บทที่ 5

ประเทศสยาม/ไทยในประชาคมโลก: ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 จนถึงปัจจุบัน

 

จุดประสงค์: เพื่อให้นักศึกษาเข้าใจและสามารถอธิบายได้เกี่ยวกับสถานะและบทบาทของรัฐ/สังคมไทยในประชาคมโลกตั้งแต่เริ่มเปิดรับอิทธิพลของตะวันตกในสมัยรัชกาลที่ 4 จนกระทั่งถึงปัจจุบัน

 

รัฐไทยในกระแสของการล่าอาณานิคมของจักรวรรดินิยมตะวันตก

ในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อมหาอำนาจตะวันตกเริ่มนโยบายจักรวรรดินิยมแผ่ขยายอำนาจเข้ามาในเอเชีย  ประเทศอังกฤษเป็นมหาอำนาจประเทศแรกที่เริ่มส่งทูตเข้ามาเจรจาเพื่อทำสนธิสัญญากับสยาม โดยได้ส่งจอห์น ครอฟอร์ด เป็นตัวแทนเข้ามาทำสนธิสัญญาเมื่อ ค.ศ. 1821-2 ซึ่งเป็นปลายรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย  และก็ทำได้เพียงแค่เจรจาให้ยอมตกลงทำ “สนธิสัญญาทางไมตรี” กับอังกฤษเท่านั้น (Crawfurd, 1828; and Finlayson, 1826).  ต่อมาในค.ศ. 1826 (พ.ศ. 2369) ต้นรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว อังกฤษได้ส่งเฮนรี่ เบอร์นี่ เข้ามาเจรจาเพื่อตกลงทำสัญญาการค้ากับราชสำนักสยามอีกครั้ง  แต่ปรากฏว่า “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไม่โปรดที่จะให้รับทำหนังสือสัญญา  จะโปรดแต่เป็นทางไมตรี….[ขุนนางผู้ใหญ่]กราบทูลวิงวอนว่า อังกฤษมาขอทำสัญญาถึง 2 ครั้งแล้ว  ถ้าไม่รับทำหนังสือสัญญาด้วยแล้ว ก็เห็นจะไม่ได้เป็นไมตรีกัน  ทูตกลับไปแล้วก็คงจะหาเหตุพาลพาโลต่างๆ ด้วยเขตแดนอังกฤษติดต่อใกล้เคียงเข้ามาข้างทะเลและทางบกแล้วจะระวังยาก  จึ่งทรงพระราชดำริเห็นด้วย ยอมให้ทำหนังสือสัญญา[ทางการค้ากับอังกฤษ(ทิพากรวงศ์, 2507: 12). ต่อมาเมื่ออังกฤษส่งเจมส์ บรุกส์เข้ามาขอแก้สนธิสัญญาทางการค้ากับสยามอีกครั้งในปี ค.. 1850 (พ.ศ.2393) อันเป็นปลายรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ นั้นปรากฏว่า “[พระเจ้าอยู่หัว]เวลานั้นทรงพระประชวรอยู่ไม่สบายพระองค์ จึ่งไม่ได้เข้าเฝ้าทำหนังสือสัญญาต่อกัน” (ทิพากรวงศ์, 2507: 12).

อย่างไรก็ตาม  ในต้นรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้นปรากฏว่าท่าทีที่ไม่เป็นมิตรกับตะวันตกของชนชั้นนำไทยได้เปลี่ยนแปลงไปเมื่ออังกฤษส่งเซอร์ จอห์น บาวริ่งเข้ามาทำสนธิสัญญากับสยามในปี ค.. 1855 (พ.ศ. 2398)  เนื่องจากอำนาจของอังกฤษในเอเชียเพิ่มมากขึ้น ดังจะเห็นได้จากการที่อังกฤษชนะจีนในสงครามฝิ่นใน ค.ศ. 1840-2 และสามารถเอาชนะพม่าที่เป็นศัตรูยาวนานของสยามลงได้  จึงเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ชนชั้นนำสยามต้องปรับท่าทีในการติดต่อสัมพันธ์กับอังกฤษและตะวันตกใหม่  เนื่องจากมองเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของศูนย์กลางทางอำนาจจากที่เคยมองว่าจีนเป็นศูนย์กลางเปลี่ยนมาเป็นตะวันตกเป็นศูนย์กลางแทน.  กล่าวคือ ชนชั้นนำไทย “ฝ่ายพวกชั้นสมัยใหม่เห็นว่าโลกวิสัยทางตะวันออกนี้ถึงเวลาเปลี่ยนแปลงด้วยฝรั่งมามีอำนาจขึ้น  จีนเป็นประเทศใหญ่ อังกฤษยังบังคับได้...ไทยก็คงต้องทำหนังสือสัญญาใหม่กับอังกฤษ ผิดกันแต่เวลาช้าหรือเร็ว  ถ้าไม่ยอมทำคงเกิดภัยอันตรายแก่บ้านเมือง...แต่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเห็นการไกลกว่าผู้อื่น...ประเทศทั้งหลายทางตะวันออกนี้ต่อไปภายหน้าคงจะมีการเกี่ยวข้องกับฝรั่งมากขึ้นทุกที  ถ้าไม่เปลี่ยนแปลงรัฎฐภิบาลนโยบายของของประเทศสยามให้ฝรั่งนิยมว่าไทยพยายามบำรุงบ้านเมืองให้เจริญตามอริยธรรม ก็ไม่อาจปลอดภัยมั่นคงได้...ก็ทรงแก้ไขขนบธรรมเนียมเก่าเริ่มด้วยดำรัสสั่งให้เลิกประเพณีเข้าเฝ้าตัวเปล่าไม่ใส่เสื้อ” (ดำรงราชานุภาพ, 2514: 120-122). นอกจากนี้ การรับความรู้และเทคโนโลยีสมัยใหม่จากตะวันตกของชนชั้นนำบางคน อาทิ เจ้าฟ้ามงกุฎสมัยที่ยังผนวชอยู่ก่อนจะขึ้นครองราชย์เป็นรัชกาลที่ 4 นั้นก็โปรดให้ตั้งโรงพิมพ์,  ส่วนตัวพระองค์เองก็เรียนภาษาอังกฤษ ละติน และความรู้ทางวิทยาศาสตร์ดาราศาสตร์สมัยใหม่ ซึ่งทำให้พระองค์เข้าใจและมองเห็นถึงอำนาจแห่งความรู้และเทคโนโลยีของตะวันตก จึงพร้อมที่จะหันมายอมรับตะวันตก  และมองเห็นตะวันตกเป็นศูนย์กลางทางความรู้และอำนาจแห่งใหม่.

สนธิสัญญาบาวริ่งที่สยามทำกับอังกฤษในปี ค.ศ. 1855 นั้นโดยสาระสำคัญแล้วมีอยู่ 2 ประการ คือ 1)เปิดการค้าเสรี ด้วยการให้มีการเก็บอัตราภาษีสินค้าเข้า-ออกในอัตราคงที่แน่นอนตายตัว (คือ 3 เปอร์เซ็นต์) พร้อมกับการยกเลิกภาษีที่เคยเก็บซ้ำซ้อน, ยกเลิกการให้สิทธิพิเศษกับรัฐบาลสยามในการเลือกซื้อสินค้าบางประเภท, และยกเลิกการผูกขาดสินค้าภายในประเทศ; และ 2)ให้สิทธิพิเศษทางศาลหรือสิทธิสภาพนอกอาณาเขตแก่ชาวตะวันตกที่เดินทางเข้ามาในสยามที่กระทำผิดกฎหมาย ด้วยการให้ไปขึ้นศาลกงสุลต่างประเทศ โดยไม่ต้องขึ้นศาลไทย  ทั้งนี้เงื่อนไขนี้จะผูกมัดไปจนกว่ารัฐบาลสยามจะสามารถปรับปรุงแก้ไขกฎหมายให้ทันสมัยแบบนานาอารยประเทศ.

การทำสนธิสัญญาบาวริ่งได้ส่งผลทำให้เกิดเป็นปมปัญหาสำคัญทั้งในทางกฎหมายและในทางจิตใจกับสังคมไทย กล่าวคือในทางกฎหมายนั้นทำให้ตะวันตกมีสิทธิพิเศษเสมือนสยามตกเป็นเมืองขึ้นหรืออาณานิคมของตะวันตก, โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อข้อบังคับในสนธิสัญญาเรื่องสิทธิพิเศษทางกฎหมายหรือที่เรียกว่าสิทธิสภาพนอกอาณาเขตนั้นยังขยายรวมไปถึงคนที่อยู่ในบังคับของตะวันตก หรือคนที่เดินทางมาจากอาณานิคมตะวันตกที่เมื่อกระทำผิดกฎหมายแล้วก็สามารถขอขึ้นศาลต่างประเทศได้.  การเปิดช่องเช่นนี้ทำให้คนจีนและลูกจีนที่อยู่ในเมืองไทยไปขอเข้าเป็น “คนในบังคับของอังกฤษ“ หรือชาติตะวันตกอื่นๆ เป็นจำนวนมาก เพื่อที่จะหลบหลีกการบังคับใช้อำนาจและกฎหมายของสยาม ซึ่งเท่ากับว่าเป็นการท้าทายอำนาจของสยามและทำให้รัฐบาลสยามสูญเสียอำนาจอธิปัตย์ในทางการศาลของตนเองให้กับตะวันตกไปโดยสิ้นเชิง.  ส่วนในทางจิตใจนั้นมีนัยว่าจารีตธรรมเนียมประเพณีสยามยังป่าเถื่อนล้าหลัง ไม่ทันสมัย  และไม่แตกต่างไปจากชนชาติอื่นๆ ในดินแดนอาณานิคมของตะวันตกทั้งหลาย.

 

การรับมือกับการล่าอาณานิคมตะวันตกของสยาม[1]

ในช่วงที่สยามกำลังเผชิญหน้ากับกระแสการล่าอาณานิคมของตะวันตก ชนชั้นนำสยามได้ใช้ยุทธวิธี 2 ประการ กล่าวคือ: แนวทางแรก คือ การปฏิรูปปรับปรุงพัฒนาประเทศ ซึ่งกล่าวได้ว่าเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 และดำเนินการอย่างเข้มข้นต่อเนื่องสืบมาในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, โดยที่ชนชั้นนำสยามเริ่มตั้งแต่การค้นหาความหมายของความ “ซิวิไลซ์” ด้วยการออกเดินทางไปศึกษาดูงานในอาณานิคมตะวันตกและในตะวันตก และนำกลับมาปฏิรูปปรับปรุงประเทศให้เจริญอย่างรูปแบบของอาณานิคมตะวันตก.[2] ส่วนแนวทางที่สอง คือ การดำเนินความสัมพันธ์ทางการทูตกับประเทศมหาอำนาจตะวันตก และใช้วิธีการทางการทูตเป็นเครื่องมือในการต่อรองกับมหาอำนาจตะวันตกด้วยกันเอง เช่น การเปิดสถานทูตในตะวันตก, การเสด็จประพาสยุโรปถึง 2 ครั้งของรัชกาลที่ 5, และดำเนินการสร้างความสัมพันธ์กับจักรวรรดิรุสเซียซึ่งเป็นมหาอำนาจของยุโรปจนรุสเซียได้กลายเป็นมหามิตรของสยาม (ดู ฉลอง, 2516).

แนวทางในการรับมือด้วยการปฏิรูปประเทศให้ทันสมัยนั้นทำให้ชนชั้นนำสยามเกิดการแสวงหาทางภูมิปัญญาครั้งสำคัญเกี่ยวกับตัวเอง.  เพราะในด้านหนึ่ง ชนชั้นนำสยามก็รับไม่ได้ที่จะมองว่าตนเองเป็นพวกป่าเถื่อนแบบที่ชาวตะวันตกมองชาวเอเชีย,  แต่ในอีกด้านหนึ่งชนชั้นนำสยามก็รู้สึกว่าตนเองไม่ได้เจริญก้าวหน้าทางวิทยาการและเทคโนโลยีเหมือนกับที่ตะวันตกเป็นอยู่.  เหตุผลทั้งสองประการนี้ทำให้ชนชั้นนำสยามเกิดการค้นคว้าทางปัญญาครั้งสำคัญว่า อะไรคือสิ่งที่เรียกว่าความเจริญก้าวหน้า? กล่าวอีกนัยหนึ่งชนชั้นนำสยามได้ดำรงชีวิตอยู่ในยุคแห่งการแสวงหาความหมายของความแตกต่างระหว่างคำว่า “ซิวิไลซ์” กับความป่าเถื่อน โดยที่จุดเริ่มต้นของการแสวงหานี้คือการถูกตั้งคำถามจากบรรดามิชชั่นนารีฝั่งที่เข้ามาเผยแพร่ศาสนาคริสต์อยู่ในสยามนั่นเอง. กล่าวคือในช่วงสมัยรัชกาลที่ 4 นั้น ดี. บี. แบรดลีย์ (D.B. Bradley) ซึ่งเข้ามาเผยแพร่ศาสนาและกำลังทำหนังสือพิมพ์ หนังสือจดหมายเหตุฯ The Bangkok Recorder ตีพิมพ์ออกจำหน่ายในช่วงปี ค.ศ. 1865-1867 ได้แสดงความเห็นในบทความเรื่อง “ทางหลวงในกรุงเทพ” ในหนังสือพิมพ์ดังกล่าวว่า “ถ้ากรุงเทพอันหนุ่มปรารถนาจะได้ชื่อเสียงในประเทศที่สว่างแลมีกำลังมาก จำเป็นต้องเอาใจใส่ในการที่จะทำทางหลวงบนบกให้ดีขึ้น  เมืองไหนๆ มีทางหลวงบนบกน้อย เมืองนั้นก็สำคัญพยานว่าเมืองนั้นอยู่ที่มืดเปนเมืองป่า” (หนังสือจดหมายเหตุฯ The Bangkok  Recorder  2:21 (22 ธันวาคม  ค.ศ. 1866 ): 254). ความเป็น “เมืองป่า” ที่ชาวตะวันตกวิพากษ์วิจารณ์นี้กลายเป็น “ปม” สำคัญของชนชั้นนำสยามในช่วงนั้น  จนแม้กระทั่งตัวพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเองก็ทรงเห็นว่าประเทศสยามนั้น “half civilized and half barbarian” (จดหมายเหตุรัชกาลที่ 4  ไม่ปรากฏศักราช เลขที่ 357, อ้างใน Kasetsiri, 1996: 6). นอกจากนี้ ความเคลื่อนไหวที่สำคัญ คือการถกเถียงที่เกี่ยวพันครอบคลุมกว้างขวางหลายเรื่อง  ตั้งแต่ศาสนา, ความเป็นตะวันตก-ตะวันออก, วัตถุกับจิต, แสงสว่าง-ความมืด, จารีตนิยมกับความก้าวหน้า  ซึ่งเป็นวิวาทะที่โต้แย้งกันระหว่างแบรดลีย์ บรรณาธิการของหนังสือพิมพ์ หนังสือจดหมายเหตุฯ The Bangkok Recorder และถือเสมือนเป็นตัวแทนความคิดของฝรั่งตะวันตก กับผู้ที่ติดตามอ่านและร่วมขีดเขียนมาโต้แย้งถกเถียงอยู่เนืองๆ ซึ่งถือเป็นเสมือนตัวแทนความคิดของชนชั้นนำสยามในช่วงต้นรัตนโกสินทร์,  โดยวิวาทะกันรวมทั้งสิ้นถึง 10 บทความ และกินระยะเวลาแรมปีตั้งแต่ช่วงเดือนมิถุนายน ค.. 1865 จนสิ้นแรงกระเพื่อมลงเมื่อเดือนพฤษภาคม ค.. 1866.   บรรดาผู้อ่านที่ชมชอบเขียนจดหมายมาโต้กับแบรดลีย์อยู่เป็นประจำสม่ำเสมอมีอยู่ 2 ท่านที่พอจะระบุชื่อได้ คือพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่มีหลักฐานอยู่ว่าชอบโต้แย้งแสดงฝีปากฝากคารมกันในหน้าหนังสือพิมพ์กับแบรดลีย์  ดังที่แหม่มแอนนา เลียวโนเวนส์ (Anna Harriette Leonowens) บันทึกไว้ว่า “เช้าวันนี้ได้ทรงพระราชนิพนธ์โต้แย้งเรื่องมนุษย์เราเกิดมามีบาปติดตัวของหมอบรัดเล  ขณะที่แหม่มกำลังคัดพระราชหัตถเลขาเพื่อจะส่งไปตีพิมพ์นั้น  พระองค์ท่านทรงสำราญพระราชหฤทัยเป็นอันมาก  เพราะทรงพระราชดำริว่า คราวนี้บรัดเลคงจะต้องยอมจำนนต่อเหตุผลของพระองค์ท่านเป็นแน่” (อ้างในขจร, 2531: 124). อีกท่านหนึ่งคือเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ ซึ่งดังที่ปรากฏหลักฐานต่อมาว่าได้เขียน หนังสือแสดงกิจจานุกิจ ซึ่งตีพิมพ์ออกมาเมื่อ พ.. 2410  ภายหลังจากที่หนังสือพิมพ์ หนังสือจดหมายเหตุฯThe Bangkok  Recorder ปิดฉากตัวเองลง.

                จุดเริ่มต้นของการถกเถียงกันอย่างยาวนานนี้เกิดขึ้นจากความเห็นของบรรณาธิการในบทความที่ชื่อว่ามหาวิทยาลัย หรือ  “ยูนิเวอซิติ” [university] ซึ่งสืบเนื่องมาจากข่าวเรื่องเศรษฐีในเมืองบอมเบย์ได้บริจาคเงินให้แก่มหาวิทยาลัยที่ตีพิมพ์อยู่ในฉบับเดียวกัน (หนังสือจดหมายเหตุฯ The Bangkok Recorder 1:7 (June 1, 1865): 37-8). แบรดลีย์ตั้งข้อสงสัยว่าเมื่อไรรัฐบาลแห่งกรุงสยามจะคิดตั้ง “ยูนิเวอซิติ” ขึ้นบ้างจะให้เป็นสำนักสั่งสอน “สิลปสาตร[ศิลปศาสตร์]วิชาการความรู้, แลให้หัดพูดหัดแปล” ภาษาอังกฤษ  ฝรั่งเศส เยอรมัน เป็นต้น.  เรื่องการตั้ง “ยูนิเวอซิติ” สำหรับสั่งสอนผู้คนนั้นแบรดลีย์รายงานว่า มีข่าวมาเมื่อ 14 ปีก่อนว่าพระปลัดเมืองเพชร์บุรีจะตั้งมหาวิทยาลัยขึ้น  แต่ในที่สุดเรื่องก็เงียบไป,  ถ้าทำตั้งแต่ตอนนั้นก็คงได้มีคนรู้ภาษาอังกฤษ ฝรั่งเศส และคงได้มีคนแปล “อินเตอแนซันแอลฬอร์” (International Law) ที่เป็นกฎหมายระหว่าง “เมืองต่อเมือง” (กฎหมายระหว่างประเทศ) อันจะทำให้เกิด “ผลประโยชน์แก่เมืองหลายอย่างนัก” ไปเรียบร้อยแล้ว.  แบรดลีย์รุกเสนอความเห็นเชิงนโยบายต่อรัฐบาลสยามว่า

 

                “ในกาลทุกวันนี้, ที่กรุงสยามต้องจำเป็นให้ชาวเมืองไทยรู้ในภาษาต่างๆ, และศิลปศาสตร์วิชาการเช่นว่ามาแล้ว,  เพราะกรุงสยามดุจเลื่อนจากที่ๆ เคยตั้งอยู่นั้น, ไปตั้งอยู่ใหม่ในประเทศยุโรปแล้ว,  มีชาวประเทศยุโรปมาระคนอยู่ด้วยกันมาก, ได้ตั้งเป็นไมตรีกันเป็นหลายเมืองแล้ว.  ถ้าไม่ได้เรียนรู้ในภาษาและศิลปศาสตร์วิชาการของเขา,  จะกระทำการงานสิ่งใดด้วยเขาก็ขัดข้องนักไม่สะดวกเลย,  จะได้เกิดความอัปยศต่างๆ, เพราะมีความรู้น้อย,  และชาวเมืองที่เขาล้อมรอบอยู่นั้น  เขารู้ภาษาและวิชาการมากกว่าตัว” (หนังสือจดหมายเหตุฯ The Bangkok Recorder 1:7 (June 1, 1865): 38).

 

การตั้งมหาวิทยาลัยเพื่อให้ชาวสยามเรียนภาษาฝรั่งจึงไม่ได้มีนัยยะเพียงแค่จะทำให้สยามได้เรียนรู้วิชาการต่างๆ  และกฎหมายระหว่างประเทศ เพื่อจะได้รู้ “คดีโลกย์” เท่านั้น,  แต่เพราะสยามได้เลื่อนหลุดออกไปจากพื้นที่ดั้งเดิมหรือในระบบคิดเรื่องจักรวาลวิทยาของตนไปตั้งอยู่ในระบบความสัมพันธ์ระหว่างรัฐแบบใหม่ในชุมชนการเมืองนานาชาตินานาประเทศของยุโรป. การแสวงหาความรู้จึงเป็นสิ่งที่สำคัญมากที่จะทำให้สยามได้มีเครื่องมือหรือหนทางอย่างใหม่ เพื่อที่จะทำให้สามารถดำรงชีวิตอยู่ต่อไปในชุมชนแห่งใหม่ “ในประเทษยูรบ” ได้อย่างมีความหมาย.  การเคลื่อนที่ไปจากพื้นที่เดิม ทำให้แบรดลีย์เห็นว่า กรุงสยามไม่สามารถดำรงอยู่ต่อไปได้โดยอาศัยเฉพาะความรู้แบบเดิมที่อิงอยู่กับภาษามคธที่ “ไม่ได้สำแดงคดีโลกย์” และไม่ก่อให้เกิด “ความรู้รอบในทางคดีโลกย์” ได้อีกต่อไป.  เพราะฉะนั้น สยามจึงจำเป็นที่จะต้องเรียนรู้ “ภาษาและศิลปศาสตร์วิชาการของเขา”.

                หลังจากที่เสนอให้สยามตั้ง “ยูนิเวอซิติ” เพื่อเรียนรู้ความรู้ใหม่ๆ  และวางเงื่อนปมสำคัญว่า ความรู้เดิมของสยามมีขอบเขตจำกัดและไม่สามารถปรับเปลี่ยนให้เข้ากับ “คดีโลกย์” สมัยใหม่ได้  ต่อมาในฉบับวันที่ 1 เดือนกรกฎาคม ค..1865 (ปีที่ 1 ฉบับที่ 9) แบรดลีย์ก็ลงพิมพ์บทความ “ตราชูอย่างหนึ่ง” จำแนกแยกความแตกต่างระหว่างตะวันตกกับตะวันออก   โดย “พิจารณาบรรดาสิ่งของทั้งหลาย, อันมีในประเทศเบื้องตระวันตก, แลประเทศเบื้องตระวันออกนั้น.  ถ้าจะเปรียบกันเข้าแล้ว,  ข้างไหนจะจำเริญใจสว่างตา.   คนทั้งหลายคงเห็นลงว่า, บรรดาสิ่งของซึ่งเกิดมีมาแต่ประเทศเบื้องตะวันตกนั้นเป็นของประเสริฐวิเศษดีกว่ากัน” (หนังสือจดหมายเหตุฯ The Bangkok Recorder 1:9 (July 1, 1865): 58).  บทความชิ้นนี้ได้วางหมากกลทางวาทกรรมครั้งสำคัญว่าด้วยความเป็นตะวันตกกับความเป็นตะวันออกที่มีความหมายต่อความคิดของชนชั้นนำสยามในเวลาต่อมาขึ้นเป็นครั้งแรกๆ   โดยการจำแนกความเป็นตะวันตกว่ามีความหมายเท่ากับการใช้ปัญญาเหตุผลและหมั่นขวนขวายมุ่งไปสู่ความก้าวหน้า;  ขณะที่ความเป็นตะวันออกสะท้อนถึงการไม่ใช้ปัญญาความคิดด้วยเหตุผล  ใช้แต่กำลังแรงงานเป็นหลัก,  ยึดถือขนบธรรมเนียม  ไม่ขวนขวายไปสู่ความเจริญ. ความเป็นตะวันออกที่แบรดลีย์หมายถึงในที่นี้คือตะวันออกของตะวันตก ที่นับรวมตั้งแต่ตะวันออกใกล้จนถึงตะวันออกไกล, และเป็นตะวันออกที่ไม่ได้แตกต่างไปจากจารีตในการมองตะวันออกของชาวตะวันตก ว่าตะวันออกคือความป่าเถื่อน ล้าหลังและด้อยกว่าตะวันตกในขั้นตอนวิวัฒนาการทางอารยธรรม. สยามในสายตาของแบรดลีย์จึงเป็นส่วนหนึ่งของ “ความเป็นตะวันออก (The Oriental)”. ส่วนความเป็นตะวันตก (The Occidental) ไม่ว่าจะเป็นยุโรป หรืออเมริกา (ตัวของแบรดลีย์เป็นชาวอเมริกัน แต่เมื่อเขาหมายถึง “ตะวันตก” นั้น แบรดลีย์ไม่ได้แยกอเมริกาออกจากยุโรป) นอกจากจะเป็น “ความเป็นตะวันตก” ที่ก้าวหน้าและยึดมั่นในปัญญาเหตุผลแล้ว  แบรดลีย์ยังได้ขมวดปมสำคัญของความเป็นตะวันตกไว้ด้วยคริสต์ศาสนา  ด้วยเหตุผลรวบรัดชัดเจนที่ว่า “ประเทศแห่งตะวันตกเหล่านั้นเขามีความจำเริญขึ้นได้ด้วยพระศาสนา,  เพราะเขามีพระคำภีร์ที่วิเศษ, ได้รู้ธรรมของพระเจ้าผู้ที่เที่ยงฉะนี้แล” (หนังสือจดหมายเหตุฯ The Bangkok Recorder 1:9 (July 1, 1865): 59).

ครั้นเว้นไปอีก 2 เดือน  ในเดือนตุลาคมปีเดียวกันนั้น ก็มีผู้เขียนจดหมายมาปกป้องพุทธศาสนา เป็นใจความว่า การบริจาคเงินให้ “ยูนิเวอซิติ” นั้นดูออกจะ “เห็นเป็นประโยชน์แก่แผ่นดินจริง”   แต่ที่ไม่ยอมทำกันก็เพราะกลัวว่า “พวกชาวสยามได้ยินได้ฟังการต่างประเทศหนาหูเข้าจิตใจก็เปรี้ยวไปเสียหมด”,  พร้อมกับตอบโต้แบรดลีย์ด้วยการแยกความรู้โลกย์กับความรู้ทางศาสนาออกเสียจากกัน  เพราะ “ครูนั้นก็จะไม่สอนแต่หนังสือและวิชาการอย่างเดียว, แต่คงจะสอนทางศาสนาที่ครูนับถือด้วย”.  ความรู้กับศาสนาที่แบรดลีย์พยายามผูกปมเข้าไว้ด้วยกันเมื่อหลายเดือนก่อนจึงเหมือนถูกจับดึงแยกออกจากกันเสียแล้ว  โดยเห็นว่าที่มิได้ออกเงินลงทุนสร้าง “ยูนิเวอซิติ” นั้นไม่ใช่เพราะขี้เหนียวตระหนี่ทรัพย์   แต่กลัวว่าเด็กที่เรียนแล้วก็จะหันไปนับถือศาสนาคริสต์  ซึ่งจะทำให้ “การนานไปข้างหน้าคนที่นับถือพุทธศาสนาก็จะหมดเร็วไป”.  แบรดลีย์เขียนแสดงความเห็นต่อท้ายบทความนี้ว่า คิดเห็นเหมือนเด็กเล็กๆ ที่ขี้เกียจเรียนหนังสือ.  ส่วนเรื่องศาสนานั้นแบรดลีย์อธิบายว่า ไม่ว่าที่เมืองไหนๆ “ก็ย่อมเอาศาสนานั้นเข้าระคนปนด้วยบ้าง” ทั้งสิ้น  และที่ตนนำเอาเรื่องราวคริสต์ศาสนามาลงตีพิมพ์นั้น “ถ้าพุทธศาสนาเป็นดีเที่ยงแท้เหมือนท่านได้ถือนั้น, ถึงจะเปรียบกันกับคริสต์ศาสนาบ้าง,  ก็จะออกปรากฏว่าดีแท้.  เหมือนเอาเงินที่ดีที่แท้มาเปรียบกับเงินปลอม,  ก็คงจะได้ที่สรรเสริญเป็นแท้” (“ผู้กลัวพุทสาศนาจะหมดเรวไป” หนังสือจดหมายเหตุฯ The Bangkok Recorder 1:16 (October 19, 1865): 140-141).

                ในฉบับเดียวกันนั้น  ก็มีผู้เขียนบทความ “การสั่งสอนวิชาอย่างประเทศยุโรป” ลงตอบโต้กับจดหมายของ “ผู้กลัวพุทธศาสนาจะหมดเร็วไป”.   ผู้เขียนบทความ “การสั่งสอนวิชาอย่างประเทศยุโรป” ซึ่งเข้าใจว่าคงจะเป็นแบรดลีย์ มีความเห็นว่าการที่กลัวว่าการสร้างตึกสำหรับเรียนหนังสือแล้วจะทำให้ศาสนาพุทธหมดเร็วไปนั้นเป็นเพราะชาวสยามรักพุทธศาสนามากกว่ารักวิชาความรู้  และพุทธศาสนานั้นไม่อาจ “จำเริญในสว่างแห่งศิลปศาสตร์วิชาการต่างๆ ที่เกิดในคริสต์ศาสนา....ดุจมืดกลางคืนจะตั้งดำรงอยู่ไม่ได้เมื่อตวันขึ้น  จากนั้นเขาก็หันมาตั้งคำถามว่า ถ้าพุทธศาสนาดีจริงทนต่อความสว่างจริงทำไมทั้งเมืองจีน พม่า และสยาม จึงหา “ครูใหญ่ที่รู้วิชามากเหมือนครูที่เกิดในประเทศยุโรปที่ได้ประกอบด้วยวิชาความรู้มาก...และถนัดในภาษาต่างๆ  และในวิชาคิดเลข, และสนัดทางที่จะรู้วิชาดูดวงอาทิตย์และดาวทั้งปวง,  และวิชาความรู้ในรูปคนและสัตว์ทั้งหลาย,  และสันทัดในการที่ทำสรรพสิ่งทั้งปวงอันทำด้วยไม้และเหล็กและเงินและทองเป็นต้นให้เป็นอย่างใหม่ดีขึ้นกว่าแต่ก่อน” ไม่ได้.  ถ้าพุทธศาสนาดีจริง “ทำไมไม่ได้บังเกิดเมืองงามเข้มแข็งเหมือนที่มีในแว่นแคว้นคริศสาศนา”.  แล้วก็ให้เหตุผลฟันธงลงว่า ทั้งนี้ทั้งนั้นเป็นเพราะพุทธศาสนาเป็นบ่อเกิดของความ “มืด”. ความรู้ที่สยามมีอยู่ก็ “มีแต่น้อย”, เปรียบไปก็เป็นประดุจดั่ง “ใต้จะสูญเร็วในสว่างแห่งดวงอาทิตย์”.  เขาเห็นว่า ถ้าหากเอาครูในพุทธศาสนาออกไปเที่ยวสั่งสอนอยู่ในประเทศยุโรปก็ “คงสูญไปเหมือนเทียนในกลางวัน”.  การที่ชาวสยามรักพุทธศาสนานั้นจึงเปรียบเหมือน “รัก[ความ]มืดมากกว่า[ความ]สว่าง”,  แม้เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นมาแล้วก็ยัง “ต้องการจุดใต้ให้สว่าง” (หนังสือจดหมายเหตุฯ The Bangkok Recorder 1:16 (October 19, 1865): 143-144).

                แน่นอน  “ความมืด”, “ความสว่าง”, และ “ดวงอาทิตย์” มิได้เป็นสิ่งที่มีความหมายตามศัพท์ธรรมดา  แต่ถูกนำมาใช้เป็นสัญญะที่ซับซ้อนกินความเชิงเปรียบเทียบถึงระบบคุณค่าเชิงศีลธรรม ความรู้ และอารยธรรมของตะวันตก-ตะวันออก.  การสื่อความกันด้วยระบบภาษาที่ละเอียดอ่อน เต็มไปด้วยสัญญะเช่นนี้น่าจะส่อให้เห็นถึงระดับของการ “สนทนา” ในหมู่ปัญญาชนกลุ่มหนึ่งที่ได้ร่วมกันผลิตร่วมกันเสพร่วมกันสนทนาอยู่บนหน้าหนังสือพิมพ์.

                ในฉับพลัน ที่ปมคริสต์ศาสนากับความรู้โดนคลายสลายขั้วจับแยกออกจากกันในจดหมายของ “ผู้กลัวพุทธศาสนาจะหมดเร็วไป”,  ปฏิกิริยาแรกที่แบรดลีย์ทำก็คือวางหมากทางยุทธศาสตร์ตั้งป้อมป้องกันปมเงื่อนเดิมที่ผูกคริสต์ศาสนากับความรู้เข้าไว้ด้วยกัน  ด้วยการสร้างเงื่อนความเป็นคู่ตรงข้ามระหว่างคริสต์ศาสนากับพุทธศาสนา,  และกำหนดให้คริสต์ศาสนาเป็นแหล่งกำเนิดของความรู้สมัยใหม่ที่ก้าวหน้าและสว่างไสว, ส่วนพุทธศาสนาถูกทำให้หมายถึงบ่อเกิดของความมืด  ไม่มีความรู้ที่จะนำไปสู่ความเจริญก้าวหน้า ซึ่งคล้ายกับวิธีคิดที่อยู่เบื้องหลังการเดินทางเผยแพร่คริสต์ศาสนาของมิชชั่นนารีมาตั้งแต่แรกเริ่มที่พากันออกเดินทางไปประกอบภาระกิจประกาศแสงสว่างให้พวกป่าเถื่อนใน “โลกใหม่” เมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 15 เป็นต้นมา.

                ในฉบับต่อมามีนักอ่านท่านหนึ่ง ซึ่งประกาศตัวว่า “มีใจรักเมืองไทยจริง, แต่หาได้อยู่ในกรุงเทพไม่”  ทว่าถึงกระนั้นก็ยัง “อุตส่าห์หาสาเหตุความอะไรๆ ที่จะได้เป็นประโยชน์แก่เมืองสยาม”  เขียนแสดงความคิดเห็นเป็นบทความเรื่อง “คำเตือนสติท่านทั้งหลาย” (หนังสือจดหมายเหตุฯ The Bangkok Recorder 1:17 (November 3, 1865): 149-150). ท่านผู้นี้เริ่มด้วยการแสดงความยินดีที่รัฐบาลญี่ปุ่นส่งคนหนุ่มๆ จำนวน 19 คนไปเรียนต่อที่ประเทศอังกฤษ  แล้วก็พุ่งเป้ามาที่สยามว่า “เห็นว่ามีโอกาสช่องอยู่แล้ว,  แต่มิได้มีท่านผู้ใดเป็นคนรักใคร่ตั้งใจปรารถนาเพื่อจะแสวงหาเรียนรู้หนังสือภาษาวิชาการจริงๆ  ให้เป็นสง่าราศีแก่ถิ่นฐานบ้านเมือง”,  ครั้นเดือนร้อนต้องการอะไรก็ต้อง “วิ่งไปหาวานท่านผู้อื่นช่วยแปลให้เห็นเป็นที่ลำบากใจหนัก”.  เขาได้แสดงความเห็นวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงว่า “ประเทศที่มิได้เอาใจใส่อุปถัมภ์บำรุงบ้านเมืองให้รุ่งเรืองสุกใส, ด้วยวิทยาความรู้และการสุจริตต่างๆ,  จะตั้งยั่งยืนเป็นเอกราชยืดยาวไปไม่ได้เลย,  คงยอมขึ้นแก่ผู้อื่นเป็นแน่”.  พร้อมกันนั้นท่านผู้นี้ยังได้ปกป้องหนังสือพิมพ์ที่ต้องถูกตำหนิว่า “บ่นเพ้อเจ้อ” ว่า เป็นสิ่งที่ควรจะรักษาไว้ให้คนได้อ่าน  เพราะ “มีคุณแก่บ้านเมืองเป็นอันมาก,  เพราะคนทั้งหลายได้อ่านดูจึงมีความรู้สว่างขึ้นได้.  ก็เมื่อความสว่างเกิดขึ้นแล้ว, เป็นเหตุจะให้ความร้ายเหือดหายไป,  ด้วยความร้ายกลัวความสว่างในจดหมายเหตุนี้” (หนังสือจดหมายเหตุฯ The Bangkok Recorder 1:17 (November 3, 1865), 149).

                สืบเนื่องมาจากบทความ “การสั่งสอนวิชาอย่างยุโรป” ของแบรดลีย์,  ในฉบับเดียวกันนั้นก็มีคนเขียนบทความเรื่อง “การที่ท่านแก้ด้วยศาสนา” มาโต้ด้วย 2 ประเด็นสำคัญ คือ 1)สลายนิยามที่ว่าพุทธศาสนาทำให้ “จมอยู่ในความมืด”  โดยอ้างเหตุผลว่าพุทธศาสนา “ทวนกระแสกิเลสและตัณหาของมนุษย์ทั้งหลาย. เปรียบเสมือนบุคคลพายเรือทวนกระแสน้ำเชี่ยว,  ต่อเมื่อบุคคลมีความเพียรจริงๆ จึ่งจะอุตส่าห์พายเรือทวนกระแสน้ำเชี่ยวขึ้นไปได้.  พุทธศาสนาลึกซึ้งสุขุมละเอียดนัก,  ยากที่ผู้ใดจะรู้จะเข้าใจได้ด้วยเป็นของทวนน้ำใจคน”, และ 2)แยกศาสนากับความรู้เกี่ยวกับความรุ่งเรืองก้าวหน้าทางโลกออกจากกัน  เพราะ “บุคคลที่อยู่ในแผ่นดินยุโรป, ที่เขาไม่ถือคริสต์ศาสนาพระคริสต์ก็เป็นอันมาก,  เขาก็มีวิชาการความรู้รุ่งเรืองเหมือนกันกับพวกที่ถือคริสต์ศาสนา”  พร้อมกับยกชาวจีนมอญไทยญวณที่เข้ารีตเป็นชาวคริสเตียน “ไม่เห็นมีความจำเริญสิ่งไร,  มีแต่เป็นหนี้เป็นข้าเขาโดยมาก.  ทำไมความสว่างนั้นไม่มาส่องให้ต้องคนเหล่านี้ให้ดีกว่าคนที่เขาไม่นับถือศาสนาคริสต์” (หนังสือจดหมายเหตุฯ The Bangkok Recorder 1:17 (November 3, 1865): 151-2).  ผู้เขียนบทความชิ้นนี้ได้แบ่งแยกระหว่างกายกับจิต หรือวัตถุกับวิญญาณ (body/mind  หรือ matter/spirit) ออกจากกันอย่างชัดเจน.  ในทางวัตถุนั้นก็เลือกที่จะรับเอาความรู้ความก้าวหน้าสมัยใหม่ที่ตะวันตกนำเข้ามา,  แต่ทางจิตวิญญาณนั้นเลือกที่จะปฏิเสธคริสต์ศาสนา  แต่หันกลับไปเชิดชูพุทธศาสนาขึ้นเป็นเครื่องนำทาง.

                บทความ “การที่ท่านแก้ด้วยศาสนา” นั้นชัดเจนมากในการแยกคริสต์ศาสนากับความรู้ออกจากกัน  ทำให้แบรดลีย์ต้องออกมาเขียนบทความ “คำตอบท่านผู้สรรเสริญพุทธศาสนา” ที่มีความยาวถึงกว่า 2 หน้ากระดาษหนังสือพิมพ์ออกมาโต้ในฉบับต่อมา (หนังสือจดหมายเหตุฯ The Bangkok Recorder 1:18 (November 18, 1865): 162-164).  นอกจากประเด็นเรื่องคริสต์ศาสนาเป็นหนทางสำหรับมนุษย์ทุกคนไม่จำเพาะต้องมีสติปัญญาลึกซึ้งแต่ขอให้มีศรัทธาใน “พระวิญญาณ” ก็จะได้รับการช่วยเหลือไปด้วยกันทั้งหมด, แบรดลีย์ให้ความสำคัญกับเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างคริสต์ศาสนากับความรู้ความก้าวหน้าทันสมัยอย่างมาก.  โดยแบรดลีย์ให้เหตุผลโต้แย้งหลายประการ คือ 1)การที่เห็นว่าในประเทศยุโรปมีผู้ที่ไม่นับถือคริสต์ศาสนาแต่ก็ได้รุ่งเรืองเจริญก้าวหน้านั้นก็เหมือนกับที่คนสยามที่มีพ่อแม่เป็นชาวพุทธก็ถือตัวเองว่าเป็นชาวพุทธ “กินผลต่างๆ ตามพุทธศาสนา”,  ชาวยุโรปจำนวนมากที่ไม่ได้ “ศรัทธาในคริสต์ศาสนาก็จัดได้ชื่อว่าเป็นคนเชื่อในคริสต์ศาสนา, และได้กินผลตามคริสต์ศาสนาสิ้น.   แต่ผลที่เกิดเพราะคริสต์ศาสนานั้นคือความสว่างและกำลังในใจต่างๆ  มากกว่าที่เกิดในพุทธศาสนา”; 2)ความรู้ของยุโรปนั้นเกิดจากคริสต์ศาสนา,  ส่วนความมืดล้าหลังของสยามนั้นเกิดจากพุทธศาสนา,  ดั่งนั้นในยุโรปแม้ว่าจะมีผู้ที่ไม่นับถือเคร่งศาสนา  แต่ที่เจริญก้าวหน้าขึ้นมาได้ก็เพราะได้รับความ “สว่างที่ออกมาจากพระคำภีร์ที่เรียกว่าไบเบิลที่พระเยซูได้โปรดประทานให้นั้น.  เหมือนอย่างความมืดในแผ่นดินไทยเกิดมาจากพระคำภีร์พุทธศาสนา”;  และ 3)คนไทยญวณจีนมอญที่เข้ารีตเป็นชาวคริสเตียนในเมืองไทยนั้น ที่ไม่เจริญก้าวหน้าขึ้นมาก็เพราะ “เป็นชาวคริสเตียนแต่ปาก...ขอท่านอย่าได้นับคนเหล่านั้นว่าเป็นชาวคริสเตียนเลย” (หนังสือจดหมายเหตุฯ The Bangkok Recorder 1:18 (November 18, 1865): 162-3.  หลังจากนั้นอีกสองฉบับ  แบรดลีย์ก็ลงมือเขียนบทความต่อมาอีก 2 หน้ากระดาษเพื่อตอบปัญหาในประเด็นเดียวกันนี้  เรื่อง “คำตอบแก้ท่านผู้ชอบพุทธศาสนา” โดยให้แยกระหว่างคนที่เป็นคริสเตียนแท้และไม่ใช่ชาวคริสเตียนที่แท้ออกจากกัน. คนที่เป็นคริสเตียนที่แท้นั้นพระเจ้า “ทรงรักมาก  และได้โปรดให้เป็นคุณเป็นประโยชน์มากมายแก่บ้านเมืองที่เขาไปอยู่นั้น....เขาเป็นสว่างสำหรับส่องโลก”, และหากอยู่ที่เมืองใดๆ  ก็ทำให้การปกครองนั้นได้เจริญรุ่งเรืองไปด้วย กล่าวคือ ทำให้การเมืองการปกครอง “เกิดกำลังเข้มแข็งดีกว่าการเมืองการปกครองอื่นๆ ทั้งปวงที่มิได้นับถือในพระคริสต์ศษสนามาก”. ส่วนพวกที่มิได้เป็นชาวคริสเตียนที่แท้นั้นที่มิได้รักในพระคริสต์  หากได้อยู่อาศัยในเมืองที่มีพวกคริสเตียนที่แท้อยู่ “ก็ได้พลอยมีคุณมีประโยชน์ด้วยกันกับคนที่รักในพระคริสต์, ดุจอาทิตย์ที่ได้สร่องมาถึงคนดีและชั่ว.  และฝนตกก็มีคุณแก่คนสัตย์ซื่อและคนที่ไม่สัตย์ซื่อด้วยเหมือนกัน”.  พร้อมกันนั้นแบรดลีย์ก็ได้ยกเอาตัวอย่าง “ความวุ่นวายจลาจล” ที่เกิดในประเทศฝรั่งเศส (คือเหตุการณ์การปฏิวัติฝรั่งเศสเมื่อปี ค.. 1789) ซึ่งเกิดขึ้นเพราะโรเบสปิแยร์ (Robespierre, 1758-1794; คือผู้นำคนสำคัญในการปฏิวัติฝรั่งเศสเมื่อปี ค.. 1789) เจ้าเมืองฝรั่งเศสได้ “บังคับให้ชาวเมืองทั้งปวงทิ้งศาสนาหมด,  ได้ถือว่าพระเจ้าไม่มี,  และโลกก็ดำรงอยู่เพราะธรรมดานิยมเอง.  ไม่ต้องกลัวพระเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งเลย”.   ความวุ่นวายที่เกิดขึ้น ซึ่ง “เป็นโทษที่พระเจ้าได้บรรดาลให้เกิด, สงบเรียบร้อยลงได้เพราะคนกลุ่มหนึ่ง “ได้กลับใจเสียใหม่, ให้ถือศาสนาเหมือนดั่งก่อน”  และได้จับเอาตัวโรเบสปิแยร์กับพวกฆ่าทิ้งเสีย. ตัวอย่างอีกเรื่องหนึ่งที่แบรดลีย์ชอบยกมาอ้างเสมอ และได้อ้างอยู่ในบทความชิ้นนี้ด้วยก็คือ เรื่องที่มีกษัตริย์ “เจ้าแผ่นดินต่างประเทศ, นอกคริสต์ศาสนา” ตั้งคำถามกับสมเด็จพระราชีนีวิกตอเรียแห่งอังกฤษ (Queen Victoria) ว่าอะไรคือสาเหตุที่ทำให้อังกฤษเป็น “ใหญ่” อยู่เหนือประเทศอื่นๆ,  “ท่าน [Queen Victoria] ได้ตรัสตอบว่าเป็นใหญ่เพราะพระคำภีร์ไบเบิลนั้นเอง” (หนังสือจดหมายเหตุฯ The Bangkok Recorder 1:20 (December 18, 1865): 186-7).

                หลังจากที่แบรดลีย์เขียนบทความขนาดยาวเหยียดลงพิมพ์ต่อมาเป็นเวลา 2 เดือนแล้ว  ในฉบับวันที่ 1 เดือนมกราคม ค..1866 (ปีที่ 1 ฉบับที่ 21)  ก็มีผู้เขียนบทความมาเถียง ตีพิมพ์จั่วหัวว่า “หนังสือหลวง” และตีพิมพ์ต่อเนื่องไปถึงฉบับวันที่ 17 มกราคม ค.. 1866 (ปีที่ 1 ฉบับที่ 22).   ผู้เขียน “หนังสือหลวง” เปิดฉากขึ้นมาก็ลงความเห็นถึงการกล่าวว่า “หนังสือไบเบิล เป็นของส่องสว่างใหญ่, ทำให้รุ่งเรืองปัญญาความรู้นั้น,  คำนี้ฟังแปลกหูนัก, เป็นคำจริงหรือว่าเล่น,  ว่าให้ผู้ใหญ่หรือว่าให้เด็กๆ ฟัง”,   เพราะเมื่อเขาคิดจะทำการสำรวจภูมิศาสตร์   “แผนที่โลกว่าดินฟ้า   อากาศจะตั้งอยู่อย่างไร” ก็ไม่อาจหาคำตอบปัญหาข้อข้องใจได้จาก “คัมภีร์เยเนซิส” ในคัมภีร์ไบเบิลที่กล่าวถึงการสร้างโลกแต่อย่างใด.  เขากล่าวด้วยทัศนะอย่างใหม่ว่า “กลางวันกลางคืนไม่เป็นด้วยแผ่นดินหมุน, เป็นด้วยพระเจ้าสร้าง.  แล้วก็สร้างแผ่นดินต้นไม้ใบหญ้าก่อน.  ต่อวันหลังมาเกือบจะเลิกอยู่แล้ว, จึงสร้างพระอาทิตย์พระจันทร์และดาว, เป็นเครื่องประดับโลกต่อทีหลัง   ผู้เขียน “หนังสือหลวง” ตั้งคำถามว่า “เมื่อว่าอย่างนี้ทำไมจะได้รู้ว่า, พระอาทิตย์ที่เป็นของสร้างทีหลังนั้นเป็นเม็ดงา.  และตุ่มหลายหมื่นหลายแสนหลายโกฏหลายล้าน, ที่สร้างในวันเดียวกับตุ่มใหญ่นั้น, เป็นดาวบนท้องฟ้า”,   นอกจากนี้ยังได้ตั้งข้อสงสัยกับความไม่รู้ของพระเจ้าในเรื่อง “เรือจักรกลไฟ” “หางเสือถือท้าย” และ “วิชาภูมิศาสตร์ที่วัดเส้นรุ่งเส้นแวง” จึงไม่ได้มอบให้แก่โนอาห์เมื่อจะหนีน้ำท่วมโลก,   เพราะถ้าโปรดให้ทำได้ก็จะทำให้ “โนอาจะได้ใช้จักรไปเที่ยวดูข้างโน้นข้างนี้, และเรือตกอยู่ที่ไหนจะได้รู้,  น้ำลดแล้วหรือยังจะได้รู้,  จะไม่ต้องปล่อยกาปล่อยนกพิราบ,  อย่างว่าในหนังสือไบเบิลนั้นเลย, ยังโง่งมนักไม่ใช่หรือ  นอกจากจะสำรวจคัมภีร์ไบเบิลมาอ้างอิงข้อเสนอ  จนทำให้คริสต์ศาสนากับความรู้หลุดลอยถอยแยกตัวออกจากกันในทางวาทกรรมแล้ว,  เขายังชี้ให้เห็นความต่างระหว่างความรู้และศาสนา   ด้วยการใช้ความรู้สมัยใหม่ในเรื่องดาราศาสตร์มาชี้ให้เห็นความ “โง่งมงายไม่รู้แผ่นดินแผ่นฟ้า” ของพุทธศาสนาที่ “ยังยืนยันว่าจันทรุปราคาและสุริยุปราคา, เป็นด้วยยักษ์ใหญ่อิจฉาเข้าไปกัดกิน.   แผ่นฟ้าแผ่นดินเป็นของโตเท่ากัน.  พระอาทิตย์พระจันทร์เล็กกว่ากันนิดหน่อย   ผู้เขียน “หนังสือหลวง”  อ้างว่าแม้พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งมีความรู้ในเรื่องดาราศาสตร์สมัยใหม่เป็นอย่างดี “ทรงทายสุริยจันทร์ถูกต้องแน่นอน  และรับสั่งว่าราหูไม่ได้ทำไมแก่พระอาทิตยจันทร์,  พระอาทิตย์เล็งตรงพระจันทร์วันเพ็ญก็เป็นจันทรุปราคา. พระจันทร์มาซ้อนทับเมื่อวันดับกั้นหว่างสายตาคนกับพระอาทิตย์, ก็เป็นสุริยุปราคา”,   แต่พระองค์ท่านก็ยัง “ทรงสรรเสิญพุทธศาสนาดีกว่าศาสนาทั้งปวง.  และทรงพระอุตส่าห์ประพฤติตามพุทธศาสนาอยู่” (หนังสือจดหมายเหตุฯ The Bangkok Recorder 1:21 (January 1, 1866): 204; และ หนังสือจดหมายเหตุฯ The Bangkok Recorder 1:22 (January 17, 1866): 211).

                หลังจากตีพิมพ์ “หนังสือหลวง” ลงต่อเนื่องกันสองฉบับซ้อน,  ต่อมาในฉบับประจำวันที่ 31 มกราคม ค.. 1866 (ปีที่ 1 ฉบับที่ 23)   แบรดลีย์ก็เขียน “หนังสือตอบผู้ที่สรรเสิญพุทธศาสนา” ออกมา  แบรดลีย์ยอมรับว่าคัมภีร์ไบเบิล “ไม่ได้เป็นตำราบอกวิชาการต่างๆ”  เพราะเป็นแค่ “คัมภีร์สำหรับส่องใจให้รู้จักพระผู้สร้างที่เป็นพระเจ้าเที่ยงแท้ถาวร,  เพื่อจะได้ให้มนุษย์ทั้งปวงไหว้นมัสการจำเพาะตรงต่อผู้นั้นแต่ผู้เดียว.   เพราะมนุษย์เดิมนั้นตกอยู่ในบาป, ใจจึ่งมืดนัก, ลืมหลงไม่รู้จักพระผู้สร้างผู้เป็นใหญ่ยิ่ง.  ถ้าได้รู้แลประพฤติตามท่าน, จะได้กลับมีใจสว่าง,  พระเจ้าจะได้โปรดยกโทษเสีย,  แลให้มีใจบังเกิดใหม่ประกอบด้วยความรักในพระเจ้า, และเกลียดการบาปทั้งปวง.  แล้วจะได้โปรดรับไว้ในสวรรค์อยู่ตั้งมั่นถาวร”.  การยืนยันดั้งเดิมที่จะสถาปนาความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันระหว่างคริสต์ศาสนากับความรู้สมัยใหม่จึงสิ้นแรงหมดพลังลงในบทความชิ้นนี้.  คริสต์ศาสนากับความรู้สมัยใหม่ (modern science) ได้ถูกชนชั้นนำสยามจับแยกคู่ออกจากกัน และไม่จำเป็นจะต้องประกบคู่ตัดขาดแยกออกจากกันไม่ได้ในเชิงวาทกรรมอีกต่อไป จนสร้างความยินยอมในเชิงเหตุผลของมิชชั่นนารีชาวตะวันตก.   พร้อมกับการยอมรับการหลุดลอยจากการควบคุมของความรู้,  แบรดลีย์ก็ได้นำเสนอโครงสร้างความคิดชุดใหม่อีกชุดหนึ่งเกี่ยวกับคริสต์ศาสนาที่ไม่ได้ผูกยึดอยู่กับความรู้สมัยใหม่  คือหลักคิดในเรื่องความสัมพันธ์ของมนุษย์กับเวลาในศาสนาคริสต์ ที่ว่ามนุษย์คือเทวดาตกสวรรค์ (the fallen angel).  การคิดถึงการตกจากสวรรค์ของมนุษย์ได้สร้างมโนภาพความคิดเชิงจริยธรรมศีลธรรมขึ้นชุดหนึ่งที่ถูกนำเสนอด้วยอุปลักษณ์ (metaphor) ของแสงสว่าง สวรรค์ และการได้กลับไปอยู่กับพระเจ้า.  การทำความผิดของอีฟกับอดัมทำให้มนุษยชาติต้องถูกขับไล่ออกจากสวนอีเดนไปสู่ “ความมืดที่ไม่รู้จักพระเจ้า” อันเป็นความ “มืดทึบน่ากลัว  ความมืดอื่นๆ เทียบไม่ได้”  และถือเป็น “บาปกำเนิด” ของมนุษย์.   พันธะสัญญาของพระผู้ไถ่บาป [Messiah] ก็คือการช่วยยกมนุษย์ที่หล่นลงสู่ความมืดที่ไม่สิ้นสุดให้ได้พบหนทางกลับไปหาพระเจ้า, เปรียบเสมือนได้ “กำจัดความมืดที่เกิดอยู่ในใจ” อันเป็นความมืดมิดที่น่ากลัว.  คัมภีร์ไบเบิลเป็นเครื่องมือช่วย “กำจัดความมืดในใจเสียนั้นดียิ่งกว่าคัมภีร์ทั้งปวง  ตำราวิชาการต่างๆ หมดด้วยกันก็ไม่เปรียบได้”, เพราะช่วยให้มนุษย์กลับไปพบ “แสงสว่าง” ที่ทำให้ “มีความสุขในใจมากกว่าคนนอกศาสนาเป็นหลายแสนเท่า”.  อย่างไรก็ตาม  เนื่องจากคริสต์ศาสนากับความรู้ได้แยกตัดขาดออกจากกันแล้ว,  แบรดลีย์ก็ยังเห็นว่าการเป็นคริสเตียนนั้นนอกจากจะทำให้ “เกิดสว่างและความสุขในใจ” แล้ว   ก็ยังจะทำให้บังเกิด “มีความฉลาดในวิชาการต่างๆ เพิ่มเติมมากขึ้นกว่าผู้อื่นด้วย.   ถึงคัมภีร์ไบเบิลไม่ได้สอนวิชาต่างๆ ก็ได้บอกให้รู้จักพระเจ้าที่เป็นเจ้าของวิชาทั้งปวง” (หนังสือจดหมายเหตุฯ The Bangkok Recorder 1:23 (January 31, 1866): 228-9).  

                บทความชิ้นนี้ของแบรดลีย์นอกจากจะเขียนออกมาเพื่อโต้แย้งกับบทความ “หนังสือหลวง” แล้วยังได้ทำหน้าที่จัดวางตำแหน่งบนพื้นที่ชุดใหม่  ภายหลังจากการเคลื่อนย้ายโครงสร้างทางความคิดที่แสดงตัวออกผ่านการกระแทก ปะทะ และประลองกำลังภายในภายใต้กระบวนการโต้เถียงคัดง้างกันด้วยเหตุผลเป็นเวลาหลายเดือน  นับตั้งแต่เดือนมิถุนายน ค.. 1865 จนถึงเดือนมกราคม ค.. 1867.

                หลังจากนั้นอีกประมาณปีเศษที่หนังสือพิมพ์ หนังสือจดหมายเหตุฯ The Bangkok Recorder ดำเนินกิจการอยู่ต่อมาจนกระทั่งปิดตัวเองลงนั้นก็ไม่ปรากฏว่าได้มีมิตรรักนักอ่านคนใดนำเรื่องนี้ขึ้นมาสู่เวทีถกเถียงโต้แย้งกันอย่างเป็นกิจลักษณะเหมือนคราวที่แล้วๆ มา   นอกจากในคำประกาศไม่ให้เชื่อหนังสือพิมพ์ “บ่นเพ้อ” ของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่เป็นการตอบโต้ต่อชาวตะวันตกอย่างรุนแรงด้วยการวิพากษ์วิจารณ์ทัศนคติของ “คนขาว” ชาวตะวันตกที่มีต่อ “คนดำ” ว่า “ใจคนขาวสำคัญว่าคนขาวเหมือนกันนั้นเป็นคน.  คนดำเหมือนมิใช่คน  ถึงจะชอบพอรักใคร่กับคนดำ ก็เหมือนชาวเรือขึ้นล่องชอบลิง, คอยโยนกล้วยโยนอ้อยให้กิน  ไม่ได้รักลิงเป็นญาติพี่น้อง” (หนังสือจดหมายเหตุฯ The Bangkok Recorder 1:24 (February 15, 1866): 234; และดูประกาศรัชกาลที่ 4 เรื่อง “ประกาศไม่ให้เชื่อฟังเรื่องที่ผู้มีคดีไม่ฟ้อง เอาไปลงหนังสือพิมพ์”, ใน เสถียร, 2478: 399-403).  จนกระทั่งแบรดลีย์บอกเลิกปิดกิจการหนังสือพิมพ์ หนังสือจดหมายเหตุฯ The Bangkok Recorder ลงในเวลาต่อมาว่ามีสาเหตุมาจาก “ขาดทุนมากเป็นการลำบากใจเราเหลือทน” (หนังสือจดหมายเหตุฯ The Bangkok Recorder  2:24 (February 16, 1867): 302).  แต่เหตุผลสำคัญคงไม่ใช่เพราะว่าขาดทุนเท่านั้น  หากเป็นเพราะเกิดจากการปะทะกันหลายๆ ครั้งจนแบรดลีย์ลงความเห็นว่าสมควรยุติบทบาทอันนี้ของตน  เพราะ “ข้าพเจ้าเห็นว่ารัฐบาลไทยไม่สู้ชอบในการที่ลงพิมพ์จดหมายเหตุ.   ถ้ารัฐบาลไทยชอบและโปรดการนี้, เหมือนที่รัฐบาลอเมริกาได้โปรดการลงพิมพ์จดหมายเหตุนั้น,  เห็นที่คนทั้งปวงจะพอใจซื้อ,  คงเป็นประโยชน์แก่บ้านเมืองมาก, เมื่อเราแรกทำรัฐบาลที่กรุงเทพฯ ก็ชอบ,  คนทั้งปวงจึ่งดีใจรับจะเอาจดหมายเหตุ,  แลได้สรรเสริญว่ามีคุณมีประโยชน์แก่บ้านเมืองหลายอย่างนัก” (หนังสือจดหมายเหตุฯ The Bangkok Recorder  2:24 (February 16, 1867): 302).

                ในการหาความหมายของความเจริญก้าวหน้า  กรุงเทพถูกเอาเทียบกับหัวเมือง  เมืองถูกเอามาเปรียบกับชนบท  และเมืองที่แตกต่างจากป่า  ชนชั้นนำสยามจึงพยายามสร้างความรู้ให้กับตนเองเกี่ยวกับเรื่องความเจริญก้าวหน้าที่เรียกว่า “ซิวิไลซ์“ กับความป่าเถื่อนล้าหลัง  ด้วยการออกเดินทางไปยังที่ต่างๆ ของสยาม  เจ้าเมืองต่างๆ ตามหัวเมืองถูกเกณฑ์ให้เขียนบันทึกเกี่ยวกับอดีตความเป็นมา เพื่อนำมาผูกร้อยรัดเข้ากับประวัติศาสตร์ที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของชาติ ดังที่ปรากฏต่อมาในรูปของ พงศาวดารตำนานเมือง ฉบับต่างๆ เกือบทั่วประเทศ  ชนพื้นเมืองต่างๆ ตามหัวเมืองถูกค้นคว้าศึกษาทั้งในแง่ขนบธรรมเนียมประเพณีและรูปร่างลักษณะทางกายภาพ ดังจะเห็นได้จากงานเขียนที่ตีพิมพ์อยู่ใน วชิรญาณวิเศษ ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว หรือต่อมาพิมพ์รวมเล่มเป็นเรื่อง ลัทธิธรรมเนียมต่างๆ   ความป่าเถื่อนนั้นถูกอธิบายว่าแตกต่างจากความเป็นบ้านเมือง  กล่าวคือ “แม้ว่าบ้านเมืองใดจะเผื่อแผ่เจือจานความบำรุงเลี้ยงรักษาไปถึงคนชาติ[ป่า]ต่างๆ นั้นก็คงจะไม่รับความบำรุงความเจริญให้รุ่งเรืองได้  คงจะหลบหลีกหนีห่างออกไปอยู่ตามป่าเขาเช่นนั้นเป็นธรรม” (สุรศักดิ์มนตรี,  2515: 242).  นอกจากนี้ ขุนจรัสชวนะพันธุ์ (พระยาเมธาธิบดี) ซึ่งแต่งหนังสือ พงษาวดารโปลิติกส์ สามารถแบ่งความ “ซิวิไลซ์”  แบ่งเป็น 3 ระดับ คือ 1)มูลสัมพันธ์ ของ“ชาวเถื่อน” ที่อาศัยอยู่ตามป่าเขาในแหลมมะลายูหรือในแอฟริกา  ไม่รู้จักทำไร่ไถนาและเลี้ยงสัตว์ หลายผัวหลายเมีย, 2)โบราณสัมพันธ์ คือขั้นที่สองของความเจริญ เริ่มมีกฎระเบียบทางสังคมที่ชัดเจน มีการนับญาติทางฝ่ายชาย หญิงเป็นภรรยาของชายคนเดียว รู้จักเลี้ยงสัตว์และการเพาะปลูก การหัตถกรรม การค้าขาย และรู้จักการใช้เงินในการแลกเปลี่ยน และ 3)ปัจจุบันสัมพันธ์ พัฒนาเหนือขึ้นอีกระดับด้วยการรู้จักวิธีคิดเกี่ยวกับเวลา  และสงครามทำให้เมืองต่างๆ รวบรวมขึ้นเป็นประเทศ ทำให้สังคมประกอบด้วยผู้คนจำนวนมาก มีทรัพย์สมบัติมาก และมีการพัฒนาอาวุธที่ทันสมัยขึ้น (จรัสชวนะพันธุ์, 2446).

การหาตัวเปรียบเทียบความเจริญทำให้สยามมองเห็นถึงความแตกต่างของความ “ซิวิไลซ์“ ที่แม้ว่าสยามจะไม่ได้ “ป่าเถื่อน“ เหมือนอย่างชนชาติ “ข่าที่สุด มนุษย์อย่างต่ำ” (ทิพากรวงศ์, 2514: 145). แต่ชาวสยามก็ไม่ได้เจริญเทียบเท่ากับชาวตะวันตก  จึงทำให้ชนชั้นนำสยามต้องเดินทางออกไปค้นหา “แบบอย่าง” ของความซิวิไลซ์ในดินแดนอาณานิคมของตะวันตก คือ การพยายามเสด็จประพาสชวา พ.ศ. 2414 และประพาสอินเดีย พ.ศ. 2415 ของรัชกาลที่ 5 ซึ่งความรู้และภาพของความเจริญในอาณานิคมตะวันตกเหล่านี้ต่อมาได้กลายเป็นแม่แบบสำคัญในการปฏิรูปพัฒนาประเทศ  อาทิ  การตั้งโรงเรียนทำแผนที่ พ.ศ. 2415, การจัดตั้งหอรัษฎากรเพื่อจัดระบบการเก็บภาษีให้เป็นระบบและรวมศูนย์ตามรูปแบบระบบราชการสมัยใหม่ พ.ศ. 2416, การประกาศเลิกทาสปี พ.ศ. 2417, การตั้งกรมไปรษณีย์โทรเลข พ.ศ. 2425,  การตั้งโรงเรียนมหาดเล็ก พ.ศ. 2424, การเกิดโรงเรียนสำหรับราษฎรที่วัดมหรรณพาราม พ.ศ. 2428 :ซึ่งนำไปสู่การเกิดโรงเรียนสำหรับการศึกษาของราษฎรทั้งดำเนินการโดยรัฐและโดยเอกชนอีกมากหลายแห่งในเวลาต่อมา, การตั้งกรมธรรมการดูแลการศึกษา พ.ศ. 2432 และกระทรวงธรรมการ 2435, และการเปิดทางรถไฟที่เชื่อมหัวเมืองห่างไกลกับศูนย์กลางประเทศขึ้นเป็นครั้งแรก โดยเริ่มจากสายกรุงเทพ-โคราชเมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. 2439/2440 ซึ่งต่อมาได้ขยายไปยังภูมิภาคอื่นๆ คือเส้นทางรถไฟสายใต้และสายเหนือ (ดู Wyatt, 1969).  การสร้างเส้นทางรถไฟนั้นนอกจากจะเป็นพาหนะสำหรับการเดินทาง, การคมนาคมขนส่ง และการติดต่อสื่อสารแล้ว  เส้นทางรถไฟยังเปรียบเสมือนเครื่องมือของศูนย์กลางในการปกครองและควบคุมพื้นที่ในทุกปริมณฑลของรัฐอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน.  เส้นทางรถไฟจึงเป็นเครื่องมือแห่งอำนาจ ทำให้ศูนย์กลางอำนาจรัฐที่กรุงเทพฯ สามารถควบคุมบังคับและแผ่ขยายอำนาจออกไปทุกพื้นที่ตารางเซนติเมตร และเหนือประชาชนพลเมืองทุกคน.  การมีเทคโนโลยีสมัยใหม่ทำให้ชนชั้นนำที่กรุงเทพฯ สามารถควบคุมหัวเมืองได้มากขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน  แต่ในทางตรงกันข้ามการดึงเอาอำนาจมาอยู่ที่ส่วนกลางก็เป็นการลดทอนอำนาจของชนชั้นนำท้องถิ่นในหัวเมืองต่างๆ ทำให้เกิดการต่อต้านท้าทายต่ออำนาจของศูนย์กลาง อาทิ การเกิดขบถเงี้ยวเมืองแพร่ในภาคเหนือ,  การเกิดขบถผีบุญในภาคอีสาน, และการขบถของเจ็ดหัวเมืองแขกในภาคใต้.

                ผลของการแสวงหาทางภูมิปัญญาในเรื่องความหมายของความเจริญก้าวหน้าได้ปรากฏเป็นรูปธรรมชัดเจนที่สุดในงานบันทึกการเดินทางเรื่อง เที่ยวเมืองพระร่วง ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวในสมัยที่พระองค์ยังดำรงพระอิสสริยศเป็นสมเด็จพระโอรสาธิราชเมื่อปี พ.. 2450 ที่ทำให้พระองค์ทรงกล่าวอย่างเต็มภาคภูมิว่า “ชาติไทยเราไม่ใช่ชาติใหม่  และไม่ใช่ชาติที่เป็นคนป่า หรือที่เรียกตามภาษาอังกฤษว่า “อันซิวิไลซ์“ [uncivilized]  ชาติไทยเราได้เจริญรุ่งเรืองมามากแล้ว” (มงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว, 2526: ().)

ส่วนในด้านการความสัมพันธ์กับต่างประเทศนั้น  นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1883 (พ.ศ. 2426) เป็นต้นมาปรากฏว่า สถานการณ์การล่าอาณานิคมของตะวันตกในเอเชียอาคเนย์นับวันจะเข้มข้นรุนแรงยิ่งขึ้นจนถือได้ว่าเป็นสภาวะล่อแหลมต่อความมั่นคงและอำนาจอธิปไตยของประเทศสยาม, เนื่องจากอังกฤษสามารถสถาปนาอำนาจเหนือประเทศพม่าไว้ได้ทั้งหมดในปี ค.ศ. 1883 ขณะที่ฝรั่งเศสก็สามารถยึดครองอินโดจีนได้ในปี ค.ศ. 1886 (พ.ศ. 2429). การสถาปนาอำนาจในประเทศที่มีพรมแดนติดกับสยามส่งผลให้ชนชั้นนำสยามต้องหาทางออก ด้วยการพยายามสร้างความสัมพันธ์กับประเทศรุสเซีย ซึ่งเพิ่งทำสนธิสัญญากับฝรั่งเศส (เป็นกลุ่ม Entente Triple) เพื่อนำรุสเซียมาใช้ถ่วงดุลอำนาจกับอังกฤษและฝรั่งเศส.  ชนชั้นนำสยามจึงพยายามเชิญมกุฏราชกุมารนิโคลัสที่กำลังจะเดินทางผ่านไปยังเอเชียตะวันออกเพื่อวางศิลาฤกษ์ทางรถไฟสายไซบีเรียให้เสด็จมาเยือนไทยจนประสบความสำเร็จในปี ค.ศ. 1891. การให้การต้อนรับมกุฏราชกุมารนิโคลัสอย่างสมพระเกียรติทำให้ราชสำนักรุสเซียให้ความสนใจกับสถานการณ์ในสยามมากขึ้น และมีคำสั่งให้กงสุลรุสเซียซึ่งประจำอยู่ที่สิงคโปร์ “คอยสืบสวนดูว่า ฝรั่งเศสแลอังกฤษจะทำอย่างไรแก่เมืองไทยให้” (ฉลอง, 2516: 63).  ในปีเดียวกันนั้นพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ให้พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นดำรงราชานุภาพ (พระยศขณะนั้น) เสด็จไปยังรุสเซียเพื่อกระชับความสัมพันธ์กับรุสเซีย. 

 

วิกฤติการณ์ ร.. 112 (1893)

ในช่วงเดียวกันนั้นเอง ความสัมพันธ์ไทยกับฝรั่งเศสก็เสื่อมโทรมลงอย่างมากนับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1892 และได้ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นในปี ค.ศ. 1893 เมื่อฝรั่งเศสเริ่มใช้มาตรการที่รุนแรงในการคุกคามอำนาจอธิปไตยของสยามบริเวณฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง โดยฝรั่งเศสกล่าวหาว่ารัฐบาลสยามไม่เคารพสิทธิอันชอบธรรมของเวียดนามและเขมรเหนือดินแดนลาว  และดินแดนที่อยู่บนสองฝั่งแม่น้ำโขงตอนล่าง เนื่องจากเมื่อฝรั่งเศสได้อินโดจีนเป็นอาณานิคม ก็ต้องการอ้างสิทธิเหนือลาวและเขมร ในฐานะที่ลาวเคยเป็นเมืองขึ้นของเวียดนามมาก่อน.  ความพยายามเจรจาของรัฐบาลสยามประสบกับความล้มเหลวตลอด และได้เกิดการปะทะกันขึ้นในบางพื้นที่เพราะฝรั่งเศสได้ส่งทหารเข้าควบคุมพื้นที่ดังกล่าวจึงเกิดปะทะกับทหารไทยที่ประจำอยู่ในพื้นที่.  ต่อมาในวันที่ 13 กรกฎาคม ค.ศ. 1893  เรือรบฝรั่งเศสจำนวน 2 ลำก็แล่นฝ่าแนวป้องกันขึ้นมาตามแม่น้ำเจ้าพระยาได้ และได้ยื่นคำขาดให้รัฐบาลสยามเลิกอ้างกรรมสิทธิเหนือดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง และให้ถอนทหารออกไปทั้งหมด. รัฐบาลสยามไม่ยอมทำตามเงื่อนไขใน “คำขาด” (Altimatum) ทั้งหมด และขอให้นำเรื่องไปพิจารณาในอนุญาโตตุลาการ,  ฝรั่งเศสจึงดำเนินการปิดอ่าวไทยในวันที่ 26 กรกฎาคม และยื่นข้อเรียกร้องเพิ่ม คือ 1)กองทหารฝรั่งเศสจะยังคงยึดครองเมืองจันทบุรีไว้จนกว่ารัฐบาลสยามจะถอนกำลังออกจากฝรั่งซ้ายแม่น้ำโขง ซึ่งอยู่ในพื้นที่ประเทศลาวปัจจุบัน, และ 2)กองทหารของสยามจะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปอยู่ในเขต 25 กิโลเมตรนับจากฝั่งขวาแม่น้ำโขง.

การปิดอ่าวของเรือรบฝรั่งเศสและท่าทีที่เฉยเมยของรัฐบาลอังกฤษ ที่แม้ว่าต้องการให้เอกราชของสยามดำรงอยู่ต่อไป  แต่ก็ไม่ต้องการเข้ามาแทรกแซงกับปัญหาที่รัฐบาลสยามกำลังเผชิญหน้าอยู่โดยตรง ซึ่งส่งผลให้สยามจำต้องยอมรับเงื่อนไขใน “คำขาด” ทั้งหมดในวันที่ 28 กรกฎาคม ค.ศ. 1983. ในวันเดียวกันนั้นเองพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ก็ส่งโทรเลขไปขอความช่วยเหลือจากพระเจ้าซาร์เลกซานเดอร์ที่ 3 (พระบิดาของมกุฎราชกุมารนิโคลัสที่เคยเสด็จมาเยือนสยามก่อนหน้านั้น) ว่า “ฝ่าพระบาทคงจะทรงทราบความขัดแย้งที่เกิดขึ้นระหว่างสยามและฝรั่งเศสแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย  ถ้าคำตอบของรัฐบาลสยามต่อข้อเรียกร้องของฝรั่งเศสจะถูกมองว่าเป็นการปฏิเสธ  นั่นก็เป็นเพราะว่ารัฐบาลสยามไม่ทราบแน่ว่าฝรั่งเศสต้องการอะไร  หม่อมฉันสามารถยืนยันกับฝ่าพระบาทได้ว่า หม่อมฉันได้ตกลงยอมรับข้อเรียกร้องของฝรั่งเศสแล้ว  และหม่อมฉันใคร่จะขอให้พระองค์ทรงช่วยป้องกันการนองเลือดใดๆ ที่อาจจะมีขึ้น และจรรโลงสันติภาพในภูมิภาคนี้” (ฉลอง, 2516: 77). ต่อมาในวันที่ 31 เดือนกรกฎาคม  พระเจ้าซาร์เลกซานเดอร์ที่ 3 แห่งรุสเซียก็ได้โทรเลขแสดงความปรารถนาอย่างจริงใจที่จะให้มีการสถาปนาสันติภาพขึ้นในภูมิภาคและให้มีการตกลงแก้ปัญหาข้อขัดแย้งระหว่างไทยกับฝรั่งเศส.  

อย่างไรก็ตาม  สยามก็ได้ตกอยู่ในภาวะคับขันจึงต้องตกลงทำสนธิสัญญากับฝรั่งเศส และคิดว่าจะหาทางออกกันในภายหลังด้วยการเจรจาทางการทูต. สันธิสัญญาระหว่างสยามกับฝรั่งเศสที่ทำขึ้นมีสาระสำคัญ  (ดูภาคผนวก 4) คือ

1)       รัฐบาลสยามยอมยกเลิกกรรมสิทธิเหนือดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงทั้งหมด;

2)       รัฐบาลสยามจะไม่มีเรือรบใหญ่น้อยไปไว้ในทะเลสาบ ในแม่น้ำโขง และในลำน้ำแยกจากแม่น้ำโขง;

3)       รัฐบาลสยามจะไม่ก่อสร้างด่าน ค่าย คู หรือที่ตั้งทหารในเขตเมืองพระตะบองและเมืองเสียมราฐ และในบริเวณ 25 กิโลเมตร (625 เส้น) บนฝั่งขวาแม่น้ำโขง และจะมีได้เฉพาะแต่กองตระเวรเจ้าพนักงานเมืองกับคนใช้เท่าที่จำเป็น และจะไม่มีพลประจำหรือพลเกณฑ์มีสรรพาวุธเป็นทหารตั้งอยู่ในที่นั้น.

หลังการทำสนธิสัญญาระหว่างกันแล้วก็ยังปรากฏข้อขัดแย้งสยาม-ฝรั่งเศสกันอยู่ในประเด็นเกี่ยวกับเรื่อง 1)อำนาจในการปกครองของรัฐบาลสยามในเขต 25 กิโลเมตรที่อยู่บนฝั่งขวาแม่น้ำโขง (รวมพระตะบองและเสียมราฐ), 2)สิทธิในการครอบครองเขตแดนเมืองหลวงพระบางที่อยู่บนฝั่งขวาแม่น้ำโขง (เป็นข้อเรียกร้องนอกเหนือสนธิสัญญาของฝรั่งเศส), 3)การจดทะเบียนคนในบังคับฝรั่งเศสที่อาศัยอยู่ในประเทศสยาม (ฝรั่งเศสเรียกร้องไม่ให้สยามกีดกันถ้าหากคนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงที่ถูกกวาดต้อนมาต้องการกลับไปยังฝั่งซ้าย  หรือแม้ว่าคนเหล่านี้จะไม่กลับไปก็ต้องขึ้นกับฝรั่งเศส และในการจดทะเบียนก็ให้ลงทะเบียนไปจนถึงชั้นหลาน, ขณะที่สยามถือว่าถ้าคนเหล่านี้ไม่กลับไปก็ต้องขึ้นกับรัฐบาลสยาม), และ 4)ฝรั่งเศสถือเป็นเงื่อนไขในการยึดครองจันทบุรีออกไปอย่างไม่มีกำหนดจนกว่าไทยจะปฏิบัติตามสนธิสัญญา.

“วิกฤติการณ์ รศ. 112” ทำให้อังกฤษรู้สึกว่าความขัดแย้งระหว่างไทยกับฝรั่งเศสอาจกระทบถึงความมั่นคงของอังกฤษในพม่า  รัฐบาลอังกฤษจึงพยายามให้มีข้อตกลงค้ำประกันบูรณภาพและความเป็นเอกราชของสยามเหนือดินแดนบวิเวณลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา โดยให้ประเทศสยามเป็นเสมือน “รัฐกันชน” (Buffer State) ระหว่างสองอภิมหาอำนาจตะวันตก ซึ่งนำไปสู่ปฏิญญาระหว่างอังกฤษและฝรั่งเศสในวันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2440 (ตามแบบปฏิทินใหม่).  แต่แม้ว่าบูรณภาพแห่งดินแดนบริเวณลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาจะได้รับการค้ำประกันจากแถลงการณ์ร่วมอังกฤษ-ฝรั่งเศสแล้ว,  แต่ทั้งรัฐบาลสยามและรัฐบาลอังกฤษก็ไม่มั่นใจว่าจะหมายถึงความมั่นคงในบริเวณอื่น (โดยเฉพาะแหลมมลายู) ว่าจะไม่ถูกละเมิดจากมหาอำนาจที่สาม จึงเกิดความพยายามที่จะทำข้อตกลงร่วมกันระหว่างรัฐบาลสยามกับรัฐบาลอังกฤษเพื่อค้ำประกันความมั่นคงในดินแดนส่วนคาบสมุทรของสยาม (ภาคใต้ทั้งหมด) อันนำไปสู่การทำข้อตกลง “ลับ” ระหว่างอังกฤษกับสยาม,  โดยที่ส่วนหนึ่งเกิดขึ้นเพราะปฏิญญาระหว่างอังกฤษกับฝรั่งเศสทำให้รัฐบาลสยามระแวงว่าไม่ได้หมายถึงการค้ำประกันถึงดินแดนส่วนอื่นนอกเหนือจากลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา จึงผลักดันให้รัฐบาลสยามต้องคิดหาทางประกันอธิปไตยส่วนที่อยู่นอกลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยากับอังกฤษดังกล่าว, ขณะเดียวกันอังกฤษก็พยายามแสวงหาหนทางปกป้องสิทธิและผลประโยชน์ในบริเวณดังกล่าวด้วยการทาบทามรัฐบาลสยามเพื่อเปิดการเจรจาลับให้ประกันสิทธิและผลประโยชน์ของทั้งสองฝ่ายในบริเวณแหลมมลายู พร้อมกับเสนอร่างอนุสัญญาลับให้รัฐบาลสยามพิจารณา โดยเงื่อนไขว่า “รัฐบาลไทยตกลงว่าจะไม่ยินยอมให้ประเทศใดก็ตาม ซื้อ เช่า หรือถือกรรมสิทธิ์ดินแดนไทยตั้งแต่บริเวณใต้ตำบลบางสะพาน ประจวบคีรีขันธ์ลงไป โดยที่ไม่ให้รับความเห็นชอบจากรัฐบาลอังกฤษก่อน  เพื่อเป็นการตอบแทน รัฐบาลอังกฤษจะให้ความช่วยเหลือแก่ไทยถ้าถูกชาติอื่นรุกราน” (เพ็ญศรี, 2542:131).[3]  แม้ว่าอนุสัญญาฉบับนี้จะเปิดโอกาสให้อังกฤษเข้ามามีอิทธิพลเหนือดินแดนของสยามในแหลมมลายู  แต่รัฐบาลสยามเล็งเห็นถึงความจำเป็นที่จะต้องมีข้อตกลงพิเศษเพื่อค้ำประกันอธิปไตยของสยาม จึงยอมเสียเปรียบลงนามในอนุสัญญาลับ “อังกฤษ-ไทย 1897” เมื่อวันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2440 ก่อนหน้าที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ จะเสด็จประพาสยุโรปครั้งแรกเพียง 1 วัน.

ความขัดแย้งกับฝรั่งเศสที่กำลังคุกคามอำนาจอธิปไตย ได้กลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงตัดสินพระทัยเดินทางไปยุโรป  เพื่อหวังจะสร้าง “ภาพลักษณ์” ของ “ความซิวิไลซ์” ของสยามในฐานะของรัฐอธิปไตยให้เป็นที่ยอมรับของสาธารณชนในยุโรป  และโดยเฉพาะการต้อนรับและความช่วยเหลือจากพระสหาย พระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 ที่เพิ่งจะเสด็จขึ้นครองราชย์แห่งรุสเซีย,  เพราะคิดว่าทั้งสองสิ่งนี้จะช่วยยกฐานะของสยามในการเจรจาต่อรองแก้ปัญหาความขัดแย้งกับฝรั่งเศส,  และนอกจากนั้น การเสด็จประพาสยุโรปยังจะเป็นการเรียนรู้ความก้าวหน้าทางวิทยาการเทคโนโลยีใหม่ๆ ของชาติมหาอำนาจตะวันตก  เพื่อนำมาใช้เป็นแบบอย่างของการปรับปรุงประเทศต่อไป.

แม้ว่าก่อนการออกเดินทางไปยุโรปเป็นครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2440 ชนชั้นนำสยามต้องลุกขึ้นมาขัดฟันให้ขาวและหัดแต่งเนื้อแต่งตัวให้ทันสมัยแบบตะวันตกเพื่อสลัดความล้าหลังแบบไทยๆ ออกไปกันอย่างโกลาหล, แต่ในที่สุดแล้วสยามก็สามารถเข้าไปอยู่ในชุมชนนานาอารยประเทศได้สำเร็จ ด้วยการสถาปนาทางการทูตกับตะวันตกขึ้นอย่างเป็นทางการ โดยเฉพาะกับมหาอำนาจอย่างรุสเซียในปี ค.ศ. 1898 (พ.ศ. 2441).  แต่การเดินทางไปยุโรปอย่างแท้จริงก็ทำให้ชนชั้นนำสยามพบว่า “ยุโรป” หรือ “ตะวันตก” เองก็ไม่ได้เจริญรุดหน้าเท่าเทียมกัน.  ความเจริญเป็นสิ่งที่มีความแตกต่างหลากหลาย  เพราะยุโรปที่กรุงปารีส กรุงลอนดอน กรุงเจนีวา กรุงเวียนนาและกรุงมอสโกซึ่งตอนนั้นเป็นศูนย์กลางของมหาอำนาจทั้งหลายในตะวันตกย่อมมีความแตกต่างกับยุโรปที่กรุงลิสบอนซึ่งเมืองหลวงของโปรตุเกส อดีตมหาอำนาจทางทะเลที่เคยยิ่งใหญ่มาก่อนและเสื่อมลงไปอย่างรวดเร็ว.  ยุโรปที่กรุงลิสบอนนั้นเต็มไปด้วยปัญหาขลุกขลักและสับสนวุ่นวาย.  เมื่อรัชกาลที่ 5 เดินทางออกจากโปรตุเกส  พระองค์ก็ส่งโทรเลขกลับมาที่สยามว่า “ฉันรู้สึกดีใจที่จะได้ไปเสียที…ฉันไม่เคยเห็นประเทศไหนจะเลวร้ายกว่านี้เลย”  และเมื่อรถไฟเดินทางออกจากลิสบอนได้ไม่นานก็เกิดเหตุการณ์อันไม่คาดฝันขึ้น กล่าวคือ “รถไฟหลุดจากราง  เปนเดชะพระบารมีที่หยุดทัน  หาไม่ก็คอหักหมด  เพราะอยู่ในโปรตุเกสเหลวไปหมด” (จุลจอมเกล้าฯ, 2528: 2/122).  ส่วนยุโรปในบางเมืองนั้นก็ “เหมือนไปเที่ยวหัวเมืองของเราเอง  เพราะเมืองเหล่านั้นก็ไม่สู้ผิดกับเมืองเราเท่าใด  เลวกว่าก็มี” (จุลจอมเกล้าฯ, 2508: 2/228).

ต่อมาในการประพาสยุโรปครั้งที่ 2 ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ นั้นยิ่งได้แสดงให้เห็นถึงความมั่นใจในความเจริญในตัวเองพอที่จะไปยืนอยู่ในชุมชนนานาชาติอย่างแท้จริง, เพราะพระองค์รับรู้ว่าแม้กระทั่งข้าหลวงใหญ่ของอังกฤษที่สิงคโปร์ คือ เซอร์ จอห์น แอนเดอร์สัน ก็ “ปรากฏชัดว่าในใจแกรู้สึกว่าเมืองเราไม่ใช่สิวิลัยเซซั้นอย่างผิวๆ ได้จับหลักยึดมั่นมากแล้ว” (จุลจอมเกล้าฯ, 2508: 1/34). ความรู้สึกถึงความเจริญก้าวหน้านั้นไม่เพียงแต่เกิดจากการพัฒนาประเทศของรัชกาลที่ 5 และการสถาปนาความสัมพันธ์ฉันท์มิตรกับประเทศตะวันตกจนทำให้สามารถเข้าไปยืนทัดเทียมกับประเทศอื่นๆ ในชุมชนนานาอารยประเทศได้  แต่ยังเกิดจากความรู้สึกไปถึงความก้าวหน้าในความเป็น “เจ้า” ของพระองค์ที่ว่า “เจ้านายฝรั่งไม่วิเศษอะไรเลย  สู้เราไม่ได้แท้ๆ…ฉันตั้งใจไว้ว่าจะสอนให้ลูกทั้งปวงรู้ความจริงนี้ให้จงได้” (จุลจอมเกล้าฯ, 2528: 2/30). นอกจากนี้ จุดมุ่งหมายสำคัญของการเสด็จประพาสยุโรป คือการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งกับฝรั่งเศสนั้นแม้ว่าจะไม่สำเร็จลุล่วงไปเสียทั้งหมด  แต่ด้วยความช่วยเหลือจากรุสเซียก็ได้วางแนวทางที่จะนำไปสู่การแก้ปัญหาในเวลาต่อมา ซึ่งในที่สุดสยามก็ได้เมืองจันทบุรีคืนมา พร้อมกับที่ต้องแลกกับดินแดนฝั่งขวาแม่น้ำโขงคือ เมืองหลวงพระบาง ให้แก่ฝรั่งเศส ตามข้อตกลงในอนุสัญญาฉบับวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1904.

 

การประชุมสันติภาพที่กรุงเฮกปี ค.ศ. 1899 (Hague Peace Conference 1899) [4]

                ผลสำคัญของการเยือนและมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับมหาอำนาจตะวันตกทำให้สยามได้รับเชิญจากรัฐบาลเนเธอร์แลนด์ให้เข้าร่วมการประชุมสันติภาพที่กรุงเฮกเมื่อปี ค.ศ. 1899 (พ.ศ. 2442) ซึ่งมีพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 แห่งรุสเซียเป็นต้นธารแห่งความคิด. รากฐานสำคัญของการเมืองยุโรปที่ทำให้เกิดการประชุมสันติภาพที่กรุงเฮก หรือ The Hague Peace Conference 1899 มีอยู่ 2 ประการ กล่าวคือ

1)การเกิดจากการพัฒนาเทคโนโลยีอาวุธแบบใหม่ขึ้นในยุโรป อาทิ กระสุนปืนที่มีอานุภาพทำลายมากที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าทารุณไร้มนุษยธรรมของอังกฤษ  และปืนใหญ่ยิงเร็วมีพลังมากของออสเตรีย  ซึ่งทำให้ดุลอำนาจในทวีปยุโรปเกิดการเปลี่ยนแปลง.  มหาอำนาจรุสเซีย ซึ่งมีเงินน้อยไม่สามารถทุ่มเทให้กับการพัฒนาเทคโนโลยีอาวุธใหม่ จึงหาทางให้วิธีทางการเมืองเป็นเครื่องมือจัดการปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ.

2)เกิดการเคลื่อนไหวต่อต้านสงครามและการแสวงหาลู่ทางในการจัดการปัญหาความขัดแย้งขึ้นจำนวนมาก, โดยเฉพาะงานเขียนชิ้นสำคัญเรื่อง Future of war ของชอง เดอ บล็อค ที่มีความหนาถึง 4,000 หน้า  ซึ่งกล่าวถึงความหายนะที่รุนแรงของการทำสงครามยุคใหม่ที่มีอาวุธทันสมัย และจะทำให้เศรษฐกิจและผู้คนจำนวนมหาศาลพังพินาศไปทั้งผู้แพ้และผู้ชนะ. 

หนังสือต่อต้านสงครามของบล็อคได้สร้างแรงบันดาลใจแก่พระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 ตั้งแต่สมัยยังเป็นมกุฏราชกุมาร  และเมื่อเสด็จขึ้นครองราชย์แล้วไม่นานนักก็ให้ออกหนังสือเวียนเชื้อเชิญผู้นำและนักการทูตนักการทหารให้เข้ามาร่วมกันหารือเกี่ยวกับปัญหาความขัดแย้งระหว่างประเทศ. ต่อมาในปี ค.ศ. 1898 ราชสำนักรุสเซียได้ออกหนังสือเวียน (The Russian Circular Note of August 1898) ไปยังราชสำนักและหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเพื่อเชิญชวนการจัดประชุม โดยกล่าวว่า การธำรงรักษาสันติภาพและหนทางแห่งการลดอาวุธ ซึ่งกำลังอยู่ในใจของทุกประชาชาติในสถานการณ์โลกในปัจจุบันในฐานะที่เป็นอุดมคติที่ทุกรัฐบาลต้องการจะไปให้ถึง  และด้วยความเชื่อมั่นที่ว่าเป้าหมายอันสูงส่งนี้จะสอดคล้องต้องกับความปรารถนาอันแรงกล้าและแรงบันดาลอันชอบทำนองคลองธรรมของทุกมหาอำนาจ.  ปัจจุบันจึงเป็นช่วงเวลาที่เหมาะควรแก่การแสวงหาวิถีทางอันทรงประสิทธิผลที่สุด ด้วยการอภิปรายถกเถียงกันในการประชุมระดับนานาชาติ ในการให้ความมั่นใจแก่มวลประชาชนถึงผลประโยชน์แห่งสันติสุขที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง และเหนืออื่นใดของการจำกัดการพัฒนาอย่างเลยเถิดเกินขอบเขตของอาวุธยุทโธปกรณ์. นอกจากนี้หนังสือเวียนยังได้วิพากษ์วิจารณ์การรวมกลุ่มพันธมิตรของมหาอำนาจตะวันตกที่จะนำไปสู่ความขัดแย้งที่รุนแรงเผชิญหน้ากันยิ่งขึ้น และการพัฒนากำลังทหารที่ไร้ขอบเขตโดยไม่คำนึงถึงการเซ่นสังเวยของมนุษย์อย่างไร้เป้าหมาย.  การทุ่มทุนจำนวนมากของมหาอำนาจเพื่อให้ได้มาซึ่ง “เครื่องจักรแห่งการทำลายล้างอันน่าสะพรึงกลัว” (terrible engines of destruction) นั้นไม่เพียงชะงักงันความมั่งคั่งของสาธารณชน แต่ยังได้นำไปสู่หายนะที่ทุกคนต้องการหลีกหนีอย่างเลี่ยงไม่พ้น  และได้ประทับตราแห่งความหวาดสะพรึงกลัวลงในจิตใจมนุษย์ทุกผู้คน.  ดังนั้นจึงถือเป็นภาระหน้าที่อันสูงสุดของรัฐที่จะต้องตรวจสอบการติดตั้งและการพัฒนาอาวุธ และแสวงหาวิถีทางที่จะเลี่ยงไปจากความฉิบหายที่กำลังคุกคามโลก. การประชุมจะเป็น “การเปิดประตูอย่างเบิกบานไปสู่ศตวรรษใหม่ที่กำลังจะมาเยือน” ด้วยการระดมกำลังพลแห่งสันติภาพ เพื่อต่อสู้เอาชนะความสับสนวุ่นวายและไร้ระเบียบ บนหลักความเท่าเทียมกันและหลักกฎหมาย เพื่อความมั่นคงแห่งรัฐ และสันติสุขของปวงประชาชนพลเมือง.

ผลของหนังสือเวียนทำให้ทุกประเทศสงสัยในท่าทีและจุดประสงค์ที่แท้จริงของรุสเซีย. บางประเทศต่อต้านโดยเฉพาะในประเด็นการพัฒนาเทคโนโลยีอาวุธ  เพราะจะเท่ากับเป็นการหยุดยั้งความก้าวหน้าและพัฒนาการทางเทคโนโลยีของมนุษยชาติทั้งมวล.  ฝรั่งเศสเห็นว่า การประชุมจะทำให้ลดความเข้มแข็งในการป้องกันประเทศ. รัฐบาลสยามตอบรับในทำนองชื่นชมต่อหนังสือเวียนของพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 อย่างเป็นทางการ,  แต่ขณะเดียวกันก็แสดงความคิดเห็นที่เป็นการภายใน (ลับหลัง) ถึงความเพ้อฝัน อิงอุดมคติ และไม่คำนึงถึงโลกของความเป็นจริงเป็นการภายใน.  ส่วนกลุ่มประชาชนกลุ่มต่อต้านสงครามพากันเคลื่อนไหว ร่วมกันลงนามเรียกร้องให้มีการประชุมสันติภาพเป็นล้านชื่อ  และเกิดการชุมนุมเรียกร้องการประชุมสันติภาพในเกือบทุกเมืองใหญ่ในยุโรป โดยนักสันติภาพ.

ต่อมาในเดือนมกราคม ค.ศ. 1899 ก็ได้มีหนังสือเวียนฉบับที่ 2 (The Second Circular Note 1899) ที่กล่าวถึงการประชุมอย่างเป็นรูปร่างมากขึ้น ด้วยการกำหนดวาระการประชุม คือ 1)หาหนทางโดยพลันที่จะจำกัดการเพิ่มพัฒนาอาวุธทางทหาร ซึ่งถือเป็นเรื่องเร่งด่วนที่สุด, และ 2)เตรียมการสำหรับการอภิปรายถกเถียงถึงปัญหาเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่จะหลีกเลี่ยงปัญหาความขัดแย้งด้วยการใช้อาวุธ โดยหันมาใช้สันติวิธี ตามวิถีทางการทูตระหว่างประเทศ.  ทั้งสองประเด็นนี้ได้กลายเป็นวาระของการประชุมต่อมา โดยประเด็นแรกของการลดอาวุธได้กลายเป็นประเด็นร้อนแรงและถูกต่อต้านมาก,  แต่การหาทางจัดการความขัดแย้งด้วยการเจรจาและการใช้วิธีอนุญาโตตุลาการโดยสมัครใจได้กลายเป็นวาระการอภิปรายในระดับที่เป็นทางการครั้งแรก.

การได้รับเชิญให้เข้าร่วมประชุมสันติภาพที่กรุงเฮกถือว่าเป็น “ครั้งแรก” ที่สยามได้เข้าร่วมการประชุมในระดับประชาคมโลกอย่างเป็นทางการ  โดยรัฐบาลสยามได้ส่งตัวแทนเข้าร่วมประชุมถึง 4 คน คือ 1)พระยาสุริยานุวัตร (อัครทูตประจำกรุงปารีส); 2)พระยาวิสุทธิสุรยศักดิ์ (อัครทูตประจำกรุงลอนดอน); 3)Corragioni D’Orelli  (นักกฎหมายสวิส, ที่ปรึกษาสยามในปารีส); 4)Edouard Rolin (นักกฎหมายระหว่างประเทศ ลูกของเจ้าพระยาอภัยราชา ที่ปรึกษาราชการแผ่นดินสมัยรัชกาลที่ 5 และอดีตนายกฯของเบลเยี่ยม) ซึ่งเป็นคนที่เก่งมาก และได้รับเลือกเป็นเลขานุการของการประชุม คอยสรุปผลการอภิปราย.

สิ่งที่รัฐบาลสยามต้องการนอกจากการสนับสนุนรุสเซีย คือคำสั่งให้ผู้แทนสยามเพ่งความสนใจไปที่เรื่องการหาวิธีการประนีประนอมเจรจาตกลงข้อขัดแย้งของสงคราม,  เนื่องจากเป็นประเด็นที่สยามกำลังเผชิญอยู่ และต้องการเรียกร้องให้ตะวันตกใช้วิธีอนุญาโตตุลาการ (Arbitration) มาตัดสินข้อขัดแย้งเพื่อเป็นบรรทัดฐานในการตกลงกับฝรั่งเศส.  กล่าวได้ว่า เป้าหมายของสยามในการประชุม คือประเด็นของการจัดตั้งศาลอนุญาโตตุลาการ ไม่ใช่ประเด็นเรื่องการลดอาวุธ,  ดังจะเห็นได้จากการไม่มีผู้แทนฝ่ายทหารจากสยามเข้าร่วมประชุมด้วยเลย (ซึ่งแตกต่างกับการประชุมสันติภาพแห่งกรุงเฮกครั้งต่อมาในปี ค.ศ. 1907 ที่มีแต่ฝ่ายทหาร นำโดยพระองค์เจ้าบวรเดช.

สภาพโดยทั่วไปสยามไม่ค่อยได้แสดงบทบาท  แต่มีประเด็นเรื่องกฎเกณฑ์ในการทำสงครามทางบกและทะเลที่ผู้แทนสยามได้ร่วมอภิปรายด้วย,  แต่ในช่วงท้ายของการประชุม สยามยังได้แสดงบทบาทสำคัญเมื่อข้อเสนอในเรื่องอนุญาโตตุลาการได้ถูกคัดค้านอย่างรุนแรงว่าจะเป็นการละเมิดอธิปไตยของรัฐ  จนกระทั่งการประชุมเกือบล้มเหลวหาข้อตกลงอะไรไม่ได้เลย. ตัวแทนของสยามจึงร่วมกันร่างคำแถลงการณ์ ซึ่งนำออกอ่านต่อที่ประชุมโดยเอ็ดเวอร์ด โรแลง โดยสยามได้แสดงท่าทีเห็นด้วยกับการจัดการปัญหาความขัดแย้งด้วยสันติวิธี,  ส่วนในประเด็นการเข้าไปตรวจสอบนั้นสยามก็ปรารถนาจะให้ประเด็นได้รับการรับรอง เพราะการตรวจสอบจะทำให้การตัดสินแก้ปัญหาด้วยสันติวิธีดำเนินไปด้วยการอิงอยู่กับข้อเท็จจริง  ซึ่งอำนาจอธิปไตยของรัฐไม่เกี่ยวกับการแสวงหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับข้อพิพาท ซึ่งเป็นเรื่องของธรรมชาติและเป็นพื้นฐานที่จะนำไปสู่ข้อตกลงทางกฎหมาย.  สยามจึงเห็นควรว่าศาลอนุญาโตตุลาการจะต้องยืนอยู่บนการตรวจสอบข้อเท็จจริงเป็นหลัก.

ส่วนผลการประชุมสันติภาพนั้นกล่าวได้ว่า การเจรจาลดอาวุธเป็นประเด็นที่ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง,  ส่วนประเด็นเรื่องการจัดการแก้ปัญหาความขัดแย้งด้วยสันติวิธีก็เกือบล่ม.  หลังจากการประชุมกันประมาณ 2 เดือน (กลางพฤษภาคม-ต้นเดือนกรกฎาคม) ก็ได้มีการลงนามในอนุสัญญา (Convention) 3 ฉบับ คือ 1)การยุติข้อขัดแย้งด้วยสันติวิธี (สำคัญที่สุด), 2)กฎหมายธรรมเนียมปฏิบัติของสงครามภาคพื้นดิน, และ 3)ปรับข้อตกลงในสัญญาที่เจนีวามาใช้กับการรบทางเรือที่กลายเป็นสนามรบที่สำคัญขึ้นหลังมีการพัฒนาเทคโนโลยีของเรือเดินสมุทร.  นอกจากนี้ยังมีคำประกาศ (Declaration) อีก 2-3 ฉบับว่าด้วยการห้ามยิงระเบิดจากบอลลูน, การห้ามใช้ก๊าซพิษ, และการห้ามใช้หัวกระสุนแบบ “dum-dum” ของอังกฤษที่ยิงโดนเป้าแล้วจะแตกกระจายออกทำให้ผู้ถูกยิงทรมานและรักษาได้ยากยิ่งขึ้น.

 

ผลของการปฏิรูปปรับปรุงทำให้ประเทศทันสมัย: การปฏิวัติสยาม พ.ศ. 2475 และลัทธิชาตินิยม

การศึกษาและระบบราชการแบบสมัยใหม่ทำให้เกิดชนชั้นใหม่ขึ้นมาในสังคมไทย คือชนชั้นกลางที่รับราชการ, หัวก้าวหน้า, มีการศึกษา และรับรู้ข่าวสารการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ในโลก.  การที่ชนชั้นกลางเป็นส่วนหนึ่งในกลไกของการปฏิรูปประเทศให้ทันสมัย ทำให้คนเหล่านี้เกิดมีความสำนึกถึงความรับผิดชอบที่จะต้องพัฒนาประเทศให้พ้นจากความล้าหลังที่เคยเป็นผลให้ต้องตกอยู่ภายใต้การคุกคามและเสี่ยงต่อการตกเป็นอาณานิคมของตะวันตก.  การปฏิรูปประเทศทำให้คนชั้นกลางกลุ่มหนึ่งเกิดมีสำนึกทางการเมืองที่มองเห็นถึงความสำคัญของสามัญชนในการสร้างความเจริญก้าวหน้าและการสร้างความทันสมัย, และเกิดความสำนึกว่าความเจริญก้าวหน้าเป็นผลมาจากความรู้ความสามารถของมนุษย์ ไม่ใช่เกิดจากผลของกำเนิดและการมีชาติตระกูลสูง. ดังนั้นสามัญชนที่เป็นประชาชนพลเมืองของรัฐจึงควรมีส่วนร่วมรับผิดชอบและร่วมกำหนดความเจริญก้าวหน้าของประเทศ.  การที่สามัญชนมีจิตสำนึกว่าตนเองก็มีความรู้ความสามารถที่จะกำหนดความเจริญก้าวหน้าให้กับประเทศได้เป็นผลให้เกิดความพยายามเปลี่ยนแปลงการปกครอง ดังเช่น กรณี ร.ศ. 130 และกรณีการปฏิวัติสยาม พ.. 2475 (ดูแถลงการณ์ของคณะราษฎร ฉบับที่ 1 ในภาคผนวก 5).[5]

การปฏิวัติ พ.. 2475 เกิดจากการที่กลุ่มข้าราชการพลเรือนและทหารที่เรียกตัวเองว่า “คณะผู้ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครอง” หรือ “คณะราษฎร” รู้สึกไม่พอใจกับปัญหาเรื่องการรวมศูนย์อำนาจของรัฐบาล, การแต่งตั้งคนขึ้นดำรงตำแหน่งสำคัญโดยไม่ได้พิจารณาจากความรู้ความสามารถ แต่พิจารณาจากชาติตระกูลเป็นสำคัญ เป็นต้น โดยมีผู้นำคนสำคัญของคณะผู้ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองประกอบด้วย รองอำมาตย์ตรี หลวงประดิษฐ์มนูธรรม (ปรีดี พนมยงค์), พันเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน), พันเอก พระยาทรงสุรเดช, .. หลวงพิบูลสงคราม (แปลก ขิตตะสังขะ).  ทว่าการเปลี่ยนแปลงสำเร็จลงได้อย่างรวดเร็วโดยไม่มีการเสียเลือดเนื้อก็โดยอาศัยวิธีการประนีประนอมกับฝ่ายกษัตริย์.  ต่อมาคณะราษฎรได้แต่งตั้งคณะกรรมการราษฎรขึ้นมาชุดหนึ่ง ซึ่งประกอบด้วยกลุ่มคณะผู้ก่อการและฝ่ายอำนาจเก่าเพื่อทำหน้าที่สภาผู้แทนราษฎร และได้จัดตั้งรัฐบาลที่มีพระยามโนปกรณ์นิติธาดา (อธิบดีศาลอุทธรณ์) ประธานกรรมการราษฎร เป็นนายกรัฐมนตรี เพื่อทำหน้าที่บริหารแผ่นดิน.  หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองได้ไม่นานก็มีการเรียกร้องให้รัฐบาลกำหนดนโยบายเศรษฐกิจและการพัฒนาประเทศที่ชัดเจนยื่นเสนอต่อสภาคณะกรรมการราษฎร โดยนายมังกร สามเสน. รัฐบาลจึงได้มอบหมายให้ปรีดี พนมยงค์ดำเนินการร่างแผนนโยบายเศรษฐกิจ ซึ่งได้นำเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. 2475 (ปฏิทินเดิม) โดยมีข้อเสนอหลักมุ่งไปที่ชาวนา และมีสาระสำคัญคือ 1)เสนอให้รัฐบาลบังคับ “ซื้อ” ที่ดินทำกินทั้งหมดของราษฎร (ชาวนา) มาเป็นของรัฐโดยไม่จำเป็นต้องได้รับความยินยอมจากราษฎรที่เป็นเจ้าของ,  โดยที่ชาวนามีกรรมสิทธิ์ส่วนบุคคลได้เฉพาะที่ตั้งบ้านเรือนที่อยู่อาศัยเท่านั้น; และ 2)เมื่อที่ทำกินกลายเป็นของรัฐแล้วประชาชนทุกคนก็ต้องเป็น “คนงานของรัฐ” (ข้าราชการ) และมีเงินเดือนประจำ โดยยกเว้นคนมั่งมีจำพวกที่ “มีรายได้เพียงพอที่จะเลี้ยงชีวิตของเขาได้ตลอดแม้เจ็บป่วยหรือชราภาพ.”  กล่าวโดยสรุปก็คือ เค้าโครงเศรษฐกิจเสนอโครงการดำเนินระบบเศรษฐกิจแบบรัฐวิสาหกิจ โดยกำหนดให้เกิดสภาพ “นารวมโดยการบังคับ” (Forced Collectivization) เหมือนกับการยึดทรัพย์สินมาเป็นสมบัติของรัฐในประเทศสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ทั้งหลาย.  กล่าวคือ หลังปฏิวัติของรุสเซีย พรรคบอลเชวิค (คอมมิวนิสต์) ก็ประกาศใช้ระบบนารวมแต่โดยความสมัครใจของชาวนา และปี ค.ศ. 1929 (พ.ศ. 2471) โจเซฟ สตาลินผู้นำสหภาพโซเวียตจึงประกาศใช้ระบบนารวม (forced collectivization) โดยที่ก่อนหน้านั้นที่ดินขนาดย่อมและพื้นที่ทำกินในสหภาพโซเวียตยังเป็นของชาวนาเอกชนอยู่ถึง 97.8% (สมศักดิ์, 2536: 42-3).

ผลสะเทือนจาก “เค้าโครงการเศรษฐกิจแห่งชาติ” ก็คือทำให้ปรีดีถูกกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์ และถูกบังคับให้เดินทางไปออกไปนอกประเทศ (ปารีส) และต่อมาพระยามโนปกรนิติธาดาก็ประกาศปิดสภาและให้งดใช้รัฐธรรมนูญบางมาตรา (เมษายน พ.ศ. 2476) โดยที่รัฐมนตรีที่มาจากคณะราษฎรถูกปลดออกจากตำแหน่ง, นายทหารที่คุมกำลังในกองทัพถูกโยกย้ายไปยังตำแหน่งอื่นที่ไม่ได้กุมกำลัง.  คณะราษฎรพยายามตอบโต้ด้วยการรวบรวมกำลังเข้ายึดอำนาจการปกครองคืนจากรัฐบาลพระยามโนปกรนิติธาดาเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2476 โดยการนำของพันเอกหลวงพิบูลสงคราม ซึ่งทำให้คณะราษฎรกลับมามีอำนาจได้อีกครั้ง.  คณะราษฎรสั่งให้เปิดประชุมสภาฯ ขึ้นอีก และดำเนินจัดตั้งรัฐบาลที่มีพันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา ผู้นำคณะราษฎรสายทหารเป็นนายกรัฐมนตรี  พร้อมกับเรียกให้นายปรีดีเดินทางกลับมาจากปารีสเพื่อดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี โดยที่ต่อมาได้จัดให้มีการพิสูจน์ความบริสุทธิ์ (คือปรีดีไม่ได้เป็นคอมมิวนิสต์) ด้วยการแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาซักฟอก ซึ่งมีพระองค์เจ้าวรรณไวทยกรเป็นหัวหน้าคณะกรรมการ.

รัฐบาลของฝ่ายคณะราษฎรก็ถูกเคลื่อนไหวต่อต้านจากฝ่าย “คณะเจ้า” ซึ่งในที่สุดก็มีการท้าทายอำนาจรัฐบาลด้วยการส่งกองกำลังทหารหัวเมืองจากสระบุรี นครราชสีมา และอยุธยา เข้ามาบุกยึดดอนเมืองเป็นกองบัญชาการเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2476 และยื่น “คำขาด” ให้รัฐบาลลาออกเพื่อให้มีการจัดการปกครองบริหารประเทศชั่วคราวภายใต้การนำของพระองค์เจ้าบวรเดช กฤดากร (อดีตเสนาบดีกระทรวงกลาโหม) และพันเอกพระยาศรีสิทธิสงคราม (ดิ่น ท่าราบ อดีตเจ้ากรมยุทธการทหารบก) โดยมีการสนับสนุนจากฝ่ายเจ้าจำนวนหนึ่ง.[6]  ปรากฏว่า กองกำลังของรัฐบาลภายใต้การนำของพันเอกหลวงพิบูลสงครามที่ถูกส่งเข้าไปต่อสู้นั้นสามารถเอาชนะกองกำลังของฝ่ายกบฏได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2476.  ความสำเร็จของคณะราษฎรในการปราบกบฏส่งผลให้เจ้านายเป็นระดับสูงจำนวนหนึ่งต้องลี้ภัยออกไปนอกประเทศ รวมทั้งทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลคณะราษฎรกับพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ตึงเครียดมากยิ่งขึ้น และพัฒนาไปสู่การสละราชสมบัติของรัชกาลที่ 7 เมื่อวันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2478 ดังเนื้อความพระราชหัตถเลขาสละราชสมบัติของพระองค์ที่ว่า “ข้าพเจ้าเห็นว่าคณะรัฐบาลและพวกพ้องใช้วิธีการปกครอง ซึ่งไม่ถูกต้องตามหลักการของเสรีภาพในตัวบุคคลและหลักความยุติธรรมตามความเข้าใจและยึดถือของข้าพเจ้า  ข้าพเจ้าไม่สามารถที่จะยินยอมให้ผู้ใดคณะใดใช้วิธีการปกครองอย่างนั้นในนามของข้าพเจ้าอีกต่อไป  ข้าพเจ้ามีความเต็มใจที่จะสละอำนาจ อันเป็นของข้าพเจ้าอยู่เดิมให้แก่ราษฎรทั่วไป  แต่ข้าพเจ้าไม่ยินยอมยกอำนาจทั้งหลายของข้าพเจ้าให้แก่ผู้ใด คณะใด โดยเฉพาะ เพื่อใช้อำนาจโดยสิทธิขาด และโดยไม่ฟังเสียงอันแท้จริงของประชาชน” (อ้างใน บัทสัน, 2543: 363-364; และดูเอกสารเต็มฉบับในภาคผนวก 6).

                แม้ว่ารัฐบาลจะสามารถปราบปรามฝ่ายกบฏได้สำเร็จ  แต่อำนาจการปกครองของคณะราษฎรก็ยังไม่มั่นคงและมีปัญหาเรื่องเสถียรภาพของรัฐบาลตลอดเวลา (ชาญวิทย์, 2536). ดังนั้นเมื่อพันเอกหลวงพิบูลสงครามขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2581 (ปฏิทินเดิม) ภายหลังการยุติบทบาททางการเมืองของพระยาพหลพลพยุหเสนา,  สภาพความมั่นคงทางการเมืองของระบอบการปกครองใหม่ก็ยังไม่ได้มีเสถียรภาพมั่นคง และยังไม่สามารถสร้างความเข้มแข็งเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันและสร้างความเข้าใจต่อระบอบการปกครองใหม่ให้แก่ประชาชนพลเมืองได้อย่างแท้จริง.  เพราะหลังจากที่ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้ไม่ถึง 2 เดือน รัฐบาลก็ค้นพบแผนการล้มล้างรัฐบาลเมื่อวันที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2481 (ปฏิทินเดิม).  พันเอกหลวงพิบูลสงครามจึงสั่งจับกุมฝ่ายตรงข้ามทั้งหมดเป็นจำนวนมาก รวมทั้งเจ้านายเชื้อพระวงศ์ระดับสูง อาทิ กรมขุนชัยนาทนเรนทร (พระองค์เจ้ารังสิตประยูรศักดิ์) ซึ่งต่อมาต้องถูกถอดพระยศและถูกจำคุกส่งไปอยู่ที่เกาะตะรุเตา.  ความไม่มั่นคงดังกล่าวของระบอบการปกครองใหม่ทำให้พันเอกหลวงพิบูลสงครามเริ่มดำเนินนโยบายชาตินิยมเพื่อสร้างความมั่นคงทางการเมืองให้แก่รัฐบาล. จนกล่าวได้ว่า ภารกิจในการสร้างชาติของรัฐบาลพันเอกหลวงพิบูลสงครามในจังหวะนั้นถือเป็นสิ่งที่เร่งด่วนฉับพลัน (most urgent) (Suwannathat-Pian, 1995: 105) เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับรัฐบาลเท่าที่จะทำได้, ให้เป็นที่เชื่อถือของต่างประเทศ และเป็นที่เชื่อถือของประชาชนทั่วไป,  ดังคำปราศรัยของนายกรัฐมนตรีแก่ประชาชนทางวิทยุกระจายเสียงเนื่องในวันปีใหม่ (31 มีนาคม พ.ศ. 2482  - ปฏิทินเดิม) ที่ว่า “รัฐบาลจะตั้งอยู่ได้ย่อมอาศัยความเห็นชอบของราษฎรเป็นข้อใหญ่  ราษฎรจะมีความรักรัฐบาล ก็ต่อเมื่อรัฐบาลได้ทำให้เป็นที่ถูกใจราษฎร  จึงไม่มีเจตนาใดๆ เคลือบแฝง….รัฐบาลนี้ถือตนเป็นราษฎรเพื่อให้บังเกิดผลดีแก่ราษฎร  ฉะนั้นจึงเป็นของธรรมดาอยู่เองที่รัฐบาลจะต้องพยายามทำกิจการใดๆ ให้เป็นที่สมใจราษฎรส่วนรวม  หรือที่เรียกกันว่า ทำตามมติมหาชน อาศัยมหาชนเป็นหลัก เป็นแนวบริหารราชการ” (แผนกเก็บ สลร. ปึกที่ 1 แฟ้มที่ 35/1).

การอ้างว่ารัฐบาลของตนเองเป็นรัฐบาลของประชาชนในด้านหนึ่งสะท้อนความสำนึกร่วมกันของกระแสที่คณะราษฎรร่วมกันในการเปลี่ยนแปลงการปกครองตั้งแต่ต้น  คือความต้องการสร้างความเจริญรุ่งเรืองให้แก่ชาติบ้านเมือง คือสร้างให้ “ไทยเป็นอารยชาติ ไทยเป็นอารยประเทศ ไทยเป็นอารยชน….เราจะร่วมมือกันสร้างตัวเรา สร้างประเทศเรา สร้างชาติของเราให้วัฒนาถาวรตามหลักไทยอารยธรรมในเอเชียนี้ตลอดไปชั่วฟ้าดินสลาย” (หจช. (2) สร. 0201.10/50).  นโยบายสร้างความเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้าให้แก่ชาติบ้านเมืองของพันเอกหลวงพิบูลสงคราม เป็นนโยบายในการ “สร้างชาติ” กล่าวคือ “คำว่าสร้างชาตินั้นเป็นคำสั้นอันได้ละความหมายไว้ให้เข้าใจกันมากกว่าตัวอักษรสองพยางค์ที่ปรากฏอยู่ เพราะฉะนั้นจึงอาจมีผู้เถียงว่า ชาติมีมานานแล้ว เหตุใดจึงต้องมาสร้างกันให้เป็นอะไรขึ้นมาอีก แท้จริงความหมายของการสร้างชาตินั้นมีว่า ชาติไทยมีอยู่แล้ว แต่สถานะบางอย่างของชาติยังไม่ขึ้นถึงขั้นระดับสมความต้องการของประชาชาติไทย เราจำเป็นต้องพร้อมใจกัน สร้างเพิ่มเติมให้ดีขึ้นกว่าเดิม ช่วยกันปรับปรุงไปจนกว่าเราทุกคนจะพอใจ หรืออย่างน้อยก็ได้ระดับเสมออารยะประเทศ” (แผนกเก็บ สลร, ปึกที่ 1, แฟ้มที่ 35/1) และดังสุนทรพจน์ของนายกรัฐมนตรี ที่กล่าวทางวิทยุกระจายเสียง เนื่องในงานเฉลิมฉลองวันชาติ 24 มิถุนายน พ.. 2483 ที่ว่า “ขอวิงวอนเรื่องการสร้างชาติที่ได้เคยกล่าวมาแล้ว…ชาติไทยนั้นก่อเกิดขึ้นจากพี่น้องชาวไทยทุกคนรวมกัน… ชาติจึ่งเกี่ยวกับตัวเราเองอย่างแยกไม่ออก เพราะชาติก็คือตัวเรารวมกัน และตัวเราทั้ง 14 ล้านคนก็คือชาติไทย การสร้างชาติก็คือการสร้างตัวของคนทุกคนในบรรดาประชากรของชาติให้ดี ถ้าเราทุกคนมีร่างกายแข็งแรง มีวัฒนธรรมดี มีศีลธรรมงามและมีอารยธรรมดี ดีอย่างไทยซึ่งไม่มีใครจะดีกว่าอยู่แล้ว ประกอบอาชีพให้รุ่มรวยดังนี้ ชาติไทยก็จะดีตามไปด้วยโดยมิต้องสงสัยเลย…งานสร้างชาตินั้นเป็นงานใหญ่-ใหญ่ยิ่งสิ่งใดๆ ทั้งสิ้น เพราะเป็นแม่บทของการครองชีพแห่งประชากรในส่วนรวม ฉะนั้นจึ่งจำเป็นที่จะต้องได้มีการร่วมมือกันอย่างแน่นแฟ้นระหว่างรัฐบาลกับราษฎร” (หจช. (2) สร. 0201.10/50).

                นโยบายสร้างชาติของพันเอกหลวงพิบูลสงคราม ประกอบด้วยโครงการหลัก 4 ด้าน คือ การปฏิรูปและการสร้างวัฒนธรรม, การปฏิรูปด้านการศึกษาของประชาชนพลเมือง, การสาธารณสุขของประชาชนและบ้านเมือง, การสร้างกองทัพให้มีความเข้มแข็งและทันสมัย (Suwannathat-Pian, 1995: 103). นอกจากจะมุ่งเน้นความเจริญรุ่งเรืองให้กับประเทศแล้ว  นโยบายสร้างชาติยังหมายถึงการสร้างความยอมรับในหมู่ประชาชนและความชอบธรรมให้แก่ระบอบการปกครองแบบใหม่ของคณะราษฎรที่เข้ามาทดแทนระบบการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์. บางท่านมีความเห็นว่าการปฏิรูปเศรษฐกิจสังคมและวัฒนธรรมของพันเอกหลวงพิบูลสงคราม คือโครงการของฝ่ายคณะราษฎรทั้งหมดในการทำสงครามการเมือง (political war) ต่อสู้กับระบอบการปกครองเก่า เพื่อแสวงหาการสนับสนุนของประชาชนและเพื่อควบคุมความคิดจิตใจของประชาชนก่อนที่คณะราษฎรจะแตกออกเป็นสายทหารกับสายพลเรือนในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 (Suwannathat-Pian, 1995: 104).

                นอกเหนือจากการสร้างชาติด้วยการพยายามสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจ การปรับปรุงการศึกษาของชาติ และการปรับปรุงกองทัพให้ทันสมัยแล้ว  นโยบายที่สำคัญอีกด้านคือการปรับปรุงปฏิรูปวัฒนธรรมไทยให้ทันสมัยก้าวหน้าเสมอกับความเป็นอารยะประเทศ เพราะเห็นว่า “วัฒนธรรมคือกุญแจแห่งความสำเร็จของชาติ” (Suwannathat-Pian, 1995: 110).  รัฐบาลใช้วัฒนธรรมเป็นเครื่องมือในการปลุกและกระตุ้นความสำนึกของประชาชนพลเมือง เพื่อให้รู้สึกว่ากำลังอยู่ในรัฐและสังคมสยามที่กำลังก้าวหน้าและมีอารยะยิ่งกว่า  เพราะกำลังมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลง เพื่อให้เกิดความรักชาติและภาคภูมิใจในความเป็นคนชาติไทย  โดยการออก “รัฐนิยม” ซึ่งเป็นประกาศเกี่ยวกับรูปแบบการปฏิบัติทางวัฒนธรรมสำหรับประชาชนที่จะแสดงให้เห็นถึงความเป็นชาติที่มีอารยธรรม ซึ่งเป็นแนวทางที่กำหนดขึ้นเพื่อปรับปรุงแก้ไขวัฒนธรรมบางอย่างของชาติ สำหรับให้ใช้เป็นหลักให้ประชาชนได้ยึดถือปฏิบัติ (แผนกเก็บ สลร. ปึกที่ 156 แฟ้มที่ 9/156 เรื่องการปฏิบัติตามรัฐนิยม). ในฉบับแรกๆ เป็นรัฐนิยมเพื่อการปลูกฝังความเป็นไทย โดยให้คำนิยามเกี่ยวกับความเป็นไทย เปลี่ยนชื่อประเทศจากสยามเป็นประเทศไทย ให้ยกเลิกการเรียกชื่อชาวไทยตามภูมิภาค เช่น ไทยอีสาน ไทยมุสลิม แล้วให้เรียกคนไทยทั้งหมดทุกภูมิภาคว่าเป็นคนไทยและเป็นประชาชนพลเมืองไทยเหมือนกัน.  นอกจากนี้ยังได้มีการออกรัฐนิยมว่าด้วยการระเบียบการแต่งกาย แบบปฏิบัติ และจรรยามารยาทที่เหมาะสมกับกาลเทศะในที่สาธารณะ.  อย่างไรก็ตาม ปรากฏว่าการที่รัฐนิยมไม่ได้มีผลบังคับเป็นกฎหมายจึงไม่มีคนเชื่อฟังปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด,  รัฐบาลจึงประกาศให้รัฐนิยมมีผลบังคับใช้เป็นเหมือนกฎหมายทั่วไป “เพื่อให้[ประชาชน]ปฏิบัติตามขนบธรรมเนียมแห่งชาติ และเพื่อสนับสนุนความมั่งคั่งของประเทศด้วยการธำรงรักษาและปรับปรุงขนบธรรมเนียมของประเทศ” (Suwannathat-Pian, 1995: 114).

                ต่อมารัฐบาลยังได้ตั้งสภาวัฒนธรรมแห่งชาติ ตามพระราชบัญญัติวัฒนธรรมแห่งชาติ พ.. 2485 โดยแบ่งหน่วยงานออกเป็น 5 หน่วย คือ สำนักวัฒนธรรมทางจิตใจ, สำนักงานวัฒนธรรมทางระเบียบและประเพณี, สำนักงานวัฒนธรรมทางศิลปกรรม, สำนักงานวัฒนธรรมทางวรรณกรรม และสำนักงานวัฒนธรรมฝ่ายหญิง  ตามความคิดที่ว่า “เราจำเป็นต้องมีวัฒนธรรมให้เสมอกับชาติอื่นๆ  ถ้ามิฉะนั้นจะไม่มีใครอยากมาติดต่อด้วย หรือถ้ามาติดต่อด้วยก็มาในฐานะที่เป็นผู้มีความเจริญมากกว่าเรา  กระทำให้เราเป็นชาติที่ปราศจากเกียรติยศ  อยู่ในฐานะที่ต่ำต้อย และในที่สุดก็จะต้องถูกบีบบังคับให้อยู่ในอำนาจ  แต่ถ้าวัฒนธรรมดีเท่ากัน  เราก็สามารถจะรักษาเกียรติศักดิ์ความเป็นเอกราชและทุกสิ่งทุกอย่างของเราไว้ได้” (รายงานการประชุมคณะรัฐมนตรี ครั้งที่ 49/2482, 30 สิงหาคม 2482).

ประกาศรัฐนิยมและการรณรงค์ทางวัฒนธรรมคือการสร้างความเข้มแข็งให้กับชาติ ด้วยการทำให้วัฒนธรรมประเพณีของประชาชนพลเมืองในรัฐปรับเปลี่ยนมาสู่ความทันสมัยและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันภายใต้การนำของรัฐราชการ.  การปฏิรูปวัฒนธรรมในด้านหนึ่งจึงเป็นการหลอมละลายความแตกต่างทางวัฒนธรรมของพลเมืองภายในชาติให้อยู่ในแบบแผนปฏิบัติอย่างเดียวกัน และในอีกด้านหนึ่งคือการแสวงหาตัวตนในทางวัฒนธรรมที่ทันสมัยและเจริญก้าวหน้ากว่าเดิม.  เพราะชาติที่เป็นอันหนึ่งเดียวกันในรูปแบบการปกครองใหม่นอกจากจะมีตัวตนทางวัฒนธรรมใหม่แล้วยังมีความแตกต่างกับความเป็นชาติที่ประชาชนพลเมืองเคยรับรู้มาก่อนหน้าการเปลี่ยนแปลงการปกครอง คือยังมีส่วนเป็นเจ้าเข้าเจ้าของอำนาจอธิปไตยแห่งรัฐอีกด้วย.  และแม้ว่าตนเองจะไม่ได้ขึ้นไปมีอำนาจ  แต่ในทางความรู้สึกแล้วตนยังมีส่วนมีเสียงในอำนาจแห่งรัฐนั้นได้ด้วยการเลือกตั้งลงคะแนนและเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างความเจริญก้าวหน้าให้กับประเทศชาติ.

นอกจากนี้รัฐบาลยังพยายามสร้างสำนึกความยิ่งใหญ่ของประเทศในอดีต ด้วยการเขียนประวัติศาสตร์แสดงอดีตยาวนาน และอาณาเขตของไทยในประวัติศาสตร์ยุคต่างๆ รวมทั้งประวัติการเสียดินแดนในช่วงล่าอาณานิคมของตะวันตก ที่ยังสดใหม่ติดตาตรึงใจในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ที่สยามประเทศต้องสูญเสียดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงให้กับฝรั่งเศสที่นำเอาเรือปืนบุกแล่นฝ่าป้อมปืนที่ปากแม่น้ำเจ้าพระยาเข้ามาประชิดถึงตัวพระราชวัง และไทยต้องยินยอมเสียดินแดนดังกล่าวไปเพื่อแลกกับเอกราชและอำนาจอธิปไตยของสยามเอาไว้.  การพยายามเจรจาเพื่อเรียกร้องดินแดนดังกล่าวคืนจากฝรั่งเศสเป็นนโยบายส่วนหนึ่งของรัฐบาลพลตรีหลวงพิบูลสงคราม  โดยในปี พ.. 2483 ขณะที่ฝรั่งเศสกำลังสู้รบกับเยอรมันในภาคพื้นยุโรปและได้ขอทำกติกาสัญญาไม่รุกรานกับไทย, รัฐบาลไทยจึงยื่นข้อเสนอ 3 ประการต่อรัฐบาลฝรั่งเศส คือ 1)วางแนวเส้นเขตแดนตามลำแม่น้ำโขงให้เป็นไปตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ;  2)ปรับปรุงเขตแดนให้เป็นไปตามธรรมชาติ โดยให้ถือว่าแม่น้ำโขงเป็นเขตแดนระหว่างไทยกับอินโดจีนของฝรั่งเศส ตั้งแต่ทิศเหนือจรดใต้ จนถึงเขตแดนกัมพูชา และให้ไทยได้รับดินแดนทางฝั่งขวาแม่น้ำโขงตรงข้ามหลวงพระบางและปากเซกลับคืนมา; และ 3)ขอให้ฝรั่งเศสรับรองว่า ถ้าอินโดจีนมีการเปลี่ยนแปลงสูญเสียอำนาจอธิปไตยของฝรั่งเศสไป ฝรั่งเศสจะคืนอาณาเขตลาวและกัมพูชาให้แก่ไทย.  ข้อเสนอของไทยได้รับการปฏิเสธจากฝรั่งเศส โดยฝรั่งเศสยืนยันจะขอทำกติกาสัญญาไม่รุกรานกับไทย และให้มีการแลกเปลี่ยนสัตยาบันกันเท่านั้น  คำปราศรัยของนายกรัฐมนตรี กล่าวแก่มวลชนชาวไทย โดยทางวิทยุกระจายเสียง เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2483,” ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 57 (แผนกกฤษฎีกา) ภาค 2 (29 ตุลาคม 2483), น. 197).

Authorities in Indochina proposed the signing of a mutual non-aggression pack. In accepting the offer, Phibun informed French officials that the Thais wished to negotiate a revision of France’s claim to territories on both sides of the Mekong River. A Franco-Thai Non-Aggression Pact was signed on 12 June 1940. The Thais claimed there was an oral understanding providing for follow-up talks on the need to re-establish the Mekong River as the border between French Laos and Thailand, thereby allowing the Thais to acquire Luang Prabang and Pakse. This was to be discussed by the time the non-aggression pact was ratified. However, on 20 June France fell to Germany. Determined to hold on to its colonial possessions thanks to its European alliance with Germany, France’s newly formed Vichy government took a much less flexible line towards Thailand…In exchange for Japanese assistance in recovering Indochinese territories, Phibun said that Thailand would allow Japanese troops to cross Thai territory if necessary….Outwardly confident of Japan’s symphaty for their territorial designs, on 16 January 1941 the Thais launched a ground attack on French forces in Cambodia. Although this strike was largely successful, with the Thai army pushing 25 miles into Cambodia, the French struck back with a surprise attack on the Thai Navy, dealing Bangkok a massive defeat in the Gulf of Thailand. (Goscha, 1999: 117).

                นโยบายการเรียกร้องดินแดนคืนจากฝรั่งเศสได้รับการสนับสนุนจากประชาชนอย่างมาก โดยเริ่มจากการเดินขบวนของนิสิตนักศึกษาจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และประชาชนทั่วไป ซึ่งไปชุมนุมกันที่หน้ากระทรวงกลาโหมเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2483  เพื่อเรียกร้องดินแดน และสนับสนุนรัฐบาลให้ทำสงครามกับฝรั่งเศส.  หลังจากนั้นก็มีการเคลื่อนไหวของประชาชนในต่างจังหวัดเพื่อ “เรียกร้องดินแดนคืนทั้งราชอาณาจักร” และเพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินการกับฝรั่งเศสอย่างเด็ดขาด.  การเคลื่อนไหวของประชาชนได้กลายเป็นมติมหาชนที่เร่งเร้าให้รัฐบาลนำดินแดนที่เสียไปกลับคืนมาให้ได้ จนเหตุการณ์เริ่มปะทุขึ้นเมื่อเกิดการปะทะกันตามชายแดน และกลายเป็นการรบที่รุนแรงขึ้นตั้งแต่เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2483 อันเป็นผลจากการที่ฝรั่งเศสเข้ามาทิ้งระเบิดที่นครพนม.  การรบในช่วงแรกก็ยังเป็นการรบแบบไม่มีการประกาศสงคราม จนถึงวันที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2484 เมื่อทหารฝรั่งเศสได้เข้าบุกโจมตีอรัญประเทศอย่างรุนแรง รัฐบาลไทยจึงประกาศสงครามกับฝรั่งเศสอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2484. การรบระหว่างไทยกับฝรั่งเศสดำเนินไปประมาณหนึ่งเดือน โดยที่กองทัพไทยสามารถบุกเข้ายึดดินแดนกลับคืนมาได้บางส่วน  แต่ในที่สุดญี่ปุ่นก็ได้เสนอตัวเข้ามาเป็นคนกลางไกล่เกลี่ยระหว่างไทยกับฝรั่งเศสให้ยุติการรบ.  ในที่สุดทั้งไทยและฝรั่งเศสก็ตกลงยินยอมให้มีการเจรจาทำความตกลงระงับข้อพิพาท โดยได้กระทำกันที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น,  ซึ่งนำไปสู่การลงนามในอนุสัญญาสันติภาพระหว่างประเทศไทยกับประเทศฝรั่งเศสเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม พ.. 2484  โดยที่ประเทศไทยได้ดินแดนกลับคืน และได้ยกดินแดนดังกล่าวขึ้นเป็นจังหวัดของไทย คือ 1)ยกแคว้นหลวงพระบาง บริเวณฝั่งขวาแม่น้ำโขงขึ้นเป็นจังหวัดลานช้าง, 2)ยกแคว้นนครจัมปาศักดิ์ ฝั่งขวาแม่น้ำโขงขึ้นเป็นจังหวัดจำปาศักดิ์,  3)ยกท้องที่เมืองเสียมราฐขึ้นเป็นจังหวัดพิบูลสงคราม, และ 4)ยกท้องที่เมืองพระตะบองขึ้นเป็นจังหวะพระตะบอง เรื่องใช้อนุสัญญาสันติภาพและบรรดาภาคผนวกระหว่างประเทศไทยกับประเทศฝรั่งเศสราชกิจจานุเบกษา เล่ม 58 (ตอน 45) (9 พฤษภาคม 2484), น. 857-887).

 

รัฐไทยในสมัยแห่งการต่อสู้ทางอุดมการณ์ในช่วงสงครามเย็น

สงครามโลกครั้งที่ 2 และขบวนการเสรีไทย

                ความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับญี่ปุ่นที่กำลังดำเนินนโยบาย “เอชียสำหรับชาวเอเชีย” (Asia for the Asiatics) และเรียกร้องให้มีการจัด “มหาวงศ์ไพบูลย์บูรพา” ทั้งในช่วงนี้และก่อนหน้านี้เป็นผลนำให้สังคมไทยเดินเข้าไปสู่อีกยุคหนึ่งของประวัติศาสตร์ คือสงครามโลกครั้งที่ 2.

                เหตุการณ์สำคัญที่ทำให้ประเทศไทยเข้าไปมีความสัมพันธ์ในฐานะประเทศพันธมิตรกับญี่ปุ่นในสงครามโลกครั้งที่ 2 นับตั้งแต่ในช่วงเดือนธันวาคม พ.ศ. 2484. กล่าวคือ นับตั้งแต่ในวันที่ 7 ธันวาคม 2484 นายทสึโบกามิ เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทยขอเข้าพบนายดิเรก ชัยนาม รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศ เพื่อจ้งความจำนงขอให้ประเทศไทยเปิดทางให้กองทัพญี่ปุ่นเคลื่อนทัพผ่านดินแดน.  อย่างไรก็ตาม นายดิเรกไม่อยู่ในฐานะที่จะอนุญาตหรือปฏิเสธ เพราะเป็นเรื่องการตัดสินใจของรัฐบาลทั้งคณะ และนายกรัฐมนตรี ที่เดินทางไปตรวจราชการต่างจังหวัด.  ต่อมาเมื่อ พล... หลวงอดุลเดชจำรัส รองนายกฯ เรียกประชุมคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาข้อเรียกร้องของญี่ปุ่น คือ “1)ให้กองทัพญี่ปุ่นเดินผ่านประเทศไทย โดยญี่ปุ่นจะเคารพในศักดิ์ศรีแห่งความเป็นเอกราชและอธิปไตยของไทยโดยสมบูรณ์  หรือ 2)ให้ประเทศไทยทำสัญญาเป็นสหายศึกรบร่วมกับญี่ปุ่นในสงครามมหาเอเชียบูรพา หรือ 3)ให้ประเทศไทยเข้าเป็นภาคีกลุ่มประเทศอักษะ [ญี่ปุ่น อิตาลี เยอรมัน(สรศัลย์, 2540: 35) ปรากฏว่าคณะรัฐมนตรีตัดสินใจไม่ยอมรับข้อเรียกร้องของญี่ปุ่นทุกข้อ เป็นผลให้ญี่ปุ่นเคลื่อนพลบุกประเทศไทยตลอดแนวพร้อมกันทุกจุด  พร้อมกับส่งเครื่องบินขับไล่ทิ้งระเบิดจากฐานการบินในอินโดจีนจำนวน 25 ลำ เข้าโจมตีสนามบินวัฒนานคร อรัญประเทศเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2484  เวลา 04.00. พร้อมกับที่ประชาชนพลเมืองไทยทหารและพลเรือนจับอาวุธเข้าต่อสู้ป้องกันอธิปไตย ตั้งแต่บางปู ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช สงขลา ปัตตานี (สรศัลย์, 2540: 29-30) เนื่องจากก่อนหน้านั้นได้มีการรณรงค์การต่อต้านญี่ปุ่นอย่างกว้างขวางทางวิทยุ. ในวันเดียวกับที่ญี่ปุ่นบุกนั้น จอมพล ป. กลับมาถึงที่ประชุมคณะรัฐมนตรี และในขณะที่ประชาชนไทยกำลังต่อสู้กับการบุกของญี่ปุ่นอย่างดุเดือด  คณะรัฐมนตรีก็พิจารณาเลือกทางที่ยอมให้กองทัพญี่ปุ่นเดินทัพผ่านดินแดนได้ ตามข้อเสนอแรก  โดยกองบัญชาการทหารสูงสุดมีคำสั่งให้ทุกหน่วยทหารทั่วประเทศ “ยุติการสู้รบ” โดยพลัน เพื่อเปิดทางให้กองทัพญี่ปุ่นผ่านไปได้.  

ต่อมาเพียง 3 วัน คือในวันที่ 11 ธันวาคม 2484 ไทยกับญี่ปุ่นก็ตกลงทำสัญญาเป็นพันธมิตรร่วมรบ.  ยุทธศาสตร์ของญี่ปุ่นไม่ได้มุ่งยึดครองประเทศไทย แต่ต้องการควบคุมรัฐบาลไทย เพื่อประกันความร่วมมือและช่วยเหลือการทำสงครามของญี่ปุ่นในการบุกยึดอาณานิคมอังกฤษในมาลายาและพม่า โดยกำหนดแผนการว่า 1)ถอนกำลังทหารออกจากไทยในเวลาไม่นานนัก, 2)ใช้ไทยเป็นฐานปิดล้อมจีน และควบคุมการลักลอบติดต่อกับฝ่ายข้าศึก, 3)รีบเร่งสร้างทางรถไฟสายไทย-พม่าเป็นเส้นทางลำเลียง และ 4)ญี่ปุ่นจะไม่แทรกแซงกิจการภายใน และป้องกันไม่ให้เกิดความขัดแย้งระหว่างกัน (สรศักดิ์, 2532: 15). อย่างไรก็ตาม  ญี่ปุ่นให้ฝ่ายไทยรับผิดชอบเขตรบตั้งแต่ฝั่งตะวันออกแม่น้ำสาละวินจนถึงลำน้ำโขง  และทำสัญญาร่วมวงไพบูลย์ในสงครามมหาเอเชียบูรพา โดยลงนามและสาบานว่าจะไม่ทรยศกันในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ซึ่งแม้ว่าจอมพล ป. กล่าวในภายหลังว่า “เป็นกลอุบายเอาใจญี่ปุ่น เพื่อให้เขาเห็นอกเห็นใจ...เพื่อให้ไทยยังคงมีรัฐบาลเป็นไทย”  แต่ในพิธีสารลับของสัญญาพันธมิตร “กำหนดให้ญี่ปุ่นช่วยประเทศไทยให้ได้รับดินแดนที่เสียไปคืน” (สรศักดิ์, 2532: 96).

การประกาศเป็นพันธมิตรร่วมรบกับญี่ปุ่นของไทยทำให้ฝ่ายสัมพันธมิตรเริ่มส่งเครื่องบินเข้ามาทิ้งระเบิดในประเทศไทย  โดยระเบิดลูกแรกถูกทิ้งเมื่อวันที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2485 และต่อมาในวันที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2485 ก็มีเครื่องบินเข้ามาทิ้งระเบิดบริเวณสะพานพระราม 6, สะพานกษัตริย์ศึก, โรงไฟฟ้าวัดเลียบ, ย่านพาหุรัด, ย่านกรุงเกษม, ย่านวัดดวงแข มีประชาชนบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก  พร้อมกับที่เครื่องบินของเนเธอร์แลนด์ตกไปหนึ่งลำโดยไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด (สรศัลย์, 2540:56).  การส่งเครื่องบินเข้ามาทิ้งระเบิดทำให้ประเทศไทยประกาศสงครามต่ออังกฤษและสหรัฐ เมื่อเวลา 12.00. ของวันที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2485 (ดูเอกสารในภาคผนวก 7).

                ในวันเดียวกับที่จอมพล ป. พิบูลสงครามประกาศร่วมมือเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2484 นั้นขบวนการเสรีไทยในสหรัฐอเมริกาก็เริ่มส่งวิทยุกระจายเสียงมายังประเทศไทยเพื่อต่อต้านญี่ปุ่น. หลังจากนั้นก็เกิดการต่อต้านญี่ปุ่นขึ้นทั้งภายในและภายนอกประเทศ โดยกลุ่มขบวนการที่เรียกตัวเองว่า “เสรีไทย”.  ขบวนการเสรีไทยภายในประเทศนั้นอยู่ภายใต้การนำของผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ คือนายปรีดี พนมยงค์ ซึ่งพยายามติดต่อกับฝ่ายสัมพันธมิตรผ่านทางจีนจนสำเร็จ และกลายเป็นศูนย์กลางสำคัญในการต่อต้านญี่ปุ่นภายในประเทศ.  ส่วนขบวนการเสรีไทยที่อยู่ภายนอกประเทศ แบ่งเป็นสายอังกฤษกับสหรัฐ  โดยที่ในอังกฤษนั้นนำโดยหม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์ สวัสดิวัฒน์  ส่วนในสหรัฐนำโดย ม...เสนีย์ ปราโมช ซึ่งออกอากาศประท้วงและไม่ยอมรับการประกาศสงครามของรัฐบาลไทยเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2484 โดยมีนักเรียนและคนไทยร่วมด้วยอีกประมาณ 60 คน. บางคนประมาณว่า “ในราวเดือนมิถุนายน 2488  หน่วยทหารเสรีไทยภายใต้การนำของนายปรีดี พนมยงค์ มีประมาณ 50,000 - 90,000 คน…ทหารเหล่านี้ได้รับการฝักมาอย่างดี  และต่างเตรียมพร้อมที่จะสู้รบกับญี่ปุ่น เพียงแต่คอยสัญญาณจากฝ่ายสัมพันธมิตรว่า จะให้ลงมือเมื่อไหร่เท่านั้น” (แถมสุข, 2521: 137).  แต่หลักฐานร่วมสมัยบางเรื่อง คือ X.O. Group เรื่องภายในขบวนการเสรีไทย ให้ข้อมูลเพียงว่า “เพียงแค่วันที่ญี่ปุ่นยอมจำนวนในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2488  ขบวนการเสรีไทยมีกำลังคนซึ่งพร้อมสรรพไปด้วยอาวุธทันสมัยที่ได้รับจากสัมพันธมิตรสำหรับจะปฏิบัติการได้ในระหว่าง 45,000 ถึง 50,000 คน” (นายฉันทนา, 2522: 312-3),  ส่วนทวี บุณยเกตุ หัวหน้าฝึกพลพรรคเสรีไทย กล่าวว่า “การตั้งหน่วยพลพรรคนั้นยังไม่ได้ตั้งครบถ้วนตามที่ได้ตกลงกันไว้ก็พอดีสงครามได้ยุติลงเสียก่อน…ฉะนั้นจำนวนพลพรรคที่มีอยู่จริงๆ เมื่อสงครามยุติลง จึงมีอยู่เพียงประมาณ 10,000 คนเท่านั้น” (ทวี, 2516: 335).

หลังสงครามโลกครั้งที่ 2  ประเทศไทยดำเนินยุทธวิธีเพื่อไม่ต้องตกเป็นประเทศผู้แพ้สงครามโดยการประกาศสันติภาพโดยคำแนะนำของสหรัฐและอังกฤษ.  อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยก็ยังต้องตกเป็นประเทศแพ้สงคราม  เพราะแม้ว่าสหรัฐฯ จะไม่รับรองการประกาศสงครามของจอมพล ป. พิบูลสงคราม,  แต่อังกฤษถือว่าไทยประกาศสงครามไปแล้ว.  นอกจากนี้ จีนซึ่งเป็นประเทศพันธมิตรก็เรียกร้องขอเข้ามาปลดอาวุธญี่ปุ่นในไทย ซึ่งทำให้เกิดมีการชักธงชาติจีนขึ้นมากมายในกรุงเทพ ซึ่งนำไปสู่การปราบปรามอย่างรุนแรง.  ในที่สุด อังกฤษส่งกำลังทหารเข้าปลดอาวุธทหารญี่ปุ่นในประเทศไทย ภายใต้บัญชาการของลอร์ด เมาต์แบตเตน.  รัฐบาลไทยพยายามต่อรองกับอังกฤษในการเสียค่าปฏิกรรมสงคราม โดยความช่วยเหลือของสหรัฐ.  

 

สงครามเย็นกับยุคสมัยของอเมริกาในประเทศไทย

ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 รัฐบาลไทยก็ได้พยายามสมัครเข้าเป็นสมาชิกองค์การสหประชาชาติ  แต่ก็ถูกประท้วงจากสหภาพโซเวียตในเรื่องเสรีภาพทางการเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่ไทยออกกฎหมายต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์ ซึ่งเป็นผลทำให้พรรคคอมมิวนิสต์เป็นพรรคการเมืองที่ผิดกฎหมาย. รัฐบาลไทยจึงได้ประกาศยกเลิกกฎหมายคอมมิวนิสต์เพื่อใช้เป็นเงื่อนไขเอกใจสหภาพโซเวียตจนในที่สุดก็ได้เข้าเป็นสมาชิกองค์การสหประชาชาติเป็นผลสำเร็จ.  อย่างไรก็ตาม  ภายหลังจากการที่กลุ่มทหารร่วมมือกับพรรคประชาธิปัตย์และกลุ่มนิยมเจ้าทำการรัฐประหารยึดอำนาจจากรัฐบาลพลเรือนของพลเรือตรีถวัลย์ ธำรงค์นาวาสวัสดิ์เมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2490 ซึ่งมีปมแห่งความขัดแย้งหลักมาจากการสิ้นพระชนม์อย่างลึกลับของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลเมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2489 และวิกฤตทางเศรษฐกิจภายในประเทศ ทำให้รัฐบาลทหารในเวลาต่อมาหันกลับไปใช้นโยบายต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์เพื่อใช้เป็นข้ออ้างความชอบธรรมให้กับระบอบการปกครองใหม่ที่ขึ้นมาจากการรัฐประหารล้มล้างรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง. การรัฐประหารปี พ.ศ. 2490 จึงเป็นผลทำให้ฝ่ายเสรีนิยม สังคมนิยม และขบวนการคอมมิวนิสต์ถูกกวาดล้างออกไปจากเวทีการเมืองไทยเป็นระยะเวลายาวนาน และทำให้ขบวนการคอมมิวนิสต์หันกลับไปใช้แนวการเคลื่อนไหวใต้ดินและใช้งานแนวร่วมในการเคลื่อนไหวปฏิบัติการ ซึ่งกล่าวให้ถึงที่สุดแล้วก็สัมพันธ์สอดคล้องกับแนวทางการเคลื่อนไหวขององค์การคอมมิวนิสต์สากลทั่วโลกภายหลังจากที่มีการรื้อฟื้นโคมินเทอร์น หรือองค์การคอมมิวนิสต์สากล (Comintern หรือ Communism International) ขึ้นมาอีกครั้งในนามขององค์การข่าวสารคอมมิวนิสต์ (Communist Information). องค์การคอมมิวนิสต์สากลก่อตั้งขึ้นเมื่อเดือนมีนาคม ค.ศ. 1919 (2462) ณ กรุงมอสโคภายหลังการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองเป็นสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ของรุสเซีย ซึ่งได้เปลี่ยนชื่อเป็นสหภาพโซเวียต เพื่อเป็นองค์กรสำหรับพรรคคอมมิวนิสต์ในการเตรียมการปฏิวัติทั่วโลก โดยพรรคคอมมิวนิสต์จากประเทศอื่นๆ ที่เป็นสมาชิกขององค์การคอมมิวนิสต์สากลจะต้องขึ้นอยู่ภายใต้อำนาจการชี้นำของคณะกรรมธิการบริหารขององค์การคอมมิวนิสต์สากล ซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมของสหภาพโซเวียต. การประชุมใหญ่ของพรรคคอมมิวนิสต์ที่เป็นสมาชิกองค์การคอมมิวนิสต์สากลแต่ละครั้งเรียกว่า “การประชุมสากลครั้งที่...” นั้นคือการกำหนดนโยบายกว้างๆ ให้พรรคสมาชิกแต่ละประเทศอยู่ในแนวทางปฏิบัติเดียวกัน เพื่อการปฏิวัติโลก. ในการประชุม “สากลที่ 2” เมื่อปี ค.ศ. 1920 นั้นองค์การคอมมิวนิสต์สากลได้กำหนดยุทธศาสตร์การปฏิวัติว่า จะต้องเป็นการปฏิวัติของชนชั้นกรรมาชีพ โดยปฏิเสธการปกครองในระบอบประชาธิปไตยของชนชั้นกระฎุมพี และประณามพวกผู้นำหัวรุนแรงกับนักประนีประนอมทั้งหลาย.  แต่เมื่อการปฏิวัติในประเทศยุโรปตะวันตกทั้งหลายล้มเหลว  องค์การคอมมิวนิสต์สากลก็เปลี่ยนยุทธศาสตร์ไปเป็นการแสวงหาแนวร่วม โดยในการประชุมสากลที่ 5 เมื่อปี ค.ศ. 1924 (2467) ซึ่งนำไปสู่การกวาดล้างฝ่ายตรงข้ามที่ยึดมั่นถือมั่นในแนวทางการปฏิวัติของชนชั้นกรรมาชีพบางคน อาทิ ทรอตสกี้และบูคาริน อย่างทารุณโหดร้าย ซึ่งความโหดร้ายของสตาลินในครั้งนี้ต่อมาได้ถูกคริสซอฟนำมาประนามอย่างเปิดเผย. ภารกิจหลักของสากลที่ 5 คือ จะต้องขยายอิทธิพลและฐานการสนับสนุนด้วยการสร้างพันธมิตรกับกลุ่มการเมืองอื่นๆ ที่ต่อต้านเผด็จการนาซีและจักรวรรดินิยม และเพื่อสนับสนุนการปฏิวัติ. ต่อมาในสากลที่ 6 เมื่อปี ค.ศ. 1928 (2471) ยุทธศาสตร์หลักขององค์การคอมมิวนิสต์สากลได้เปลี่ยนกลับไปสนับสนุนการปฏิวัติของชนชั้นกรรมาชีพอีกครั้ง และมีการประนามพรรคสังคมนิยมในเยอรมันว่าเป็นต้นเหตุสำคัญที่นำไปสู่การขึ้นมามีอำนาจของพรรคนาซี.  อย่างไรก็ตาม ในสากลที่ 7 เมื่อปี ค.ศ. 1935  องค์การคอมมิวนิสต์สากลได้กลับไปใช้นโยบายแนวร่วมอีกครั้งหนึ่ง เมื่อมีการทำสัญญาระหว่างสหภาพโซเวียตกับพรรคนาซีของฮิตเล่อร์ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1939 (พ.ศ. 2482)  แต่ความร่วมมือนี้ก็ได้สิ้นสุดลงเมื่อฮิตเล่อร์ตัดสินใจบุกโจมตีสหภาพโซเวียตในปี ค.ศ. 1941 (พ.ศ. 2484).  ต่อมาเมื่อสหภาพโซเวียตได้เข้าร่วมกับฝ่ายสัมพันธมิตรในช่วงสงครามครั้งที่ 2 สหภาพโซเวียตก็ดำเนินการจัดตั้งแนวร่วมประชาชาติเพื่อต่อต้านการยึดครองของนาซีเยอรมันและอิตาลีในยุโรปตะวันออก ซึ่งเปิดโอกาสให้สหภาพโซเวียตเข้าไปผลักดันให้พรรคคอมมิวนิสต์ขึ้นเป็นรัฐบาลในยุโรปตะวันออกและทำให้ยุโรปตะวันออกกลายเป็นประเทศในกลุ่มค่ายคอมมิวนิสต์ของสหภาพโซเวียตในเวลาต่อมา. และในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 สหภาพโซเวียตตัดสินใจยุบเลิกองค์การคอมมิวนิสต์สากลในปี ค.ศ. 1943 (พ.ศ. 2486). ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อความขัดแย้งทางอุดมการณ์ระหว่างโลกเสรีกับโลกคอมมิวนิสต์มีความชัดเจนขึ้น  ผู้นำของพรรคคอมมิวนิสต์ระดับโลกได้ลงมติร่วมกันว่า สหรัฐฯ กำลังดำเนินนโยบายจักรวรรดินิยม และสำหรัฐฯ กำลังมีแผนการที่จะยึดครองโลก ซึ่งจะทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างกลุ่มค่ายจักรวรรดินิยมและต่อต้านประชาธิปไตยที่มีสหรัฐฯ เป็นผู้นำ กับกลุ่มค่ายประชาธิปไตยที่ต่อต้านจักรวรรดนิยมที่มีสหภาพโซเวียตเป็นผู้นำ. มติที่ประชุมของผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์จึงเห็นควรว่า จะต้องมีการรณรงค์เรียกร้องให้ “พลังประชาธิปไตยและสันติภาพ” เพื่อลุกขึ้นร่วมกันต่อสู้กับผู้รุกราน และมีมติให้จัดตั้งองค์กรเพื่อรวบรวมและเผยแพร่ข่าวสารของฝ่ายคอมมิวนิสต์และชนชั้นกรรมาชีพ คือ สำนักงานองค์การข่าวสาร/โคมินฟอร์ม (The Communist Information Bureau หรือ Cominform) ขึ้นในเดือนกันยายน ค.ศ. 1947 และกำหนดให้มีการออกหนังสือพิมพ์รายปักษ์ชื่อว่า For a Lasting Peace, For a People’s Democracy เพื่อเผยแพร่กิจกรรมเรียกร้องสันติภาพออกไปทั่วโลก. โคมินฟอร์มได้เคลื่อนไหวเรียกร้องสันติภาพอย่างจริงจัง และก่อให้เกิดขบวนการสันติภาพขึ้นทั่วไป และโจมตีสหรัฐฯ โดยเฉพาะกรณีการก่อตั้งองค์การนาโต้ ซึ่งเป็นองค์การความร่วมมือทางการทหารในภูมิภาคยุโรปตะวันตก ซึ่งมีสหรัฐฯ เป็นหัวเรือใหญ่ และเป็นเสมือนกับการคุกคามความมั่นคงทางการทหารต่อประเทศคอมมิวนิสต์.  ต่อมาในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2491 ได้มีการประชุมสมัชชาสากลของปัญญาชนเพื่อสันติภาพ (Wolrd Peace Congress of Intellectual for Peace) ที่เมืองโรคลอ ประเทศโปแลนด์  ซึ่งมีปัญญาชนมากกว่า 50 ประเทศเข้าร่วม. ต่อมาในวันที่ 20-25 เมษายน ค.ศ. 1949 (พ.ศ. 2492) ก็ได้มีการประชุมสมัชชาสันติภาพสากลที่กรุงปารีสและกรุงปราก ประเทศเชคโกสโลวะเกีย โดยมีผู้แทน 2,000 คนจาก 75 ประเทศเข้าร่วมประชุม,  รวมทั้งปัญญาชนไทย คือสุภา ศิริมานนท์ และคนอื่นๆ เข้าร่วมประชุมด้วย.  ต่อมาในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2492  โคมินฟอร์ม ก็มีมติขยายการเคลื่อนไหวของขบวนการสันติภาพ หรือ “การรุกด้วยสันติภาพ” ซึ่งกล่าวกันว่า “นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ ที่องค์การแนวหน้าสันติภาพซึ่งนำโดยสหภาพโซเวียตได้จุติขึ้น เป็นปราการค้ำจุนสันติภาพของโลก กำลังใจทั้งหลายทั้งปวงที่ส่งมายังพรรคคอมมิวนิสต์ได้แสดงให้เห็นว่ามวลชนทั้งหลาย กระทั่งในประเทศทุนนิยมก็สนับสนุนการต่อสู้เพื่อสันติภาพ  ทั้งนี้ในห้วงเวลาแห่งสงครามต่อต้านพวกฟาสซิสต์นั้น พรรคคอมมิวนิสต์เป็นผู้นำมวลชนที่ต่อต้านการรุกราน  และหลังสงครามยุติลง พรรคคอมมิวนิสต์และชนชั้นกรรมาชีพก็ยังเป็นผู้นำในการต่อสู้พิทักษ์ผลประโยชน์ของประชาชนในการต่อต้านสงครามครั้งใหม่...และร่วมกันเป็นแนวหน้าเพื่อสันติภาพ” (วิวัฒน์, 2539: 123).

หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้ไม่นานนักก็เกิดปัญหาความขัดแย้งระหว่างโลกคอมมิวนิสต์กับโลกเสรี  และความขัดแย้งได้ขยายมาในทวีปเอเซียโดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนสามารถมีชัยชนะเหนือพรรคก๊กมินตั๋งในปี ค.ศ. 1949 และปัญหาความขัดแย้งบนคาบสมุทรเกาหลีในปี ค.ศ. 1950.  ในช่วงที่เริ่มความขัดแย้งในคาบสมุทรเกาหลีนั้นเมื่อคณะมนตรีความมั่นคงแห่งองค์การสหประชาชาติได้ขอให้ประเทศสมาชิกช่วยเหลือเกาหลีใต้ ประเทศไทยก็สนับสนุนมติขององค์การสหประชาชาติ ด้วยการอาสาในเรื่องข้าว (40,000 ตัน) และต่อมาตัดสินใจส่งทหารเข้าร่วมในสงครามเกาหลี  โดยสภาป้องกันราชอาณาจักรไทยได้ประชุมกันเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2493 และมีมติว่า “ประเทศไทยถูกคุกคามด้วยภัยคอมมิวนิสต์อันหลีกเลี่ยงมิได้  ที่ประชุม…จึงมีมติเป็นเอกฉันท์ รับหลักการที่จะให้ความช่วยเหลือทางทหารเฉพาะกำลังทางพื้นดินในกรณีสงครามเกาหลี ตามที่เลขาธิการองค์การสหประชาชาติแนะนำมาด้วยกำลัง 1 กรมผสม” (วิวัฒน์, 2539: 68) โดยต่อมาก็มีทหารเรือและทหารอากาศเข้าร่วมปฏิบัติการด้วย.  ในช่วงเดียวกันนั้น โคมินฟอร์มก็ได้รณรงค์เพื่อสร้างแนวร่วมปฏิวัติอยู่  โดยในการประชุมครั้งที่ 2 ของสมัชชาสันติภาพ ซึ่งเปลี่ยนชื่อเป็น “สภาสันติภาพโลก” (World Peace Council - WPC) ได้เรียกร้องให้หาทางแก้ปัญหาความขัดแย้งในเกาหลีโดยสันติวิธี. การประชุมเรียกร้องสันติภาพกลายเป็นกระแสหลักของปัญญาชนทั่วโลกได้แพร่ระบาดเข้ามาประเทศไทยเมื่อเริ่มมีการก่อตัวของขบวนการเรียกร้องสันติภาพ ซึ่งนอกเหนือจากการเรียกร้องสันติภาพแล้วยังเรียกร้องให้เลิกส่งทหารไปรบที่เกาหลี  โดยที่การรณรงค์สันติภาพในประเทศไทยมีศูนย์กลางอยู่ที่หนังสือพิมพ์ การเมืองรายสัปดาห์.  จนกระทั่งถึงมกราคม พ.ศ. 2494 ปก็รากฏว่ามีผู้คนมาร่วมลงนามสนับสนุนสันติภาพในประเทศไทยมากเป็นจำนวนถึง 66,809 คน และคณะทำงานก็ได้รับสถาปนาขึ้นเป็น “คณะกรรมการสันติภาพแห่งประเทศไทย” เมื่อวันที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2494 โดยมีสมาชิกประมาณ 130,000 คน และมีสิบโทเริง เมฆไพบูลย์ (. โชติพันธุ์) สมาชิกระดับนำของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) เป็นผู้มีบทบาทอยู่เบื้องหลังอย่าง “ลึกซึ้ง” (วิวัฒน์, 2539: 138 และ 141-142).  การเคลื่อนไหวเรียกร้องสันติภาพที่มีขบวนการคอมมิวนิสต์ทั้งในประเทศไทยและในต่างประเทศเป็นแนวร่วมทำให้รัฐบาลมองคณะกรรมการสันติภาพแห่งประเทศไทยว่าเป็นการเคลื่อนไหวของขบวนการคอมมิวนิสต์ และเริ่มจับกุมสมาชิกของขบวนการสันติภาพ นักศึกษา ปัญญาชนครั้งใหญ่จำนวนร้อยกว่าคนในข้อหาคอมมิวนิสต์ ตามพระราชบัญญัติต่อต้านคอมมิวนิสต์ที่นำกลับมาใช้ใหม่อีกครั้ง.  การที่รัฐบาลไทยส่งทหารเข้าร่วมกับสหรัฐฯ ในสงครามเกาหลีในด้านหนึ่งจึงเป็นการแสดงท่าทีที่ชัดเจนในนโยบายความมั่นคงและการต่างประเทศ  เพราะเท่ากับเป็นการประกาศเข้าร่วมนโยบายต่อต้านคอมมิวนิสต์อย่างเต็มที่ ซึ่งส่งผลให้ความสัมพันธ์ไทย-สหรัฐเริ่มแน่นแฟ้นขึ้น และเดินเข้าสู่ยุคใหม่ของความสัมพันธ์ไทย-อเมริกา (American Era).

การปฏิวัติในจีน, สงครามเกาหลี, และต่อมาการที่ฝรั่งเศสพ่ายแพ้ในเวียดนามในปี ค.ศ. 1954 (พ.ศ. 2497) ที่กลายเป็นจุดแตกหักทำให้ฝรั่งเศสสูญเสียอาณานิคมแห่งนี้ไป เป็นเหตุผลที่ทำให้สหรัฐเห็นความจำเป็นในการต้องสร้างและมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับไทย  ซึ่งดำรงต่อมาตราบจนสิ้นสุดสงครามเวียดนามในปี พ.ศ. 2518 (ค.ศ. 1975).  ในช่วงความสัมพันธ์ใกล้ชิดนี้  สหรัฐฯเริ่มให้เงินช่วยเหลือแก่ไทยในฐานะประเทศ “ด้อยพัฒนา” ในรูปแบบต่างๆ เป็นจำนวนเงินมหาศาล รวมทั้งการให้ทุนนักศึกษาไปเรียนต่อในสหรัฐเป็นจำนวนมากในช่วงเวลาดังกล่าว คือ ความช่วยเหลือทางทหาร (พ.ศ. 2494-2514) 935 ล้านเหรียญสหรัฐฯ, ความช่วยเหลือเศรษฐกิจ (พ.ศ. 2493-2520) 650 ล้านเหรียญสหรัฐฯ, ให้เงินกองทัพไทยซื้ออาวุธ 760 ล้านเหรียญสหรัฐฯ, จ่ายให้ทหารไทยที่ช่วยรบในเวียดนาม 200 ล้านเหรียญสหรัฐฯ, ให้เงินสร้างสนามบินอู่ตะเภา 250 ล้านเหรียญสหรัฐฯ, เงินที่ทหารอเมริกันเข้ามาพักผ่อนในประเทศไทย 850 ล้านเหรียญสหรัฐฯ, รวมเป็นเงินทั้งสิ้นราว 3,500 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ชาญวิทย์, 2536 : 20 และ 414-7).  นอกจากนี้ ไทยยังได้เข้าร่วมกับนโยบายปิดล้อมคอมมิวนิสต์ของสหรัฐ โดยในกันยายน พ.ศ. 2497 ประเทศสหรัฐ ไทย ฟิลิปปินส์ ปากีสถาน ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ได้ร่วมกันลงนามสนธิสัญญามะนิลา จัดตั้งองค์การสนธิสัญญาแห่งประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ - สปอ. (Southeast Asia Treaty Organization - SEATO)  อันเป็นองค์กรความร่วมมือในการต่อต้านคอมมิวนิสต์ในลักษณะเดียวกับ NATO ในยุโรป.

ช่วงเวลาเดียวกับที่รัฐบาลไทยมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับสหรัฐฯ ในการดำเนินนโยบายต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์  ขบวนการเคลื่อนไหวของคอมมิวนิสต์ในประเทศก็เริ่มมีความเข้มข้นมากยิ่งขึ้นจนกระทั่งพัฒนารูปแบบของการเคลื่อนไหวในการปฏิวัติด้วยการใช้กำลังอาวุธโดยได้รับการสนับสนุนจากพรรคคอมมิวนิสต์จีน และการสู้รบระหว่างรัฐบาลกับกองทัพปลดแอกประชาชนได้กลายเป็นสงครามแห่งความขัดแย้งในทางอุดมการณ์ทางการเมืองของคนไทยด้วยกันเป็นเวลานานนับสิบๆ ปี.

 

พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย[7]

การเคลื่อนไหวของขบวนการคอมมิวนิสต์ในสยามปรากฏชัดเจนมาตั้งแต่ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยเกิดขึ้นเนื่องจากการเคลื่อนไหวทางการเมืองของชาวจีนและชาวญวนในสยาม รวมไปถึงการเคลื่อนไหวเพื่อเผยแพร่แนวความคิดมาร์กซิสม์จากองค์การคอมมิวนิสต์สากล. ชาวจีนที่นิยมในลัทธิคอมมิวนิสต์ได้เข้ามาเคลื่อนไหวเผยแพร่ความคิดคอมมิวนิสต์ในกลุ่มชาวจีนในสยามตั้งแต่ พ.. 2467 (มูราซิมา, 2539: 74 – 75) โดยระยะแรกได้ร่วมมือกับพรรคก๊กมินตั๋งเพื่อความสนับสนุนในการรวมชาติจีนจากกลุ่มชาวจีนที่มาอาศัยอยู่ในสยาม.  ชาวจีนคอมมิวนิสต์นั้นนอกจากจะทำการรณรงค์ทางการเมืองในสยามเพื่อการรวมชาติจีนร่วมกับสมาชิกพรรคก๊กมินตั๋งแล้วก็ยังมีการพิมพ์หนังสือและเอกสารเผยแพร่ลัทธิคอมมิวนิสต์ไปด้วย (ธงชัย, 2520: 67 – 68). แต่เมื่อสถานการณ์ทางการเมืองของจีนเปลี่ยนแปลงไป เจียงไคเช็คซึ่งมีความขัดแย้งกับพวกคอมมิวนิสต์ได้ขึ้นมาเป็นผู้นำพรรคก๊กมินตั๋งแทนซุนยัดเซ็นที่เสียชีวิตไป และสามารถปราบปรามบรรดาขุนศึกต่างๆ ที่แยกตัวออกเป็นอิสระทางภาคเหนือได้สำเร็จนั้น ต่อมาใน พ.. 2471 เจียงไคเช็คก็หันมาทำการปราบปรามพวกคอมมิวนิสต์ที่กระจายอยู่ทั่วไป.  สมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์จีนจำนวนมากจึงได้หนีภัยการเมืองออกนอกประเทศ และชาวจีนคอมมิวนิสต์เหล่านี้ส่วนหนึ่งได้เข้ามาสมทบกันในสยามเพื่อดำเนินการเคลื่อนไหวเพื่อผลทางการเมืองในจีน โดยเฉพาะในหมู่กรรมกรชาวจีนที่ทำงานอยู่ตามท่าเรือ โรงสี โรงเลื่อย เหมืองแร่ต่างๆ สวนยาง รวมไปถึงในหมู่ครูและนักเรียนในโรงเรียนจีนเพื่อหาสมาชิกและทุนสนับสนุนการต่อสู้ในประเทศจีน และเผยแพร่ลัทธิคอมมิวนิสต์ในหมู่คนจีนอีกด้วย (สุวดี, 2519: 195). การแตกแยกระหว่างพรรคคอมมิวนิสต์จีนกับพรรคก๊กมินตั๋งจึงเป็นส่วนหนึ่งที่มีการเคลื่อนไหวของคอมมิวนิสต์ในสยามเพิ่มมากยิ่งขึ้น (ธงชัย, 2520: 63).

ส่วนการเผยแพร่ของคอมมิวนิสต์ในหมู่ชาวญวนในสยามนั้นมีความคล้ายคลึงกับชาวจีนอยู่มาก คือเกิดจากขบวนการชาตินิยมของเวียดนามที่ทำการเคลื่อนไหวเพื่อกอบกู้เอกราช และนำลัทธิคอมมิวนิสต์มาเป็นแนวทางการต่อสู้ โดยมีผู้นำที่สำคัญคือโฮจิมินห์. ขบวนการเคลื่อนไหวนี้ได้ถูกฝรั่งเศสปราบปรามอย่างหนักในอินโดจีน และได้เข้ามาเคลื่อนไหวในกลุ่มชาวญวนในสยามตั้งแต่ พ.. 2468 (ธงชัย, 2520: 78). ต่อมาใน พ.. 2471 โฮจิมินห์ได้เดินทางเข้ามาทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของสยาม เพื่อพบปะกับกลุ่มขบวนการชาตินิยมเวียดนามในสยาม และได้สนับสนุนให้มีการจัดตั้งองค์การคอมมิวนิสต์เวียดนาม คือ “องค์การพี่น้องชาวเวียดนามแห่งสยาม” (The Annamite Fraternity of Siam) รวมถึงเปิดโรงเรียนสอนหนังสือแก่คนญวนและคนไทย และจัดตั้งหน่วยฝึกอาวุธในป่า ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากชาวญวนในสยามเป็นอย่างดีก่อนจะเดินทางออกจากสยามไป (ธงชัย, 2520: 78-79, และ จินดา, 2517: 2).  ในส่วนขององค์การคอมมิวนิสต์สากลนั้นก็จะให้การสนับสนุนขบวนการคอมมิวนิสต์ของชาวจีนและชาวญวนที่เข้ามาเคลื่อนไหวในสยามเหล่านี้ รวมทั้งได้มีการส่งสมาชิกชาวยุโรปเข้ามาดำเนินการเผยแพร่ลัทธิคอมมิวนิสต์ในไทยโดยตรงด้วย แม้จะไม่สามารถพิสูจน์สืบหาตัวบุคคลที่เข้ามาปฏิบัติการได้แน่ชัด (สุวดี, 2519: 197-9 และ ธงชัย, 2520: 57-63).

                การจัดองค์การคอมมิวนิสต์ในประเทศไทยตั้งแต่ช่วง พ.. 2470 ดำเนินการภายใต้การชี้นำของ “พรรคคอมมิวนิสต์ทะเลใต้” (The South Sea Communist Party) ซึ่งเป็นสาขาขององค์การคอมมิวนิสต์สากลสำหรับภาคตะวันออกไกล โดยมีคณะดำเนินการในสยามอยู่ภายใต้การนำของ “คณะกรรมการใหญ่ในสยาม” หรือ “คณะกรรมการพิเศษแห่งสยาม” (Special Committee in Siam) (สุวดี, 2519: 204-5).  ต่อมาใน พ.. 2473 ก็ได้มีการตั้ง “คณะคอมมิวนิสต์สยาม” ขึ้น (มูราซิมา, 2539: 88) ตามมติขององค์การคอมมิวนิสต์สากลที่กำหนดให้สมาชิกของฝ่ายคอมมิวนิสต์ในทุกประเทศไม่ว่าจะมาจากที่ใดก็ให้เข้าไปอยู่ในขบวนการเคลื่อนไหวคอมมิวนิสต์ในประเทศนั้นๆ. ดังนั้นผู้ที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมและการเคลื่อนไหวของคอมมิวนิสต์ในสยามในช่วงที่มีคณะคอมมิวนิสต์สยามเกิดขึ้นนั้นไม่ว่าจะเป็นชาวจีนหรือชาวเวียดนามที่เป็นคอมมิวนิสต์ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของ “คณะคอมมิวนิสต์สยาม” เพื่อดำเนินการปฏิบัติการเผยแพร่คอมมิวนิสต์ในสยามเช่นกัน (มูราซิมา, 2539: 90-91).

                การเคลื่อนไหวของคณะคอมมิวนิสต์สยามนั้นจะทำผ่านองค์กรจัดตั้งต่างๆ เช่น โรงเรียนจีนบางแห่ง, สโมสร, สหกรณ์, ชมรม และสมาคมกรรมกรต่างๆ (สุวดี, 2519: 206)  โดยใช้วิธีโฆษณาปลุกใจชักชวนชนชั้นกรรมกรและชาวนาที่ยากจน แต่ไม่มีการใช้กำลังอาวุธเข้าต่อสู้กับรัฐบาล เนื่องจากต้องการรวบรวมกำลังคนให้ได้มากก่อนที่จะดำเนินการต่อไป (สุวดี, 2519: 209). การโฆษณาชวนเชื่อจะทำโดยการใช้เอกสารเป็นส่วนใหญ่ โดยเอกสารส่วนแรกจะเป็นการเผยแพร่ความรู้ในกลุ่มสมาชิก หรือเป็นคู่มือของสมาชิกในการปฏิบัติงาน และอีกส่วนหนึ่งจะเป็นใบปลิวซึ่งมักจะใช้เผยแพร่ในที่สาธารณะทั้งในกรุงเทพฯ และตามจังหวัดต่างๆ ในโอกาสต่างๆ หรือวันสำคัญ เช่นวันกรรมกร หรือวันครบรอบการต่อสู้ครั้งใหญ่ระหว่างพรรคก๊กมินตั๋งและพรรคคอมมิวนิสต์ในประเทศจีน. เมื่อมีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้น พวรคคอมมิวนิสต์ก็จะติดใบปลิวเพื่อสนับสนุนหรือคัดค้านเหตุการณ์นั้นๆ และขณะเดียวกันก็จะมีข้อความชักจูงประชาชนให้รู้สึกเลื่อมใสในลัทธิคอมมิวนิสต์ด้วย โดยใบปลิวเหล่านี้ส่วนมากจะเป็นภาษาจีน แต่บางครั้งก็มีทั้งภาษาไทย จีน และอังกฤษ (สุวดี, 2519: 211 และ 219-221). ส่วนเอกสารที่เผยแพร่ในกลุ่มสมาชิกนั้นนอกจากจะกล่าวถึงการเมืองภายนอกประเทศ คือการโจมตีลัทธิจักรวรรดินิยม และสนับสนุนการเคลื่อนไหวของขบวนการคอมมิวนิสต์ในจีนหรือเวียดนาม รวมถึงชี้ให้เห็นของดีของลัทธิคอมมิวนิสต์โดยทั่วไปแล้วยังมีเอกสารที่เป็นการวิเคราะห์สังคมไทยตามทฤษฎีมาร์กซิสม์อีกด้วย โดยเป็นชี้ให้เห็นว่าชนชั้นปกครองนั้นได้กดขี่ขูดรีดกรรมกรและชาวนาอย่างมาก ซึ่งแสดงให้เห็นว่าขบวนการคอมมิวนิสต์นั้นเริ่มที่จะสนใจชักจูงให้ชาวไทยเข้าร่วมด้วย (สุวดี, 2519: 215 และ มูราซิมา, 2539: 102-3).

กล่าวได้ว่าการเคลื่อนไหวปฏิบัติการของคอมมิวนิสต์จะอยู่ในกลุ่มชาวจีนและชาวญวนในสยามก็เพื่อผลทางการเมืองในประเทศจีนและเวียดนาม, ส่วนคนไทยที่เข้าร่วมก็มักจะอยู่ในกลุ่มลูกครึ่งจีนหรือญวน (สุวดี, 2519: 200-201). แต่ในเอกสารเผยแพร่ของคอมมิวนิสต์ที่เรียกร้องให้ชนชั้นผู้ใช้แรงงานไม่ว่าชาติใดภาษาไดรวมกำลังต่อต้านจักรวรรดินิยมและชนชั้นปกครองที่ถือเป็นสมุนของจักรวรรดินิยมก็ทำให้เกิดการกระทบกระเทือนต่อการเมืองในสยามด้วย.  จากเอกสารเผยแพร่ที่รัฐบาลยึดได้ใน พ.. 2473 แสดงให้เห็นว่าคอมมิวนิสต์ได้ให้ความสนใจในการเผยแพร่ลัทธิคอมมิวนิสต์ในกับคนไทยมากยิ่งขึ้น และจากคำให้การของผู้ต้องหาคอมมิวนิสต์ชาวญวนใน พ.. 2474 ที่กล่าวถึงนายตรวจซึ่งเดินทางจากสิงคโปร์มาตรวจกิจการคอมมิวนิสต์ในสยามและได้แสดงความเห็นให้พยายามชักจูงคนไทยเข้ามาเป็นสมาชิกของพรรคมากยิ่งขึ้นเพื่อในเหมาะสมกับชื่อ “คณะคอมมิวนิสต์สยาม” (สุวดี, 2519: 202-3).

การเคลื่อนไหวของคอมมิวนิสต์ที่มีความคิดแตกต่างไปจากสังคมการเมืองของสยามทำให้รัฐบาลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ เห็นความจำเป็นที่จะต้องทำการปราบปรามการดำเนินงานเคลื่อนไหวของพวกคอมมิวนิสต์ โดยมีมาตรการต่างๆ กันเช่น การจับกุมและเนรเทศผู้ต้องหาคอมมิวนิสต์ออกจากสยาม, การเพิ่มเติมกฎหมายอาญาซึ่งเกี่ยวกับความผิดฐานกบฏในพระราชอาณาจักรให้กินความถึงกิจกรรมของคอมมิวนิสต์ด้วย, การออกพระราชบัญญัติเพิ่มเติมเพื่อควบคุมโรงเรียนจีน, การแก้ไขพระราชบัญญัติสมุด เอกสารและหนังสือพิมพ์,  การแก้ไขเพิ่มพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง, รวมทั้งติดต่อข่าวสารในเรื่องความเคลื่อนไหวของคอมมิวนิสต์กับต่างประเทศ ซึ่งมาตรการต่างๆ เหล่านี้เป็นเครื่องมือของรัฐบาลสยามที่จะควบคุมและปราบปรามการเคลื่อนไหวของคอมมิวนิสต์ได้เป็นอย่างดี ซึ่งทำให้ลัทธิคอมมิวนิสต์สามารถแพร่ไปได้ไม่กว้างขวางมากนักในช่วงก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.. 2475 (สุวดี, 2519: 235-269 และ ธงชัย, 2520: 125-148).

ในช่วงการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 นั้นได้มีการเคลื่อนไหวของคอมมิวนิสต์ออกใบปลิวโดยลงนามว่า “คณะคอมมิวนิสต์สยาม” กล่าวอ้างว่าคอมมิวนิสต์มีส่วนช่วยในการเปลี่ยนแปลงการปกครองเพื่อ “ทำลายอำนาจชนชั้นเจ้าขุนมูลนาย” (จินดา, 2517 :2-3). หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองแล้ว คอมมิวนิสต์ได้รอดูท่าทีของรัฐบาลคณะราษฎรว่าจะมีนโยบายอย่างไรต่อคอมมิวนิสต์ ซึ่งในส่วนหนึ่งแล้วการล้มระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ก็สอดคล้องกับอุดมการณ์ของพวกคอมมิวนิสต์อยู่เช่นกัน (ธงชัย, 2520: 152-4 และ 156). แต่เมื่อพันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนาได้นำปัญหาคนจีนขึ้นมาพูดในที่ประชุมกรรมการคณะราษฎร และเสนอห้ามคนจีนเข้าเมืองไทยและที่ประชุมเห็นด้วย โดยให้เก็บภาษีแพงขึ้น,  แต่ยังไม่ทันมีการร่างกฎหมายบังคับใช้ ก็มีใบปลิวของพวกคอมมิวนิสต์โจมตีคณะราษฎรทั้งในเมืองและต่างจังหวัดทั้งเป็นภาษาไทย ภาษาจีนและภาษาอังกฤษ ว่าคณะราษฎรใช้กำลังทหารยึดอำนาจมาจากพวกเจ้าเพื่อประโยชน์ของตน ไม่ใช่เพราะหวังดีต่อราษฎรอย่างแท้จริง และได้ทำการกดขี่ราษฎรต่อไป (สลธ. แผนก บร. 3/ 105 ใบปลิวชื่อ ชาวนา กรรมกร ทหารและคนทุกข์ยากของประเทศสยาม โดยพิมพ์ออก 3 ภาษา คือ อังกฤษ ไทย และจีน ลงวันที่ 30 กันยายน 2475, อ้างถึงใน ธงชัย, 2520: 155 – 156). การที่คอมมิวนิสต์โจมตีคณะราษฎร เนื่องจากการที่คณะราษฎรต้องการควบคุมไม่ให้คนจีนเข้าประเทศซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการเผยแพร่ลัทธิคอมมิวนิสต์ จึงเกิดการต่อต้านโจมตีรัฐบาล ซึ่งทำให้เจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการจับกุมคอมมิวนิสต์ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด.  การจับกุมอย่างกว้างขวางทำให้การเคลื่อนไหวสงบไป จนกระทั่งในงานจัดการฉลองรัฐธรรมนูญ วันที่ 10 ธันวาคม พ.. 2475 จึงได้มีการออกใบปลิวชักจูงยั่วยุให้ประชาชนต่อต้านคณะราษฎรอีก โดยกล่าวว่าการประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้ อันที่จริงแล้วเป็นเครื่องรักษาอำนาจและผลประโยชน์ของพวกคณะราษฎรเอง และเป็นเครื่องปกปิดความชั่วร้ายต่างๆ ของรัฐบาล ทำให้สามารถกดขี่ประชาชนได้มากกว่าแต่ก่อน (สลธ. แผนก บร. 3/ 105 ใบปลิวของสมาคมคอมมิวนิสต์สยาม คณะคอมมิวนิสต์หนุ่มสยาม แถลงเรื่องประกาศรัฐธรรมนูญของรัฐบาลใหม่ วันที่ 10 ธันวาคม 2475, อ้างถึงใน ธงชัย, 2520: 160). ปรากฏว่าต่อมา รัฐบาลพระยาพหลพลพยุหเสนาได้มีนโยบายปราบปรามคอมมิวนิสต์อย่างจริงจัง ซึ่งทำให้พวกคอมมิวนิสต์ไม่พอใจ และทำการเคลื่อนไหวมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม เช่น การออกใบปลิวโฆษณาชักชวนให้ทั้งชาวไทยและชาวจีนร่วมมือกันจับอาวุธโค่นล้มรัฐบาล โดยให้อยู่ภายใต้การควบคุมของคอมมิวนิสต์แต่ก็ไม่ได้รับความสนใจจากประชาชนไทย (ธงชัย, 2520: 165-7). ส่วนรัฐบาลก็ได้ทำการปรับปรุงกฎหมายเพื่อต่อต้านและปราบปรามการเคลื่อนไหวของคอมมิวนิสต์ โดยในเดือนตุลาคม พ.. 2478 ก็ได้นำพระราชบัญญัติว่าด้วยคอมมิวนิสต์ พ.. 2476 มาปรับปรุงแก้ไขให้รัดกุมมากยิ่งขึ้น โดยกล่าวถึงนิยามของคอมมิวนิสต์ว่าเป็นการใช้กำลังบังคับและมีจุดมุ่งหมายเพื่อการยึดครองทรัพย์สินทั้งหมด และระบบเศรษฐกิจทุกอย่างมาเป็นของรัฐ (ธงชัย, 2520: 168-9 และ 210). พระราชบัญญัติฉบับใหม่นี้เกี่ยวพันอย่างมีนัยยะสำคัญถึงเค้าโครงเศรษฐกิจของนายปรีดี พนมยงค์ที่เสนอให้รัฐยึดที่ดินทำกินของชาวนามาเป็นของรัฐและกำหนดให้ราษฎรทุกคนเป็นลูกจ้างของรัฐ ซึ่งเป็นผลให้ปรีดีต้องถูกเนรเทศออกนอกประเทศ,  แต่การออกพระราชบัญญัติฉบับนี้ภายหลังที่ปรีดีได้กลับเข้ามาร่วมอยู่ในรัฐบาลแล้วก็มีความหมายว่าพลังของฝ่ายอนุรักษ์นิยมยังเข้มแข็งจนทำให้ปรีดีไม่สามารถนำความคิดในการปฏิรูปที่ดินดังกล่าวมาปฏิบัติได้ เพราะถูกกฎหมายกำหนดไว้แล้วว่าการกระทำตามเค้าโครงเศรษฐกิจดังกล่าวถือเป็นการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์.  ต่อมาในเดือนเมษายน พ.. 2479 รัฐบาลได้นำเอาพระราชบัญญัติกฎหมายลักษณะอาญามาดัดแปลงแก้ไขอีก เพื่อขยายการป้องกันและลงโทษคอมมิวนิสต์ให้กว้างขวางยิ่งขึ้น เรียกว่า “พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายลักษณะอาญา พุทธศักราช 2478 (ฉบับที่ 7)” ซึ่งแม้จะไม่ได้ระบุถึงการกระทำที่เป็นคอมมิวนิสต์โดยตรง แต่ก็ได้เปิดช่องทางให้มีการฟ้องร้องบุคคลที่ทำการส่งเสริมคอมมิวนิสต์โดยการเผยแพร่ด้วยวิธีต่างๆ ได้ (ธงชัย, 2520: 169 และ 211).

อย่างไรก็ตาม ปรากฏว่ายังมีการเคลื่อนไหวของคอมมิวนิสต์อยู่ต่อไปในลักษณะของการแจกใบปลิวตามที่ต่างๆ ทั้งในเมืองหลวงและต่างจังหวัด ทั้งเพิ่มความรุนแรงถึงเป็นการใช้อาวุธต่อสู้กับรัฐบาลเป็นครั้งแรกที่จังหวัดขอนแก่น โดยเป็นการเคลื่อนไหวของพวกคอมมิวนิสต์ญวนจำนวน 200 คนเข้าปะทะกับกำลังเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง ทหาร และตำรวจที่ได้ระดมกำลังเข้าปราบปราม เป็นผลให้พวกคอมมิวนิสต์ญวนเสียชีวิต 2 คน และได้รับบาดเจ็บและถูกจับกุมอีกเป็นจำนวนมาก.  กล่าวได้ว่า การเคลื่อนไหวของคอมมิวนิสต์ยังอยู่ในวงจำกัดส่วนหนึ่งเนื่องจากความเข้มแข็งในการควบคุมและปราบปรามของรัฐบาล จนกระทั่งช่วงสงครามโลกครั้ง 2 คอมมิวนิสต์จึงได้มีโอกาสทำการเคลื่อนไหวอีกครั้งหนึ่ง.  เนื่องจากในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ไทยได้ประกาศเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่น และได้มีการเคลื่อนไหวของพวกคอมมิวนิสต์จากเดิมที่เน้นการปลุกระดมเพื่อการต่อต้านรัฐบาล และต่อต้านญี่ปุ่น (มูราซิมา, 2539: 119) โดยมีการจัดตั้งสมาคมลับและหน่วยใต้ดินต่างๆ ขึ้น เพื่อต่อต้านการปฏิบัติงานของญี่ปุ่นในไทย (ธิดา และเหวง, 2526: 143). พรรคคอมมิวนิสต์ได้ส่งคนเข้าแทรกซึมในโรงงานญี่ปุ่นและแอบก่อความเสียหายให้กับเครื่องจักรเพื่อบั่นทอนการผลิตของโรงงานญี่ปุ่น (พ. เมืองชมพู, 2532: 53 – 54), ออกหนังสือพิมพ์ใต้ดินต่อต้านญี่ปุ่น คือหนังสือพิมพ์มหาชน (พ. เมืองชมพู, 2532: 73), รวมไปถึงการเข้าร่วมมือกับขบวนการเสรีไทยภายในประเทศ (เรื่องการร่วมมือระหว่างคอมมิวนิสต์กับเสรีไทยนั้นยังมีข้อถกเถียงกันอยู่ ดูรายละเอียดใน บัญชา, 2528: 26 – 27).  และในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 นั้นเองก็ได้มีการจัดตั้ง “พรรคคอมมิวนิสต์ไทย” ขึ้น “อย่างเป็นทางการ”[8] ในวันที่ 1 ธันวาคม พ.. 2485  โดยพรรคคอมมิวนิสต์ไทยนี้จะแบ่งเป็น 2 สาขา คือ คณะกรรมการบริหารสาขาจีน และคณะกรรมการบริหารสาขาไทย ซึ่งทำดำเนินงานเป็นอิสระต่อกัน แต่จะประชุมหารือกันในปัญหาสำคัญๆ เกี่ยวกับด้านการเมืองและการเคลื่อนไหวของมวลชน (จินดา, 2517: 5). นอกจากมีการจัดตั้งพรรคคอมมิวนิสต์ไทยขึ้นแล้ว  ต่อมาในวันที่ 1 ธันวาคม พ.. 2485 ยังได้มีการจัดประชุมสมัชชาครั้งที่ 1 ขึ้นในเขตจังหวัดนครสวรรค์ (ประสิทธิ์, 2522: 273). ในการประชุมสมาชิกพรรคทั่วประเทศนี้ สมัชชาได้ประกาศแนวทางการต่อสู้ของพรรคคอมมิวนิสต์ว่า จะร่วมมือกับพรรคอมมิวนิสต์นานาประเทศทำการต่อสู้เพื่อสถาปนาระบบลัทธิคอมมิวนิสต์ขึ้นทั่วโลก, โดยกำหนดภาระหน้าที่ของพรรคในปัจจุบันคือ การปฏิวัติเพื่อความเป็นเอกราชและประชาธิปไตยอันสมบูรณ์ของประเทศไทย เพื่อการถางทางให้แก่การปฏิวัติไปสู่ระบอบสังคมนิยมในระยะต่อไป (หลวงอรรถโกวิทวที, คอมมิวนิสต์ คอมอินเทอร์น และคอมอินฟอร์ม, หน้า 2922. – 2922., อ้างถึงใน ธงชัย, 2520: 225). นอกจากนี้ ยังได้ประกาศนโยบายพื้นฐาน 10 ข้อของพรรคซึ่งโดยสรุปจะกล่าวถึงการสร้างสังคมประชาธิปไตย ที่ประชาชนมีสิทธิเสรีภาพ และปรับปรุงสภาพชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน ผู้ใช้แรงงาน และชาวนา ซึ่งมีผู้วิเคราะห์ว่า นโยบาย 10 ประการของพรรคคอมมิวนิสต์ไทยนั้นไม่ใช่ของใหม่แต่เป็นการผสมความคิดในเค้าโครงเศรษฐกิจของนายปรีดี พนมยงค์ที่มีจุดมุ่งหมายจะช่วยยกฐานะคนยากจน และสร้างสังคมเสรีประชาธิปไตย (ธงชัย, 2520: 228-9). ในที่ประชุมสมัชชาครั้งที่ 1 นี้ได้มีการแต่งตั้งให้ “พิชิต ณ สุโขทัย” หรืออีกชื่อหนึ่งคือ “ประพันธ์ วีระศักดิ์” ซึ่งมีเชื้อชาติจีน และเรียนจบจากมหาวิทยาลัยต้าถุง เซี่ยงไฮ้ เป็นเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ไทย (ประสิทธิ์, 2522: 274).

                ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อรัฐบาลไทยพยายามสมัครเข้าเป็นสมาชิกในองค์การสหประชาชาติ จึงจำเป็นต้องยกเลิกพระราชบัญญัติป้องกันคอมมิวนิสต์ เพื่อให้สหภาพโซเวียตรับรองไทยเป็นสมาชิกในองค์การสหประชาติ.  การหมดอำนาจของรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม  และการประกาศรัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ. 2489 ซึ่งให้สิทธิและเสรีภาพแก่บุคคลอย่างสมบูรณ์ในการนับถือลัทธิความเชื่อหรือตั้งสมาคมหรือพรรคการเมืองได้ ส่งผลให้พรรคคอมมิวนิสต์ไทยสามารถเคลื่อนไหวได้โดยเปิดเผยและกว้างขวาง,  ส่วนคณะกรรมการบริหารสาขาจีนก็ได้ปลีกตัวออกไปตั้งพรรคเรียกว่า “พรรคคอมมิวนิสต์จีนแห่งประเทศไทย” ซึ่งมีจุดประสงค์เพื่อหาทุนสนับสนุนการปฏิวัติของพรรคคอมมิวนิสต์ในประเทศจีนเป็นหลัก (จินดา, 2517: 9).  ส่วนพรรคคอมมิวนิสต์ไทยก็ได้ดำเนินการอย่างเปิดเผย โดยมีสมาชิกของพรรคคอมมิวนิสต์ได้เป็นผู้แทนราษฎรจังหวัดสุราษฎร์ธานีเข้าไปเคลื่อนไหวในสภาผู้แทนราษฎรคือ นายประเสริฐ ทรัพย์สุนทร (ธงชัย, 2520: 226-7). นอกจากนั้นการให้เสรีภาพในทางการเมือง การพิมพ์และการโฆษณาทำให้มีหนังสือพิมพ์และเอกสารสิ่งพิมพ์ของคอมมิวนิสต์ออกมาอย่างแพร่หลายมากขึ้น อาทิเช่น หนังสือพิมพ์มหาชนรายสัปดาห์,  หนังสือพิมพ์ชนชั้นกรรมาชีพ, หนังสือพิมพ์โลกใหม่ รวมถึงหนังสือพ็อคเก็ตบุ๊คต่างๆ และใบปลิว อันเป็นการเผยแพร่แนวคิดและอุดมการณ์สังคมนิยมคอมมิวนิสต์ให้กับคนทั่วไป.  ในด้านกรรมกรนั้นพรรคคอมมิวนิสต์ไทยยังได้มีส่วนเข้าไปจัดตั้งสหภาพ สมาคมกรรมกรต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “องค์การสหอาชีวกรรมกร” ที่จัดตั้งขึ้นในวันที่ 1 มกราคม พ.. 2490 (ธงชัย, 2520: 230). แต่การดำเนินงานอย่างเปิดเผยและเสรีของพรรคคอมมิวนิสต์ก็เป็นไปได้ไม่นานเนื่องจากการรัฐประหาร พ.. 2490 ได้ทำให้รัฐบาลทหารขึ้นมามีอำนาจทางการเมืองอีกครั้งหนึ่ง.  อย่างไรก็ตาม  การที่คอมมิวนิสต์สามารถเคลื่อนไหวได้โดยเสรีแม้ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ นี้ได้ขยายอิทธิพลแนวความคิดลัทธิคอมมิวนิสต์ให้แก่คนไทย ในกลุ่มของนักเรียน นักศึกษา นักเขียนนักหนังสือพิมพ์ รวมถึงกรรมกรมากยิ่งขึ้น. แต่เมื่อจอมพล ป. พิบูลสงครามได้กลับขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้งภายหลังการรัฐประหาร พ.ศ. 2490 รัฐบาลก็ได้ทำการปราบปรามกวาดล้างพวกที่ต่อต้านรัฐบาล รวมทั้งพวกที่นิยมคอมมิวนิสต์อย่างหนัก (ดู ประสิทธิ์, 2522: 280-284) ซึ่งทำให้พรรคคอมมิวนิสต์ไทยและพรรคอมมิวนิสต์จีนแห่งประเทศไทยไม่สามารถดำเนินงานเคลื่อนไหวได้กว้างขวางเช่นเดิม.  อย่างไรก็ตาม พรรคคอมมิวนิสต์ก็ยังดำเนินการในลักษณะการเข้าไปทำงานในองค์กรแนวร่วมต่างๆ เช่น “สหภาพกรรมกร” หรือดำเนินการเคลื่อนไหวหาสมาชิกอยู่ภายในกลุ่มนักศึกษา เช่น “กลุ่มก้าวหน้า” ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งเป็นกลุ่มจัดตั้งของพรรคคอมมิวนิสต์แต่ให้นักศึกษาแสดงบทบาทการเคลื่อนไหวต่างๆ ภายใต้การชี้นำของพรรคคอมมิวนิสต์ และ “สันนิบาตเยาวชนแห่งประเทศไทย” (สยท.) ที่ทำการเคลื่อนไหวในขบวนการสันติภาพ และยังมีการออกหนังสือสิ่งพิมพ์ต่างๆ ที่เกี่ยวกับสังคมนิยมและคอมมิวนิสต์ ผ่านสำนักพิมพ์มหาชน (รังสิต, 2539: 101-4). 

ต่อมาเมื่อพรรคคอมมิวนิสต์จีนต่อสู้จนมีชัยชนะเหนือพรรคก๊กมินตั๋งใน พ.. 2492 จึงมีคำสั่งให้ยุบพรรคคอมมิวนิสต์จีนแห่งประเทศไทยลง,  ทำให้สมาชิกส่วนหนึ่งได้เดินทางกลับประเทศจีน อีกส่วนหนึ่งยังคงอยู่ในประเทศไทย เพื่อเป็นแกนนำของพรรคและทำการปรับปรุงพรรคคอมมิวนิสต์ในไทยต่อไป (บัญชา, 2528: 33). และในช่วงปี พ.. 2493 – 2494 นั้นเอง พรรคคอมมิวนิสต์ไทยก็ได้เตรียมการต่อสู้ด้วยอาวุธในรูปของสงครามประชาชน มีการจัดตั้งแนวร่วมลับขึ้น โดยใช้ชื่อว่า “องค์การไทยกู้ชาติ” (ทกช.)[9] และได้คัดเลือกสมาชิก ทกช. จำนวนหนึ่งส่งไปฝึกอบรมวิธีดำเนินสงครามจรยุทธกับขบวนการคอมมิวนิสต์ในอินโดจีน. ต่อมาในปี พ.. 2494 ก็ได้มีการส่งสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ไทยไปศึกษาในโรงเรียนการเมืองของพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นรุ่นแรกจำนวน 20 คน  ซึ่งผู้ที่ได้ไปศึกษาที่โรงเรียนการเมืองแห่งนี้ได้กลับเข้ามามีบทบาทนำในพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยต่อมาด้วย เช่น ประเสริฐ ทรัพย์สุนทร, รวม วงศ์พันธุ์, นิตย์ พงศ์ดาบเพชร, ศักดิ์ สุภาเกษม ฯลฯ (รังสิต, 2539: 110).  ในปีเดียวกันนั้นก็ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองขึ้นอีกครั้งหนึ่งเมื่อมีการทำรัฐประหารเงียบในวันที่ 29 พฤศจิกายน พ.. 2494 โดยการนำของพล.. สฤษดิ์ ธนะรัตน์ และพล... เผ่า ศรียานนท์ โดยอ้างเหตุผลในการปฏิวัติว่าเพื่อสร้างเสถียรภาพให้กับรัฐบาลในการทำการต่อต้านและปราบปรามคอมมิวนิสต์ (ธงชัย, 2520: 291-2). รัฐบาลใหม่ได้ทำการจับกุมบุคคลจำนวนมากที่มีแนวโน้มต่อต้านรัฐบาลทั้ง นักการเมือง นักเขียน นักศึกษา ข้าราชการ ทหาร ฯลฯ โดยอ้างว่าบุคคลเหล่านี้ได้มีการวางแผนตั้งเผด็จการคอมมิวนิสต์, และรวมถึงการจับกุมขบวนการฝ่ายซ้ายครั้งใหญ่ในวันที่ 10 พฤศจิกายน พ.. 2595 ที่เรียกกันว่า “กบฏสันติภาพ”.  ต่อมาเมื่อมีการผลักดันให้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติป้องกันการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ พ.. 2495 ขึ้นในวันที่ 14 พฤศจิกายน พ.. 2495 แล้วรัฐบาลก็ได้ทำการจับกุมผู้ต้องสงสัยเพิ่มเติมอีก (ลิขิต, 2536: 136–140).

                อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้าการประกาศใช้พระราชบัญญัติป้องกันการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์นั้น พรรคคอมมิวนิสต์ไทยก็ได้ทำการประชุมสมัชชาครั้งที่ 2 ขึ้นที่ในเขตจังหวัดสกลนครเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.. 2495 โดยที่ประชุมสมัชชาได้มีมติให้เปลี่ยนชื่อพรรคจาก “พรรคคอมมิวนิสต์ไทย” เป็น “พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย” และกำหนดยุทธศาสตร์การเคลื่อนไหวในชนบทมากยิ่งขึ้นเพื่อเป็นฐานในการดำเนินการปฏิวัติโดยใช้วิธีรุนแรง คือเตรียมการทำสงครามประชาชนตามที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนได้ประสบผลสำเร็จมาแล้ว, และที่ประชุมสมัชชาได้คัดเลือกให้ “ทรง นพคุณ” หรือประสงค์ วงศ์วิวัฒน์ เป็นเลขาธิการพรรคแทนพิชิต ณ สุโขทัย (ประสิทธิ์, 2522: 288-9 และ จินดา, 2517: 12-13).  เพื่อให้การดำเนินการตามมติของสมัชชาที่ 2 เป็นไปได้ลุล่วง พรรคคอมมิวนิสต์ก็ได้ส่งสมาชิกไปศึกษายังประเทศจีน (จินดา, 2517: 13) ซึ่งเป็นการส่งสมาชิกรุ่นที่ 2 ให้ไปเรียนที่สถาบันมาร์กซิสม์-เลนินนิสม์ในประเทศจีนเป็นจำนวนถึง 50 คน.  ต่อมาหลายคนได้กลายเป็นสมาชิกที่สำคัญและได้กลับมาเป็นสหายนำของพรรค เช่น เจริญ วรรณงาม, ธง แจ่มศรี, วิรัช อังคถาวร, อัสนี พลจันทร์, ประสิทธิ์ ตะเพียนทอง ฯลฯ. ส่วนหลักสูตรเนื้อหาที่เรียนนั้นก็จะเป็นความรู้เรื่องทฤษฎีการปฏิวัติ, ปรัชญาแนวคิดมาร์กซิสม์, ประวัติพรรคคอมมิวนิสต์จีนและโซเวียต รวมถึงอบรมด้านยุทธวิธีทางการทหาร (รังสิต,  2539: 110-1).

                อย่างไรก็ตาม เสียงเรียกร้องประชาธิปไตยและต่อต้านการปกครองของรัฐบาลทำให้ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ปรับท่าทีทางการเมืองเพื่อสร้างความพอใจให้กับประชาชน โดยออกพระราชบัญญัติพรรคการเมือง พ.. 2498 อนุญาตให้มีการตั้งพรรคการเมืองได้ โดยมีพรรคการเมืองถึงประมาณ 30 พรรคในขณะนั้น, นอกจากนั้นยังออกพระราชบัญญัติแรงงาน พ.. 2499 ให้มีการตั้งสหภาพแรงงานโดยคนงาน 7 คนขึ้นไปมีสิทธิเข้าชื่อขอตั้งเป็นสภาพแรงงานได้ทำให้มีสหภาพแรงงานกว่า 100 สหภาพ และยอมรับในสิทธิที่กรรมกรจะนัดหยุดงานชุมนุมประท้วง (สุธาชัย, 2536: 27), รวมถึงการอนุญาตให้มีการจัดพูด “ไฮด์ปาร์ค” ได้อย่างเสรี จึงทำให้พรรคคอมมิวนิสต์หันมาเคลื่อนไหวในเมืองได้อย่างสะดวกอีกครั้งหนึ่ง (จินดา, 2517: 17-18). แต่ก็ดำรงอยู่ได้ไม่นานนักเมื่อมีการผันผวนทางการเมืองอีกครั้งหนึ่ง.  เนื่องจากประชาชนที่ไม่พอใจผลการเลือกตั้งในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.. 2500 ได้เดินขบวนประท้วงไม่พอใจรัฐบาล  จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ จึงนำกำลังทหารเข้ายึดอำนาจและแต่งตั้งให้พจน์ สารสินเป็นนายกรัฐมนตรีชั่วคราว ก่อนที่จะกำหนดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปในเดือนมกราคม พ.. 2501 ซึ่งผลการเลือกตั้งปรากฏว่าพรรคสหภูมิได้รับเสียงข้างมาก และจอมพลถนอม กิตติขจรได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี.  แต่ปรากฏว่ารัฐบาลจอมพลถนอมไม่สามารถควบคุมความวุ่นวายทางการเมืองในรัฐสภาได้ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์จึงได้ทำการรัฐประหารอีกครั้งหนึ่งในวันที่ 20 ตุลาคม พ.. 2501. ในฐานะหัวหน้าคณะปฏิวัติและนายกรัฐมนตรี จอมพลสฤษดิ์ได้ประกาศยกเลิกรัฐธรรมนูญ ล้มเลิกสภาผู้แทนราษฎร เลิกพรรคการเมือง และประกาศกฎอัยการศึก ปกครองประเทศโดยคำสั่งของคณะปฏิวัติ  และดำเนินการปกครองตามธรรมนูญการปกครองชั่วคราว พ.. 2500 ที่ให้อำนาจนายกรัฐมนตรีอย่างไม่มีขอบเขต.  บรรยากาศทางการเมืองเริ่มถูกจำกัดทั้งกิจกรรมทางการเมืองต่างๆ และการออกสิ่งพิมพ์, การดำเนินงานของสหภาพแรงงานต้องยุติลงจากประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 19 ให้ยกเลิกพระราชบัญญัติแรงงาน พ.. 2499 และมีคำสั่งของกรมตำรวจออกประกาศทั่วประเทศให้สหภาพแรงงานหยุดดำเนินการเคลื่อนไหว และสั่งยุบเลิกสหภาพแรงงาน สมาคมกรรมกรต่างๆ โดยสิ้นเชิงในวันที่ 15 พฤศจิกายน พ.. 2501 (วิจักษณ์, 2542: 34; และ ประสิทธิ์, 2522: 297–298). รวมทั้งในวันที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2501 หลังจากการรัฐประหารเพียงหนึ่งวันได้มีการจับกุมและกวาดล้างคอมมิวนิสต์ครั้งใหญ่ โดยมีผู้ถูกจับกุมถึงร้อยกว่าคน. บุคคลสำคัญของฝ่ายคอมมิวนิสต์ที่ถูกจับกุมก็คือ เช่น ประเสริฐ ทรัพย์สุนทร อุดม สีสุวรรณ จิตร ภูมิศักดิ์ ฯลฯ (ประสิทธิ์, 2522: 295). ต่อมาในวันที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.. 2502 ได้มีใบปลิวของฝ่ายคอมมิวนิสต์ที่ใช้ชื่อ “สภาคนงานแห่งประเทศไทย” ออกมา 2-3 ฉบับ เผยแพร่อยู่ในเขตกรุงเทพฯ และธนบุรี โดยมีเนื้อหาโจมตีจอมพลสฤษดิ์ว่าเป็นเผด็จการ และได้เรียกร้องประชาธิปไตย, นอกจากนี้ยังเรียกร้องให้ชนชั้นกรรมาชีพต่อสู้เพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองของประเทศ.  รัฐบาลได้จับกุมผู้ดำเนินการออกใบปลิวได้เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2502 คือ นายศุภชัย ศรีสติ ซึ่งได้ยอมรับว่าตนเองเป็นคอมมิวนิสต์  ซึ่งจอมพลสฤษดิ์จึงได้สั่งประหารชีวิตเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม พ.. 2502.  หลังจากจอมพลสฤษดิ์ยังประหารชีวิตผู้ต้องหาคอมมิวนิสต์อีกหลายคน เช่น ครอง จันดาวงศ์, รวม วงศ์พันธุ์, และทองพันธุ์ สุทธิมาส เป็นต้น (ประสิทธิ์, 2522: 298 และ ฤดี, 2539: 76).

อย่างไรก็ตาม พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยได้จัดให้มีการประชุมสมัชชาครั้งที่ 3 ขึ้นที่กรุงเทพฯ ในวันที่ 1 ธันวาคม พ..  2504 โดยมีมติที่สำคัญ คือ นอกเหนือไปจากการเร่งปลุกระดมมวลชนเพื่อสร้างเงื่อนไขในการทำสงครามยืดเยื้อต่อไปแล้ว ยังเริ่มให้มีการเตรียมการปฏิวัติโดยการต่อสู้ด้วยอาวุธ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เพราะเห็นว่าประชาชนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีความตื่นตัวพอเพียง.  นอกจากนี้ สมัชชาที่ 3 ยังมีมติให้มีการจัดตั้ง “แนวร่วมรักชาติประชาธิปไตย” ซึ่งเป็นการรวมกำลังของทั้งกรรมกร, ชาวนา, นายทุน, และผู้ที่รักชาติรักประชาธิปไตยทั้งมวล (จินดา, 2517: 19 - 21. และ บัญชา, 2528: 40), และที่ประชุมสมัชชายังได้ประกาศนโยบายเฉพาะหน้า 12 ประการ (รายละเอียดของนโยบายทั้ง 12 ข้อ และการเปลี่ยนแปลงเป็นนโยบายเฉพาะหน้า 10 ประการในเวลาต่อมาในเดือนธันวาคม พ.2511 ใน จินดา, 2517: 22-27 และ 32–34). ในปี พ.. 2505 พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยจึงได้ดำเนินการเปิดสถานีวิทยุเสียงประชาชนแห่งประเทศไทย ซึ่งมีที่ตั้งอยู่ในเขตประเทศเวียดนาม และเริ่มออกอากาศกระจายเสียงโจมตีรัฐบาลไทยเป็นประจำทุกวันตั้งแต่วันที่ 2 มีนาคม พ.. 2505, และต่อมาใน พ.. 2510 ได้ย้ายไปยังเมืองคุนหมิง สาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งออกอากาศจนกระทั่งยุบเลิกไปในปี พ.. 2522 (ธำรง, 2536: 56; และ ฤดี, 2539: 77).

จากการที่รัฐบาลจอมพลสฤษดิ์มุ่งที่จะปราบปรามคอมมิวนิสต์อย่างเข้มงวดจริงจัง และมติจากการประชุมสมัชชาครั้งที่ 3 ทำให้พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยที่เคยเคลื่อนไหวอยู่ในเมืองเริ่มที่จะมุ่งเข้าไปยึดที่มั่นอยู่ในป่าโดยเฉพาะในเขตภาคอีสาน เพื่อหลบหลีกการตามกวาดล้างของรัฐบาล และเคลื่อนไหวปลุกระดมมวลชนในชนบท ตามวิธีการที่เรียกว่า “ป่านำบ้าน” หรือ “ชนบทล้อมเมือง”.  วิธีการ “ป่านำบ้าน” เกิดจากการหลบหนีเอาตัวรอดของพวกคอมมิวนิสต์ที่ถูกรัฐบาลตามกวาดล้างตามหมู่บ้านต่างๆ เมื่อไม่มีทางหนีไปไหนก็ได้เข้าไปหลบซ่อนอยู่ตามดงตามป่าใกล้ๆ บ้าน, โดยกลางวันหลบอยู่ในป่า กลางคืนจึงเข้ามาที่บ้าน ข้าวปลาอาหารทางบ้านเป็นคนหาให้, ข่าวคราวต่างๆ ทางบ้านเป็นคนสืบเสาะและรายงาน เพื่อให้หลีกพ้นจากการจับกุมของทางการ ซึ่งทำให้ทางการไม่สามารถจับตัวได้.  ป่ากลายเป็นที่ที่มีความปลอดภัย มีความเป็นอิสระ และสามารถกลายเป็นแหล่งรวบรวมคนเพื่อเคลื่อนไหวในการปฏิวัติต่อไปได้ โดยมีคนที่อยู่ในหมู่บ้านคอยสนับสนุน. สมมติฐาน “ป่านำบ้าน” เกิดขึ้นในปี พ.. 2506 และทำให้สถานะของฝ่ายคอมมิวนิสต์กระเตื้องขึ้นคือ จากการที่ตกเป็นฝ่ายที่ถูกกระทำมาเป็นฝ่ายกระทำ โดยมีการจัดตั้งคนในบ้าน มีเสบียงอาหาร และได้รับข่าวต่างๆ จากชาวบ้าน.  ต่อมาผู้ที่เข้าไปอยู่ในป่าไม่ได้มีเพียงแต่คนที่อยู่ในหมู่บ้าน แต่ผู้ที่หนีการจับกุมจากในเมืองเข้าไปก็มี และทำให้ป่าที่มีคนเข้าไปถึงนี้กลายเป็นที่ตั้งของโรงเรียนการเมือง โรงเรียนการทหาร  ค่ายฝึกทหาร บ้านพัก โรงพยาบาล สำนักพิมพ์และโฆษณา ทัพพลาธิการ หน่วยสื่อสาร ฯลฯ และได้กลายเป็นฐานกำลังของคอมมิวนิสต์ในสงครามประชาชนในเวลาต่อมา. “ป่า” ในความหมายของการเคลื่อนไหวของคอมมิวนิสต์คือ “ฐานการเคลื่อนไหวของคน” (พ. เมืองชมพู, 2532: 42 – 43), หรือ “ฐานการปฏิบัติการของคน”.  “ป่านำบ้าน” เป็นรูปแบบการเข้าหาประชาชน หรือเป็นรูปแบบการนำความคิดปฏิวัติไปให้แก่ประชาชน ซึ่งเกิดขึ้นภายใต้การปราบปรามอย่างรุนแรงของรัฐบาล (พ. เมืองชมพู, 2532: 75). เมื่อค้นพบวิธี “ป่านำบ้าน” แล้ว ขบวนการคอมมิวนิสต์จึงได้เริ่มมีการเตรียมต่อสู้ด้วยอาวุธอย่างจริงจังในปี พ.. 2506 กล่าวคือเริ่มหาอาวุธมาติดให้แก่หน่วยงานในป่าและทหารบ้านบางส่วนที่อยู่ในบ้าน.   กล่าวคือ พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยเริ่มดำเนินการสร้างฐานที่มั่นในเขตป่าเขา แต่ยังคงให้หน่วยงานต่างๆ พยายามหลีกเลี่ยงการปะทะกับฝ่ายรัฐบาล  โดยนอกจากไม่ให้ไปโจมตีฝ่ายรัฐบาลแล้ว แม้ถูกตีแต่ถ้าหลีกเลี่ยงได้ก็ให้หลีกเลี่ยง. ทั้งนี้เนื่องจากเงื่อนไขที่จะตอบโต้กันด้วยอาวุธหรือทำสงครามกับกองกำลังของรัฐบาลนั้นยังไม่พร้อม เพราะมวลชนที่ให้การสนับสนุนอุดมการณ์ปฏิวัติ และการต่อสู้ของคอมมิวนิสต์ยังมีไม่มากเพียงพอ (พ. เมืองชมพู, 2532: 89-91).

ต่อมาในเดือนตุลาคม พ.. 2507 องค์กรนำของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย หรือ พคท. ได้ตกลงที่จะใช้หน่วยกองกำลังในป่าเป็นเครื่องมือหลักในการปฏิวัติของพรรคฯ และเปลี่ยนแนวทางการเคลื่อนไหวให้เมืองเป็นฝ่ายสนับสนุนการเคลื่อนไหวในชนบทแทนที่การเคลื่อนไหวในเมืองจะมีบทบาทนำเช่นเดิม (จินดา, 2517: 28). ในปี พ.ศ. 2507 นี้ พคท. ได้จัดตั้งแนวร่วม คือ องค์การอาสากู้ชาติ และขบวนการเอกราชแห่งประเทศไทยขึ้นมาอีกในวันที่ 1 พฤศจิกายน โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะขับไล่อเมริกาออกจากดินแดนไทย. กล่าวคือใน ค.. 1961 (พ.ศ. 2504) รัฐบาลไทยได้ทำข้อตกลงกับสหรัฐฯ ที่เรียกว่า “Rusk-Thanat Agreement”  โดยได้ร่วมกันออก “แถลงการณ์ถนัด-รัสค์” เมื่อวันที่ 6 มีนาคม ค.ศ. 1962 ว่าสหรัฐฯ “ถือว่าการรักษาความเป็นเอกราชและบูรณภาพของประเทศไทยนั้นมีความสำคัญต่อผลประโยชน์แห่งชาติของสหรัฐอเมริกา และต่อสันติภาพของโลกด้วย” โดยสหรัฐฯ แสดงความตั้งใจอย่างแน่วแน่ของประเทศสหรัฐอเมริกาที่จะช่วยเหลือประเทศไทย ซึ่งเป็นพันธมิตรและมิตรประเทศ ทางประวัติศาสตร์แห่งการต่อต้านการรุกรานและการแทรกซึมบ่อนทำลายของคอมมิวนิสต์. นอกจากนี้จึงยังได้ประกาศความพยายามร่วมกันของรัฐบาลของทั้งสองประเทศในการที่จะเพิ่มสมรรถภาพและความพร้อมรบของกองทัพของไทย เพื่อป้องกันประเทศไทย  โดยสหรัฐฯ จะให้ความช่วยเหลือในเรื่องนี้อย่างเต็มที่ และจะเพิ่มการส่งกำลังอาวุธให้แก่ประเทศไทยให้มากที่สุดที่จะกระทำได้ในอนาคต (ดูเอกสารในภาคผนวก 3 และ แบรดลี และจุลชีพ, 2535: 311-313). ตามข้อตกลงรัสค์-ถนัดนั้นรัฐบาลไทยยินยอมให้กองทัพสหรัฐฯ เข้ามาตั้งฐานทัพในประเทศไทย 7 แห่ง และมีกำลังพลทหารมากเกือบ 45,000 คน เพื่อเป็นฐานส่งกำลังไปรบสกัดกั้นการรุกรานของฝ่ายคอมมิวนิสต์ในประเทศอินโดจีน (Wyatt, 1984: 285-290). พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยจึงโจมตีรัฐบาลไทยว่าเป็นสมุนรับใช้ “จักรพรรดินิยมอเมริกา” และเพื่อโค่นรัฐบาลเผด็จการของจอมพลถนอมเพื่อสร้างประชาธิปไตยที่แท้จริง  และต่อมาในวันที่ 1 มกราคม พ.. 2508 ก็ได้ประกาศจัดตั้ง “แนวร่วมรักชาติแห่งประเทศไทย” ขึ้น โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อขับไล่จักรวรรดินิยมอเมริกา, สร้างรัฐบาลในระบอบประชาธิปไตย, และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน (จินดา, 2517: 29-31). ในส่วนการเคลื่อนไหวของคอมมิวนิสต์ในเมืองโดยเฉพาะในหมู่กรรมกรก็ยังคงมีอยู่ เช่น การประกาศจัดตั้งสหพันธ์กรรมกรผู้รักชาติแห่งประเทศไทย ในวันที่ 1 พฤษภาคม พ.. 2508.

วันที่ 7 สิงหาคม พ.. 2508 เป็นวันที่เกิดการปะทะของหน่วยลาดตระเวนของ พคท. กับตำรวจโดยบังเอิญที่หมู่บ้านนาบัว ตำบลเรณูนคร จังหวัดนครพนม ซึ่งทำให้ฝ่ายคอมมิวนิสต์เสียชีวิต 1 คน. เสียงปืนที่ดังขึ้นในวันนั้นกับการสังเวยชีวิตของกองกำลังคอมมิวนิสต์เป็นคนแรกเนื่องจากการปะทะกับทางการในวันนี้นำไปสู่การเปิดสงครามระหว่าง พคท. กับรัฐบาล จึงทำให้เรียกวันนี้กันในเวลาต่อมาว่า “วันเสียงปืนแตก” (พ. เมืองชมพู, 2532: 27). หลังจากเหตุการณ์เสียงปืนแตก โดยไม่ได้เจตนาของหน่วยลาดตระเวนคอมมิวนิสต์ ได้ทำให้องค์การนำของ พคท.[10] จะต้องให้คำตอบและชี้แนะว่า พคท. พร้อมที่จะเปิดการทำสงครามได้หรือยัง.  การประชุมของกรมการเมือง ซึ่งเป็นองค์กรนำสูงสุดที่มีหน้าที่กำหนดนโยบายในปี พ.. 2508 (พ. เมืองชมพู, 2532: 90). หลังเหตุการณ์ “วันเสียงปืนแตก” นั้นที่ประชุมได้มี “มติ 2508” อนุมัติให้ตอบโต้ฝ่ายรัฐบาลได้ ซึ่งเท่ากับเป็นการเปิดการทำสงครามอย่างเป็นทางการ,  แต่การเปิดการทำสงครามในแต่ละเขตนั้นไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้นพร้อมกันทุกแห่ง และให้เน้นสร้างฐานกำลังในเขตป่าเขา หรือเขตภู แทนที่จะเป็นเขตที่ราบ เพื่อความปลอดภัยจากการค้นหาและโจมตีโดยกำลังของฝ่ายรัฐบาล (พ. เมืองชมพู, 2532: 110).[11] หลังจากการตกลงให้เปิดการทำสงครามกับรัฐบาลอย่างเป็นทางการ  ต่อมาในวันที่19 พฤศจิกายน พ.. 2508  พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยก็ได้จัดตั้งกองทหารขึ้นในชื่อว่า “พลพรรคประชาชนต่อต้านอเมริกาแห่งประเทศไทย” (พล. ปตอ.) ที่ภูกะเสด ตำบลโพนทอง อำเภออำนาจเจริญ จ. อุบลราชธานี และต่อมาในวันที่ 1 มกราคม พ.. 2512 ก็ได้เปลี่ยนชื่อเป็น “กองทัพปลดแอกประชาชนแห่งประเทศไทย” (ทปท.) ซึ่งเป็นกองกำลังติดอาวุธที่จะเป็นกองกำลังหลักในการต่อสู้กับกองกำลังของรัฐบาล (จินดา, 2517: 34-35). กล่าวได้ว่า หลังจากเหตุการณ์ “วันเสียงปืนแตก” วิธีการดำเนินงานของ พคท. ได้เปลี่ยนไปมุ่งเคลื่อนไหวอยู่ในชนบท เพื่อทำการปลุกระดมชาวนา และจัดตั้งมวลชนในหมู่บ้าน รวมถึงต่อสู้กับการปราบปรามด้วยวิธีการรุนแรงของรัฐบาล.

การเคลื่อนไหวของคอมมิวนิสต์ในเขตอีสานตั้งแต่ปี พ.. 2508 จนถึงปี พ.. 2516 นั้นได้พัฒนาจากการสร้าง “ที่มั่น” เป็น “ฐานที่มั่น” ซึ่งมีลักษณะเป็นฐานที่มั่นทางทหาร เพื่อเป็นที่พักพิงของการทำสงครามจรยุทธ์ และขยายสงครามดังกล่าวออกไป (พ. เมืองชมพู, 2532: 295). แต่พอถึง พ.. 2516 พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยก็ได้มีมติของกรรมการพรรคในเขตภาคอีสานให้สร้างลักษณะของ “เขตปลดปล่อย”[12] คือพื้นที่ที่ขบวนการปฏิวัติสร้างอำนาจรัฐใหม่ขึ้นมาต่อต้านกับอำนาจรัฐเก่าอย่างเปิดเผย บนพื้นที่ที่เคยเป็น “ฐานที่มั่น” ซึ่งได้ทำสงครามกับรัฐมาถึง 8 ปีแล้ว (พ. เมืองชมพู, 2532: 302).  การโค่นล้มอำนาจรัฐเก่าในหมู่บ้านแห่งแรกในเขตภาคอีสานเริ่มขึ้นในวันที่ 16 กันยายน พ.. 2516 โดยพิธีการโค่นอำนาจรัฐเก่านั้นจะมีการกล่าวโทษของผู้ใหญ่บ้านเก่า จากนั้นก็ลงมติปลดออกจากตำแหน่ง แล้วแต่งตั้งคนใหม่ที่ตระเตรียมมากันไว้ก่อนแล้วโดยพรรคคอมมิวนิสต์ขึ้นมาแทน แล้วจึงมีการฉลองกันอย่างครื้นเครง. จนถึงวันที่ 27 กันยายน พ.. 2516 พคท. ได้มี “ฐานที่มั่น” หรือเขตปลดปล่อยบนพื้นที่เล็กๆ สามจุดเกิดขึ้นในภาคอีสาน ซึ่งได้แก่ “ฐานที่มั่นสระบุรี” มีหมู่บ้านที่ปลดปล่อยแล้ว 7 – 8 หมู่บ้าน,  “ฐานที่มั่นเพชรบุรี” มีหมู่บ้านที่ปลดปล่อยแล้ว 3 – 4 หมู่บ้าน และ “ฐานที่มั่นบ้านขอน” มีหมู่บ้านที่ปลดปล่อยแล้ว 2 หมู่บ้าน โดยฐานที่มั่นทั้งหมดจะกินพื้นที่ยาวประมาณ 60 กิโลเมตร และกว้างประมาณ 15 กิโลเมตร (พ. เมืองชมพู, 2532: 306–307). การสร้างอำนาจรัฐขึ้นมาใหม่ท้าทายอำนาจรัฐเดิมทำให้กำลังทหารฝ่ายรัฐบาลทำการโจมตีฐานที่มั่นและหมู่บ้านในเขตปลดปล่อยเหล่านี้อย่างหนัก.  ส่วนฝ่ายคอมมิวนิสต์ก็ได้ร่วมกำลังกันเข้ามาพิทักษ์เขตปลดปล่อยนี้เช่นกันสงครามการสู้รบตลอดปี พ.. 2517.  อย่างไรก็ตาม กำลังของขบวนการคอมมิวนิสต์ไม่อาจต่อสู้กับกำลังทหารของรัฐบาลได้ เขตปลดปล่อยของคอมมิวนิสต์ในเขตภาคอีสานจึงต้องสลายตัวลงไปใน ปี พ.. 2518 ซึ่งต่างจากทางภาคเหนือ (พ. เมืองชมพู, 2532: 311).

การปฏิบัติการของคอมมิวนิสต์ในภาคเหนือนั้น อาศัยจังหวะขณะที่รัฐบาลกำลังดำเนินยุทธการกวาดล้างอย่างขนานใหญ่บนเทือกเขาภูพาน (.. 2509 – 2510) ทำการเคลื่อนไหวปลุกระดมชาวบ้านร้านถิ่นทั่วไป  โดยเริ่มจากพื้นที่ตรงมุมสุดทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของจังหวัดน่าน แถวบริเวณภูพยัคฆ์  และเริ่มจากการที่ทรง นพคุณได้เข้าไปบุกเบิกพื้นที่ โดยเริ่มติดต่อกับประชาชนในท้องถิ่นซึ่งเป็นชนชาติลัวะเพื่อสร้างที่มั่นของฝ่ายคอมมิวนิสต์ จนมีฐานเพียงพอที่จะให้คนนอกซึ่งเป็นคอมมิวนิสต์ได้เข้าไปเสริมอยู่ด้วย.  ภูพยัคฆ์ได้กลายเป็นฐานที่มั่นของ พคท. ที่มีกำลังพร้อมจะทำการสู้รบกับกองกำลังของรัฐบาลที่ตั้งรักษาการณ์ที่อยู่บนภูพยัคฆ์ได้ โดยอาศัยการสู้รบครั้งใหญ่ๆ เพียง 4 ครั้ง  ซึ่งทำให้พื้นที่สองฟากแม่น้ำจ้างและแม่น้ำรีที่อยู่ทางทิศเหนือของภูพยัคฆ์และพื้นที่ทางตะวันตกที่ยืดยาวมาจรดฝั่งแม่น้ำน่านของภูพยัคฆ์ได้รับการ “ปลดปล่อย” เป็น “เขตปลดปล่อย” ของ พคท. แห่งแรกใน พ.. 2511.  ต่อมากองกำลังของคอมมิวนิสต์ที่นำโดยทรง นพคุณก็ได้ขยายอิทธิพลต่อไปเรื่อยๆ โดยส่วนหนึ่งไปทางตะวันตกซึ่งเป็นเขตของพวกม้ง, ส่วนหนึ่งไปทางใต้จนถึงห้วยจะแลง ซึ่งเป็นเขตของชาวลัวะอีกตระกูลหนึ่ง และอีกส่วนหนึ่งภายใต้การนำของดำริห์ เรืองสุธรรมได้บุกเข้าไปถึงเขตภูหินร่องกล้าและสามารถปลดปล่อยเขตภูหินร่องกล้าทั้งหมดได้ แล้วจึงส่งกำลังอีกส่วนหนึ่งไปยึดเขาค้อไว้ทั้งหมด (พ. เมืองชมพู, 2532: 217 – 218).

ในภาคใต้นั้นก่อนปี พ.. 2508 ได้มีฝ่ายพลพรรคของ พคท. เข้าไปเคลื่อนไหวอยู่ในเขตอำเภอบ้านนาสาร และอำเภอเวียงสระ.  แต่วัน “เสียงปืนแตก” ของ พคท. ในพื้นที่ภาคใต้ได้เกิดขึ้นในวันเดียวกันที่บ้านนาบัว นครพนม  โดยเกิดเหตุการณ์ขึ้นที่ตำบลบ้านส้อง อำเภอเวียงสระ จ. สุราษฎร์ธานี เมื่อกองกำลังของ พคท. ได้ยิงผู้ใหญ่บ้านคนหนึ่งเสียชีวิต และหลังจากนั้นรัฐบาลก็เริ่มปราบปรามคอมมิวนิสต์อย่างหนัก.  ผลจากการปราบปราม จับกุม และสังหาร ผู้ที่สงสัยว่าเป็นคอมมิวนิสต์ ทำให้ประชาชนอพยพจากหมู่บ้านพากันหลบหนีขึ้นไปอยู่ในป่าเขา และได้มีการตั้ง “ค่าย 508” อันเป็นฐานที่มั่นของคอมมิวนิสต์ในเขตจังหวัดสุราษฎร์ธานี รวมทั้งมีการก่อตั้งกองทัพปลดแอกประชาชนแห่งประเทศไทยของเขตสุราษฎร์ธานีในเวลาต่อมา.  การปราบปรามของรัฐบาลอย่างหนักทำให้พวกคอมมิวนิสต์ต้องเข้าไปอยู่ในป่าลึก  และทำให้การติดต่อกับหมู่บ้านและตลาดในพื้นราบเป็นเรื่องยากลำบาก. พลพรรคคอมมิวนิสต์จึงได้เตรียมขยายตั้งเขตงานของฐานที่มั่นใหม่ไปถึงที่อำเภอท่าศาลา นครศรีธรรมราช และเขตอำเภอกาญจนดิษฐ์ สุราษฎร์ธานีใน พ.. 2511 โดยเรียกว่า “ค่าย 511”.  หลังจากนั้นก็เกิดยุทธการปราบปรามครั้งรุนแรงของรัฐบาลที่เรียกว่า “ถีบลงเขา เผาลงถังแดง” ขึ้นใน พ.. 2514 – 2515 ทั้งในเขตพื้นที่จังหวัดสุราษฎ์ธานี นครศรีธรรมราช และพัทลุง. การปราบปรามครั้งนี้ทำให้ประชาชนในหมู่บ้านต้องหนีเข้าป่าเป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นการเสริมให้ พคท. และกองทัพปลดแอกฯ มีความเข้มแข็งขึ้น และกองกำลังของ พคท. ก็ยิ่งเพิ่มจำนวนมากขึ้นอีกจากการหลบหนีเข้าป่าของนักศึกษาและปัญญาชนในช่วงปลายปี พ.. 2519 ภายหลังเกิดเหตุการณ์เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 ขึ้นที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งทำให้มีการขยายเขตงานฐานที่มั่นใหม่อีกเป็นจำนวนมากในเขตจังหวัดภาคใต้ เช่น ระนอง ชุมพร กระบี่ พัทลุง เพื่อรองรับปริมาณคนที่เพิ่มขึ้น และหนีการปิดล้อมของเจ้าหน้าที่รัฐบาล (สุรชัย, 2541: 238 – 242). ส่วนสาเหตุหลักที่ทำให้มีนักศึกษาจำนวนมากหลบหนีเข้ามาร่วมขบวนการปฏิวัติของ พคท. หลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2516 นั้นเกิดจากการที่ พคท. มุ่งที่จะปฏิบัติงานในชนบทเป็นหลักในการปฏิวัติ ซึ่งเป็นผลจากมติจากสมัชชาที่ 3 ใน พ.. 2504 นั้นทำให้การเคลื่อนไหวของ พคท. ในเขตเมืองลดน้อยลงไป โดยจะเป็นในลักษณะแฝงเข้ากับกลุ่มองค์กรต่างๆ เช่น สหภาพกรรมกร หรือในกลุ่มนักศึกษาปัญญาชน.  ในส่วนของการเคลื่อนไหวของนักเรียน นักศึกษา และประชาชนในเหตุการณ์ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516  ก็เป็นเหตุการณ์ที่มาจากการริเริ่มและก่อการของนักเรียน นักศึกษา และประชาชนเอง โดยที่ พคท. มิได้เข้าไปมีบทบาทโดยตรง แต่ก็ระดมกำลังคนทั้งหมดที่อยู่ในเมืองเคลื่อนไหวในหมู่กรรมกรและประชาชน รวมทั้งมีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็นอย่างใกล้ชิดกับกลุ่มแกนนำในการเคลื่อนไหว ผ่านผู้ปฏิบัติงานของ พคท. ที่อยู่ในเมืองด้วย (สมศักดิ์, 2542: 80). หลังจากเหตุการณ์ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 แล้ว งานแนวร่วมในเมืองของ พคท. จึงมีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว โดยมีการเผยแพร่แนวคิดลัทธิมาร์กซ์-เลนิน และทฤษฎีปฏิวัติรูปแบบต่างๆ อย่างกว้างขวาง.  กล่าวได้ว่า ความคิดสังคมนิยม-คอมมิวนิสต์เป็นที่รู้จักและยอมรับกันอย่างแพร่หลายในหมู่ประชาชนโดยทั่วไป โดยเฉพาะในกลุ่มนักศึกษา ปัญญาชน และเป็นการดำเนินการในลักษณะที่เรียกว่า  “ป่าประสานเมือง” โดยมุ่งที่จะผลักดันให้เกิดการเคลื่อนไหวต่อสู้ของมวลชนในเมืองมากขึ้น รวมทั้งการต่อสู้ในชนบทก็มีเพิ่มมากขึ้นด้วยพร้อมๆ กัน ซึ่งเป็นการพยายามประสานการต่อสู้ด้วยอาวุธในป่าเข้ากับการต่อสู้โดยสันติในเขตเมือง (ธำรงค์, 2536: 57). ดังนั้นเมืองเกิดเหตุการณ์รุนแรงในกรณี 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 จึงเป็นแรงผลักดันให้นักศึกษา ปัญญาชน หลายพันคนเลือกที่จะเข้าป่าไปร่วมปฏิวัติกับ พคท. และกองกำลังปฏิบัติการในป่าของ พคท. ก็ได้เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว.

                การทะลักเข้าไปในป่าของนักศึกษาหัวก้าวหน้าจำนวนมากกลับกลายเป็นจุดหักเหสำคัญที่นำไปสู่การล่มสลายของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศในเวลาต่อมา.  กล่าวคือ แนวทางการปฏิวัติแบบ “ชนบทล้อมเมือง” ที่ พคท. ใช้นี้เป็นนโยบายที่ถือปฏิบัติมาตั้งแต่การประชุมสมัชชาครั้งที่ 2 เมื่อปี พ.ศ. 2495 ซึ่งนำเอาตัวแบบและประสบการณ์ปฏิวัติของพรรคคอมมิวนิสต์จีนมาใช้ทั้งหมด  ทั้งๆ ที่โครงสร้างสังคมการเมืองไทยมีความแตกต่างจากโครงสร้างสังคมการเมืองจีน.  การยึดถือในยุทธศาสตร์ปชนบทล้อมเมืองดังกล่าวเป็นสาเหตุความขัดแย้งอย่างรุนแรงภายในพรรคระหว่างผู้หัวก้าวหน้าซึ่งเป็นนักศึกษาปัญญาชนกับสมาชิกระดับนำที่มีแนวคิดแบบอนุรักษ์นิยม  เพราะทั้งสองฝ่ายมีโลกทัศน์ในการมองและวิเคราะห์ปัญหาที่แตกต่างกัน. กล่มุนักศึกษาโจมตีว่าสมาชิกระดับยึดถือแนวทางปฏิวัติของเหมาเจ๋อตุงมากเกินไป ทำให้วิเคราะห์สังคมไทยผิดพลาด เพราะในระยะเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมานั้นสภาพเศรษฐกิจและสังคมการเมืองไทยได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก โดยได้พัฒนามาเป็นสังคมทุนนิยมหรือกึ่งทุนนิยมแล้ว จึงไม่มีความจำเป็นต้องใช้แนวทางปฏิวัติแบบชนบทล้อมเมือง ซึ่งให้ความสำคัญกับการต่อสู้ในชนบทมากกว่าในเมือง แต่ควรจะให้ความสำคัญกับการเคลื่อนไหวต่อสู้ในเขตเมืองมากกว่าในชนบท  เพราะชนบทไม่ได้เป็นพลังสำคัญแต่เพียงหนึ่งเดียวอีกต่อไปในเศรษฐกิจสังคมไทย.  นอกจากนี้ยังมีปัญหา เช่น ปัญหาประชาธิปไตยภายในพรรค เนื่องจากการเป็นเผด็จการและไม่ยอมรับฟังความเห็นผู้อื่นของระดับนำ, การเล่นพรรคเล่นพวก, การขาดความเป็นธรรมภายในพรรค, การที่ผู้นำไม่มีคุณสมบัติและความรู้ความสามารถไม่เป็นที่ยอมรับเนื่องจากเป็นคนจีนที่อายุมากและมีความคิดเก่าๆ เป็นต้น. การที่ระดับนำของ พคท. ไม่ยอมเปลี่ยนแปลงนโยบายเพราะกลัวการสูญเสียบทบาทในการนำนั้นทำให้ค่อยๆ สะสมความไม่พอใจและนำไปสู่การเกิด “วิกฤตศรัทธา” ขึ้นจนไม่สามารถอยู่ร่วมกันต่อไปได้  นักศึกษา ปัญหาชนหัวก้าวหน้าจำนวนมากจึงออกมามอบตัวเป็นจำนวนมากในป่วงปี พ.ศ. 2523-2524  โดยมีเงื่อนไขที่เป็นตัวเร่งสำคัญอีกสอง 2 ประการ คือ การที่จีนเลิกให้การสนับสนุนพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยอีกต่อไป ซึ่งเป็นผลมาจากการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยกับจีนในการให้ความช่วยเหลือแก่กลุ่มเขมรสามฝ่ายที่จีนให้การสนับสนุนในการต่อต้านการยึดครองของเวียดนามซึ่งสหภาพโซเวียตให้การสนับสนุนอยู่นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2519 เป็นต้นมา โดยที่รัฐบาลไทยตั้งเงื่อนไขขอให้จีนเลิกให้ความช่วยเหลือแก่ พคท. ในการปฏิวัติในประเทศไทย. ส่วนเงื่อนไขที่สำคัญอีกประการที่กลายเป็น “ฟางเส้นสุดท้าย” ที่นำไปสู่การล่มสลายของ พคท. คือ นโยบาย 66/2523. การประกาศใช้นโยบาย 66/2523 ของรัฐบาลที่ปรับแนวทางการต่อสู้ของตนใหม่ ซึ่งเป็นการรุกทางยุทธศาสตร์การเมืองต่อ พคท. และแนวร่วมของ พคท. ประสานกับการรุกทางยุทธศาสตร์การทหาร โดยมีเป้าหมายสำคัญคือการพัฒนาระบอบประชาธิปไตยและเศรษฐกิจของประเทศให้มีความมั่นคง และเปิดโอกาสให้ผู้ที่เข้าร่วมกับ พคท. กลับมาใช้ชีวิตในสังคมปกติได้โดยไม่มีความผิด ขณะเดียวกันก็เร่งดำเนินปฏิบัติการทางทหารเพื่อทำลายฐานที่มั่นและกำลังของ พคท. ในพื้นที่ป่าเขาทั่วประเทศ. การประกาศใช้นโยบาย 66/2523 เป็นช่วงที่ปัญหาความขัดแย้งภายในพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยมีความรุนแรงถึงขีดสุด  ดังนั้นเมื่อรัฐบาลเปิดโอกาสให้กลับสู่เมืองได้ก็ทำให้บรรดา “ซ้ายอกหัก” ทั้งหลายที่ผิดหวังและไม่เห็นด้วยกับระดับนำของพรรคเข้ารายงานตัวต่อเจ้าหน้าที่จำนวนมากอย่างต่อเนื่อง. โดยเฉพาะช่วงหลังการประชุมสมัชชาครั้งที่ 4 ของ พคท. เมื่อปี พ.ศ. 2525 ที่ทำให้ผู้ปฏิบัติงานของ พคท. ออกมอบตัวทั้งเขตงานและเป็นกลุ่มต่อเนื่องกันเป็นระยะ โดยที่ พคท. ไม่สามารถที่จะลดหรือหยุดยั้งกระแสดังกล่าวได้ ทำให้สถานะของ พคท. ตกต่ำลงอย่างถึงขีดสุด  ซึ่งทำให้พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยและขบวนการเคลื่อนไหวของคอมมิวนิสต์ในประเทศไทยได้จบชีวิตลงอย่างเป็นทางการ ก่อนหน้าอวสานของการต่อสู้ทางอุดมการณ์ระหว่างเสรีนิยมประชาธิปไตยกับสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ในช่วงสงครามเย็นซึ่งสิ้นสุดลงในปี ค.ศ. 1989-1991 เพียงไม่กี่ปี (ดูรายละเอียดในวิทยานิพนธ์ของ ธำรงค์, 2536).

 

รัฐไทยในกระแสจักรวรรดินิยมทางเศรษฐกิจ-วัฒนธรรมหลังยุคสงครามอุดมการณ์

ขณะที่ความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจในเอเชียก่อนหน้าที่จะเกิดวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจนั้นเป็นผลโดยตรงจากความขัดแย้งในสงครามเย็น กล่าวคือ ความขัดแย้งในสงครามเย็นได้ชักนำเอาเม็ดเงินจำนวนมหาศาลจากสหรัฐฯ มายังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พร้อมกับการเปิดกว้างของตลาดการค้าในสหรัฐฯ สำหรับสินค้าจากประเทศพันธมิตรที่ร่วมกันต่อต้านคอมมิวนิสต์ในช่วงสงครามเย็น ซึ่งทั้งสองประการนี้ได้กลายเป็นพื้นฐานที่มาของความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจนานนับเกือบ 4 ทศวรรษของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้.  การยุติของสงครามเย็นทำให้เงื่อนไขดังกล่าวหมดลงไปด้วย พร้อมกับการพยายามผลักดันของสหรัฐฯ ให้ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เปิดเสรีทางการเมืองและเศรษฐกิจ.  แต่การณ์กลับปรากฏว่าเมื่อประเทศต่างๆ เหล่านี้โดยเฉพาะประเทศไทยได้ทำการเปิดเสรีทางการเงิน โดยปราศจากพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่เข้มแข็งมารองรับอย่างแท้จริง, การเปิดเสรีทางการเงินจึงกลับเป็นเครื่องมือที่เร่งไปสู่ความหายนะทางเศรษฐกิจ.  ความเต็บโตเข้มแข็งทางเศรษฐกิจของประเทศไทยในช่วงหลังสงครามเย็นนั้นเป็นการเติบโตในภาคธุรกิจการเงินเป็นหลัก โดยในการเก็งกำไรในตลาดหุ้นและในตลาดอสังหาริมทรัพย์, และโดยที่แทบไม่มีการลงทุนในภาคการผลิตที่แท้จริงและไม่มีการลงทุนในการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตเพื่อก้าวหนีการเร่งไล่ของประเทศกำลังพัฒนาอื่นๆ เพื่อยกระดับการผลิตของประเทศไปสู่ภาคการผลิตที่มีพื้นฐานอยู่ที่การใช้เทคโนโลยีที่ซับซ้อนมากยิ่งขึ้นแทนที่จะต้องพึ่งพิงความได้เปรียบของการเป็นประเทศที่มีแรงงานราคาถูกแต่เพียงอย่างเดียว, เพราะความได้เปรียบในเรื่องแรงงานราคาถูกได้สูญเสียไปให้แก่ตลาดการลงทุนในเวียดนามและอินโดนีเซีย.  การเติบโตทางเศรษฐกิจในภาคการเงินโดยไม่มีพื้นฐานของภาคการผลิตรองรับทำให้สภาพเศรษฐกิจไทยอยู่ในสภาวะของเศรษฐกิจแบบฟองสบู่ ซึ่งเมื่อภาพลวงตาของการเติบโตได้สูญสิ้นไปก็ทำให้ฟองสบู่นั้นแตกดับสูญสลายไปเหมือนความฝันในชั่วตื่น.

นอกจากนี้ควรกล่าวไว้ด้วยว่า พลวัตที่ผลักดันให้เกิดการขยายตัวทางด้านเศรษฐกิจของเอเชียนับตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมาอยู่ในระบบความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจของโลกระหว่างสามภูมิภาค คือสหรัฐ, ญี่ปุ่น และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งทำหน้าที่เป็นทั้งแหล่งวัตถุดิบและแหล่งระบายสินค้าสำคัญ โดยที่ความมั่งคั่งและสมบูรณ์พูนสุขของญี่ปุ่นมาจากการผลิตในภาคหัตถอุตสาหกรรม, ในขณะที่ของสหรัฐฯ จะมาจากภาคการเงินการคลัง.  ความแตกต่างของที่มาแห่งการเติบโตทางเศรษฐกิจดังกล่าวทำให้สองมหาอำนาจทางเศรษฐกิจวางนโยบายในการแก้ปัญหาวิกฤตการณ์เศรษฐกิจในเอเชียแตกต่างกัน  กล่าวคือ ขณะที่ญี่ปุ่นไม่ถอนทุนออกจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และยังเพิ่มทุนเข้ามาอีก รวมทั้งพยายามสร้างเสถียรภาพด้านการเงินในภูมิภาคนี้ด้วยข้อเสนอจัดตั้งกองทุนการเงินเอเชีย (ซึ่งถูกไอเอ็มเอฟและสหรัฐขัดขวางตกไป), ขณะที่ฝ่ายสหรัฐฯ พยายามผลักดันให้เปิดเสรีทางด้านการเงินการคลังอย่างเต็มที่  เพราะผลประโยชน์ของสหรัฐอยู่ที่การหากำไรกับการลงทุนระยะสั้นในภาคการเงิน.  คนที่หากำไรจากทุน อาทิ เล่นหุ้นหรือซื้อพันธบัตรนั้นย่อมต้องการบรรยากาศที่เสรีอย่างเต็มที่เพื่อเคลื่อนย้ายเงินทุนของตัวไปสู่จุด/แหล่งที่ทำกำไรสูงสุดอยู่ตลอดเวลา และไม่อยากให้ทุนไปจมปลักอยู่กับด้านการผลิตในภาคหัตถอุตสาหกรรมซึ่งย่อมให้ผลตอบแทนช้ากว่า,  ธรรมชาติของการหากำไรจากทุนจึงมักเป็นการลงทุนระยะสั้น.  ความแตกต่างระหว่างพื้นฐานทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่นกับสหรัฐฯ จึงถือเป็นโครงสร้างความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่ครอบงำเอเชียอาคเนย์ในอดีตตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จนถึงปัจจุบัน  และในทางกลับกันก็ทำให้ผลประโยชน์ของภูมิภาคนี้ต้องตกอยู่ในภาวะความขัดแย้งระหว่างสองแนวทางดังกล่าว. ทางเลือกของประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็คือ จะต้องเลือกระหว่างทุนที่เข้ามาอย่างวูบวาบฉาบฉวย กับการย้ายฐานการผลิตด้านอุตสาหกรรมเข้ามาในประเทศเพื่อใช้ประโยชน์จากเงื่อนไขดังกล่าวมาฟื้นฟูและพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศต่อไป  เช่น หาทางจับทุนที่โฉบเข้ามาอย่างฉาบฉวยเหล่านั้นมาก่อประโยชน์เพื่อสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ, หรือเปิดกว้างให้แก่การย้ายฐานการผลิตด้านอุตสาหกรรมเข้ามาในประเทศ พร้อมกับพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของประเทศให้ทันโดยไม่เสียเปรียบแก่ทุนต่างชาติ (นิธิ, 2542: 6).

อย่างไรก็ตาม  นิธิ เอียวศรีวงศ์ได้ตั้งคำถามต่อข้อเสนอของทากาชิ ชิโรชิในข้างต้นนั้นว่า “กรอบอันนี้เปิดกว้างแค่ไหน? กว้างพอหรือไม่สำหรับการที่คนไทยจะรอดพ้นจากการเอารัดเอาเปรียบของทุนโลกในอนาคต หรืออย่างน้อยก็เพิ่มอำนาจการต่อรองให้แก่คนไทยได้มากขึ้น หรือกรอบอันนี้แคบมากเสียจนไม่มีอนาคตอะไรสำหรับคนไทยมากไปกว่าหากินกับการเป็นนายหน้าค้าที่ดินและเป็นกัปตันร้านอาหาร ซึ่งทำหน้าที่เป็นเอเย่นต์ค้าเด็กเสิร์ฟและนักร้องไปพร้อมกัน  หรือมิฉะนั้นก็เป็นโฟร์แมนในโรงงานประกอบรถยนต์ซึ่งใช้แรงงานพม่าและเขมร…ผมรู้สึกว่าไม่มีใครชัดเจนสักฝ่ายเดียวว่าเราจะกู้เศรษฐกิจของเราอย่างไร  จะต้องทำหรือไม่ ทำอะไร และต้องวางระดับความสำคัญก่อนหลังอย่างไร ฯลฯ  เราเถียงกันมาก  แต่ไม่มีฝ่ายใดมีแผนที่ชัดเจนของเส้นทางที่จะว่าออกไปจากวิกฤตนั้น  และไม่ค่อยชัดว่าแล้วจะฝ่าไปสู่อะไร ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล, ฝ่ายค้าน หรือองค์กรทางสังคม  ฝ่ายเดียวที่มีแผนที่ชัดเจนที่สุดคือไอเอ็มเอฟ นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้แผนที่ของเขามีพลังครอบงำสูงสุด  แต่น่าเสียดายที่แผนที่ของเขาเป็นแผนที่ซึ่งไม่ได้วางไว้สำหรับประโยชน์ของคนไทย” (นิธิ, 2542: 6).

                ผลสืบเนื่องสำคัญของวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในประเทศไทยนับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2540 เป็นต้นมานั้นทำให้เกิดคำถามที่สำคัญตามมาคือ อำนาจอธิปไตยของชาติกำลังถูกแทรกแซงโดยมหาอำนาจทุนนิยมตะวันตกผ่านเครื่องมือที่เป็นองค์การระหว่างประเทศที่ดูแลระบบเศรษฐกิจการเงินการค้าระหว่างประเทศอย่างเช่น สถาบันการเงินระหว่างประเทศและธนาคารโลก. ปัญหาสำคัญที่สังคมไทยจะต้องตอบตัวเองให้ได้ก็คือ ประเทศไทยจะยืนอยู่อย่างไรในประชาคมโลกยุคหลังสงครามเย็นที่มีระบบที่ครอบงำโลกอยู่คือระบบทุนนิยมเสรีประชาธิปไตย ที่เอื้อต่อการแสวงหาผลประโยชน์ของระบบทุนมากกว่าการพัฒนาความเป็นมนุษย์.  ในท่ามกลางภาวะของการแข่งขันกันอย่างเสรี (โดยไม่ได้เท่าเทียมกันอย่างแท้จริง) ในยุคปัจจุบัน  สังคมไทยจึงต้องเลือกอีกเช่นกันว่าจะเลือกวิถีทางแห่งการพัฒนาประเทศอย่างเป็นอิสระและอย่างมีศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์  หรือจะเดินตามวิถีทางแห่งการพัฒนาที่ตะวันตกเป็นผู้กำหนดเพื่อครอบงำและขูดรีดประเทศในโลกที่สามไปหล่อเลี้ยงความจำเริญเติบโตในศูนย์กลางของโลก โดยที่พลเมืองโลกในที่อื่นๆ ไม่ได้รับส่วนแบ่งจากการพัฒนาอย่างเต็มศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์อย่างเท่าเทียมกัน.

(กรุณาอ่านเอกสารเต็มฉบับเรื่อง “คุณภาพชีวิตสำหรับชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้: ปฏิทินแห่งความหวัง จากครรภ์มารดาถึงเชิงตะกอน” ของอาจารย์ป๋วย อึ้งภากรณ์ในภาคผนวก 8).

 



[1] ปรับปรุงจากบทความของผู้เขียนเรื่อง “การทำตะวันตกให้เป็นตะวันออกของสยาม: การตอบโต้รับมือกับวาทกรรมความเป็นอื่นของมิชชั่นนารีตะวันตกโดยปัญญาชนสยามในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 รัฐศาสตร์สาร ปีที่ 20 ฉบับที่ 3 (2541): 253-313.

[2] พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ เมื่อทรงเถลิงราชสมบัติแล้วก็ทรงเสด็จประพาสต่างประเทศหลายครั้งมาก กล่าวคือ ประพาสเมือง “มลายูต่างประเทศ” เมื่อ พ.. 2443, ประพาสเกาะชวา 3 ครั้ง เมื่อพ.. 2413, 2439, และ 2444, เสด็จประพาสเมืองอินเดียและพม่าเมื่อ .. 2414 , และต่อมาได้เสด็จนานาประเทศในยุโรปถึง 2 ครั้ง เมื่อพ.. 2440 และ 2450. กรุณาดู สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ, “คำนำ” ใน จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, 2466: (3).

[3] ปรากฏว่าพอเกิดเหตุการณ์ที่ฝรั่งเศสเรียกร้องให้สยามยกดินแดนฝั่งขวาแม่น้ำโขง คือในพระตะบองและเสียมราษฎร์ในปี พ.ศ. 2446  อังกฤษก็ไม่ได้ช่วยเหลือรัฐบาลไทยแต่อย่างใด, นอกจากนี้คลีเมนต์ สมิท ข้าหลวงใหญ่อังกฤษประจำสเตรตส์เซตเทิลเมนต์ยังเคยเสนอให้อังกฤษขยายดินแดนอาณานิคมของตนเองขึ้นไปจนถึงบางสะพาน (เพ็ญศรี, 2542: 131).

[4] สรุปความจาก Soontravanich, 1997; และดู ฉลอง, 2542: 1-36.

[5] แน่นอนว่า การเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อ พ.ศ. 2475 เป็นผลมาจากสาเหตุหลายประการ โดยเฉพาะปัญหาวิกฤตทางเศรษฐกิจที่รุนแรงในช่วงหลายเดือนก่อนหน้านั้น, แต่ในที่นี้จำกัดการอธิบายไว้เฉพาะในประเด็นเรื่องสำนึกเรื่องความเป็นพลเมืองเกี่ยวกับเรื่องความเจริญก้าวหน้าของประเทศ. เกี่ยวกับรายละเอียดทั้งในช่วงก่อนหน้าและหลังการเปลี่ยนแปลงเมื่อ พ.ศ. 2475 นั้นกรุณาดู บัทสัน (2543).

[6] แม้ว่าจะยังมีปัญหาอยู่ในปัจจุบันเกี่ยวกับท่าทีของฝ่ายพระราชวงษ์ที่มีต่อพระองค์เจ้าบวรเดช และเป้าหมายที่แท้จริงของการดำเนินการของพระองค์ (บัทสัน, 2543: 355-356), แต่จากการสืบสวนในภายหลังพบว่าเลขานุการของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ คือพระองค์เจ้าวิบูลสวัสดิ์ ก็เป็นผู้หนึ่งที่ให้เงินสนับสนุนแก่การก่อการกบฏเป็นเงินจำนวนถึง 200,000 บาท. ดู Barme, 1993: footnote 141, p. 101 and 84-86.

[7] เนื้อหาเกี่ยวกับประวัติพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยได้รับเอื้อเฟื้อข้อมูลจากชนิดา พรหมพยัคฆ์ ซึ่งกำลังเขียนวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาโท สาขาประวัติศาสตร์อยู่ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เรื่อง “ธงไตรรงค์กับอุดมการณ์รัฐ”.

[8] คำว่า “อย่างเป็นทางการ” นี้ไม่ได้หมายถึงการจดทะเบียนเป็นพรรคการเมืองกับรัฐบาลไทย  แต่หมายถึงการจัดตั้งพรรคที่มีการกำหนดตำแหน่งหน้าที่ต่างๆ ภายในพรรคและกำหนดบทบาทนโยบายของพรรคที่ชัดเจน.

[9] ต่อมาองค์การนี้ได้ยุบเลิกไปหลังจากรัฐบาลได้จับกุมผู้ก่อการในครั้งที่เรียกว่า “กบฏสันติภาพ” ในวันที่ 10 พฤศจิกายน 2495. ดู (บัญชา, 2528: 33 และ จินดา, 2517: 12.

[10] ระเบียบการของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยที่กำหนดในสมัชชาที่ 3.. 2504 กำหนดให้ “องค์การนำสูงสุดจะประกอบด้วยสองส่วนคือ กรมการเมือง และ สำนักเลขาธิการ โดยมีเลขาธิการใหญ่เป็นผู้ดำเนินงานทั่วไป ผู้ดำรงตำแหน่งนี้ในสมัชชาที่ 3 คือ เจริญ วรรณงาม. กรมการเมืองทำหน้าที่กำหนดนโยบายใหญ่ๆ ของพรรคโดยการประชุมปีละครั้งสองครั้ง มีสมาชิกทั้งหมดรวมเลขาธิการใหญ่ด้วย 7 คน ได้แก่ พายัพ อังคสิงห์ ธง แจ่มศรี ทรง นพคุณ รวม วงศ์พันธุ์ ประสิทธิ์ ตะเพียนทอง และใช้ (ไม่ทราบนามสกุล). สำนักเลขาธิการจะนำนโยบายที่กำหนดโดยกรมการเมืองมาปฏิบัติให้เป็นรูปธรรม โดยมีสมาชิกจำนวน 5 คน รวมเลขาธิการใหญ่ ซึ่งจะต้องทำงานร่วมกันอย่างสม่ำเสมอ ได้แก่ วิรัช อังคถาวร, ประสิทธิ์ เอี่ยวฉาย, ดำริห์ เรืองสุธรรม, และอัศนี พลจันทร์. งานของสำนักเลขาธิการควรจะมีสำนักงานเป็นการถาวรเพื่อที่จะได้ดำเนินงานได้ แต่การปราบปรามอย่างรุนแรงของรัฐบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจับกุมและประหารชีวิต “รวม วงศ์พันธุ์” ทำให้สมาชิกในองค์กรนำต้องหลบซ่อน และหลบหนีออกจากกรุงเทพฯ และกระจายกันไปคนละทิศทาง ดังเช่น อัศนี พลจันทร์ ได้ไปเป็นผู้แทนพรรคอำนาจเต็มอยู่ต่างประเทศ ทรง นพคุณ และดำริห์ เรืองสุธรรม ไปบุกเบิกงานในภาคเหนือ, ประสิทธิ์ ตะเพียนทอง ไปบุกเบิกงานในทางอีสานใต้, ผิน บัวอ่อน รับผิดชอบบุกเบิกงานทางภาคกลางสืบต่อจากรวม วงศ์พันธุ์, ส่วนประเสริฐ เอี่ยวฉาย รับผิดชอบงานแนวร่วม และงานมวลชนในกรุงเทพฯ, พายัพ อังคสิงห์ ย้ายไปต่างประเทศ,  เจริญ วรรณงาม และวิรัช อังคถาวร จะรับผิดชอบงานทั่วไปและงานทางด้านอีสาน. กรมการเมืองได้แก้ปัญหาดังกล่าวโดยยุบเลิกสำนักเลขาธิการ และจัดตั้งองค์การนำสูงสุดขึ้นใหม่เรียกว่า “ศูนย์การนำ” ประกอบด้วย เจริญ วรรณงาม (ดูแลงานทั่วไปและงานในป่า), ประเสริฐ เอี่ยวฉาย (ดูแลงานในเมือง งานแนวร่วมนักศึกษา ปัญญาชน กรรมกร), และพายัพ อังคสิงห์(ดูแลหน่วยงานในต่างประเทศและความสัมพันธ์กับต่างประเทศ) ใน พ.. 2506. ต่อมาในช่วงพ.. 2513 ถึง พ.. 2525  พคท. ก็หันไปใช้ระบบ “กรมการเมืองประจำ” อันประกอบด้วย เจริญ วรรณงาม, วิรัช อังคถาวร, และธง แจ่มศรี  ซึ่งการจัดการนำเช่นนี้เป็นการรวมอำนาจการจัดการไว้ที่คนกลุ่มเดียว.  ส่วนกรมการเมืองก็มีการเปลี่ยนแปลงในระหว่างสมัชชาที่ 3 (2504 – 2525) คือ รวม วงศ์พันธุ์ เสียชีวิตไปนั้นผิน บัวอ่อนได้ขึ้นมาแทนประมาณ พ.. 2508, และเมื่อผินถูกจับ สัมผัส  พึ่งประดิษฐ์ ขึ้นมาแทนในพ.. 2511, ต่อมาสัมผัส พึ่งประดิษฐ์หายตัวไป ดำริห์ เรืองสุธรรม ขึ้นมาแทน พ.. 2514,  ใช้ ถูกจับ วิรัช อังคถาวรจึงเข้ามาแทนใน พ.. 2511, พายัพ อังคสิงห์ถึงแก่กรรม อุดม สีสุวรรณ ขึ้นมาแทนในพ.. 2519. ส่วน เจริญ วรรณงาม ดำรงตำแหน่งเลขาธิการใหญ่ ตั้งแต่พ.. 2504 ถึงพ.. 2523 จนถึงแก่กรรมด้วยโรคมะเร็งในตับ โดยมีธง แจ่มศรี รับตำแหน่ง “ว่าที่เลขาธิการใหญ่” จนถึง พ.. 2524 จึงเป็นเลขาธิการใหญ่จนสิ้นสุดสมัชชาที่ 3.. 2525, . เมืองชมพู, 2532: 98 – 101.

[11] จนกระทั่งถึงวันเสียงปืนแตกนั้น มีพวกคอมมิวนิสต์ที่ขึ้นไปสร้างที่มั่นอยู่ในป่า ตามวิธีการ “ป่านำบ้าน” จัดตั้งขึ้นกระจายอยู่ทั่วไป. โดยบนภูพานและที่ราบนาแกและเรณูนคร นำโดยเจริญ วรรณงาม เลขาธิการ พคท., เขตดงหลวง นำโดยวิรัช อังคถาวร สมพงษ์ พึ่งประดิษฐ์ และสุกิจ มีเสือ, เขตภูแผงม้า จังหวัดยโสธร นำโดย ปั่น แก้วมาตย์, เขตดงพระเจ้า นำโดย ธง แจ่มศรี สุวิทย์ เนียมสา และสมพงษ์ ทับขวา, เขตละหานทราย จังหวัดบุรีรัมย์นำโดย ประจวบ เรืองรัตน์และ วินัย เพิ่มพูนทรัพย์, เขตจังหวัดสุราษฎร์ธานี นำโดย ประสิทธิ์ เทียนศิริ และสิน เติมหลิ่ม, เขตประจวบคีรีขันธ์ นำโดย ผิน บัวอ่อน และสัมผัส พึ่งประดิษฐ์, เขตภาคเหนืออยู่ติดกับชายแดนจังหวัดน่าน นำโดยทรง นพคุณ และดำริห์ เรืองสุธรรม, เขตตะวันออกติดจังหวัดอุบลราชธานี นำโดยประสิทธิ์ ตะเพียนทอง และนาม (ไม่ทราบนามสกุล), . เมืองชมพู, 2532: 43-44.

[12] “ที่มั่น” (strong hold) คือ จุดที่หน่วยจรยุทธ์ปักหลักดำเนินการต่อสู้ โดยมีการสนับสนุนของมวลชนในหมู่บ้านช่วยเหลือ เป็นพื้นที่ที่มีการซ้อนทับกันอยู่ระหว่างอำนาจรัฐเก่ากับอำนาจรัฐใหม่ที่ซ่อนอยู่อย่างลับๆ ที่มั่นจะไม่เป็นเป้านิ่งเพราะหน่วยจรยุทธ์จะเคลื่อนที่อยู่ตลอดเวลา ตามพื้นที่ที่มีมวลชนในหมู่บ้าน (ซึ่งอยู่ประจำที่สนับสนุน). ส่วน “ฐานที่มั่น” (base หรือ millitary base) คือองค์รวมของ “ที่มั่น” จำนวนมากที่พัฒนาจากสภาพที่ห่างกันเป็นจุดๆ จนสามารถติดต่อกันจนกลายเป็นพืด เนื่องจาก “ฐานที่มั่น” ตั้งอยู่บนพื้นฐานของที่มั่น จึงไม่เป็นเป้านิ่งในการโจมตีของรัฐบาล. แต่ “เขตปลดปล่อย” คือพื้นที่ที่มวลชนที่อยู่ตามหมู่บ้านได้หลุดพ้นจากการควบคุมทางการทหารและการปกครองจากอำนาจรัฐเก่าแล้วโดยสิ้นเชิง และได้มีการสร้างอำนาจรัฐใหม่ขึ้นมาอย่างเปิดเผยขึ้นมาเพื่อต่อสู้แข่งขันกับอำนาจรัฐเก่า, พ. เมืองชมพู, 2532: 294 – 295.