Shakespeare

.

จุลสารศิลปศาสตร์สำนึก

Liberal Thoughts

Volume 1, Number 6 * Cover Date: November, 2001



ไม้เรียง : สำนึกชุมชนพึ่งตนเอง

โดย ตฤณ สุขนวล นักศึกษาปริญญาโทสาขาวัฒนธรรมศึกษา สำนักวิชาศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์

บทนำ

ภาคใต้เป็นภาคที่มีสภาพทางภูมิศาสตร์ที่มีลักษณะพิเศษที่แตกต่างจากภาคอื่น คือมีลักษณะเป็นแหลมยื่นยาวออกไปในทะเล มีทะเลขนาบอยู่ทั้งสองด้านจากสภาพทางภูมิศาสตร์ที่มีทั้งพื้นที่ส่วนที่ติดกับทะเล พื้นที่ส่วนที่เป็นที่ราบชายฝั่ง และพื้นที่สูงภูเขา ทำให้สภาพการตั้งหลักแหล่งของชุมชนมีความแตกต่างกัน มีวิถีชีวิตและวิถีการผลิตที่ไม่เหมือนกัน กล่าวคือชุมชนที่ตั้งหลักแหล่งอยู่ริมฝั่งทะเลทั้งฝั่งตะวันออกและตะวันตกเหมาะแก่การประกอบอาชีพการประมง ชุมชนในพื้นที่ราบชายฝั่งและลุ่มน้ำมีสภาพเหมาะสำหรับการทำนา และชุมชนในพื้นที่สูงภูเขา เหมาะสำหรับการทำสวน ทำให้ภาคใต้มีวิถีชีวิตและการผลิต ที่หลากหลาย

จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นจังหวัดหนึ่งในภาคใต้ที่เป็นพื้นที่ที่มีวิถีชีวิตและวิถีการผลิตครบทั้ง ๓ ลักษณะดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น เนื่องจากมีสภาพพื้นที่ทั้งที่เป็นพื้นที่ริมฝั่งทะเล พื้นที่ราบชายฝั่งลุ่มน้ำ และพื้นที่สูงภูเขา ซึ่งทำให้ชุมชนในนครศรีธรรมราชมีวิถีชีวิตและวิถีการผลิตที่แตกต่างกัน จากวิถีชีวิตและวิถีการผลิตที่แตกต่างกันทำให้เกิดการพึ่งพาอาศัยกันและกันมาตั้งแต่อดีตจนมี “ตำนานเกลอเขาเกลอเล”1 เกิดขึ้นเป็นเครื่องยืนยันถึงความ สัมพันธ์ระหว่างชุมชนและเห็นถึงวิถีผลิตที่แตกต่างมีการพึ่งพาซึ่งกันและกันนับตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน

ชุมชนไม้เรียง เป็นชุมชนหนึ่งในจังหวัดนครศรีธรรมราชที่มีประวัติความเป็นมายาว นานกว่า ๑๐๐ ปี มีการเกิดขึ้น ดำรงอยู่ และการต่อสู้เพื่อการดำรงอยู่ของชุมชน อย่างเข้มข้นชุมชนหนึ่ง จนได้รับการยอมรับว่าเป็นชุมชนที่เข้มแข็ง มีการพึ่งตนเองภายในชุมชนสูง อันเป็นผลมาจากการมีวิถีชีวิตและการผลิตที่สอดคล้องกับทรัพยากรธรรมชาติของชุมชน และมีการพัฒนาศักยภาพทรัพยากรบุคคลของชุมชนอย่างต่อเนื่อง ชุมชนไม้เรียงเป็นชุมชนที่มีความเป็นตัวตนของชุมชนที่เด่นชัดทั้งในด้านวิธีคิด วิถีการดำรงชีวิตและวิถีการผลิตของชุมชน ซึ่งแสดงถึงสำนึกแห่งความเป็นชุมชนร่วมกันที่พัฒนาไปสู่การพึ่งตนเองอย่างยั่งยืน นอกจากนั้นยังมีส่วนสำคัญในการเผยแพร่และพัฒนาแนวคิดนี้ออกไปสู่ชุมชนรอบข้าง จนเกิดเครือข่าย “ยมนา” ขึ้นและยังก้าวไปสู่การมีส่วนผลักดันให้ไปสู่นโยบายระดับชาติอีก ด้วย ชุมชนไม้เรียงจึงเป็นชุมชนต้นแบบอีกชุมชนหนึ่งที่เชื่อมั่นและยึดถือแนวคิดการพึ่งตนเองอันเป็นแนวคิดที่สำคัญและเหมาะสมสำหรับสังคมชุมชนหมู่บ้านไทยในปัจจุบันจนเกิดผลสัมฤทธ์นำไปสู่การพึ่งตนเองของชุมชนในที่สุด



ประวัติความเป็นมาของชุมชน

ประมาณปี พ.ศ. ๒๔๔๐ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ทรงกระจายอำนาจการปกครองไปสู่หัวเมือง โดยแบ่งการปกครองออกเป็นหมู่บ้าน ตำบล อำเภอและจังหวัด ตำบลไม้เรียงอยู่ในพื้นที่ราบสูงเชิงเขาศูนย์ 2 มีประชากรอาศัย อยู่ไม่กี่ครอบครัว เรียกว่า “บ้านทุ่งดอกไม้” หรือ “บ้านทุ่งไหม้” ในปัจจุบัน ต่อมาชุมชนได้มีการขยายตัวออกเรื่อย ๆ จนมีประชากรพอที่จะตั้งตำบลได้ แต่ยังติดอยู่ที่ชื่อตำบลว่าจะชื่ออะไรดี เจ้าหน้าที่จากอำเภอฉวางได้เดินทางมาสำรวจมาสำรวจภูมิประเทศในพื้นที่นี้ ได้เดินทางผ่านทุ่งนาแถวบ้านเกาะเหรียง เมื่อเจ้าหน้าที่หันหน้าไปทางเขาศูนย์ ทำให้มองเห็นทิวไม้เรียงลำต้นกันเป็นแถวตั้งแต่ริมทุ่งไปจดยอดเขา ซึ่งเป็นต้นไม้ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ดูแล้วเป็นระเบียบสวยงามมาก จึงได้เสนอชื่อ “ไม้เรียง” ในที่ประชุมอำเภอ ที่ประชุมเห็นชอบจึงได้เกิดมีชื่อ “ตำบลไม้เรียง” นับตั้งแต่นั้นมา

ตำบลไม้เรียงเป็นตำบลหนึ่งในอำเภอฉวาง จังหวัด นครศรีธรรมราช ที่มีทรัพยากรที่สำคัญทางธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ เป็นทรัพยากรแหล่งแร่ที่สำคัญของชาติเดิมมีการขุดแร่วุลแฟรมกันมากที่บนเขาศูนย์ ต่อมาทางกองทัพภาคที่ ๔ เห็นว่าพื้นที่เขาศูนย์ เป็นแหล่งซ่องสุมกำลังและเสบียงอาหารของฝ่ายที่มีอุดมการเป็นปฏิปักษ์กับการปกครองในระบอบประชาธิปไตยและเป็นพื้นที่ปัญหาที่ก่อให้เกิดความไม่สงบ ปัญหาอาชญากรรมต่าง ๆ เกิดขึ้น โดยขณะนั้นแม่ทัพภาคที่ ๔ (พลเอกหาญ ลีนานนท์) ได้กำหนด “นโยบายใต้ร่มเย็น ๒/๒๕๒๓” เพื่อเป็นการยุติสถานการณ์ที่มีความรุนแรงภายในพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช และทุกพื้นที่ในจังหวัดภาคใต้ จากการที่ได้นำนโยบายดังกล่าวมาใช้ทำให้การ ขุดแร่บนเขาศูนย์ถูกปิดนับตั้งแต่นั้นมา ตำบลไม้เรียงได้พัฒนามาโดยลำดับด้วยความยั่งยืนและมั่นคง ประกอบกับชุมชนมีทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ ผู้นำในตำบลที่มีศักยภาพ ทำให้ชุมชนไม้เรียงเป็นชุมชนที่เข้มแข็งและพึ่งตัวเองได้อีกชุมชนหนึ่งในนครศรีธรรมราช



วิธีคิดและประสบการณ์การพัฒนาของชุมชนไม้เรียง

ชุมชนไม้เรียงเป็นชุมชนที่มีวิถีชีวิตและวิถีการผลิตที่เหมือนกับชาวใต้ที่มีแหล่งที่ตั้งชุมชนตามไหล่เขาทั่ว ๆ ไป คือมีอาชีพทำสวนยางเป็นอาชีพหลัก เพราะพื้นที่ส่วนใหญ่ของชุมชนเป็นภูเขา ส่วนพื้นที่ราบก็จะมีการทำสวนผลไม้และทำนา การประกอบอาชีพของชาวชุมชนไม้เรียงในอดีตไม่ได้มุ่งไปที่การผลิตเพื่อขาย แต่มีลักษณะเป็นการผลิตแบบสังคมบุพกาล คือผลิตเพื่อใช้บริโภคในครัวเรือนและแลกเปลี่ยนผลผลิตระหว่างกัน มีการนำไปขายบ้างก็มีเพียงจำนวนน้อย การทำสวนยางพาราแต่เดิม ก่อนปีพ.ศ. ๒๕๐๕ นั้นไม่ได้ทำเป็นอาชีพหลักเช่นในปัจจุบัน มีการปลูกยางตามธรรมชาติ มีการทำนา และหาของป่า เป็นต้น แต่เมื่อปี ๒๕๐๕ 3 ได้เกิดมหาวาตภัยทำให้บ้านเรือน ทรัพย์สินต่างๆ รวมทั้งยางพาราเสียหายแทบทั้งหมด ชาวบ้านเกิดความยากลำบากอย่างมาก ต่อมาชาวบ้านจึงได้เริ่มฟื้นฟูชุมชนและอาชีพ โดยการปลูกยางพาราในพื้นที่ที่โดนพายุทำลาย และในปี ๒๕๐๖ ได้เกิดมีกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยางที่ให้การสนับสนุนการทำสวนยางแก่ชาวบ้าน โดยให้ปลูกในระบบอุตสาหกรรมตามแบบสมัยใหม่คือปลูกพืชเชิงเดี่ยว เป็นเหตุให้ชาวบ้านยึดเอาการปลูกยางเป็นอาชีพหลักนับแต่นั้นมา



วิถีชีวิต วิถีการผลิต : การดำรงอยู่และเปลี่ยนแปลงของชุมชน

ชุมชนไม้เรียงเป็นชุมชนที่แต่ดั้งเดิมมามีลักษณะเป็นเครือญาติที่สืบเนื่องมาจากบรรพบุรุษที่บุกเบิกชุมชนมา ๔ ตระกูล คือ ธรฤทธิ์ , โนวัฒน ์, อุบล และไม้เรียง การขยายตัวเติบโตขึ้นของชุมชนไม้เรียงเกิดจากปัจจัยทั้งภายในและภายนอก ปัจจัยภายใน ก็คือการแยกและขยายครอบครัวของลูกหลานคนไม้เรียง ปัจจัยภายนอก คือ การเคลื่อนย้ายเข้ามาของคนในชุมชนใกล้เคียง และอิทธิพลของการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจากคนและธรรมชาติ เป็นผลให้ชุมชนไม้เรียงมีปฏิสัมพันธ์กับภายนอกมากขึ้น ซึ่งได้แก่

๑)การสัมปทานการตัดไม้ในพื้นที่ตำบลไม้เรียง ชาวบ้านไม้เรียงได้มาเป็นผู้รับจ้างบริษัทสัมปทาน ผลที่ตามมาก็คือได้มีการขยายที่ทำกินกันมากขึ้นเมื่อป่าธรรมชาติที่ถูกตัดโค่นเสื่อมโทรมลง

๒) การตัดทางรถไฟสายใต้ มีการตัดทางรถไฟผ่านตำบลไม้เรียง เป็นการเปิดชุมชนออกสู่โลกกว้าง และเกิดการติดต่อปฏิสัมพันธ์กับผู้คนหลากหลายถิ่นที่เข้ามา

๓)เกิดเหตุวาตภัยเมื่อปี๒๕๐๕ ทำให้ผลผลิตของชุมชนได้รับความเสียหายแทบทั้งหมดทั้งไม้ผลและยางพารา ชาวบ้านแทบสิ้นเนื้อประดาตัว มีเพียงนาข้าวและการปลูกพืชระยะสั้นหลังวาตภัยที่ยังพอพยุงชุมชนอยู่ได้ ต่อมาทางกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยางก็ได้เข้ามาช่วยเหลือในการฟื้นฟูอาชีพการทำสวนยาง พื้นที่ทำกินของชุมชนเกือบทั้งหมดยกเว้นที่นาก็กลายเป็นสวนยางพาราซึ่งมีการขยายพื้นที่อย่างมากในช่วงนี้เอง

ชุมชนไม้เรียงเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วนับจากปัจจัยภายนอกเข้ามามีอิทธิพลในการกำหนดการตัดสินใจเลือกวิถีการผลิตและวิถีชีวิต นับจากนั้นเป็นต้นมาไม้เรียงก็ก้าวเข้าสู่ระบบเกษตรกรรมเชิงเดี่ยวที่มียางพาราเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญที่กำหนดชีวิตและการเปลี่ยนแปลงที่ตามมา การปฏิสัมพันธ์ที่เคยมีอยู่ในแวดวงเฉพาะชุมชนหรือชุมชนใกล้เคียงก็เริ่มขยายไปสู่การปฏิสัมพันธ์กับภายนอกมากยิ่งขึ้นตามกระแสทุนนิยมตามแบบโลกสมัยใหม่

ในช่วงเริ่มต้นการปลูกยางพาราเป็นพืชเศรษฐกิจเชิงเดี่ยว ชุมชนไม้เรียงต้องประสบกับปัญหาสภาวะการตลาดตกต่ำ การทำยางแผ่นส่งขายพ่อค้าถูกขูดรีดอย่างหนักเพราะพ่อค้ามีทุนและข้อมูลข่าวสารการตลาดอยู่ในมือทำให้ชุมชนไม่มีพลังต่อรองใด ๆ ต่อมาในปี ๒๕๑๐ กรมส่งเสริมการเกษตรและสหกรณ์ได้จัดประกวดยางแผ่นขึ้นในงานเทศกาลปีใหม่ที่อำเภอฉวาง เพื่อส่งเสริมการปรับปรุงคุณภาพยางแผ่น ชุมชนไม้เรียงก็ได้ส่งยางแผ่นส่งเข้าร่วมประกวดด้วย ภายหลังการประกวดปรากฏว่ามีพ่อค้ามาประมูล ยางแผ่นทั้งหมด ซึ่งมีราคาสูงกว่าท้องตลาดกิโลกรัมละ ๑ - ๒ บาท ชุมชนได้เริ่มเรียนรู้ว่าการที่จะทำให้ยางมีราคาดีได้นั้นขึ้นอยู่กับคุณภาพของยาง แต่เทคโนโลยีการผลิตของชาวบ้านยังต่ำ เป็นการผลิตแบบดั้งเดิมคือใช้มือทำทุกแทบกระบวนการ จึงทำให้ไม่สามารถรักษาคุณภาพยางแผ่นให้สม่ำเสมอได้

จากการเรียนรู้ดังกล่าว ผู้นำชุมชนจึงได้มาร่วมวิเคราะห์หาแนวทางในการพัฒนาคุณภาพยางแผ่นร่วมกัน และได้ติดต่อทางเกษตรอำเภอฉวาง เพื่อขอไปศึกษาดูงานการผลิตยางแผ่นอบแห้งที่องค์การสวนยางนาบอน จากการไปศึกษาดูงานของผู้นำชุมชนในครั้งนั้นทำให้ได้เรียนรู้วิธีการผลิตยางที่มีคุณภาพเพียงแต่มีเครื่องมือในการผลิตเท่านั้นชุมชนก็สามารถที่จะผลิตยางได้อย่างมีคุณภาพและผลิตได้ในปริมาณที่สูง แต่การเริ่มต้นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะต้องมีการลงทุนสูง ลำพังเพียงผู้นำชุมชนไม่กี่คนนั้นไม่สามารถจะทำได้ต้องอาศัยความร่วมมือจากคนในชุมชนด้วย กลุ่มผู้นำชุมชนจึงเริ่มทำงานทางความคิดกับชาวบ้าน โดยการอาศัยช่วงเวลาการทำงานของกลุ่มแรงงานที่ชาวบ้านจะรวมกลุ่มหมุนเวียนกันไปทำงานในสวนยางของสมาชิก ที่เรียกกันว่า “ซอมือ” หรือ ”ลงแขก” การทำงานเพื่อขยายความคิดนี้ใช้เวลาประมาณ ๒ ปี จนชาวบ้านเริ่มเข้าใจและเห็นด้วยที่จะร่วมกันผลิตยางที่มีคุณภาพ

ต่อมาจึงได้มีการเตรียมการตามแผนงานของชุมชน โดยได้ไปศึกษาดูงานที่โรงงานขององค์การสวนยางนาบอนอีกครั้งแต่ชุมชนเห็นว่าเครื่องจักรไม่ทันสมัย จึงได้ไปศึกษา ดูงานของโรงงานของเอกชนที่ อ.นาบอน จ.นครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นโรงงานที่ทันสมัย แม้จะไม่ได้รับข้อมูลที่ชัดเจนจากโรงงานมากนัก แต่ชาวบ้านก็ได้นำสิ่งที่เรียนรู้จากการศึกษาดูงานทั้ง ๒ แห่ง มาคุยกันเพื่อหาข้อสรุปที่ชัดเจนจนได้ข้อสรุปร่วมกัน ว่าจะ ต้องมีการสร้างโรงงานแปรรูปยางพาราของชุมชน แต่เมื่อศึกษา ถึงต้นทุนการผลิตแล้วก็เกิดปัญหา เพราะโรงงานที่มีกำลังการผลิต ๑๐ ตัน ต้องใช้งบประมาณถึง ๑๑ ล้านบาท จึงได้มาร่วมคิดกัน ในแกนนำพบว่ามีทางออกคือสร้างโรงงานขนาดเล็กและลด กำลังการผลิตลงโดยใช้ทุนในชุมชนเอง ในการจัดระดมทุนเพื่อ สร้างโรงงานนั้นแม้ว่าจะทำได้ไม่ง่ายนักแล้ว การจัดระบบการจัดการเพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นต่อสมาชิกชุมชนนั้นยิ่งยากกว่า จึงได้มีการประชุมหาแนวทางการจัดระบบการจัดการเพื่อรองรับการสร้างโรงงานขึ้นในที่สุดก็ได้ข้อสรุปร่วมกันว่าให้มีการจดทะเบียนจัดตั้งเป็น “กลุ่มเกษตรกร” ขึ้นเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่สมาชิกในชุมชน นี่จึงเป็นอีกก้าวที่สำคัญของการพัฒนาชุมชนไม้เรียง



กลุ่มเกษตรกรทำสวนยางไม้เรียง : วิธีคิดสู่ระบบธุรกิจชุมชน

เมื่อชุมชนได้ข้อสรุปในเรื่องการจัดตั้งกลุ่มเกษตรกรแล้ว ผู้นำกลุ่มก็ได้ติดต่อขอจดทะเบียนกับทางจังหวัด แต่ทางเกษตรจังหวัดเห็นว่ากลุ่มเกษตรกรต่าง ๆ ที่เคยจดทะเบียนถึง ๑๒๖ กลุ่มนั้นล้มไปเกือบหมดแล้ว จึงไม่อยากให้กลุ่มเกษตรกรทำสวนไม้เรียงจดทะเบียนเพิ่มความล้มเหลวอีกกลุ่มหนึ่ง โดยได้พยายามยกเหตุผลของความล้มเหลวของกลุ่มที่ผ่านมาให้ผู้นำกลุ่มฯเห็นเพื่อจะได้ล้มเลิกความคิดในการจดทะเบียนตั้งกลุ่มฯ แต่ก็ไม่ได้ผล ต่อมาผู้นำกลุ่มฯได้เข้าพบผู้ว่าราชการจังหวัดในขณะนั้น (เอนก สิทธิประศาสน์) เพื่อนำเสนอความคิดของชุมชนจนในที่สุดผู้ว่าราชการจังหวัดก็ได้ลงไป พบชาวบ้านในพื้นที่และได้เห็นความตั้งใจจริงของชุมชนในการที่จะจัดตั้งกลุ่มของชุมชน จึงได้สนับสนุนให้มีการจดทะเบียนจัดตั้งกลุ่ม ตามที่ชุมชนต้องการโดยใช้ชื่อว่า “กลุ่มเกษตรกรทำสวนยางไม้เรียง” เมื่อวันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๒๗

เมื่อได้มีการจัดตั้งกลุ่มแล้วก็ได้มีการระดมทุนในชุมชนมาสร้างโรงงานแปรรูปยางพาราโดยผู้นำกลุ่มได้บอกว่า



“เราใช้ความตั้งใจของแต่ละคน ต้องเอาจริง ไม่ได้เข้ามา ทำเพื่อหวังรวย หวังเป็นธุรกิจ คิดว่าช่วยกันทำยางให้มีคุณภาพและ ลดเวลาการทำงานของชาวบ้านลง เพราะการทำยางแผ่นดิบของ ชาวบ้านแต่ละครอบครัวเสียเวลามาก ถ้าไม่เสียเวลาทำยางแผ่นจะ มีเวลาทำอาชีพเสริมได้ ให้โรงจักรของเราทำให้”



ด้วยความเข้าใจและเชื่อมั่นของชุมชนโรงงานแปรรูปยางพาราของไม้เรียงจึงได้เกิดขึ้นด้วยการระดมทุนของชุมชนเป็นเงิน ๑ ล้านบาท และสามารถผลิตยางคุณภาพดีขายได้ราคาดี โดยเคยขายได้สูงถึง กก.ละ ๓๓ บาท ในขณะที่ท้องตลาดทั่วไปรับซื้อแค่ ๒๗ บาท (ปี ๒๕๓๑) จากการดำเนินด้วยความเอาจริงเอาจังดังกล่าวทำให้รัฐมาสนับสนุนให้ก่อสร้างโรงงานแปรรูปยางพาราที่กำลังผลิต ๔ ตันต่อวัน เมื่อปี ๒๕๓๗ แต่เมื่อมีโรงงานขนาดใหญ่ และมีกำลังการผลิตได้มากขึ้นก็ต้องประสบกับปัญหาภาวะตลาดที่ความต้องการในช่วงนั้นกลับลดต่ำลง เป็นผลให้ทุนหมุนเวียนของโรงงานไม่เพียงพอที่จะจ่ายให้กับสมาชิก จึงแก้ปัญหาโดยการไปติดต่อธนาคารโดยกลุ่มได้สร้างเครดิตกับธนาคารด้วยวิธีการที่ชาญฉลาดและน่าสนใจอย่างยิ่ง นั่นคือการให้สมาชิกไปเปิดบัญชีเงินฝากกับธนาคารโดยกลุ่มจะเป็นผู้ดำเนินการให้กับสมาชิก รวมทั้งสิ้น ๒๑๒ บัญชี และกลุ่มจะจ่ายเงินค่ายางให้แก่สมาชิกผ่านบัญชีธนาคาร เป็นการสร้างเครดิตระหว่างกลุ่มกับธนาคาร จนในที่สุดธนาคารก็ให้เครดิตกับกลุ่มโดยการจ่ายค่าน้ำยางให้แก่สมาชิกไปก่อนแล้วกลุ่มจะโอนเงินให้ธนาคารทีหลัง การดำเนินกิจการโรงงานแปรรูปยางพาราของชุมชนไม้เรียงจึงเป็นการดำเนินธุรกิจชุมชน โดยชุมชน และเพื่อชุมชนอย่างแท้จริง

อย่างไรก็ตามแม้ว่าการผลิตยางพาราที่เป็นอาชีพหลักของชุมชนไม้เรียงจะมีปัญหากับภาวะความผันผวนของระบบการเมืองภายในประเทศและกระแสตลาดโลก แกนนำและสมาชิกชุมชนไม้เรียงก็ไม่เคยหยุดนิ่งที่จะรอเพียงการตั้งรับกับกระแสภายนอก แต่ชุมชนไม้เรียงได้เตรียมยุทธศาสตร์ในการรุกคืบในการรักษาทุนนิยมท้องถิ่นไว้อย่างดียิ่งอีกด้วย กล่าวคือ แกนนำของชุมชนไม้เรียงมองว่า การผลิตยางพาราเป็นอาชีพเพียงอย่างเดียวแล้ว ปล่อยให้ขึ้นอยู่กับภาวะการตลาดนั้นไม่สามารถที่จะอยู่ได้อีกแล้ว เพราะคนในชุมชนต้องกินต้องใช้อยู่ตลอดเวลา การคิดพึ่งพิงยางเพียงอย่างเดียวตลอดไปนั้นไม่ได้ เพราะยางกินแทนข้าวไม่ได้4 จึงได้คิดการผลิตแบบครบวงจรในชุมชนเพื่อที่จะลดการบริโภคที่นำเข้ามาจากภายนอกชุมชนดังจะได้กล่าวถึงต่อไป



เครือข่ายการเรียนรู้ : วิธีคิดเพื่อเสริมสร้างพลังและศักยภาพของชุมชน

ความสำเร็จของโรงงานแปรรูปยางพาราของชุมชนไม้เรียง ชุมชนได้กลายเป็นที่ศึกษาดูงานของชาวสวนยางทั้งในจังหวัดนครศรีธรรมราชและจังหวัดใกล้เคียง โรงงานแปรรูปสวนยางของกลุ่มเกษตรกรสวนยางไม้เรียงได้เป็นต้นแบบให้แก่กลุ่มสวนยางต่าง ๆ มากมาย เช่น กลุ่มตำบลยางค้อม อ.พิปูน กลุ่มตำบลสระแก้ว อ.ท่าศาลา จ.นครศรีธรรมราช จนถึงกลุ่มที่อำเภอเวียงสระ จ.สุราษฎร์ธานี เป็นต้น ซึ่งกลุ่มต่าง ๆ เหล่านี้ได้มีการพัฒนาจน มีประสิทธิภาพที่ดีกว่าโรงงานของไม้เรียงหลายแห่งเพราะกลุ่มไม้เรียงต้องการที่จะให้ประสบการณ์ของกลุ่มเป็นบทเรียนกลุ่มอื่น ๆ จึงได้บอกถึงความสำเร็จความล้มเหลวของกลุ่มอย่างไม่ปิดบัง

จากการที่ได้มีความสัมพันธ์และแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันระหว่างชุมชนต่าง ๆ ที่มาศึกษาดูงานอย่างต่อเนื่องจึงได้มีการร่วมมือกันสร้างโรงงานแปรรูปยางพาราขึ้น ๑๑ โรงงานในกลุ่มพันธมิตรรุ่นแรก ๑๑ ชุมชน โดยได้งบประมาณจากทางราชการได้แก่ องค์การบริหารส่วนจังหวัด งบพัฒนาจังหวัด และจากสำนักงานเกษตรจังหวัดจากนั้นได้มีการทำกิจกรรมร่วมกันเพื่อพัฒนาผู้นำให้มีความรู้เรื่องการบริหารจัดการ เช่น การจัดศึกษาดูงาน การฝึกอบรม เป็นต้น จนมีมติรวมตัวกันเป็น “เครือข่ายยางพารานครศรีธรรมราช” ที่ชุมชนชาวสวนยางในนครศรีธรรมราชได้มาร่วมเครือข่ายกันเพื่อพัฒนาความร่วมมือด้านต่าง ๆ ของชุมชน คือ การก่อตั้งกองทุนหมุนเวียนเครือข่ายเพื่อสนับสนุนธุรกิจของทุกกลุ่ม ก่อตั้งศูนย์การตลาดร่วม เป็นต้น จากความสัมพันธ์ที่ต่อเนื่องยาวนานของเครือข่ายสวนยางพารา ได้มีการขยายความสัมพันธ์ไปสู่เครือข่ายไม้ผล และเครือข่ายชาวนาในลุ่มน้ำปากพนัง จากความสัมพันธ์กันระหว่างเครือข่ายในที่สุดก็ได้พัฒนามาเป็นเครือข่ายใหม่ระดับจังหวัด คือ “เครือข่ายยมนา”5 ที่เป็นการเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างชุมชน ๓ กลุ่มพื้นที่ คือชุมชนชาวสวนยาง ชุมชนชาวสวนผลไม้ ในเขตพื้นที่สูงภูเขา และชุมชนชาวนาในเขตลุ่มน้ำปากพนัง และนำไปสู่การทำโรงงานผลิตแป้งขนมจีนที่ อ.พรหมคีรี เพื่อเพิ่มมูลค่าข้าวของชาวลุ่มน้ำปากพนังให้มีราคายิ่งขึ้น6 เหล่านี้เป็นต้น

การสร้างเครือข่ายระหว่างองค์กรและชุมชนต่างๆ เป็นการปกป้องการรุกรานของระบบทุนนิยมจากภายนอกและรักษาระบบการพึ่งตนเองของชุมชนไว้ จนกระทั่งต่อมาได้มี การพัฒนาไปสู่การร่วมกันกำหนด “แผนแม่บทการพัฒนายางพาราไทย” ขึ้นมาเสนอแนวทางในการผลิตของชุมชนต่อรัฐบาล แผนแม่บทการพัฒนายางพาราไทยที่นำเสนอโดยเครือข่ายยางพารานครศรีธรรมราช มีการกำหนดตั้งแต่ขั้นตอนการผลิต การแปรรูปขั้นต้นที่ต้องเป็นอุตสาหกรรมชุมชน เพื่อให้วัตถุดิบหรือสินค้าที่อยู่ในมือของเกษตรกรจะต้องมีโกดังจัดเก็บ และเกษตรกรจะต้องเป็นผู้ควบคุมปริมาณออกสู่ท้องตลาดเอง เป็นต้น แม้จะว่าในที่สุดแผนแม่บทการพัฒนายางพาราไทย ที่นำเสนอจะไม่ได้รับการตอบสนองจากรัฐบาลในการนำไป เป็นนโยบายของชาติก็ตาม แต่เครือข่ายก็ยังคงยึดแนวทางของแผนแม่บทการพัฒนายางพาราไทยตามที่กำหนดไว้ร่วมกันของเครือข่าย ซึ่งจะเห็นได้ว่าแนวทางของชุมชนและเครือข่ายนั้นพยายามใช้แนวทางของรัฐเป็นเครื่องมือในการพัฒนาความเข้มแข็งของชุมชน หากรัฐไม่สนองตอบชุมชนก็ไม่ได้มีแนวคิดที่จะยกเลิกสิ่งที่ชุมชนและเครือข่ายคิด แต่ยังมีความเห็นร่วมกันว่าถึงแม้รัฐบาลจะไม่ได้นำไปใช้เป็นนโยบายของรัฐ แต่ชุมชนเครือข่ายก็จะ ปฏิบัติตามสิ่งที่ได้ร่วมคิด ร่วมวางแผนด้วยกัน อันเป็นเสมือนการประกาศไม่ยอมรับวิธีคิดของรัฐอยู่ในที และเป็นการทำให้เห็นว่าชุมชนมีพลัง มีศักยภาพที่จะพึ่งตนเองได้หากมีการประสานงานและเชื่อมโยงกันเป็นเครือข่ายเพื่อช่วยเหลือซึ่งกันและกัน สร้างสรรค์ชุมชนให้เข้มแข็ง



ศูนย์ศึกษาและพัฒนาชุมชนไม้เรียง : วิธีคิดเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ของชุมชน

ชุมชนไม้เรียงเป็นชุมชนที่เป็นแหล่งเรียนรู้ของชุมชนอื่น ๆ ในขณะเดียวกันชุมชนไม้เรียงเองก็ได้เรียนรู้จากความสัมพันธ์จากชุมชนอื่นด้วยเช่นกัน ความสัมพันธ์กับชุมชนต่างๆที่มีวิถีชีวิตและวิถีการผลิตที่แตกต่างจากชุมชนทำให้ชุมชนหันมามองถึงศักยภาพของชุมชนมากขึ้นโดยเฉพาะวิถีการผลิตเพื่อการพึ่งตนเอง

ประยงค์ รณรงค์ ผู้นำคนสำคัญของชุมชนบอกว่า



“ความแตกต่างในการเพาะปลูกพืช การใช้ชีวิตของคนที่ มาจากอาชีพที่ไม่เหมือนกัน ทำให้เรามองเห็นส่วนที่ขาดหายไป ของเรา มองเห็นส่วนที่ไม่ดีของเรา ซึ่งก่อนหน้านี้เราคิดว่าดีที่สุด แล้ว เช่น เราเริ่มรู้แล้วว่าการปลูกยางพาราเพียงอย่างเดียว พึ่งยางอย่างเดียวตลอดไปไม่ได้ เพราะเรากินยางแทนข้าวไม่ได้”



ชาวชุมชนไม้เรียงเห็นว่าก่อนหน้านี้ชุมชนได้รับการยอมรับว่าเป็นแหล่งเรียนรู้ของชุมชนอื่น ๆ แต่ชุมชนเองยังไม่ได้เรียนรู้อะไรใหม่ ๆ มากนัก ทำอย่างไรจึงจะให้สมาชิกชุมชนไม้เรียงได้เรียนรู้มากกว่าโลกของชุมชนตัวเอง ความคิดเรื่องการจัดการเรียนรู้ให้กับชุมชน จึงเกิดขึ้นและได้มีการจัดตั้ง “ศูนย์ศึกษาและพัฒนาชุมชนไม้เรียง” เพื่อที่จะพัฒนาคนในชุมชน โดยอาศัยแนวทางของกลุ่มเกษตรกรทำสวนไม้เรียงเป็นหลักในการดำเนินกิจกรรม โดยกลุ่มเกษตรกรทำสวนไม้เรียงได้รวบรวมกิจกรรมต่าง ๆ มาไว้ในระบบศูนย์การเรียนรู้ เพื่อสะดวกในการจัดการ ประสานงานกับองค์กร หน่วยงานต่าง ๆ วิธีคิดของศูนย์ศึกษาและพัฒนาชุมชนไม้เรียง คือการเรียนรู้เพื่อการพึ่งตนเองซึ่งมีแนวทางการดำเนินการจากการวิเคราะห์ สภาพปัญหาและความต้องการของชุมชนใน ๓ เรื่องหลัก คือ

๑. การให้การศึกษาขั้นพื้นฐาน เป็นการเรียนวิชาสามัญพื้นฐานจากการศึกษานอกโรงเรียน (กศน.) เพื่อสนับสนุนให้สมาชิกในชุมชนได้เรียนวิชาสามัญอย่างน้อยจบชั้น มัธยมศึกษาปีที่ ๓ เพราะชุมชนเห็นว่าในยุคปัจจุบันความรู้ด้านวิชาสามัญก็เป็นสิ่งที่จำเป็นเพื่อที่จะได้เรียนรู้และอยู่ในสังคมอย่างเท่าทัน

๒. ให้การเรียนรู้ในสิ่งที่เขาควรจะรู้ เช่นในเรื่อง เศรษฐกิจ สังคม การเมือง กฎหมาย การสหกรณ์ การบริหารจัดการ เป็นต้น เพราะความรู้เหล่านี้เป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเขาอยู่ตลอดเวลาไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม ซึ่งชุมชนควรจะเรียนรู้เพื่อให้ดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างปกติสุข

๓. ให้การเรียนรู้ในสิ่งที่เขาอยากจะรู้ เป็นการให้ความรู้ในเรื่องของการประกอบอาชีพตามความสนใจของสมาชิกในชุมชน และความเหมาะสมของสภาพพื้นที่ ทรัพยากรของชุมชนกิจกรรมหลักทั้ง ๓ กิจกรรมนี้ทางศูนย์ศึกษาและพัฒนาชุมชนไม้เรียง จะสำรวจความต้องการ ความสนใจของสมาชิกในชุมชน แล้วก็จะจัดเป็นทำเป็นหลักสูตรการฝึกอบรม การเรียนรู้ โดยประสานงานกับองค์กร หน่วยงานต่าง ๆ ทั้งของภาครัฐและเอกชน ทั้งในเรื่องของการสนับสนุนเรื่องงบประมาณ และวิทยากร ชุมชนเชื่อมั่นว่าหากสมาชิกในชุมชนได้รับการเรียนรู้ในกิจกรรมต่าง ๆ ดังกล่าวข้างต้นแล้วก็ย่อมเป็นหนทางที่พัฒนาไปสู่การพึ่งตนเองของชุมชนได้อย่างแน่นอน



สภาผู้นำชุมชนและกลุ่มกิจกรรมชุมชนที่หลากหลาย : วิธีคิดสู่การพึ่งตนเอง

จากการได้ทำกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้และร่วมกันศึกษาปัญหาต่าง ๆของชุมชนจากการจัดเวทีเรียนรู้ของศูนย์ศึกษาและพัฒนาชุมชนไม้เรียง เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และร่วมกันศึกษาถึงปัญหาต่าง ๆ ของชุมชน แล้วนำมาวิเคราะห์แก้ปัญหา รวมทั้งถอดประสบการณ์จากกิจกรรมต่าง ๆ ที่ผ่านมาของชุมชน ถึงแม้ว่าชุมชนไม้เรียงจะเป็นชุมชนที่เข้มแข็งตามสายตาของคนภายนอก แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีปัญหาใด ๆ เลยปัญหาต่าง ๆ ก็ยังคงมีอยู่ให้แก้ตลอดเวลา ยิ่งเมื่อประสบกับวิกฤติเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมาปัญหาก็ยิ่งรุนแรงยิ่งขึ้น เพื่อให้การบริหารงานในการแก้ไขปัญหาเป็นไปอย่างคล่องตัวมากขึ้น ศูนย์ศึกษาและพัฒนาชุมชนไม้เรียงจึงได้ให้มีการจัดตั้ง “สภาผู้นำชุมชนไม้เรียง” ขึ้น เมื่อปลายปี พ.ศ.๒๕๔๑ โดยได้มีการคัดเลือกผู้นำหมู่บ้าน ๆ ละ ๕ คน เป็นสมาชิก เพื่อร่วมกันสำรวจความต้องการและปัญหาของชุมชนโดยละเอียด มาพิจารณาแนวทาง สร้างกระบวนการแก้ปัญหา เพื่อพัฒนาไปสู่ความเข้มแข็งที่ชุมชนสามารถพึ่งตนเองได้อย่างแท้จริง และได้ร่วมกันระดมความคิดเพื่อสร้างแนวทางกระบวนการพัฒนาที่ยั่งยืนของชุมชน ดังนี้

๑. การพัฒนาบุคลากรของชุมชน โดยได้กำหนดหลักสูตรการฝึกอบรมสมาชิกสภาผู้นำชุมชนไม้เรียงเพื่อให้มีความรู้ความสามารถในการบริหารจัดการ และดูแลกลุ่มกิจกรรมต่าง ๆ ที่หมู่ บ้านได้กำหนดขึ้น โดยได้กำหนดหลักสูตรผู้นำให้ครอบคลุมในเรื่องการจัดการทุกด้านที่จำเป็นสำหรับชุมชน คือ ๑) ด้านการพัฒนาองค์กรและเครือข่าย ๒) ด้านการเงินและการบัญชี ๓) ด้านการศึกษาเรียนรู้ของชุมชน ๔) ด้านการฟื้นฟูเกษตรกรรมและสิ่งแวดล้อม ๕) ด้านกองทุนและสวัสดิการชุมชน ๖) ด้านธุรกิจชุมชนและอุตสาหกรรมชุมชน ทั้งนี้เพราะชุมชนมองว่ากิจกรรมต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชุมชน หากขาดบุคลากรที่มีความพร้อม คือมีความรู้ความสามารถในการบริหารจัดการแล้ว โอกาสที่จะประสบความสำเร็จนั้นค่อนข้างยาก ดังนั้นการพัฒนาบุคลากรจึงนับเป็นภาระหลักอย่างหนึ่งของสภาผู้นำตำบลไม้เรียง

๒. การพัฒนาความสามารถเกษตรกรและเสริมสร้างเศรษฐกิจชุมชน โดยได้มีการกำหนดหลักสูตรการฝึกอบรมเกษตรกรทั่วไป เพื่อให้เกษตรกรมีการพัฒนาอาชีพหลัก สร้างอาชีพรอง และมีอาชีพเสริม การไม่ยึดติดอยู่กับการทำสวนยางพาราเพียงอย่างเดียว ซึ่งจะทำให้ชีวิตมีความมั่นคงยิ่งขึ้นและเป็นการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดมาใช้ประโยชน์ให้เกิดอย่าง เหมาะสมและมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยมีการจัดหลักสูตรและกิจกรรมกลุ่มต่าง ๆ เพื่อฝึกอาชีพตามความสนใจของแต่ละหมู่บ้าน แต่ให้มีการผลิตที่แตกต่างกันในแต่ละหมูบ้านโดยมีแนวคิดว่าถ้าหากมีการผลิตซ้ำกันในแต่ละหมู่บ้านจะทำให้ผลผลิตมากเกินความต้องการของชุมชน ดังนั้นปรัชญาการผลิตของชุมชนจึงเน้นไปที่ให้แต่ละหมู่บ้านเลือกผลิตตามที่ชาวบ้านในหมู่บ้านนั้นสนใจและเหมาะสมกับสภาพทรัพยากรที่มี แต่ทั้งนี้ต้องไม่ซ้ำกับหมู่บ้านอื่น แกนนำชุมชนบอกว่าที่กำหนดเช่นนี้ก็เพราะว่าอยากให้ชุมชนผลิตสิ่งที่จำเป็นในการบริโภคของชุมชน เพื่อให้เงินที่ต้องจ่ายหมุนเวียนอยู่ในชุมชน เพราะจากการที่ชุมชนได้มีการศึกษาถึงทุนในการบริโภคของชุมชนที่ไหลออกนอกชุมชนมีมูลค่ามหาศาล เช่น ในรอบ ๑ ปี ชุมชนต้องซื้อไข่เป็ด ไข่ไก่จากภายนอกถึงปีละเกือบล้านบาท 7 ถ้าชุมชนสามารถผลิตเองได้เงินจำนวนนี้ก็จะไหลเวียนอยู่ในชุมชน ดังนั้นจึงได้มีการร่วมกันคิดถึงกิจกรรมต่าง ๆ ที่สนองตอบต่อความต้องการของชุมชน จึงได้เกิดกลุ่มกิจกรรมขึ้น ๘ กลุ่มกิจกรรมตามความเหมาะสมในด้านสถานที่ บุคลากร และทรัพยากร เพื่อเป็นศูนย์กลางในการฝึกฝน เรียนรู้ การผลิตเพื่อการบริโภคในชุมชน ภายใต้แนวทางที่วางไว้ว่าแต่ละหมู่บ้านจะต้องมีกลุ่มกิจกรรมอย่าง น้อย ๑ กลุ่มกิจกรรม และกิจกรรมที่แต่ละกลุ่มดำเนินการนั้นจะต้องไม่ซ้ำซ้อนกัน ทั้งนี้เพื่อแก้ปัญหาที่ว่าเมื่อหมู่บ้านทำกิจกรรมแล้วเกิดผลประโยชน์หรือกำไรเกิดขึ้น หมู่บ้านอื่นก็จะต้องมักจะทำตามจนในที่สุดก็ต้องล่มสลายไปดังตัวอย่างที่เคยเกิดขึ้นในหลาย ๆ แห่ง การผลิตสิ่งที่จำเป็นต่อการบริโภคในชุมชนมีความหลากหลายและพอเพียงที่จะเลี้ยงชุมชนได้เป็นอย่างดีโดยไม่ต้องพึ่งพาการตลาดภายนอกชุมชน แต่คนในชุมชนสามารถจัดวิถีการผลิตที่สอดคล้อง กับความต้องการของคนในชุมชนได้อย่างเพียงพอ ซึ่งทางชุมชนคาดการณ์ว่าถ้าหากกิจกรรมทั้ง ๘ กลุ่มนี้สามารถดำเนินการได้เต็มรูปก็จะสามารถพัฒนาขึ้นมาเป็นธุรกิจและอุตสาหกรรมชุมชนขนาดย่อมได้ในอนาคต ทั้งนี้เพื่อมุ่งเน้นการบริการและการซื้อขายในชุมชนไม้เรียงเป็นหลัก ซึ่งถ้าหากประสบผลสำเร็จก็อาจจะขยายผลออกไปสู่ชุมชนอื่น ๆ ได้อีกด้วย



การพัฒนาคน : วิธีคิดที่นำไปสู่การพัฒนาชุมชนที่ยั่งยืน

จากการที่ชุมชนไม้เรียงได้มีการทำกิจกรรมพัฒนาชุมชนมาอย่างต่อเนื่อง ก็ได้เกิดบทเรียนจากการทำกิจกรรมพัฒนาชุมชนที่ได้พัฒนาไปสู่แนวคิดในเรื่องการพัฒนาคน โดยให้คนเป็นศูนย์กลางในการพัฒนา แกนนำของชุมชนได้มองเห็นว่าคิดว่าการจัดตั้ง กลุ่มต่าง ๆ เพื่อดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ในชุมชนนั้นไม่ใช่เรื่องยาก แต่เรื่องยากอยู่ที่ระบบการจัดการเรื่องคนที่จะเข้ามาดำเนินกิจกรรมของชุมชน ที่จะต้องทำให้เกิดความเชื่อมั่นขึ้นในกลุ่มสมาชิกและชุมชน แกนนำชุมชนมีข้อสรุปร่วมกันว่า สำหรับชุมชนไม้เรียง “เงิน” ไม่ใช่สิ่งจำเป็นที่สุด แต่การพัฒนา “คน” มีความสำคัญกว่า เพราะเคยมีบทเรียนจากหลายที่ที่เงินเป็นตัวทำให้คนแตกแยกมากกว่าเข้มแข็ง ดังนั้นชุมชนจึงคิดหาวิธีการที่จะใช้เงินมาเป็น “เครื่องมือ” ในการพัฒนาคน ไม่ใช่ให้เงินมาทำลายคน8 จากแนวคิดดังกล่าวได้ทำให้การพัฒนาชุมชนของไม้เรียงมีทิศทางมากยิ่งขึ้น มีการจัดตั้งสภาผู้นำตำบลไม้เรียง และศูนย์ศึกษาและพัฒนาชุมชนไม้รียง ตลอดจนกลุ่มกิจกรรมต่าง ๆ ดังได้กล่าวมาแล้วข้างต้น เพื่อฝึกคนในชุมชนด้านต่าง ๆ เพื่อสร้างและสนับสนุนระบบอุดมการณ์ของชุมชนไม้เรียงที่มุ่งเน้นเรื่องการพึ่งตนเองให้ เกิดขึ้นในชุมชน โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาภายนอก รวมทั้งรัฐด้วย วิธีคิดนี้จึงเปรียบเสมือนการต่อสู้กับรัฐโดยอ้อม ในขณะที่รัฐยังเน้นเรื่องเศรษฐกิจทุนนิยมที่มีภาพของกระแสการพึ่งตนเอง หรือเกษตรพอเพียงบังหน้า แต่ชุมชนกลับไม่สนใจแนวคิดของรัฐที่มีกระแสพึ่งตนเองที่แฝงไว้ด้วยระบบทุนนิยม ชุมชนหันมาให้ความสนใจกับชุมชนเอง มีการจัดทำ “แผนชุมชนพึ่งตนเอง” ที่ให้ชุมชนกำหนดอนาคตของชุมชนเองทั้งวิถีชีวิตและวิถีการผลิต เพราะที่ผ่านมาชุมชนไม่ได้เป็นผู้คิดกำหนดวางอนาคตของชุมชนเองต้องพึ่งการคิดของผู้อื่นอยู่เรื่อยมา ดังที่ ประยงค์ รณรงค์ ประธานสภาผู้นำชุมชนไม้เรียงเคยพูดไว้ว่า

“ที่ผ่านมาเราประสบปัญหามาโดยตลอด เพราะผู้อื่นมาคิดให้ แล้วให้เราทำ ทำแล้วก็เกิดปัญหา เพราะฉะนั้นถ้าเราไม่ได้ เป็นผู้วางแผนเอง เราก็ไม่สามารถที่จะแก้ปัญหาเองได้”

ทั้งนี้โดยเน้นไปที่กระบวนการเรียนรู้ของชุมชน ให้ชุมชนได้มีความรู้ ความเข้าใจ มีความคิด สามารถตัดสินใจเอง ซึ่งจะเชื่อมโยงไปสู่การอยู่ดีกินดีและพึ่งตนเองได้ของคนใน ชุมชนอย่างยั่งยืนต่อไปดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น



วิธีคิดและประสบการณ์การพัฒนาของชุมชนไม้เรียง : บทสรุปเพื่อเรียนรู้

จากวิธีคิดและประสบการณ์การพัฒนาของชุมชนไม้เรียง เป็นเสมือนบทสรุปที่มาจากจากการทำงานหนักของผู้นำและสมาชิกในชุมชน เพื่อให้เป็นบทเรียนของชุมชนไม้เรียงเอง และชุมชนอื่นได้เรียนรู้เพื่อนำมาปรับพัฒนาให้เหมาะสมและยั่งยืนสืบไป จากประสบการณ์ที่ได้สั่งสมมาทำให้ชุมชนไม้เรียงได้เสนอถึงแนวทางในการพัฒนาชุมชนที่ยั่งยืนต่อชุมชนทั่วประเทศว่า การพัฒนาที่ยั่งยืนนั้นต้องให้ความสำคัญกับวิธีคิดหรือหลักคิด ดังนี้

๑.ทุกกิจกรรมเน้นการพัฒนาคนให้มีความสัมพันธ์กันอย่างต่อเนื่อง มีการประสานร่วมมือพึ่งพาอาศัยกัน

๒. ทุกกิจกรรมเน้นการเรียนรู้ ให้ทุกคนรู้จักคิด รู้จักวางแผน ก่อนที่จะลงทุนทำอะไรต้องเข้าใจให้ชัดเจนก่อนที่จะลงมือทำ

๓. ทุกกิจกรรมมองการตลาดใกล้ตัวก่อน จากการสัมพันธ์ การร่วมมือ การเป็นเครือข่าย การซื้อขายแลกเปลี่ยน จะทำให้กลายเป็นธุรกิจที่มั่นคง ยั่งยืนได้ในอนาคต

๔.ทุกกิจกรรมเน้นการผลิตสิ่งที่จำเป็นตอบสนองความต้องการของชุมชนเป็นหลัก

๕. ทุกกิจกรรมเน้นการผลิตที่พอดี ด้วยการวางแผนตั้งแต่ต้น ทั้งด้านการผลิต การจำหน่าย การแปรรูป ภายใต้โควต้าและราคาขั้นต่ำ

จะเห็นได้ว่าจังหวะก้าวและการเติบโตของชุมชนไม้เรียงนั้นเป็นไปอย่างช้า ๆ แต่ว่ามั่นคงและยั่งยืน ทั้งนี้เห็นได้จากความเคลื่อนไหวที่ไม่หยุดนิ่งของชุมชน กิจกรรมต่าง ๆ มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และพัฒนาอยู่เสมอ ชาวบ้านในชุมชนบอกว่าชุมชนไม้เรียงเป็นชุมชนเปิดที่พร้อมจะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ตลอดเวลาภายใต้ความเชื่อมั่นของคำว่า “การพึ่งตนเอง” ของชุมชน



ความเป็นชุมชนพึ่งตนเอง : สิ่งที่เห็นและเป็นอยู่ ในชุมชนไม้เรียง

ชุมชนไม้เรียงได้พัฒนาตัวเองและได้พิสูจน์ต่อสาธารณะมาในระดับหนึ่งจนเป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปว่าเป็นชุมชนที่เข้มแข็ง มีการพัฒนาและแลกเปลี่ยนเรียนรู้อยู่เสมอ และสามารถพึ่งตนเองได้ จนเป็นที่เรียนรู้และศึกษาดูงานของชุมชนหรือหน่วยงานอื่น ๆ อยู่อย่างไม่ขาดสาย จนเปรียบเหมือนมหาวิทยาลัยชุมชนอีกแห่งหนึ่ง ทั้งนี้ความเข้มแข็งและการพึ่งตนเองที่ได้รับการยอมรับของชุมชนย่อมจะไม่ได้มาด้วยความบังเอิญ หรือการยกย่องอันเกินจริงของ ภายนอก แต่มันเป็นผลที่เกิดขึ้นจากการสั่งสมภูมิรู้ ประสบการณ์จากการทำงานหนักในการพัฒนาของคนในชุมชนจนตกผลึกมาเป็นความสำนึกร่วมของชุมชนในการที่จะวางเป้าหมาย อุดมการณ์ของการพึ่งตนเอง ที่จะนำไปสู่ความยั่งยืนของชุมชนในอนาคต



สำนึกร่วมของชุมชน : ตัวตนคนไม้เรียง

การพัฒนาชุมชนที่จะนำไปสู่ความเข้มแข็งและความยั่งยืน จนได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางนั้นมิใช่ว่าจะเกิดจากการที่ผู้นำชุมชนทำงานแต่เพียงฝ่ายเดียว แต่ย่อมต้องขึ้นอยู่กับความร่วมมือ ความเชื่อมั่นของสมาชิกในชุมชนด้วย การที่สมาชิกในชุมชนได้ร่วมมือร่วมใจกันพัฒนาชุมชนให้พึ่งตนเองได้นั้นสมาชิกของชุมชนย่อมมีสำนึกร่วมของความเป็นชุมชน อันเป็นการสำแดงให้เห็นถึงวิถีและพลังของชุมชนในการขับเคลื่อนไปข้างหน้าด้วยจุดมุ่งหมายร่วมกันของสมาชิกทั้งมวล

สำนึกร่วมของชุมชนไม้เรียงที่นำไปสู่การพึ่งตนเองที่สำคัญและเห็นได้ชัดที่ค้นพบจากการศึกษาซึ่งนับเป็นตัวบ่งชี้ถึงอัตลักษณ์การพึ่งตนเองของชุมชนที่สำคัญมี ๗ ประการดังนี้

๑. การมีวิถีชีวิตที่สอดคล้องกลมกลืนกับธรรมชาติ และการอยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างเกื้อกูลของชุมชนเป็นการบ่งบอกถึงวิถีการใช้ทรัพยากรอย่างไม่ทำลาย เป็นการใช้ทรัพยากรอย่างรู้คุณค่าและคำนึงถึงประโยชน์ในระยะยาวและยั่งยืน

๒. ความเป็นเครือญาติ ชุมชนไม้เรียงมีความสัมพันธ์ฉันท์เครือญาติกันสูง แม้ว่าจะมีคนนอกเข้าไปอยู่บ้างในฐานะเขย สะใภ้ หรือเข้ามาอยู่อาศัยเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน แต่ก็มีความผสมกลมกลืนทำให้การพัฒนาชุมชนไปในทิศทางที่ต้องการของชุมชนเป็นไปได้ง่ายขึ้น

๓. วิธีคิดของผู้นำชุมชน ผู้นำชุมชนไม้เรียงมีวิธีคิดที่มองไปสู่ความยั่งยืนของชุมชนในอนาคต โดยเริ่มมองจากการพึ่งตัวเองภายในชุมชนเป็นหลัก เมื่อชุมชนมีความเข้มแข็งพอแล้วก็ค่อย ๆ ขยายวิธีคิดออกไปสู่ชุมชนอื่น ๆ พร้อมทั้งพัฒนาชุมชนของตนเองด้วยไป พร้อมกัน ซึ่งผู้นำชุมชนไม้เรียงก่อนที่จะเป็นที่เชื่อถือของชุมชนก็ได้ใช้เวลาในการพิสูจน์ตนเองต่อชุมชนมาอย่างยาวนานพอสมควร

๔. ชุมชนแห่งการเรียนรู้ ชุมชนไม้เรียงเป็นชุมชนที่มีการเรียนรู้อยู่เสมอ เห็นได้จากการเกิดกลุ่มกิจกรรม และองค์กรชุมชนที่มีการปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับความต้องการของชุมชนอยู่เสมอ การเรียนรู้ของชุมชนไม้เรียงจึงเป็นการเรียนรู้เพื่อนำมาปรับใช้ในชุมชนเป็นอันดับแรก ไม่ใช่การเรียนรู้เพื่อที่จะออกไปสู่นอกชุมชน

๕. สำนึกแห่งการช่วยเหลือเกื้อกูล ซึ่งเป็นสำนึกร่วมของชุมชนในการที่จะพัฒนากิจกรรมต่าง ๆ เพื่อความอยู่รอดของชุมชนโดยรวม โดยไม่ได้คิดถึงเรื่องที่จะอยู่รอดเพียงปัจเจก เห็นได้ชัดจากการก่อเกิดกลุ่มกิจกรรมต่าง ๆ ในชุมชนและค่อย ๆ ขยายออกสู่ชุมชนข้างเคียงที่พัฒนาไปสู่การรวมตัวกันเป็นเครือข่ายในที่สุด

๖. มีสำนึกขบถ ชุมชนไม้เรียงความขัดแย้งและการต่อสู้กับรัฐตั้งแต่สมัยที่ถูกทางราชการถือว่าเป็นผู้มีอุดมการณ์เป็นปฏิปักษ์กับรัฐในอดีต แม้ว่าเหตุการณ์คลี่คลายมาจนถึงปัจจุบัน แต่สำนึกขบถการดื้อแพ่งต่อรัฐก็ยังคงมีอยู่ตามคติที่ว่า “ไม่รบนายไม่หายจน” แม้ว่าจะไม่ได้ “รบนาย” โดยตรงเช่นในอดีตแต่วิถีปฏิบัติของชุมชนในการที่จะบอกว่าไม่เชื่อฟังรัฐก็มีอยู่อย่างเข้มข้นในชุมชนไม้เรียง เช่นในเรื่องแผนแม่บทการพัฒนายางพาราไทย ที่รัฐไม่ได้ยอมรับแต่ชุมชนก็ยังดื้อแพ่งที่จะปฏิบัติต่อตามความวิธีคิดและเชื่อของชุมชน เครือข่าย ซึ่งเป็นวิธีคิดที่อิงอยู่กับปรัชญาการพึ่งตนเองของชุมชน

๗. การประนีประนอมประสานประโยชน์เพื่อชุมชนแม้ว่าชุมชนไม้เรียงจะมีวิถีปฏิบัติในบางโอกาสที่ขัดแย้งกับรัฐดังที่กล่าวมาแล้วบ้างก็ตาม แต่หากสิ่งใดที่ชุมชนมองว่าเป็นโอกาส และเป็นผลประโยชน์ของชุมชนโดยรวม ชุมชนก็พร้อมที่จะประสาน ประนีประนอมกับหน่วยงานข้างนอกทั้งภาครัฐและเอกชนเพื่อประโยชน์ของชุมชน



อุดมการณ์การพึ่งตนเอง : บทสรุปของชุมชนไม้เรียง

การอยู่ร่วมกันในสังคมมิใช่การอยู่แบบปัจเจก แต่เป็นการอยู่ร่วมกัน มีการพึ่งพาอาศัยช่วยเหลือกันอันเป็นเอกลักษณ์ของชุมชนไทยมาตั้งแต่อดีต แต่ในขณะเดียวกันการพึ่งพาช่วยเหลือก็ตั้งอยู่บนฐานของการพึ่งพาตนเองได้ในระดับหนึ่ง เพราะการพึ่งพาตนเองมิใช่การไม่มีปฏิสัมพันธ์กับชุมชนภายนอก แต่ในความเป็นจริงแล้ว การพึ่งตนเองของชุมชนนั้นมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีปฏิสัมพันธ์แลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน และรวมตัวกันเป็นเครือข่ายเสริมศักยภาพและพลังของชุมชนเพื่อนำไปสู่เป้าหมายอุดมการณ์สูงสุดของชุมชน นั่นคือ “อุดมการณ์แห่งการพึ่งตนเอง” ชุมชนไม้เรียงเป็นอีกชุมชนหนึ่งที่มีวิถีชีวิต วิถีการผลิตที่สอดคล้องกับอุดมการณ์ดังกล่าว ซึ่งจะเห็นอุดมการณ์ของชุมชนได้ชัดในการที่จะดำรงชุมชนอยู่โดยอาศัยศักยภาพของชุมชนเอง ทั้งในด้านทรัพยากร บุคคล และความคิด และมีการเชื่อมโยงประสานจนก่อเกิดเครือข่ายชุมชนต่างๆ ที่จะเสริมสร้างความเข้มแข็งและพลัง อำนาจของชุมชนในการต่อรอง ต่อสู้กับกระแสที่เข้ามารุกรานความเป็นชุมชน ชุมชนไม้เรียงจึงเป็นชุมชนที่สามารถพิสูจน์ตัวตนที่เด่นชัดภายใต้คำยอดฮิตของ “ชุมชนเข้มแข็ง” และ “ชุมชนพึ่งตนเอง” ในปัจจุบัน.



ขอขอบคุณผู้ให้ข้อมูล

เกรียงศักดิ์ ชูชาติ ประธานกลุ่มเพาะพันธุ์ปลาน้ำจืด หมู่ ๑ ต. ไม้เรียง อ.ฉวาง จ.นครศรีธรรมราช

ขจร ทิพาพงศ์ ๙๐/๑ หมู่ ๒๓ ต. ไม้เรียง อ.ฉวาง จ.นครศรีธรรมราช ชำนาญ สมแสง ผู้จัดการโรงงานปรับปรุงคุณภาพยางแผ่น กลุ่มเกษตรกรทำสวนยาง

ประยงค์ รณรงค์ ประธานกลุ่มเกษตรกรทำสวนยางไม้เรียง

วิจักษณ์ สถาพร เจ้าหน้าที่กองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง อ.ฉวาง จ.นครศรีธรรมราช

ศิริ ธีระ ประธานกลุ่มเพาะพันธุ์ไก่พื้นเมือง หมู่ ๔ ต. ไม้เรียง อ.ฉวาง จ.นครศรีธรรมราช

สายัณห์ ทิพย์สุวรรณ ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ ๙ ต.ไม้เรียง อ.ฉวาง จ.นครศรีธรรมราช

สัมภาษณ์ผู้เฒ่าผู้แก่ที่ไม่เปิดเผยชื่อ ๕ คน ต. ไม้เรียง อ.ฉวาง จ.นครศรีธรรมราช

เชิงอรรถ

1 ดูใน พรพิไล เลิศวิชา, คีรีวง: จากไพร่หนีนายถึงธนาคารแห่งขุนเขา (สำนักพิมพ์หมู่บ้าน, ๒๕๓๒).

2 เขาศูนย์เป็นเขาที่มีแหล่งทรัพยากรแร่ที่สำคัญของภาคใต้โดยเฉพาะแร่วุลแฟรม และในอดีตเป็นพื้นที่ที่ถูกกำหนดจากทางราชการว่าเป็นพื้นที่ที่ผู้มีอุดมการณ์เป็นปฏิปักษ์กับรัฐใช้เป็นที่ตั้งกองกำลัง

3 พายุโซนร้อนแฮเรียต ที่เข้าทำลายที่แหลมตะลุมพุก อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๕ ทำให้เกิดผลกระทบเดือดร้อนไปทั่วภาคใต้แทบทั้งหมด

4 สัมภาษณ์ประยงค์ รณรงค์

5 เครือข่ายยมนา มาจาก ย = ยางพารา ม = ไม้ผล และ นา = นาข้าว

6 ประยงค์ รณรงค์ เล่าให้ฟังว่า การคิดเรื่องช่วยเหลือชาวนาในลุ่มน้ำปากพนังนั้นเนื่องจากเห็นว่าชาวนาขายข้าวได้ราคาต่ำกว่าต้นทุนมาโดยตลอดจึงได้วิเคราะห์กันว่าจะทำอย่างไรให้ผลผลิตข้าวมีมูลค่าสูงขึ้น ซึ่งได้ตัวเลขจากการศึกษาและปฏิบัติคือ ข้าวเปลือก ๑ เกวียน ราคาเกวียนละ ๓,๒๐๐ บาท เมื่อนำมาสี เป็นข้าวสารจะได้ ๖๒๐ กก.ๆ ละ ๙ บาทจะมีมูลค่า ๕,๕๘๐ บาท เมื่อมาทำเป็นแป้งขนมจีนจะได้น้ำหนัก ๘๓๗ กก.ๆ ละ ๙ บาท จะมีมูลค่าเพิ่มเป็น ๗,๕๓๓ บาท และเมื่อนำมาแป้งแปรรูป เป็นขนมจีนจะได้น้ำหนัก ๑,๖๗๔ กก. ๆ ละ ๑๐ บาท จะมีมูลค่าสูง ถึง ๑๖,๗๔๐ บาท

7 สัมภาษณ์ ประยงค์ รณรงค์

8 สัมภาษณ์ ขจร ทิพาพงศ์



บรรณานุกรม

ขจร ทิพาพงศ,์ สรุปบทเรียนศูนย์ศึกษาและพัฒนา ชุมชนไม้เรียง (เอกสารอัดสำเนา ไม่ ปรากฎปีที่พิมพ์)

ฉัตรทิพย์ นาถสุภาและพูนศักดิ์ ชานิกรประดิษฐ์, เศรษฐกิจหมู่บ้านภาคใต้ฝั่งตะวันออกในอดีต (สำนักพิมพ์ สร้างสรรค์, ๒๕๔๐).

ภัคพัฒน์ ทิพยประไพ, แนวคิดวิถีการผลิตแบบเอเชียกับการอธิบายหมู่บ้านไทย (กองทุนสนับสนุนการวิจัย, ๒๕๔๐).

เสรี พงศ์พิศ (บรรณาธิการ), ชุมชนเสวนา ๓: เศรษฐกิจ ชุมชนทางเลือกเพื่อทางรอดสังคมไทย (มหาวิทยาลัยธุรกิจ บัณฑิต, ๒๕๔๒).


Home