น.พ.วีระ สุรเศรณีวงศ์
พอถึงวันแม่ครั้งไร ก็มีความรู้สึกห่วงสุขภาพของมนุษย์เพศแม่ทุกทีไป
แต่ก็อดชื่นชมพร้อมกันไปด้วยไม่ได้
ถ้าลองมาพิเคราะห์ดูจะเห็นว่า ปัจจุบันสตรีเพศได้รับสิทธิเท่าเทียมเพศชาย
และมีแนวโน้มที่ดีขึ้นเรื่อยๆ มาโดยเฉพาะในประเทศไทยของเราจะเห็นว่า
สตรีเพศเริ่มเข้ามามีบทบาทในทางสังคมมากขึ้นๆ ระดับปลัดของหน่วยงานก็มีแล้ว
ระดับผู้ว่าการทั้งทางปกครอง ทั้งของรัฐวิสาหกิจก็มี ระดับรัฐมนตรีก็เพิ่มเป็น 3 ท่าน
ทั้ง น้าแอ๋ว น้าปิ๊ก น้าหนูนา ไม่เท่านั้น ขณะนี้ก็มี นางแบงก์ แต่ท่านว่าควรจะเรียกแบงเกอร์
เพราะฟังดูดีกว่า แล้วต่อไปนายกเมืองเราอาจจะเป็นสุภาพสตรีก็ไม่น่าจะแปลก
อาจจะทำให้การเมืองดูดี เพราะคุณเธอมีประสบการณ์ในการบริหารครอบครัวมาก่อน
บางท่านแม้จะมีหลายมุ้งในครอบครัวก็บริหารจนอยู่กันอย่างราบรื่น
บางท่านหามุ้งมาให้เองด้วยซ้ำไป เพื่อตัดปัญหามุ้งที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้ายากแก่การควบคุม
แต่ปัจจุบันที่เพศชายได้ครองอำนาจทางการเมืองมากว่า
เพราะเพศชายกล้าได้กล้าเสียมากกว่า หรือชอบพูดกันว่า กล้าเสี่ยงกว่ามากกว่า
เลยทำให้โอกาสมากกว่า ตัวอย่างคือพวกเล่นการเมืองที่เด่นๆ ดังๆ
ผู้บริหารประเทศที่เด่นดังส่วนใหญ่จะมีพฤติกรรมชอบเสี่ยงจนมีนักวิทยาศาสตร์ท่านหนึ่ง
ถึงกับศึกษาและสรุปถึงสาเหตุเพราะท่านเหล่านั้นมียีนชอบการเสี่ยง
ซึ่งมาดังเอาตอนลูกชายท่านประธานาธิบดีเคเนดี้เสี่ยงขับเครื่องบินทั้งๆ
ที่มีชั่วโมงบินเพียงหลักสิบเท่านั้น ก็เลยต้องจบชีวิตจากเครื่องบินตก
พอกล่าวถึงยีนหรือหน่วยพันธุกรรมก็ทำให้พูดโยงไปถึงมัจจุราชที่น่ากลัวของคุณสุภาพสตรี
ซึ่งเจ้ามัจจุราชตัวนี้ในอนาคตมีแนวโน้มว่าจะดุร้ายและทำลายคุณผู้หญิงไทยเรามากขึ้น
ในอดีต เมื่อ 3 หรือ 4 ทศวรรษที่ผ่านมา โรคร้ายนี้ไม่ได้เป็นปัญหาทางสาธารณสุขไทยเลย
ซึ่งในยุคนั้นน้ำเพิ่งจะไหล ไฟเพิ่งจะสร้าง สังคมไทยยังเป็นสังคมเกษตรกรรม
ชาวบ้านอยู่อย่างหากิน คือหาเมื่อมีกินและพอเก็บไว้บ้าง ชีวิตอยู฿อย่างสมถะเรียบง่าย
ไม่ต้องดิ้นรนมา พวกหมอทำการสู้รบกับโรคทางสาธารณสุขซึ่งส่วนใหญ่เป็นโรคเกิดจากการติดเชื้อ
ซึ่งหมอรบกับศัตรูที่มีตัวตน เห็นตัวเห็นตน แต่ปัจจุบันหมอต้องทำสงคราม
กับโรคที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้า ไม่รู้สมมติฐานที่แน่ชัด ซึ่งเรียกว่าโรคมะเร็ง
โรคของการผิดปกติจาการเผาผลาญสารอาหารคือ โรคความดัน โรคหัวใจ ฯ
เมื่อดูจากสถิติแล้วโรคมะเร็งเต้านมมีอัตราการเกิดในประชากรสูงขึ้นๆ
จนน่าวิตกแทนคุณสุภาพสตรี ถ้ายกเว้นปากมดลูกเสียแล้ว
อวัยวะที่เสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งมากที่สุดในสตรีคือ เต้านม
ในประเทศทางตะวัตกเต้านมวิ่งแรงแซงขึ้นมาเป็นอันดับหนึ่งมานานหลายทศวรรษ
เต้านมแม้จะเป็นอวัยวะที่อยู่ภายนอก ง่ายต่อการตรวจคลำ
แต่ก็ยังไม่มีวิธีที่จะสามารถป้องกันการเป็นมะเร็งได้ดีเหมือนกับปากมดลูก
ซึ่งทางทฤษฎีเรียกได้ว่าเป็นโรคมะเร็งที่ป้องกันได้
ทั้งนี้เพราะเต้านมเป็นอวัยวะที่สร้างซับซ้อนในโครงสร้างมากกว่าและไม่เท่านั้น
ยังมีคุณลักษณะพิเศษ คือมีเนื้อเยื่อหลายชนิดประกอบกัน และมีการตอบสนอง
ต่อการกระตุ้นของฮอร์โมนเพศ ทำให้เซลล์หรือเนื้อเยื่อดังกล่าวนั้น
จะมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ทำให้โอกาสที่จะเกิดการคลาดเคลื่อนได้สูง
ในหน่วยพันธุกรรมจนอาจจะก่อให้เกิดความผิดปกติจนเกิดเป็นเนื้องอกขึ้น
จึงทำให้คุณสุภาพสตรีจะมีอุบัติการณ์ของก้อนเนื้อผิดปกติในเต้านมสูงมาก
แม้จะไม่ใช่มะเร็งแต่ก็อาจจะกลายได้
จะเห็นได้ว่าแทบทุกโรงพยาบาลในห้องศัลยกรรมย่อยจะมีกิจกรรมการผ่า
และเอาก้อนเต้านมในคุณสุภาพสตรีมาก ซึ่งส่วนใหญ่จะพบในอายุวัยสาวน้อย
ซึ่งแม้จะเป็นเนื้อไม่ร้ายแต่ก็ไม่อาจจะวางใจได้ต้องเฝ้าติดตามต่อไปและส่วนใหญ่มักจะมีหลายก้อน
ทำให้การตรวจติดตามไม่มากนัก ก้อนเนื้องอกเหล่านี้เกิดขึ้นในเนื้อเยื่อประสาทของเต้านม
เต้านมคุณผู้หญิงนั้นมีเนื้อเยื่อ 4 ชนิดใหญ่ๆ อยู่ทำงานร่วมกัน หนึ่งคือ
เนื้อเยื่อต่อมน้ำนมซึ่งจะมีหน้าที่สร้างน้ำนม และมีท่อต่อออกมาจากตัวต่อมเนื้อเยื่อ
ของท่อน้ำนมนั่นเอง ก็เป็นเนื้อเยื่อที่เป็นมะเร็งได้มาก เนื้อเยื่อไขมันหรือเซลล์ไขมันนั่นเอง
และเซลล์หรือเนื้อเยื่อตัวนี้ที่ทำให้เต้านมจะใหญ่หรือเล็ก และยึดโยงเป็นรูปร่าง
ด้วยเนื้อเยื่อสอดประสานหรือเนื้อเยื่อยึดโยงและภายนอกสุดคือเนื้อเยื่อผิวปกคลุม
ซึ่งที่สำคัญคือที่หัวนม ทุกส่วนสามารถกลายเป็นมะเร็งไปได้แต่มากน้อยต่างกัน
ที่กลายเป็นเนื้องอกแต่ไม่ร้ายได้มากขึ้น เนื้อเยื่อยึดโยงที่กลายเป็นมะเร็งได้บ่อย
คือเนื้อเยื่อของท่อน้ำนมและต่อมน้ำนม
การเกิดมะเร็งของเต้านม แม้จะไม่ทราบสมมติฐานที่แท้จริงต้องบอกว่าเป็นส่วนใหญ่
เพราะปัจจุบันก็สามารถจะรู้ต้นเหตุบางปัจจัยหรือสมมติฐานบ้าง
คือหน่วยพันธุกรรมหรือยีน หรือพิมพ์เขียวชีวิต ซึ่งนักวิทยาศาสตร์สามารถพิสูจน์ได้
ถึงตำแหน่งของพันธุกรรมนั้นและตั้งชื่อว่า BR CA1 และ 2 เพราะมี 2 ตำแหน่ง
แต่มะเร็งเต้านมนั้นมีเพียง 5% ที่เป็นจากพันธุกรรม ถ้ามียีนผิดปกตินี้แล้ว
จะพบก็เมื่ออายุยืนยาวซึ่งจะมีโอกาสเป็นมะเร็งเต้านม 80-90% ทีเดียว
และถ้าสืบค้นไปจะมีหลักฐานถึงการเป็นมะเร็งในสาแหรกครอบครัว (Family Tree)
เพราะว่ายีนตัวนี้ถ่ายทอดผ่ายสู่ลูกหลานได้ พบว่ามีญาติสายตรงใกล้ชิด เช่น
พี่หรือน้องหรือมารดาเป็นแล้วในรุ่นต่อไปจะมียีนตัวดังกล่าวถ่ายทอดไปมากกว่าครึ่ง
(มากกว่า 50%)
และพบว่ายีนตัวนี้นอกจากจะไปยุ่งกับเต้านมแล้ว
ยังทำให้เกิดเนื้องอกร้ายของอวัยวะสืบพันธุ์อื่นๆ ได้อีก โดยเฉพาะรังไข่
ซึ่งกลุ่มดังกล่าวนี้ถือได้ว่าเป็นกลุ่มเสี่ยง ในกลุ่มนี้จะต้องได้รับการดูแลพิเศษ
คือต้องมีการตรวจค้นหามะเร็งเต้านมอย่างเข้มงวด ปัจจุบันการตรวจค้นที่ใช้กันคือ
การใช้รังสีวินิจฉัยหรือที่รู้จักกันว่า "แมมโมแกรม" ซึ่งในกลุ่มนี้การทำแมมโมแกรม
ก่อนอายุ 50 ปี ถือได้ว่าเป็นข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ ซึ่งในคนทั่วๆ ไปจะทำเมื่ออายุ 50 ปีขึ้นไป
และนอกจากแมมโมแกรมแล้วก็มีการตรวจทางพันธุกรรมดังกล่าวข้างต้น
แต่ยังไม่แพร่หลาย เพราะยุ่งยากและมีราคาแพงมาก แต่ในอนาคตมีแนวโน้ม
ที่จะนำมาใช้เป็นการตรวจพื้นฐานได้
เนื่องจากมะเร็งเต้านมมีอุบัติการณ์สูงมากขึ้น จึงจำเป็นที่สตรีทุกท่าน
ควรจะต้องดูแลตัวเองด้วย เพื่อช่วยในขบวนการป้องกันมะเร็งเต้านม
ซึ่งไม่ยุ่งยากได้แก่การตรวจสำรวจเต้านมด้วยตนเอง (SELF BRESAT EXAM)
ซึ่งด้วยขบวนการดั่งกล่าวนี้พบว่าในประเทศสหรัฐอเมริกา
ทำให้สามารถลดอุบัติการณ์ตายจากมะเร็งเต้านมได้มากมาย
ซึ่งหลักการคือการตรวจดูรูปร่างของเต้านมดูความสมดุลของเต้านมทั้งสอง
ดูว่ามีสารคัดหลั่งออกผิดปกติจากหัวนมหรือไม่ โดยการบีบรัดดู
ผิวของหัวนมเป็นสิ่งที่ต้องพินิจพิเคราะห์ ถ้ามีการดึงรั้งมีรอยบุ๋มถือได้ว่าผิดปกติ
ระดับของหัวนมในท่านั่ง ท่าอื่น แล้วจึงเข้าสู่การตรวจสำรวจคลำดูเนื้อเยื่อของเต้านม
ในลักษณะต่างๆ หลักการก็คือ การใช้ฝ่ามือคลึงคลำไม่ใช่บีบและทำอย่างเป็นระบบ
คือทำเป็นพื้นที่ต่อเนื่องกันหรือทำเป็นส่วนๆ เพื่อให้ครอบคลุมทั่วถึง
เพราะการปฏิบัติควรจะปฏิบัติหลังหมดระดูเพราะเป็นช่วงที่ปลอดอิทธิพลของฮอร์โมนเต้านม
จะไม่คัดจึงง่ายต่อการตรวจแม้จะตรวจด้วยตนเองแล้ว ก็ควรจะไปให้แพทย์
ได้ตรวจอย่างน้อยปีละ 1-2 ครั้ง หรือตามกลุ่มเสี่ยง
ประวัติครอบครัวที่มีโรคร้ายนี้ในสายพันธุ์ระดับพี่น้องหรือ 1 สายพันธุ์คือแม่หรือน้าอา
ปัจจัยที่ไม่เกี่ยวพันกับสายพันธุกรรม ซึ่งนับเป็นกลุ่มใหญ่ที่สำคัญคือสตรีที่ไม่แต่งงาน
มีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งเต้านมได้มากกว่าผู้ที่แต่งงานและมีบุตร
เพราะการตั้งครรภ์จะเป็นช่วงที่การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนไม่หวือหวามาก
และการให้บุตรทานนมพบว่าจะลดอุบัติการณ์การเกิดมะเร็งเต้านม
อาจจะเนื่องจากมีการถ่ายเทของต่อมน้ำนม
สตรีที่มีน้ำหนักตัวมากจึงมีไขมันมากในร่างกาย ซึ่งไขมันเหล่านี้
โดยเฉพาะที่สะสมอยู่ใต้ผิวหนังจะทำหน้าที่เปลี่ยนแปลงไขมัน
ผ่านขั้นตอนต่างๆ มากมายกลายเป็นฮอร์โมนเพศหญิงยิ่งไขมันมากก็จะสร้างได้มาก
และจะทำให้ฮอร์โมนดังกล่าวไปกระตุ้นอวัยวะเพศที่ไวต่อฮอร์โมน เช่น
เยื่อบุโพรงมดลูก รังไข่ แต่เต้านมโดยเฉพาะต่อมและท่อน้ำนม
จะพบเห็นได้ว่าในสตรีที่อ้วนหรือมีปริมาณไขมันสะสมซึ่งทางการแพทย์มีเกณฑ์วัด
เรียกว่า BMI (BODY MASS INDEX) จะมีความผิดปกติของระดูมักจะเป็นไป
ในลักษณะที่จะเกิดเนื้อมดลูกหนาตัว ทำให้ระดูยืดยาวออกหรือมีเลือดออกกะปริดกะปรอย
นานๆ เข้าสภาวะฮอร์โมนเพศหญิงสูงไม่ได้แก้ไขก็จะกระตุ้นนานเข้าๆ
จนเยื่อบุโพรงมดลูกกลายเป็นมะเร็งไปได้ เต้านมก็เป็นไปในลักษณะเดียวกัน
กระตุ้นนานเข้าๆ ก็จะกลายเป็นเนื้อร้ายโดยเฉพาะเซลล์ 2 ท่อน้ำนม
ระยะเวลาที่ใช้ในการกลายยังไม่เป็นที่แน่ชัด
ทางการแพทย์จัดกลุ่มเสี่ยงออกเป็น 3 กลุ่ม คือกลุ่มเสี่ยงมาก
กลุ่มเสี่ยงปานกลาง และกลุ่มที่ไม่เสี่ยง (กลับเป็นปัจจัยป้องกัน)
กลุ่มเสี่ยงมาก กลุ่มนี้มีโอกาสเป็นมากกว่าประชากรทั่วไป 3 เท่า
- อายุมากกว่า 40 ปี และมีประวัติเป็นมะเร็งเต้านมมาก่อน
- มีประวัติของมะเร็งเต้านมในสายเลือด 1 ชั้น (first degree relation)
- เคยเป็นเนื้องอกถุงน้ำของเต้านมมาก่อน
- สตรีไม่ได้แต่งงาน หรือแต่งงานเป็นหมัน หรือและท้องครั้งแรกอายุมากกว่า
31 ปี หรือน้อยกว่า 18 ปี
กลุ่มเสี่ยงปานกลาง กลุ่มนี้จะมีโอกาสเป็นมะเร็งเต้านม
มากกว่าปกติทั่วไป 1.2-1.5 เท่า
- สตรีที่มีระดูอายุน้อยหรือและหมดระดูอายุมาก คือมีช่วงการมีระดูยาวนานกว่าปกติ
(สตรีไทยเฉลี่ยจะหมดระดู อายุ 48-52 ปี)
- สตรีที่มีการบริโภคฮอร์โมนเพศหญิง (ไม่รวมยาคุมกำเนิด) มาก่อน
- มีประวัติมะเร็งรังไข่ มะเร็งของมดลุก และมะเร็งลำไส้ในครอบครัว
- มีความผิดปกติในระบบเผาผลาญพลังงานของร่างกาย เช่น เบาหวาน โรคอ้วน
กลุ่มที่มีปัจจัยป้องกันมะเร็งเต้านม
|
---|
- ชนชาวเอเชีย (จะมีอุบัติการณ์เป็นต่ำกว่าชาวยุโรป)
- ตั้งครรภ์หลังอายุ 18 ปีและให้นมบุตร
- หมดระดูเร็ว หรือรังไข่ถูกผ่าตัดออกก่อนอายุ 37 ปี
ควรจะได้ทบทวนดูกับตัวเองว่าอยู่ในกลุ่มใดเพื่อจะได้ดูแลตัวเองให้ถูกต้อง
ถ้ากลุ่มเสี่ยงมาก ก็ต้องดูแลพบแพทย์ ปรึกษาแพทย์อย่างสม่ำเสมอ
มีคำถามจากคุณสุภาพสตรีจำนวนมาก ถึงความสัมพันธ์ของการคุมกำเนิดกับการเกิดเป็นมะเร็ง
จริงอยู่ในยาคุมกำเนิดนั้นมีฮอร์โมนเพศหญิงอยู่ แต่ก็มีปริมาณน้อย
และในยาคุมจะมีฮอร์โมนเพศอีกชนิดหนึ่งคอยสมดุลอยู่ในเม็ดยาเดียวกัน
จึงพบว่ายาคุมกำเนิดที่ใช้อยู่หรือมีจำหน่ายในท้องตลาดปัจจุบันไม่พบว่า
จะเพิ่มโอกาสการเกิดเป็นมะเร็งเต้านม แต่กลับพบว่าในกลุ่มที่ใช้ยาคุมกำเนิด
แม้จะเป็นมะเร็งเต้านม ก็พบว่าในกลุ่มนี้การทำนายโรคดีกว่ากลุ่มที่ไม่ใช้ยาคุม
เพราะพบว่ากลุ่มสตรีที่ใช้ยาคุมเป็นกลุ่มที่สนใจตัวเอง
จะมาพบแพทย์มากกว่ากลุ่มที่ไม่ใช้จึงทำให้ถ้าเป็นโรคร้ายนีก็จะพบแต่เนิ่นๆ
ซึ่งการรักษาจะได้ผลดี โอกาสหายขาดสูงมาก
ข่าวฮือฮาในช่วงต้นปีนี้ ถึงการใช้ยาชนิดหนึ่ง
ซึ่งทำให้ป้องกันการเป็นมะเร็งเต้านมได้นั้น ข้อเท็จจริงคือเป็นผลจากการศึกษาวิจัย
เมื่อให้ยาดังกล่าวที่ชื่อขึ้นต้นด้วยตัวที แล้วพบว่า กลุ่มสตรีที่ใช้ยาดังกล่าว
อุบัติการณ์เป็นมะเร็งเต้านมลดลงจากกลุ่มที่ไม่ได้ใช้
ซึ่งกลุ่มที่จะใช้ยาดังกล่าวนั้นมีข้อบ่งชี้ทางการศึกษามากมาย
และยังต้องติดตามผลต่อไป ข่าวดังกล่าวอาจจะก่อผลร้ายต่อประชาชนชาวไทย
ซึ่งเป็นประเทศที่ซื้อยาได้เสรี เพราะคุณสุภาพสตรีอาจจะไปซื้อยามาบริโภคเอง
จนเกิดผลร้ายข้างเคียงได้ เพราะยาดังกล่าวก็เป็นฮอร์โมนเช่นกัน
และเมื่อบริโภคเป็นระยะเวลานาน (กว่า 2 ปี) โอกาสที่จะเกิดมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก
จะสูงขึ้นกว่าปกติมาก การจะใช้ยาดังกล่าวจึงควรให้แพทย์เป็นผู้สั่งซึ่งโดยปกติแพทย์
ก็ใช้ยาตัวดังกล่าวร่วมในการรักษามะเร็งเต้านมอยู่แล้ว
และข้อมูลจากการศึกษาใหม่ก็พบว่า การใช้เสริมเต้านม
ด้วยสารที่แพทย์ใช้ใส่ให้คุณสุภาพสตรี ไม่พบว่าทำให้อุบัติการณ์เกิดโรคร้ายนี้เกิดขึ้น
ก็นับว่าเป็นข่าวดีของคุณสุภาพสตรีที่ไปทำอึ๋มส์มา
|