดการขยายตัวทางทหารของรัฐอิสลามและรัฐที่นับถือลัทธิขงจื้อ โดยที่ตะวันตกเองก็ควรลดอาวุธในระดับที่เหมาะสมกับการรักษาความเหนือกว่าทางทหารเอาไว้ และให้ใช้ประโยชน์จากความแตกต่างทางอารยธรรมระหว่างอิสลามกับขงจื้อ. ส่วนในระยะยาวนั้น ขณะที่ประเทศนอกอารยธรรมตะวันตกต้องการพัฒนาแต่ไม่ต้องการเป็นแบบตะวันตก, ตะวันตกก็ต้องรักษาพลังอำนาจทางทหารและเศรษฐกิจเอาไว้เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตัวเอง และรวมทั้งควรทำความเข้าใจเกี่ยวกับพื้นฐานของอารยธรรมอื่นๆ. สิ่งที่สำคัญก็คือ ตะวันตกจะต้องเรียนรู้ที่จะคิดว่า อารยธรรมตะวันตกไม่ใช่เป็นสิ่งที่มีคุณค่าเป็นสากลที่ทุกคนจะต้องยอมรับนับถือ และตะวันตกจะต้องรู้จักที่จะอยู่ในโลกแห่งความแตกต่างหลากหลายทางอารยธรรม. กล่าวโดยสรุป แต่ละฝ่ายแต่ละอารยธรรมจะต้องเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับคนอื่น.
สัดส่วนของจำนวนประชากรโลกจำแนกตามศาสนาในช่วง
ค.ศ. 1900-2000
ศาสนา/ค.ศ. 1900 1970 1980 1985 2000
คริสต์ในตะวันตก 26.9 30.6 30.0 29.7 29.9
คริสต์ออร์โธดอกซ์ 7.5 3.1 2.8 2.7 2.4
มุสลิม 12.4 15.3 16.5 17.1 19.2
ฮินดู 12.5 12.8 13.3 13.5 13.7
พุทธ 7.8 6.4 6.3 6.2 5.7
ชาวจีน (ขงจื้อ) 23.5 5.9 4.5 3.9 2.5
ชนเผ่า 6.6 2.4 2.1 1.9 1.6
ไม่นับถือศาสนา 0.2 15.0 16.4 16.9 17.1
ศาสนาที่ไม่เชื่อพระเจ้า 0.0 4.6 4.5 4.4 1.6
Huntington, 1997: 65. ข้อมูลปี ค.ศ. 1985 และ 2000 เป็นข้อมูลประมาณการ.
จำนวนประชากรจำแนกตามอารยธรรมในปี ค.ศ. 1993 (พ.ศ. 2536)
จีน 1,340,900,000 คน
อิสลาม 927,600,000 คน
ฮินดู 915,800,000 คน
ตะวันตก 805,400,000 คน
ละตินอเมริกา 507,500,000 คน
แอฟริกา 392,100,000 คน
โอโธดอกซ์ 261,300,000 คน
ญี่ปุ่น 124,700,000 คน
(ข้อมูลตารางมาจาก Huntington,
1997: 85).
ส่วนแบ่งของผลผลิตทางเศรษฐกิจตามอารยธรรม
1950-92
แหล่ง 1950 1970 1980 1992
ตะวันตก 64.1% 53.4% 48.6% 48.9%
โอโธดอกซ์ 16.0% 17.4% 16.4% 6.2%
ญี่ปุ่น 3.1% 7.8% 8.5% 8.0%
ละตินอเมริกา 5.6% 6.2% 7.7% 8.3%
จีน 3.3% 4.8% 6.4% 10.0%
อิสลาม 2.9% 4.6% 6.3% 11.0%
ฮินดู 3.8% 3.0% 2.7% 3.5%
แอฟริกา 0.2% 1.7% 2.0% 2.1%
(ข้อมูลตารางมาจาก Huntington,
1997: 87).
เปอร์เซ็นต์ของจำนวนทหารจำแนกตามอารยธรรม
ปี ค.ศ. 1900 1920 1970 1991
จำนวนทหารทั้งหมด (x 1000) 10,086 8,645 23,991 25,797
ตะวันตก 43.7% 48.5% 26.8% 21.1%
โอโธดอกซ์ 16.6% 12.8% 25.1% 14.3%
ญี่ปุ่น 1.8% 2.9% 0.3% 1.0%
ละตินอเมริกา 9.4% 10.2% 4.0% 6.3%
จีน 10.0% 17.4% 24.7% 25.7%
อิสลาม 16.7% 3.6% 10.4% 20.0%
ฮินดู 0.4% 0.4% 6.6% 4.8%
แอฟริกา 1.6% 3.8% 2.1% 3.4%
(ข้อมูลตารางมาจาก Huntington,
1997: 88).
โลกานุวัตร,
หมู่บ้านโลก, และผลกระทบ[6]
ความหมายของกระบวนการโลกานุวัตร หรือโลกไร้พรมแดน (Globalization) มีนัยกว้างขวางหลายรูปแบบคาบเกี่ยวอยู่ด้วยกัน กล่าวคือทั้งในแง่ของเทคโนโลยีสารสนเทศ, ระบบเศรษฐกิจโลก, พรมแดนของรัฐชาติ และความสัมพันธ์ในระดับนานาชาติ. แนวคิดหลักของกระแสโลกานุวัตรอยู่ที่ระบบเศรษฐกิจทุนนิยมลูกโลกกับพัฒนาการของเทคโนโลยีสารสนเทศ โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่อุดมการณ์เสรีนิยม แล้วขยายต่อมาสู่ระบบทุนนิยมที่ปรารถนาที่จะขายทุกสิ่งทุกอย่างให้เป็นสินค้าในทุกหนทุกแห่งบนลูกโลกในนามของสิทธิมนุษยชน แล้วต่อไปจนถึงการต่อสู้ทางการเมืองที่อาศัยพัฒนาการของเทคโนโลยีสารสนเทศเป็นอาวุธสำคัญเป็นใบเบิกทางมาทะลวงปราการ, และเมื่อถึงจุดสุดยอด เทคโนโลยีสารสนเทศจึงกลายเป็น แม่ข่ายหลัก ให้กับระบบเศรษฐกิจทุนนิยมที่เชื่อมโลกแห่งการตลาดในจินตนากรรมเข้าไว้ด้วยกันในโทรศัพท์ โทรทัศน์ โทรพิมพ์ อินเตอร์เน็ต ตลอดจนถึงเรือบินและยานยนตรกรรม. การพิจารณาความหมายของโลกานุวัตรในที่นี้จะแยกออกเป็น 2 แนวทาง คือ 1)ขบวนการปฏิวัติเทคโนโลยีสารสนเทศ, และ 2)กระบวนการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ การเมือง และวัฒนธรรมของโลก.
การปฏิวัติเทคโนโลยีสารสนเทศ และการเป็น หมู่บ้านโลก (Global Village)
กระแสโลกานุวัตรเกิดขึ้นจากการปฏิวัติของระบบข่าวสารสมัยใหม่ กล่าวคือ การปฏิวัติเทคโนโลยีซึ่งได้แก่การมีคอมพิวเตอร์และระบบโทรคมนาคมที่ก้าวหน้าไปมาก (โทรศัพท์ที่มีจอภาพ, โทรพิมพ์โทรสาร, โทรศัพท์เคลื่อนที่อาศัยการสื่อสารทางดาวเทียม เป็นต้น) การปฏิวัตินี้ก่อให้เกิดผลหลายประการ ที่สำคัญคือ เป็นการลบและย่นระยะทาง ภูมิศาสตร์กลายเป็นปัจจัยที่ควบคุมได้ (ชัยอนันต์, 2534: 102). นอกจากนี้ การพัฒนาเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และอิเลกทรอนิกส์ขึ้น ซึ่งเท่ากับเป็นการ เปิดทางให้มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ จนเกือบไร้ขีดจำกัด การปะทะสังสันทน์ของวัฒนธรรมต่างๆ ทั่วโลกก็สร้างให้มีความต้องการสินค้าใหม่ๆ อย่างไร้ขีดจำกัดเช่นกัน (ธีรยุทธ, 2536: 40-41) และการย่นย่อเวลาและระยะทาง (กาละเทศะ) ทำให้โลกเสมือนกลายเป็นหน่วยทางสังคมเดียวกัน อันเกิดจากการมีการเชื่อมโยงด้วยข่าวสารและโทรคมนาคมเข้าด้วยกันเป็นหลัก (ธีรยุทธ, 2536: 17).
การปฏิวัติเทคโนโลยีสารสนเทศกับผลกระทบที่ทำให้เกิดการย่นย่อกาละเทศะทางสังคมโลกให้มาอยู่ใกล้กันมากขึ้นได้รับการขยายในงานของบุญรักษ์ บุญญะเขตมาลาที่มองว่า โลกานุวัตรเกิดขึ้นในกรอบของสารสนเทศเป็นหลัก. กล่าวคือ สังคมสารสนเทศ (information society), การปฏิวัติสารสนเทศ (information revolution), หรือเศรษฐกิจสารสนเทศ (information economy หรือที่เรียกกันในภายหลังว่า e-commerce) นั้นมีนัยยะในแง่ที่เป็น น้ำหนักที่เพิ่มขึ้นของธุรกิจบริการและสินค้าข้อมูลและข่าวสาร (แทนที่จะเป็นการผลิตทางอุตสาหกรรม) เทคโนโลยีทางปัญญา (intellectual technology) ได้เข้ามามีบทบาทหลักในระบบเศรษฐกิจของประเทศทุนนิยมก้าวหน้า โดยเข้ามาทำหน้าที่ทดแทนเทคโนโลยีทางอุตสาหกรรม (industrial technology) (บุญรักษ์, 2537: 152-157). และได้อภิปรายในเรื่องสื่อมวลชนโลกและการครอบงำด้านข่าวสารระหว่างประเทศอย่างละเอียดว่า ในทศวรรษ 1980 ธุรกิจอันเป็นตัวแทนของวัฒนธรรมโลกได้ก้าวหน้าตามจังหวะใหม่ของโลกานุวัตรอย่างใกล้ชิด ยังผลให้สิ่งที่อาจจะเรียกว่า สื่อมวลชนโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็โทรทัศน์ผ่านดาวเทียมได้ขยายตัวขึ้นอย่างฉับไว ทั้งในแง่ของการระดมทุน ปริมาณ และความสามารถในการผลิตเนื้อหาที่เข้าถึงท้องที่ต่างๆ ในโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพ (บุญรักษ์, 2537: 152-157). เนื่องจาก สื่อมวลชนคือส่วนหนึ่งของระบบการครอบงำระหว่างประเทศ อันประกอบด้วยขบวนการเศรษฐกิจ การเมือง การทหาร การสื่อสารและคมนาคม วัฒนธรรมและสังคม ซึ่งมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิดและดำเนินอยู่ตลอดเวลาโดยพร้อมๆ กัน ทว่าในแต่ละยุคแต่ละสังคม แต่ละส่วนของขบวนการเหล่านี้จะมีน้ำหนักและจังหวะไม่เท่าเทียมกันสุดแต่ความจำเป็นทางการเมืองและความเป็นไปได้ทางเทคโนโลยี ในช่วงแหล่งการสถาปนาเมืองบริวาร กลไกแห่งการบีบบังคับทางการทหารย่อมจะเด่นมากที่สุด ครั้นในช่วงที่ผู้นำของเมืองบริวารสามารถปรับตัวเข้ากับระบบการครอบงำได้ในระดับหนึ่งแล้ว กลไกทางการเมืองก็จะเข้ามาทำหน้าที่ควบกับการทหารมากขึ้น ส่วนในช่วงที่ผู้นำของเมืองบริวารมีความพึงพอใจในระบบการครอบงำมากขึ้นขึ้นอีกระดับหนึ่ง กลไกลทางสังคมและวัฒนธรรมก็จะมีบทบาทสูงขึ้นและเป้าหมายตลอดกาลก็คือการสร้างระเบียบสังคมและวัฒนธรรมเพื่อรองรับการแทรกแซงจากภายนอกได้ทั่วถึงขึ้น ในที่สุดเมื่อผู้นำของเมืองบริวารมีความรู้สึกว่าตนมีส่วนได้ส่วนเสียอย่างสำคัญในอันที่จะดำรงรักษาระบบการครอบงำไว้ต่อไป กลไกลทางการสื่อสารและคมนาคมก็จะดูเด่นเป็นพิเศษซึ่งแปลว่าระบบนี้บรรลุถึงเอกภาพใหม่ที่อาจจะเรียกว่า หมู่บ้านโลก ในความหมายที่แท้จริงแล้ว มาถึงจุดนี้ ต้นทุน ในการดูแลระบบจะต่ำมาก เพราะทุกฝ่ายจะเป็นผู้ออก ค่าใช้จ่าย กันเอง (บุญรักษ์, 2537: 104-105).
บุญรักษ์เสนอว่า ขบวนการโลกานุวัตรเกิดจากแนวโน้มของโลกทุนนิยมก้าวหน้าในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งเป็น ผลลัพธ์จากความคืบหน้าของขบวนการวิภาคแรงงาน [division of labour] ระหว่างประเทศในระดับใหม่ๆ ที่สามารถก่อให้เกิดสินค้าและบริการใหม่ๆ แบบทวีคูณ การขยายตัวรวดเร็วแบบไม่เคยเป็นมาก่อนของตลาดโลก (ทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพ) ตลอดทั้งการเชื่อมโยงทุนด้านการเงินข้ามชาติที่ดำเนินไปอย่างกว้างขวางเสรีและมั่นคงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคหลังสงครามเวียดนามที่ขบวนการโลกานุวัตรคืบหน้าในขอบเขตกว้างขวางและในจังหวะที่รวดเร็วอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน (บุญรักษ์, 2537: 152-157). นอกจากนั้นกระแสโลกานุวัตรยังเกิดจากการดำเนินนโยบายวัฒนธรรมของสหรัฐอเมริกาตั้งแต่ ใน ยุคการสร้างชาติ [1940s-1980s] โดยอาศัยธงขบวนการทันสมัย (modernization) ที่เน้นการพัฒนาทางเศรษฐกิจแบบทุนนิยมและการวาดภาพให้ลัทธิคอมมิวนิสต์เป็นผีร้าย จนอินโดจีนถูกใช้เป็นเขตประลองกำลัง อเมริกาได้ถืออุดมการณ์กระแสข่าวสารเสรี (free flow of information ideology) เป็นแกนนำทางวัฒนธรรม ผลลัพธ์ก็คือการเติบโตทางเศรษฐกิจที่กระจายผลพวงอย่างไม่สมดุลและความรุ่งเรืองของลัทธิทหารที่พ่วงมากับการสะสมอาวุธในนามของ ความมั่นคง ได้ขยายไปทั่วโลกอย่างน่าตกใจ ส่วนกระแสทางวัฒนธรรมและข่าวสารก็สอดรับกับโครงสร้างเศรษฐกิจการเมืองที่ว่านี้ กล่าวคือถ่ายเทในทิศทางเดียว (one-directional way) จากประเทศก้าวหน้าทางอุตสาหกรรมมานานไปสู่สัดส่วนอื่นๆ ของโลก และในขณะเดียวกัน วัฒนธรรมพื้นเมือง (โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่สนับสนุนโดยชนชั้นปกครอง) ก็มีมิติของวัฒนธรรมโลกเข้ามาปะปนมากขึ้นทุกๆ ที อันเป็นผลจากการนำความรู้ด้านการตลาดเข้ามาจัดการวัฒนธรรมให้เป็น สินค้า ทั้งนี้ท่ามกลางความล่มสลายหรือแปรรูปของวัฒนธรรมท้องถิ่น ในระดับโลก ผลกระทบทางวัฒนธรรมของอุดมการณ์กระแสเสรีทางข่าวสารอันเกื้อกูลแก่ประเทศที่แข็งแรงทางข่าวสารเป็นอย่างยิ่ง ก็คือชนชั้นนำใน โลกที่สาม ได้โอบกอดวัฒนธรรมโลกอย่างไม่ลืมหูลืมตา (บุญรักษ์, 2536ก: 35).
การวิพากษ์สังคมสารสนเทศโดยมุ่งเน้นไปที่การไหลของข่าวสารนี้สอดคล้องกับการวิพากษ์กระแสโลกานุวัตรของเสน่ห์ จามริก ที่เห็นว่าโลกานุวัตรเป็นกระบวนการ ในการพัฒนาอุตสาหกรรมในโลกที่สามอีกครั้งในนามของระเบียบเศรษฐกิจใหม่ระหว่างประเทศ ทว่ามันเป็นสิ่งซ่อนเร้นอยู่ในตัวตรรกของลัทธิอุตสาหกรรมเองเลยทีเดียว ประการแรกได้แก่การยึดติดกับความคิดของการเจริญเติบโตอย่างไม่สิ้นสุดและเศรษฐกิจโลกานุวัตร (globalization of economy) กล่าวอย่างสั้นก็คืออีกรูปแบบหนึ่งของลัทธิจักรวรรดินิยมนั่นเอง (เสน่ห์, 1993: 24-25).
กระบวนการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ
การเมือง และวัฒนธรรมของโลก
ในประเด็นแรกเรื่องการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ การเมือง และวัฒนธรรมของโลกนั้น บุญรักษ์ บุญญะเขตมาลากล่าวว่า โลกานุวัตรไม่ได้เป็นอะไรไปมากกว่าเป็นการทำให้ระบบเศรษฐกิจของโลกกลายเป็นระบบเดียวกัน และถือเป็น ส่วนขยาย ของระบบจักรวรรดินิยม (บุญรักษ์, 2536ค: 33). ลักษณะเด่นที่สุดของโลกานุวัตรคือ การที่ ระบบโลกได้ค่อยๆ ปรับตัวเข้าสู่เสถียรภาพใหม่ ซึ่งการเผชิญหน้าทางการทหารและอุดมการณ์ลดน้อยลง และ ผู้แสดง มีมากขึ้น นอกจากรัฐชาติแล้ว ทุนเอกชน หรือแม้กระทั่งประชาชนก็มีสิทธิ์มีเสียงเพิ่มขึ้น ดังนั้นโลกานุวัตรจึงเป็นขบวนการที่ค่อนข้างกระจายศูนย์ (บุญรักษ์, 2537: 105). อย่างไรก็ตาม ลักษณะของกระบวนการโลกานุวัตรอยู่ที่การเชื่อมโยงเข้ากันอย่างเสรีของทุนเอกชนในระดับที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน, วิถีชีวิตแบบบริโภคนิยมเริ่มฝังลึกในสังคม, การเปิดกว้างให้เป็นระบบเดียวกันที่จะทำให้ระบบการคมนาคมเกิดการแข่งขันกันอย่างเข้มข้น อันยังผลให้ค่าธุรกรรมถูกลงจนก่อผลให้เกิดการเคลื่อนย้ายหมุนเวียนสินค้าในตลาดโลกอย่างไม่ขอบเขต, รวมทั้งการก่อเกิดพลเมืองกลุ่มหนึ่งที่เรียกตัวเองว่า ประชากรโลก ขึ้นมา. ประชากรโลก คือผู้ที่มิได้มองว่าตัวเองเป็นแค่สมาชิกของรัฐใดรัฐหนึ่งเหมือนในอดีต มีชีวิตอยู่บนโลกโดยไม่ได้จำกัดว่าจะต้องเป็นพื้นผิวโลกแห่งใดแห่งหนึ่งเป็นพิเศษ ขณะเดียวกันก็นำเอาลักษณะทางวัฒนธรรมและวิถีแห่งการสืบพันธุ์ การเกิด การกิน การทำงาน เล่น แก่ เจ็บ และตายไปเผยแพร่ในที่ต่างๆ จนก่อให้เกิด วัฒนธรรมร่วมของโลกขึ้นมา (บุญรักษ์, 2536ก: 35) และความที่ได้รับการสนับสนุนจากมหาอำนาจหลัก อาทิ สหรัฐฯ ในยุคแห่งการสร้างชาติด้วยอุดมการณ์เศรษฐกิจการเมืองแบบเสรีนิยม ทำให้ วัฒนธรรมข้ามชาติ [แบบอเมริกัน] จึงทรงพลังที่สุด ยังผลให้วัฒนธรรมกระแสอื่นๆ ต้องปรับตัวตาม (บุญรักษ์, 2536ข: 35).
ธีรยุทธ บุญมี มองโลกานุวัตรในแง่ของกระแสแห่งการเปลี่ยนแปลง กล่าวคือ กระแสของโลกสมัยใหม่นั้นเป็นกระแสของการแข่งขันอย่างเข้มข้นในทุกๆ ด้าน เป็นกระแสแห่งการเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว (ธีรยุทธ, 2536: 29). นอกจากนี้ โลกานุวัตรยังเป็นกระแสที่สลับซับซ้อน มีการเชื่อมโยงโลกทั้งโลกเข้าด้วยข่าวสารเดียวกัน, ทำให้พรมแดนการเมืองของรัฐชาติ พรมแดนทางวัฒนธรรมลดความสำคัญลง, ปรัชญาการเมือง ความคิดเรื่องมนุษยธรรม สิทธิเสรีภาพ การอนุรักษ์สภาพแวดล้อมเป็นไปในทิศทางเดียวกันมากขึ้น, รวมทั้งมีการก่อตัวของวัฒนธรรมร่วมที่มีลักษณะเป็นสากล (global culture) เช่น วัฒนธรรมวัตถุนิยม. ขณะเดียวกันก็มีปฏิกิริยาของวัฒนธรรมท้องถิ่นที่จะสร้างความเป็นเอกลักษณ์ของตัวเองมากขึ้น ทำให้เศรษฐกิจของทุกซอกทุกมุมของโลกเชื่อมโยงเป็นระบบเดียวในลักษณะเศรษฐกิจทุนนิยมลูกโลก (global economy) เนื่องจากมีการปรับโครงสร้างของกิจกรรมทางเศรษฐกิจด้านต่างๆ ทุกด้าน ตั้งแต่การลงทุน การผลิต การกระจายสินค้า การบริการ ฯลฯ ให้มีลักษณะเชื่อมโยงเป็นเครือข่ายทั่วโลก (global re-organization of economic activity).
นอกจากจะมองว่าโลกานุวัตรจะมีผลต่อเศรษฐกิจสังคมวัฒนธรรมในอนาคตอย่างมากแล้ว สุวินัย ภรณวลัยยังเสนอให้วิเคราะห์ ข่าวสาร (information) ในฐานะที่เป็นหน่วยพื้นฐานที่สุดสำหรับการวิเคราะห์สังคมสารสนเทศ ซึ่งจะมาแทนที่สินค้าซึ่งเคยเป็นหน่วยพื้นฐานที่สุดสำหรับการวิเคราะห์สังคมอุตสาหกรรม (สุวินัย ภรณวลัย, 2536ก: 33). ในเมื่อสังคมมนุษย์ในอนาคตจะต้องเป็นสังคมสารสนเทศ (information society)[7] จึงจำเป็นจะต้อง (1)ปฏิเสธการวิเคราะห์ทุน (capiral) ในเชิงยึดติดกับรูปแบบเพื่อทำความเข้าใจโลกทุนนิยมปัจจุบันได้สอดคล้องกับความเป็นจริงยิ่งขึ้น (2)ยอมรับธุรกรรม (transaction) ในฐานะที่เป็นหน่วยสุดท้ายของการศึกษาเศรษฐกิจทุนนิยม (transaction as the ultimate unit of economic investigation) มิใช่ตัวสินค้า (commodity) อีกต่อไป เพื่อทำให้เข้าใจถึงลักษณะและปัญหาของสถาบันเศรษฐกิจ (โดยเฉพาะบริษัทธุรกิจ) ซึ่งเป็นตัวตนที่แท้จริงของระบบทุนนิยมปัจจุบัน (3)ให้ความสำคัญกับการวิเคราะห์บรรษัทข้ามชาติ (multinational enterprise) ในฐานะที่เป็นการวิเคราะห์ทุนสากลในเชิงยึดติดกับตัวตนเนื้อหาเพื่อทำความใจกับพลวัต (dynamism) ของการเปลี่ยนแปลงของโลกทุนนิยมในปัจจุบัน ขยายการศึกษาบทบาทของบรรษัทข้ามชาติจากภาคหัตถอุตสาหกรรม (โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนตร์และอิเลคทรอนิกส์) ไปสู่ภาคการค้าระหว่างประเทศและไปสู่ภาคการเงินระหว่างประเทศในที่สุด (4)ให้ความสำคัญกับการวิเคราะห์เศรษฐกิจฟองสบู่ (bubble economy) ในฐานะที่เป็นพัฒนาการล่าสุดของทุนนิยมโลกในปัจจุบัน โดยจะต้องหันมาสนใจเศรษฐกิจสต็อก (stock economy) และบทบาทของมันที่มีต่อเศรษฐกิจจริง (real economy) ให้จริงจังยิ่งขึ้น .พัฒนาการทางเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารที่เสรีเปิดกว้างโปร่งใสจะเป็นเงื่อนไขทางกายภาพที่สำคัญในการเพิ่มศักยภาพหรือทักษะความสามารถในการเรียนรู้ของมนุษย์ให้สูงขึ้น (สุวินัย ภรณวลัย, 2536ก: 33). นอกจากนี้สุวินัยยังเสนอให้ตีความใหม่เกี่ยวกับระบบทุนนิยมโลกหลังยุคสงครามเย็น ที่กระแสโลกานุวัตรกำลังรุ่งเรือง โดยเห็นว่า จากการศึกษาพฤติกรรมของบริษัทสมัยใหม่ โดยเฉพาะบริษัทธุรกิจขนาดใหญ่นับตั้งแต่ช่วงหลังของทศวรรษที่ 1960 เป็นต้นมานั้น ได้พบว่านอกจากบรรษัทธุรกิจขนาดใหญ่จะมีแนวโน้มข้ามชาติ (globalization) แล้วยังมีแนวโน้มของการรวมตัวหรือการกลืนบริษัท (merger) ซึ่งเรียกว่ากระบวนการ กลายเป็นกลุ่มธุรกิจ (conglomerate) ของบริษัทธุรกิจขนาดใหญ่อีกด้วย (สุวินัย, 2535: 27). ดังที่กล่าวไปในตอนต้นแล้วว่าสุวินัยมองแกนกลางของต้นกำเนิดกระบวนการโลกานุวัตรว่าอยู่ที่กระบวนการข้ามชาติของบรรษัทขนาดใหญ่ที่ขยายเครือข่ายของตนออกไปมีบริษัทลูกตามประเทศต่างๆ ทั่วโลก ซึ่งมีนัยยะถึงการกลายเป็นระบบเดียวกันของบรรษัท และระบบการข้ามชาติของบรรษัทเหล่านี้คือหัวใจสำคัญของกระแสโลกานุวัตร.
สุวินัย ภรณวลัย มองว่าโลกานุวัตรในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนโครงสร้างทางเศรษฐกิจ สังคมการเมือง และวัฒนธรรม กล่าวคือ โลกานุวัตรเป็น กระแสคลื่นแห่งการเปลี่ยนแปลง ที่กำลังเกิดขึ้นในทั่วทุกมุมโลก รวมทั้งในสังคมไทยนี้ด้วย คนไทยที่มีบทบาทในสังคมไทยทุกคนจำต้องก้าวข้ามพ้นในเชิงกรอบความคิด (กระบวนทัศน์) หรือหลุดพ้นจากระบบวิธีคิดแบบเก่าๆ (สุวินัย ภรณวลัย, 2536ก: 33). รากฐานของโลกานุวัตรในความคิดของสุวินัยคือการทำธุรกิจข้ามชาติของบรรษัทขนาดใหญ่ที่มีเครือข่ายในระดับโลก ที่เกิดขึ้นอย่างมากในช่วงทศวรรษ 1960 และเริ่มแนวโน้มการเกิดบรรษัทข้ามชาติขึ้นจำนวนมาก จนทำให้เมื่อถึงปี ค.ศ. 1976 นั้นมีบรรษัทข้ามชาติมากประมาณ 11,000 บรรษัท ซึ่งมีบริษัทลูกดำเนินกิจการผลิตอยู่ในต่างแดนอยู่ราว 82,000 บริษัท โดยในจำนวนนี้มีถึง 371 บริษัทที่ดำเนินกิจการผลิตอยู่มากกว่า 20 ประเทศขึ้นไปและมียอดขายมากถึง 3 ใน 5 ของยอดขายทั้งหมดของบรรษัทข้ามชาติ และเมื่อรวมยอดขายของบริษัทลูกในต่างประเทศในปี ค.ศ. 1976 ของบรรษัทข้ามชาติทั้งหมดแล้วก็จะมีจำนวนถึง 830,000 ล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ เนื่องจากสำหรับสุวินัยแล้ว บรรษัทข้ามชาตินั้นดำรง ฐานะที่เป็นตัวตนที่แท้จริงและพลังขับเคลื่อนที่แท้จริงของระบบเศรษฐกิจโลก (สุวินัย, 2535: 4, 27 และ 33). สุวินัยแบ่งระบบทุนนิยมในยุคปัจจุบันออกเป็น 2 ระบบ คือ ระบบทุนนิยมแบบลัทธิปัจเจกชน (Individualist Capitalism) กับระบบทุนนิยมแบบลัทธิรวมหมู่ (Collectivist Capitalism); และหากประเทศไทยต้องการพัฒนาทุนอุตสาหกรรมของประเทศก็จะต้องสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน ซึ่งมีเป้าหมายอยู่ที่การพัฒนาทุนนิยมแบบรวมหมู่อย่างตะวันออกขึ้นมา (สุวินัย, 2536ข: 17). กล่าวได้ว่านี่เป็นมุมมองเชิงบวกในการที่จะเข้าไปในส่วนร่วมอยู่ในระบบเศรษฐกิจทุนนิยมลูกโลกอย่างไม่เสียเปรียบ เพราะถึงอย่างไรสังคมไทยก็เลี่ยงไม่พ้นที่จะต้องถูกดูดเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของระบบทุนนิยมลูกโลก ซึ่งเกิดจากพลวัต 6 ประการของทุนนิยมโลกยุคหลังสงครามเย็น คือ 1)การปรับโครงสร้างระบบเศรษฐกิจโลกโดยมีปัจจัยหลักอยู่ที่บรรษัทข้ามชาติ, 2)การเปลี่ยนแปลงของดุลอำนาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระบบทุนของสองประเทศมหาอำนาจ คือ ระหว่างสหรัฐฯกับอดีตสหภาพโซเวียต (รวมทั้งยุโรปตะวันออก) เนื่องจากการเปิดตลาดเสรีในกลุ่มประเทศที่เคยอยู่ในกลุ่มคอมมิวนิสต์เหล่านี้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเรื่องระบบเศรษฐกิจทุนนิยมโลกอย่างขนานใหญ่ในยุคหลังสงครามเย็น, 3)การมาถึงจุดตันของ GATT ในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจโลกที่นำไปสู่การเกิดการสร้างกลุ่มเศรษฐกิจ (economic bloc) ที่มีลักษณะกีดกันทางการค้า ซึ่งถือได้ว่านี่เป็นผลสะท้อนส่วนหนึ่งมาจากกระแสโลกานุวัตรที่แต่ละฝ่ายพยายามรักษาฐานที่มั่นทางเศรษฐกิจของตัวเองเอาไว้ทั้งสิ้น, 4)การนวัตกรรมทางเทคโนโลยีโดยเฉพาะอิเลคทรอนิกส์และโทรคมนาคมจะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเรื่องทำเลของการลงทุนสำหรับกลุ่มทุนข้ามชาติ, เนื่องจากเกิดการเคลื่อนย้ายทุนข้ามชาติอย่างเสรี และการเคลื่อนย้ายประชากรขนานใหญ่ของโลกที่ทำให้เกิดการข้ามรัฐและเชื่อมพรมแดนโลกเข้าด้วยกันในจินตนากรรมผ่านเทคโนโลยีการสื่อสาร, 5)อุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ของโลกอนาคตต้องพึ่งพิงมันสมองมนุษย์เป็นหลักและไม่จำเป็นต้องยึดติดกับทำเลถิ่นใดเป็นหลัก ทำให้ผู้ที่สามารถระดมมันสมองที่มีคุณภาพและมีการจัดตั้งองค์กรอย่างเป็นระบบจะกลายเป็นผู้ได้เปรียบในการแข่งขัน ซึ่งเป็นผลให้นักลงทุนเคลื่อนย้ายสถานที่ลงทุนไปยังแหล่งที่ตนคิดว่าเหมาะสมกับการลงทุนทำธุรกิจนั้นโดยได้กำไรมากที่สุดและจ่ายค่าต้นทุนน้อยที่สุด, และ 6)ทุนนิยมปัจเจกชนกับทุนนิยมรวมหมู่จะต้องขัดแย้งกันเอง และจะต้องลงเอยด้วยโฉมหน้าใหม่ของทุนนิยมลูกโลกในคริสต์ศตวรรษที่ 21 (สุวินัย, 2536ข: 17).
ในขณะเดียวกัน ชัยอนันต์ สมุทวณิช ซึ่งเป็นนักวิชาการคนแรกๆ ที่พูดถึงคำว่า Globalization ด้วยคำภาษาไทยว่า โลกานุวัตร ก็มองกระบวนการโลกานุวัตรที่ไม่ได้แตกต่างกันออกไปมากนัก โดยวาดภาพ เมืองไทยในอีกสิบปีหน้า ว่าจะอยู่ภายใต้บริบทของ การเปลี่ยนแปลงภายใต้กรอบระเบียบโลกใหม่ ควบคู่ไปกับสภาพทางภูมิศาสตร์ ตลอดจนพลังทางสังคม เศรษฐกิจ การเมือง และวัฒนธรรมภายในส่วนย่อยของโลกภูมิภาคและภายในรัฐ ระเบียบโลกใหม่ที่มีความเกี่ยวพันทางเศรษฐกิจ ความเป็นสากลของทุนข้ามชาติ การปรับเปลี่ยนจากระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยมมาเป็นเศรษฐกิจที่เน้นการปลดปล่อยให้พลังของตลาดเป็นกลไกหลักได้เริ่มผลักดันให้เกิดการเคลื่อนไหวที่สำคัญนอกเหนือไปจากทุนอย่างน้อยสามประการ คือ 1. การเคลื่อนไหวอพยพของประชากรทั้งที่เกิดจากปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง การทหาร เชื้อชาติ ภาษา และที่เกิดจากความต้องการหางานทำในส่วนที่ร่ำรวยกว่า 2. การแสวงหาข่ายการติดต่อทางการผลิตและการค้าขายข้ามประเทศ ทั้งที่เป็นการรวมกลุ่มอย่างเป็นการทางและไม่เป็นทางการ 3. การขยายการติดต่อสื่อสารคมนาคมระหว่างพื้นที่ต่างรัฐที่มีที่ตั้งใกล้เคียงกันโดยเฉพาะเพื่อเพิ่มสมรรถนะทางการแข่งขันด้วยการลดค่าโสหุ้ยทางการขนส่ง การเคลื่อนไหวดังกล่าวเกิดจากกฎของการอยู่ใกล้เคียงกัน (law of proximity) และทำให้เราย้อนกลับไปฟื้นฟูหรือยอมรับการติดต่อสัมพันธ์ของพื้นที่ใกล้เคียงตามธรรมชาติก่อนเกิดรัฐประชาชาติสมัยใหม่ (ชัยอนันต์, 2536: 7). กล่าวคือ โลกานุวัตรเป็นกระบวนการที่ดำเนินไปทั้งทางด้านโครงสร้างเศรษฐกิจ สังคมการเมือง และวัฒนธรรมโลก. โลกในคริสต์ศตวรรษที่ 21 ตามทัศนะของชัยอนันต์คือโลกที่ ศูนย์กลางของอุตสาหกรรมกระจายตัวมากกว่าที่จะกระจุกตัวและมีศูนย์การเงินการธนาคารอยู่ที่นิวยอร์ก ลอนดอน และโตเกียว ประเด็นสำคัญก็คือ ระบบทุนจะมีลักษณะสากลมากขึ้น คือการเก็บทุนจำนวนมหาศาลจะไม่ได้อยู่ในธนาคารในสหรัฐอเมริกา ดังนั้นจึงไม่ต้องผูกพันกับกฎระเบียบการเงินของอเมริกัน การที่มีแหล่งทุนมหาศาลเช่นนี้ทำให้กลุ่มธนาคารและบรรษัทข้ามชาติสามารถลงทุนในกิจการที่มีผลกำไรคืนกลับได้ ทั้งๆ ที่การลงทุนนั้นอาจขัดกับผลประโยชน์ของประเทศที่รับการลงทุนนั้น เพราะมีประเทศจำนวนน้อยมากที่จะสามารถควบคุมเงินของตัวได้ (ชัยอนันต์, 2534: 101). กล่าวโดยสรุป ชัยอนันต์เห็นว่า โลกอนาคตคงเป็นโลกที่เอกชนและชุมชนมีบทบาทสำคัญ ไม่ใช่รัฐ ซึ่งนำไปสู่แนวคิดเรื่องการข้ามรัฐในเวลาต่อมา (ชัยอนันต์, 2534: 139).
ผลกระทบของโลกานุวัตรต่อรัฐ ทุน และชาติไทย
ผลกระทบของกระแสโลกานุวัตรมีทั้งผลดีและผลเสีย, ซึ่งทำให้มีทั้งผู้ที่เห็นด้วย สนับสนุนเต็มที่ และผู้ที่โต้แย้งอย่างเต็มที่เช่นเดียวกัน จึงจะเริ่มด้วยการพิจารณาถึงส่วนที่เป็นผลดีก่อน และจะกล่าวถึงผลเสียต่อไป.
รังสรรค์ ธนะพรพันธุ์มองว่า หลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 จนถึง พ.ศ. 2520 กระแสเศรษฐกิจชาตินิยมครอบงำกระบวนการดำเนินการทางเศรษฐกิจของรัฐบาลไทย แต่ว่าด้วยการเติบโตของพลังเศรษฐกิจทุนนิยม ด้วยการผลักดันขององค์การที่ทำหน้าที่เป็นโลกบาล อย่างเช่น ธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ นโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลไทยก็เลยปรับไปสู่กระแสเศรษฐกิจเสรีนิยม มีความพยายามที่จะผลักดันให้รัฐบาลไทยถ่ายโอนการผลิตไปสู่ภาคเอกชน คือ privatization และลดการควบคุม ลดการกำกับกิจการทางเศรษฐกิจ คือ de-regulation .แต่เมื่อมีการปรับยุทธศาสตร์ของการพัฒนาอุตสาหกรรม[ทดแทนการนำเข้า]มาเป็นยุทธศาสตร์อุตหสากรรมเพื่อการส่งออก พลังการแข่งขันในตลาดโลกก็ทำให้นายทุนใหม่จำเป็นจะต้องช่วยตัวเอง ขบวนการโลกานุวัตรและความก้าวหน้าของ information technology ทำให้ความจำเป็นที่จะต้องสร้างสายสัมพันธ์เชิงอุปถัมภ์ลดน้อยลงไป การเปลี่ยนแปลงในภาคธุรกิจไทยในด้านหนึ่งนั้น นายทุนไทยเริ่มยอมรับวัฒนธรรมประชาธิปไตย ส่วนหนึ่งก็เพราะว่าคนเหล่านี้เป็นจำนวนมากได้รับการศึกษาจากตะวันตก เริ่มจะสลัดระบบความสัมพันธ์เชิงอุปถัมภ์ เพราะระบบความสัมพันธ์เชิงอุปถัมภ์นั้นไม่ค่อยให้ประโยชน์กับสภาพซึ่งมันเปลี่ยนแปลงไป สภาพซึ่งมีโลกานุวัตร (รังสรรค์, 2536: 30). รังสรรค์คิดว่ากระแสโลกานุวัตรกำลังมีอิทธิพลต่อเศรษฐกิจไทยมากขึ้น ซึ่งจะทำให้ วัฒนธรรมประชาธิปไตยกำลังเข้าไปแทนที่วัฒนธรรมอำนาจนิยมในภาคประชาชน ประชาชนเริ่มได้เรียนรู้ว่าตัวเองจะได้อะไรจากระบอบประชาธิปไตยมากกว่าระบอบเผด็จการ หรือคณาธิปไตย ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะว่าความล้มเหลวของระบบผู้ว่าราชการจังหวัดในการให้ประโยชน์แก่ชาวบ้าน (รังสรรค์, 2536: 30). อย่างไรก็ตาม รังสรรค์ก็ไม่ได้มอบในด้านดีทั้งหมด, แต่ยังเห็นว่า ภาคประชาชนไม่ค่อยแน่ใจว่าจะเลือกอะไรระหว่างระบบความสัมพันธ์เชิงอุปถัมภ์กับระบบทุนนิยมเสรี ในด้านหนึ่งแม้ว่าจะทำลายสายสัมพันธ์เชิงอุปถัมภ์ที่มีอยู่แต่เดิมระหว่างผู้ปกครองกับผู้อยู่ใต้ปกครอง แต่ว่าประชาชนก็ได้ประโยชน์จากสายสัมพันธ์ที่มีต่อผู้นำท้องถิ่นที่มีกับนายท้องถิ่นหรือที่มีกับนักการเมือง นี่เป็นสิ่งที่เข้ามาทดแทนที่ ในอีกด้านคือพัฒนาการของทุนนิยมก็ทำให้ประชาชนไม่แน่ใจว่าระบบความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่ไม่สมดุล การดำเนินนโยบายเศรษฐกิจที่มีลักษณะโน้มเอียงให้ประโยชน์กับเมืองมากกว่าชนบท ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการสร้างเขื่อน เรื่องป่ายูคาลิปตัส เรื่องของป่าชายเลน นากุ้ง รวมทั้งการเติบโตของเศรษฐกิจฟองสบู่ที่มีการกว้านซื้อที่ดินเพื่อการเก็งกำไร (รังสรรค์, 2536: 30).
ขณะที่ธีรยุทธ บุญมีกลับมองว่า กระแสโลกานุวัตรที่ทำให้โลกทั้งใบเป็นเสมือนหน่วยสังคมเล็กๆ หน่วยเดียวกัน จะทำให้สังคมไทยต้องเผชิญหน้ากับปัญหาใหม่ ถือเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญของสังคมการเมืองไทยเช่นเดียวกับการเปลี่ยนผ่านวิกฤติเข้มข้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ (ธีรยุทธ, 2536: 17) โดยมองว่า ทิศทางของปัญหาในอนาคตเปลี่ยนพุ่งไปข้างนอกมากกว่า นั่นคือการวางทิศทางการเมืองในระเบียบการเมืองใหม่ของโลก ขณะเดียวกันก็ต้องปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจเพื่อให้ทันกับการปรับทิศทางใหญ่ๆ ทางเศรษฐกิจ ซึ่งดำเนินไปอย่างขนานใหญ่ในโลก ทั้งทวีปอเมริกา ยุโรป ยุโรปตะวันออก จีน เป็นต้น ปัญหาความแตกต่างทางเศรษฐกิจและสังคมภายในจะยังคงมีอยู่ เพราะเป็นปัญหาที่ต้องใช้เวลายาวนานมาแก้ ปัญหาทางวัฒนธรรมอันเนื่องมาจากการเชื่อมโยงของข่าวสารในโลกก็เป็นอีกปัญหาใหญ่ที่เราต้องปรับตัว กระแสของโลกสมัยใหม่นั้นเป็นกระแสของการแข่งขันอย่างเข้มข้นทุกๆ ด้าน เป็นกระแสแห่งการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว สังคมจะใช้วิธีแก้ปัญหาชนิดวันต่อวันอย่างที่เคยทำมาไม่ได้แล้ว เพราะจะเท่ากับฉุดรั้งประเทศให้ถอยหลังเมื่อเทียบกับประเทศอื่น อนาคตข้างหน้าจึงเป็นช่วงที่ท้าทายและทดสอบคนไทยมากกว่าช่วงไหนๆ ในอดีต เป็นช่วงที่ท้าทายไม่แพ้ในสมัย ร. 5 ที่พระปรีชาญาณ (ญาณทัศน์) ของพระองค์ทำให้คนไทยพ้นวิกฤตไม่ต้องตกเป็นประเทศอาณานิคม ในปัจจุบันสังคมไทยก็ต้องการญาณทัศน์ หรือ vision ที่จะคาดการณ์หนทางข้างหน้าได้อย่างถูกต้องและจะต้องมี vision ที่มีลักษณะเป็นแนวคิดหรือยุทธศาสตร์ของประเทศในระดับโลก (Global Strategy) มากขึ้น (ธีรยุทธ, 2536: 28-29). อย่างไรก็ตาม สังคมไทยยังขาดทิศทาง กล่าวคือ ในทางการเมืองก็ไม่มีผู้นำที่มุ่งกระจายอำนาจและไม่มีวิสัยทัศน์ (หรือญาณทัศน์) และแม้ว่าบรรดาขุนนางวิชาการและนักธุรกิจไทยทั้งหลายจะมีพื้นฐานการศึกษาดี แต่ก็ขาด รากทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม (ธีรยุทธ, 2536: 29-31). เหตุการณ์เดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2535 นั้น เท่ากับเปิดโอกาสให้เศรษฐกิจไทยเข้าสู่กระบวนการโลกานุวัตรอย่างเต็มที่ และจะส่งผลให้ความคิดเสรีนิยมของชนชั้นกลางไทยพัฒนาไปอีกขั้นหนึ่งที่เป็นรูปธรรม ผูกพันกับชีวิตทางเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งจะทำให้สังคมการเมืองมีลักษณะพื้นฐาน คือ 1)ปรับทิศทางการมองปัญหาจากมองแต่ปัญหาภายใน (inward-oriented) เป็นการหันมองออกไปข้างนอก (outward-oriented) เพื่อประโยชน์ในการลงทุนค้าขาย, 2)ทำให้มีแนวคิดแบบสากลนิยม (Internationalism) ได้ง่าย, 3)การที่สังคมไทยเปิดให้มีการเคลื่อนตัว (Social Mobility) เป็นไปอย่างคล่องตัวและยืดหยุ่นในการปรับเปลี่ยนถิ่นที่อยู่อาศัย อาชีพ สถานะทางสังคมทำให้กระบวนการโลกานุวัตรดำเนินไปอย่างส่งเสริมและเกื้อหนุนกันระหว่างการเคลื่อนตัวทางสังคมกับโลกานุวัตร, และ 4)เกิดการแพร่ขยายของความคิดปัจเจกชนนิยม (ธีรยุทธ, 2536: 51-56). สภาพเช่นนี้จะทำให้เกิด การเปลี่ยนผ่านอำนาจหรือความชอบธรรมจากรัฐไปสู่สังคม (สังคมเข้มแข็ง รัฐอ่อนอำนาจลง) หรือจากกลุ่มข้าราชการเข้าไปสู่นักธุรกิจ เทคโนแครตและชนชั้นกลาง สังคมจะเปลี่ยนผ่านจากสังคมปิดมาเป็นสังคมเปิด (Open Society) จากคนไทยที่มีความคิดอนุรักษ์มาเป็นความคิดที่เปิดกว้างมากขึ้น จากความคิดชาตินิยมคับแคบปรับมารับความคิดสากลและภูมิภาคนิยม (Regionalism) มากขึ้น จากความคิดที่รวมศูนย์ (centralization) มาเป็นความคิดที่กระจายศูนย์มากขึ้น นอกจากนี้ สังคมเปิดของชนชั้นกลางจะถูกเสริมด้วยโลกยุคข่าวสาร ที่ข่าวสารมีความหลากหลายไร้พรมแดน มีลักษณะเป็นส่วนตัว ไม่ถูกครอบงำโดยอำนาจรัฐซึ่งจะทำให้มีลักษณะเป็นจริง บนพื้นฐานของเหตุผลและการวิพากษ์วิจารณ์มากกว่าบังคับให้เชื่อ คาดการณ์ว่าช่วงปี ค.ศ. 2000-2010 การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้จะดำเนินไปอย่างเข้มข้น (ธีรยุทธ, 2536: 56).
การมองโลกานุวัตรข้างต้นทั้งหมดกล่าวได้ว่าเป็นการมองโลกในแง่ดี แต่โลกานุวัตรไม่ได้นำมาแต่ผลดีเพียงอย่างเดียว. บุญรักษ์เห็นว่าสังคมสารสนเทศที่พ่วงมากับกระแสโลกานุวัตรนั้น คือ อาการของการพัฒนาที่ไม่สมดุลภายในระบอบทุนนิยมโลกในครึ่งหลังของศตวรรษที่ 20 ถ้าหากว่านี่คือ ความก้าวหน้า ผู้มีโอกาสได้ล้มรสชาติเด็ดๆ ของมันก็มีเพียงน้อยนิดเต็มที ส่วนคนอื่นๆ ก็คอยแต่เก็บเกี่ยวเศษๆ หรือไม่ก็มัวมองตาค้างกับ ความยิ่งใหญ่ ของยุคอุตสาหกรรมเถื่อนๆ (หรือแม้กระทั่งยุคเกษตรกรรมด้อยพัฒนา) ซึ่งนำความล่มสลายมาสู่ระบบครอบครัวของตนเอง ทั้งนี้ไม่ต้องพูดถึงความเสื่อมโทรมทางวัฒนธรรมและธรรมชาติ ถึงจะดูเหมือนใหม่ จริงๆ แล้วการผุดขึ้นของ สังคมสารสนเทศ นี้เป็นเพียงอีกขั้นตอนหนึ่งของอุดมการณ์แบบเทคโนแครต (Technocratic Ideology) และ ส่วนอื่นๆ หากว่าไม่ตกเป็น สวนครัว บ่อเลี้ยงปลา โรงงานผลิตคนรับใช้ เมียสั่งทางไปรษณีย์ ของประเทศที่ก้าวหน้ากว่าแบบหน้ามืดจนคิดอะไรไม่ออกบอกไม่ถูก ต่างก็ดิ้นที่จะยื่นใบสมัครเข้าเป็นสมาชิกของ ประเทศอุตสาหกรรมใหม่ (หรืออีกนัยหนึ่ง กองขยะใหม่) ด้วยความอิ่มเอิบ ทั้งๆ ที่ฐานภาพดังกล่าวมักจะได้มาด้วยความเจ็บปวดของชนชั้นล่าง ไม่ใช่ด้วยสติปัญญาของชนชั้นนำซึ่งบ่อยๆ ตื้นเขินสุดๆ ได้อย่างไม่น่าเชื่อ (บุญรักษ์, 2537: 153-154). นอกจากการล่มสลายในทางเศรษฐกิจของชนชั้นล่างแล้ว การไหลบ่าเข้ามาของกระแสโลกานุวัตรยังทำให้ประเด็นปัญหาเรื่องความมั่นคงของชาติของรัฐอ่อนตัวลงจนทำให้นิยามความหมายของความเป็นชาติอาจจะขึ้นอยู่กับใครได้ทุกคน ไม่ใช่ใครคนใดคนหนึ่ง หรือขึ้นอยู่กับรัฐแต่ฝ่ายเดียวเหมือนกับที่เคยเป็นมาในอดีต (บุญรักษ์, 2537: 349-355). กล่าวคือ ความหมายของ ชาติ กำลังปั่นป่วนอย่างหนักจนกระทั่งวลีที่ใครๆ เคยหวงแหนอย่าง อธิปไตย หมดพลังลงทุกที ทว่าเราก็ยังกอดมันไว้แน่น นอกจากจะเป็นที่มาของอารมณ์รุนแรงแยก เรา จาก เขา แล้ว ชาติ ยังเป็นหน่วยทางสังคมที่คนไม่น้อยยังคิดว่า จริง อยู่ (บุญรักษ์, 2536ค: 33). ส่วนผลกระทบทางวัฒนธรรม บุญรักษ์วิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นการ ถ่ายเทในทิศทางเดียว (One-directional Flow) จากประเทศก้าวหน้าทางอุตสาหกรรมมานานไปสู่สัดส่วนอื่นๆ ของโลก ในขณะเดียวกัน วัฒนธรรมพื้นเมือง ก็มีมิติของวัฒนธรรมโลกเข้ามาปะปนมากขึ้นทุกๆ ที อันเป็นผลจากการนำความรู้ด้านการตลาดเข้ามาจัดการวัฒนธรรมให้เป็น สินค้า ทั้งนี้ท่ามกลางการล่มสลายหรือแปรรูปของวัฒนธรรมท้องถิ่น (บุญรักษ์, 2536ก: 35). ปัญหาที่จะตามมาก็คือ 1)ทำให้แรงงานด้านวัฒนธรรมภายในประเทศอ่อนแอ, 2)มีราคาที่ต้องจ่ายในการสูญเสียอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม, และ 3)วัฒนธรรมถูกทำให้เป็นสินค้าสาธารณะ. บุญรักษ์เสนอทางออกว่า 1)จะต้องระดมสมองของสังคมมาสนับสนุนการเรียนรู้ตื้นลึกหนาบางของวัฒนธรรมข้ามชาติให้มากขึ้น ดูดซับส่วนที่น่าพึงปรารถนาของวัฒนธรรมข้ามชาติมาปรุงแต่งข้อด้อยของวัฒนธรรมชาติ, 2)คัดสรรวัฒนธรรมข้ามชาติอย่างสำนึกรู้สึกตัวที่จะทำให้เป็นไปได้ที่จะเสาะหาอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่สร้างสรรค์มากกว่า และรวมทั้งอาจจำเป็นต้องอาศัยนโยบายการคุ้มครองทางวัฒนธรรม และหาทางผสมผสานวัฒนธรรมชาติกับวัฒนธรรมท้องถิ่นเข้าด้วยกันด้วยสูตรที่เหมาะสม ซึ่งจะทำให้กลายเป็นพลังผลักดันเศรษฐกิจสังคมการเมืองไทยให้สามารถตอบสนองต่อชีวิตคนไทยส่วนมาก (บุญรักษ์, 2536ข: 35). รวมทั้งเสนอให้โครงการที่เกี่ยวกับไทยศึกษาทั้งหมดยกเลิกการยึดเหนี่ยวรัฐชาติในฐานะที่เป็นหน่วยของการวิเคราะห์ แต่ควรนำปัจจัยภายนอกเข้ามาวิเคราะห์ไทยศึกษาอย่างเป็นระบบ จึงจะทำให้สามารถอธิบายวิกฤตการณ์และปรากฏการณ์ทางสังคมการเมืองไทยได้อย่างมีพลัง (บุญรักษ์, 2536ค: 33).
อย่างไรก็ตาม นักวิชาการที่วิพากษ์วิจารณ์โลกานุวัตรอย่างรุนแรงคือเสน่ห์ จามริก และสุวินัย ภรณวลัย. อาจารย์เสน่ห์เห็นว่าวิถีแห่งการพัฒนาที่ไม่มีจุดสิ้นสุดของกระแสโลกานุวัตรทำให้ มนุษย์และธรรมชาติไม่ใช่อะไรอื่นมากไปกว่าการเป็นสินค้าที่นำไปซื้อขายได้เหมือนกับสินค้าอื่นๆ (เสน่ห์, 1993: 25) และ ผลที่ตามมาก็คือสังคมถูกแบ่งออกอย่างแหลมคมในการเผชิญหน้าที่เป็นปฏิปักษ์ระหว่างสองภาค เช่น อุตสาหกรรม/เกษตรกรรม, เมือง/ชนบท, ทางการ/ไม่เป็นทางการ และ ฯลฯ ผลโดยรวมทั้งหมดนั้นคือการทำให้สังคมแบ่งภาคออกจากกันระหว่างคนรวยกับคนจน, ระหว่างคนมีกับคนไม่มี, คนมีอำนาจกับคนไร้อำนาจ, การครอบงำกับการยอมจำนน ผลก็คือคนส่วนใหญ่ถูกกดให้ต่ำต้อย ไม่ใช่แต่ในทางเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังในทางสังคมและการเมืองด้วย สมมติฐานที่ว่ามีเพียงภาคเดียวของสังคมที่เป็นตัวจักรเดียวของความจำเริญย่อมมีความหมายในทางปฏิบัติอยู่ในตัวเอง ว่าคนส่วนใหญ่จะต้องถูกริดรอนศักยภาพในผลิตภาพของพวกเขา และที่สำคัญยิ่งกว่าอะไรก็คือการสูญเสียสิทธิในการพัฒนาของพวกเขาอีกด้วย ทำให้ความใฝ่ฝันทั้งมวลของประชาธิปไตยและการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนในกระบวนการต้องตกอยู่ในภาวะล่อแหลมและเป็นอันตรายยิ่ง (เสน่ห์, 1993: 26). กระแสโลกานุวัตรทำให้การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมการไทย สถานการณ์เลวร้ายลง มองจากสภาพเศรษฐกิจ ลักษณะการเจริญเติบโต มันส่งผลกระทบและสร้างความยากไร้ให้คนส่วนใหญ่กว้างขวางขึ้น ที่ว่ากว้างขวางขึ้นเพราะว่ามันไปส่งผลกระทบถึงการเบียดเบียนทรัพยากรและสภาพแวดล้อมด้วย เราต้องคำนึงถึงทรัพยากรอันมีค่าของเรา ทั้งคน ทั้งวัตถุ เพราะว่ากระแสโลกานุวัตรอันนี้นี่เป็นกระแสที่กำลังมาเบียดเบียน ใช้ทรัพยากรคนและธรรมชาติของเรา เพื่อการเติบโตของกระแสโลกที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน จริงๆ แล้วเมืองไทยถูกปกครองอยู่ภายใต้กระแสหลักอันนี้ คือกระแสของโลกมาโดยตลอด และก็เป็นกระแสของโลกที่เบียดเบียนชีวิตของชาวบ้าน คือพูดง่ายๆ ว่ารัฐบาลไทยเป็นเพียงเอเยนต์ [agent] ของพลังทางเศรษฐกิจการเมืองโลก (เสน่ห์, 2536: 35) โดยผู้ที่ตกเป็น เหยื่อ ของการพัฒนาอุตสาหกรรมทั้งหลาย ที่เห็นได้ชัดที่สุดก็คือเกษตรกรรมและที่ไปด้วยกันคือชุมชนในชนบททั้งหลาย (เสน่ห์, 1993: 24).
ส่วนสุวินัยนั้นมองไปที่การพัฒนาของเศรษฐกิจไทยว่าเป็นผลกระทบมาจากระแสโลกานุวัตรมาโดยตลอดในยุคหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 ที่ทำให้ ทุนจีน เริ่มคลายความสัมพันธ์เชิงอุปถัมภ์ลงและเริ่ม สะสมทุนแบบใหม่ที่พึ่งพิงความสามารถทางการตลาดและการจัดการยิ่งขึ้นกว่าเดิม (สุวินัย, 2536ค: 34). ยิ่งเมื่อเกิดปัญหาในเรื่องขีดจำกัดของยุทธศาสตร์การพัฒนาแบบทดแทนการนำเข้าที่เป็นยุทธศาสตร์ในการพัฒนาประเทศในแผนพัฒนาเศรษฐกิจยุคแรกในสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ไม่ว่าจะเป็นข้อจำกัดในเรื่องตลาดภายในประเทศ, ข้อจำกัดของรูปแบบการบริหารธุรกิจโดยครอบครัว, หรือความไม่กระตือรือร้นในการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตในภาคอุตสาหกรรมที่อยู่ภายใต้การควบคุมของธุรกิจครอบครัวบางตระกูลผสมกับวิกฤตการณ์น้ำมันในช่วงปี พ.ศ. 2515 แม้ว่าประเทศไทยยังคงดำรงรักษาระดับการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจไว้ได้โดยอาศัยเงินกู้จากต่างประเทศเป็นแหล่งเงินทุนสำคัญที่ทดแทนการเข้ามาลงทุนของทุนข้ามชาติ ก็ทำให้ระบบอุปถัมภ์ (บางคนเรียกว่าทุนนิยมขุนนาง ที่อาศัยการเกื้อกูลกันระหว่างขุนนางข้าราชการที่คอยเก็บค่าเช่าที่ทางเศรษฐกิจกับการฮั้วของนายทุนชาติ) คลายตัวลงไปมาก. ครั้นเมื่อถึงยุคที่ค่าเงินเยนของญี่ปุ่นสูงขึ้นเกือบเท่าตัวในปี .ศ. 2528 ซึ่งทำให้เงินเยนไหลทะลักเข้ามาในประเทศไทยหลายแสนล้านบาททำให้โฉมหน้าทุนนิยมไทยเปลี่ยนไป และกลายเป็นฐานการผลิตเพื่อการส่งออกของบรรษัทข้ามชาติญี่ปุ่นกับกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมใหม่ (NICs) พร้อมกับพัฒนาการของเศรษฐกิจฟองสบู่. กระแสโลกานุวัตรที่สำแดงอิทธิพลโดยผ่านการเคลื่อนย้ายอย่างค่อนข้างเสรีของข่าวสาร คน เงิน สิ่งของ ที่ถาโถมเข้าซัดใส่สังคมไทยอย่างต่อเนื่องได้ก่อให้เกิดธุรกิจแขนงใหม่ๆ ซึ่งเป็น ระบบที่สร้างความมั่งคั่งแบบใหม่ และเป็นฐานเศรษฐกิจ (ฐานอาชีพ) ให้แก่ชนชั้นกลางไทย ธุรกิจแขนงใหม่ๆ เหล่านี้ได้แก่ธุรกิจสื่อมวลชน (ธุรกิจสารสนเทศ) ธุรกิจการเงิน ธุรกิจท่องเที่ยว ธุรกิจค้าปลีก ซึ่งทำให้เกิดผลกระทบที่สำคัญคือ การแข่งขันสูง จึงมีด้านที่ส่งเสริมความเป็นประชาธิปไตยในจิตสำนึกของชนชั้นกลางไทย แต่ในอีกด้านหนึ่ง จิตสำนึกของชนชั้นกลางไทยก็ถูกหล่อหลอมภายใต้ เศรษฐกิจฟองสบู่ ให้มีจิตวิญญาณแบบฟองสบู่ที่ชอบเก็งกำไร มุ่งหวังผลประโยชน์เฉพาะหน้า ยึดติดเปลือกนอกมากกว่าแก่นสาระภายใน อยากเป็น ดารา มากกว่า วีรบุรุษ จิตสำนึก ทวิลักษณะ ของชนชั้นกลางไทยด้านหนึ่งส่งเสริมความโปร่งใสและการแข่งขันที่เป็นธรรม (ด้านส่งเสริมประชาธิปไตย) แต่ในอีกด้านหนึ่งหลงติดกับมายาภาพ ขาดความอดทน เพื่อหวังความสำเร็จระยะยาว ไม่สนใจพัฒนาแก่นสารสาระให้กับชีวิตเท่ากับการแสวงหาความมั่งคั่ง จึงมีผลให้ สภาวะจิต ของชนชั้นกลางไทยขาดความหนักแน่นและทำให้ระบอบประชาธิปไตยของประเทศไทยในปัจจุบันอยู่ในภาวะที่หมิ่นเหม่ยิ่ง ความไร้เสถียรภาพทางการเมืองถ้าหากปะทุรุนแรงขึ้นมาอีกเมื่อใด คราวนี้อาจมีผลบั่นทองเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและเสถียรภาพทางสังคมของประเทศนี้ก็เป็นได้ (สุวินัย, 2536ง: 34). นอกจากนี้ความที่กระแสโลกานุวัตรหมายถึงการเชื่อมโยงโลกเข้าด้วยกันเสมือนเป็นหมู่บ้านโลก ทำให้ปัญหาต่างๆ เหล่านี้โยงใยถึงกันและกัน มีปฏิกิริยาตอบโต้กันในเชิงบวก ซึ่งเป็นการเร่งภาวะวิกฤตให้ก่อตัวเป็นหายนะที่กำลังคืบคลายเข้ามาคุกคามสังคมไทย จนเกิดสภาพที่สังคมไทยกำลังทำลายตัวเองอันเนื่องมาจากการสะสมปัญหาต่างๆ ที่เรื้อรังมานานโดยไม่ยอมแก้ไขอย่างจริงจัง สภาพ ทำลายตัวเอง หรือหายนะกำลังคืบคลานสู่สังคมไทย (สุวินัย, 2536จ: 34).
กล่าวโดยสรุป โลกานุวัตรมีทั้งแง่บวกและลบ โดยในด้านบวกนั้นหมายถึงอิทธิฤทธิ์ของโลกานุวัตรที่จะมาช่วยให้เศรษฐกิจ สังคมการเมืองไทย รัฐไทย ความสัมพันธ์เชิงอุปถัมภ์ไทยได้รับการคลี่คลายขยายตัวมากขึ้นโดยแรงบีบของกระแสโลก เพราะต้องอนุวัตรตัวตามการเปลี่ยนแปลงของโลก แต่ขณะเดียวกันก็มีด้านลบที่จะทำลายเศรษฐกิจของคนส่วนมากของประเทศ ทำให้ชนชั้นล่างยากไร้มากขึ้น ทำลายชุมชนชนบทของไทย ตลอดจนการทำลายอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม กระทั่งที่ผลกระทบที่ เลวสุดๆ ก็คือมีคนเพียงหยิบมือเดียวเท่านั้นที่จะได้ล้มรสชาติของมันได้.
[1] Christianity had the right concept of freedom, but ended up reconciling real-world slaves to their lack of freedom by telling them not to expect liberation in this life Christian did not realize that God did not create man, but rather that man had created God. He created God as a kind of projection of the idea of freedom, for in the Christian God we see a being who is the perfect master of himself and of nature. But the Christian then proceeded to enslave himself to a life of slavery on earth in the belief that he would be redeemed later by God, Fukuyama, 1992: 197.
[2] The revolution of a gifted people which we have seen unfolding in our days may succeed or miscarry this revolution, I say, nonetheless finds in the hearts of all spectators a wishful participation that borders closely on enthusiasm. Immanuel Kant, On History, cited in Isaac, 1996.
[3] เรียบเรียงจากบทความที่โด่งดังมากเรื่อง The Clash of Civilization? ของ Huntington (1993).
[4] It is my hypothesis that the fundamental source of conflict in this new world will not be primarily ideological or primarily economic. The great divisions among humankind and the dominating source of conflict will be cultural. Nation states will remains the most powerful actors in world affairs, but the principal conflicts of global politics will occur between nations and groups of different civilizations. The clash of civilizations will dominating global politics. The fault lines between civilizations will be the battle lines of the future. Huntington, 1993: 1.
[5] สนธิสัญญาเวสฟาเลีย (Peace of Westphalia) ในปี ค.ศ. 1648 เป็นสนธิสัญญาที่ยุติสงคราม 80 ปีระหว่างสเปนกับดัทช์ (ฮอลแลนด์) และสงคราม 30 ปีของรัฐเยอรมันเกี่ยวกับปัญหาเรื่องการขึ้นเป็นองค์จักรพรรดิของอาณาจักรโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ และความใฝ่ฝันของบรรดาเจ้าผู้ปกครองเยอรมันทั้งหลายที่ต้องการรวบรวมรัฐเยอรมันให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวแบบสหพันธรัฐ. การเจรจาตกลงสันติภาพเพื่อยุติสงครามเริ่มตั้งแต่ปี ค.ศ. 1644 ในเมือง Munster และ Osnabruck ในรัฐเวสฟาเลีย (ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของเยอรมัน) ซึ่งนำไปสู่สนธิสัญญาระหว่างสเปนกับดัทช์ (the Spanish-Dutch treaty) ที่ลงนามกันเมื่อวันที่ 30 มกราคม ค.ศ. 1648, ส่วนสนธิสัญญาที่ลงนามเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม ค.ศ. 1648 (Treaty of Oct. 24, 1648) เป็นข้อตกลงร่วมกันระหว่างพระเจ้าเฟอดินานด์ที่ 3 ซึ่งเป็นจักรพรรดิแห่งอาณาจักรโรมันอันศักดิ์สิทธิ์กับบรรดาเจ้าผู้ปกครองทั้งหลายของรัฐเยอรมัน, ฝรั่งเศส, และสวีเดน และระหว่างที่ประชุมเจรจาตกลงกันอยู่นั้นสงครามการสู้รบก็ยังคงดำเนินอยู่ตลอดเวลา. การประชุมเจรจาสันติภาพเวสฟาเลียนั้นมีมหาอำนาจในยุโรปเกือบทั้งหมดเข้าร่วม ยกเว้นแต่อังกฤษ, โปแลนด์, มอสโค, และ ตุรกีเท่านั้น. การเจรจาสันติภาพแห่งเวสฟาเลียได้นำไปสู่การจัดการแก้ปัญหาข้อพิพาทในเรื่องอาณาเขตดินแดน (territorial settlement) ซึ่งนำไปสู่การเกิดรัฐสมัยใหม่ในยุโรปที่มีขอบเขตเส้นพรมแดนที่ชัดเจนแน่นอนขึ้นเป็นครั้งแรก และนำไปสู่การให้อำนาจสูงสุดแก่เจ้าผู้ปกครองเยอรมันทั้งหลายเหนือพื้นที่อาณาเขตดินแดนของตนเอง ซึ่งทำให้อำนาจของจักรพรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์กลายเป็นสิ่งที่ไม่มีความหมายและไม่มีอำนาจที่แท้จริงอีกต่อไปเนื่องจากอำนาจของจักรวรรดิที่รวมศูนย์อยู่แต่เดิมได้กระจายไปยังเจ้าผู้ปกครองนครรัฐเยอรมันต่างๆ จากเกือบ 300 นครรัฐ, รวมทั้งให้การยอมรับสถานภาพความเป็นรัฐของเนเธอร์แลนด์กับสวิตเซอร์แลนด์. นอกจากนี้ยังนำไปสู่ข้อตกลงในทางศาสนาที่ยุติข้อพิพาททางศาสนา โดยยอมรับสนธิสัญญา Peace of Augsburg ในปี ค.ศ. 1955 ที่ยอมรับศาสนาคริสต์นิกายลูเธอแรนและนิกายคาลแวงนิสต์อยู่ในอาณาจักรโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งนำไปสู่การยอมรับเสรีภาพในการนับถือศาสนาของกลุ่มต่างๆ แต่ก็ไม่ได้หมายรวมถึงคนนอกศาสนาคริสต์แต่อย่างใด. กรุณาดูรายละเอียดใน Peace of Westphalia, Britannica Micropaedia, Ready Reference, Vol. 12, 15th Edition (Chicago, 1995), p. 609.
[6] เนื้อหาโดยส่วนใหญ่ของส่วนนี้เรียบเรียงใหม่จากบทความของผู้เขียนเรื่อง โลกานุวัตร: นิยาม ความเป็นมา ผลกระทบ และวิธีรับมือ ซึ่งจัดทำขึ้นสำหรับวิชา ทฤษฎีการเมืองว่าด้วยสังคมและการเมือง (Theories on Society and Politics หรือ ร. 410) สอนโดย ดร. เกษียร เตชะพีระ แห่งคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ภาคการศึกษาที่ 1, ปีการศึกษา 2536. นอกจากนี้ผู้เขียนยังยืนยันที่จะใช้คำว่า โลกานุวัตร มากกว่าคำว่า โลกาภิวัตน์ ที่สำนักราชบัณฑิตยสถาน บังคับใช้, กรุณาดูการโต้เถียงแบบนี้ได้ในบทความชุด โต้ราชบัณฑิตยสถาน ได้ใน เกษียร (2538: 17-39).
[7] รูปแบบทางสังคมในอดีตตามทฤษฎีวิวัฒนาการทางสังคมของนักสังคมศาสตร์มาร์กซิสต์ คือ 1)สังคมล่าสัตว์และเก็บผลไม้ทานตามป่า (huntint and gathering), 2)สังคมเกษตรกรรม, และ 3)สังคมอุตสาหกรรม.