การที่คนเราจะมีร่างกายที่แข็งแรงได้นั้นจะต้องมีสุขภาพจิตที่ดีควบคู่กันไปด้วยเสมอ
เพราะถ้าจิตใจหรืออารมณ์แปรปรวนบ่อยๆ ก็จะทำให้เกิดอาการไม่สบายหลายๆ อย่าง
บางทีเราเรียกโรคทางกายที่เกิดจากจิตใจแปรปรวนนี้ว่า Psychosomatic disorders
เมื่อเด็กต้องเผชิญกับเหตุการณ์บางอย่างเช่น การไปโรงเรียน การมีน้องใหม่ การถูกดุว่าบ่อยๆ ฯลฯ
เด็กจะตอบสนองเป็น 2 ลักษณะคือ
1. ในระดับจิตใจ เด็กจะรู้สึกว่าตนเองมีความเดือดร้อน เครียด กังวล โกรธ ฯลฯ
2. ในระดับร่างกาย ความเครียดนี้จะไปกระตุ้นระบบประสาทอัตโนมัติในร่างกาย (Autonomic nervous system)
ให้ทำงานแปรปรวนไปทำให้อวัยวะที่เลี้ยงโดยระบบประสาทอัตโนมัตินั้นทำหน้าที่ผิดปกติ เช่น มีการบีบตัวมากขึ้น
มีการหลั่งสารบางอย่างมากขึ้น มีการหายใจเพิ่มขึ้น ฯลฯ ซึ่งถ้าเป็นอยู่เช่นนั้นนานๆ ไปจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง
ในโครงสร้างอวัยวะนั้น ทำให้เกิดพยาธิสภาพจริงๆ เช่น ทำให้เกิดแผลในประเพาะอาหารหรือทำให้อ้วน ฯลฯ
เด็กบางคนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าความโกรธความเครียดของตนเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการไม่สบายต่างๆ
ที่ตนเองเป็นอยู่ แต่เด็กบางคนก็บอกได้เช่น บอกว่าเมื่อโกรธหรือกังวลจะรู้สึกปวดท้อง คลื่นไส้ ฯลฯ
มีคุณพ่อคุณแม่มักถามหมอบ่อยๆ ว่า ทำไมทุกเช้าลูกจะปวดท้อง ลูกแกล้งหรือเปล่าก็ขอตอบในที่นี้เลยว่า
ลูกไม่ได้แกล้งแต่ปวดท้องจริงๆ เพราะโรคทางกายที่เกิดจากจิตใจแปรปรวนนี้จะต้องมีความผิดปกติให้เห็นเช่น
มีกรดในกระเพาะออกมามากผิดปกติหรือเวลาหอบหืดก็มีเสียง Wheeze จริงๆ คือ มีการหดตัวของหลอดลมจริงๆ
และผู้ที่เป็นมักกังวลกับอาการที่เกิดขึ้นนั้นๆ
อาการของโรคกลุ่มนี้จะมีตั้งแต่เบาไปจนรุนแรงเป็นได้ทั้งแบบชั่วคราวหรือเรื้อรัง
โรคนี้มักมีสาเหตุหลายๆ อย่างร่วมกัน เช่น การมีกรรมพันธุ์หรืออาจเป็นความอ่อนแอเฉพาะบุคคลก็ได้
เด็กบางคนมีความเครียด มีความขัดแย้งในจิตใจ มีปัญหาด้านสัมพันธภาพระหว่างบุคคลทั้งในอดีตและปัจจุบัน
บางคนเชื่อว่าโรคนี้มักเกิดในครอบครัวที่มีอารมณ์พัวพันใกล้ชิดแน่นแฟ้น ปกป้องเด็กมากหรือค่อนข้างเข้มงวด
และมีข้อขัดแย้งระหว่างบุคคลสูงและการที่เด็กเป็นโรคนั้นทำให้คนใสครอบครัวหันมาเอาใจใส่กับอาการของเด็ก
ในกลุ่มอาการของโรคนี้จะเป็นที่ระบบใดก็ได้และมักพบเป็นที่อวัยวะเดียวหรือระบบเดียวเป็นส่วนใหญ่ เช่น
- เป็นที่ผิวหนัง ทำให้เป็นผื่นคัน เป็นลมพิษเรื้อรัง
- เป็นที่ระบบกล้ามเนื้อและข้อ ทำให้ปวดข้อตึงคอ ปวดตึงหัว
- ระบบหายใจ เช่น หอบหืด ทำให้หอบหืดกำเริบ
- ระบบไหลเวียน เช่น ทำให้เกิดอาการปวดหัวไมเกรน ทำให้ความดันโลหิตสูง
- ระบบทางเดินอาหาร เช่น ทำให้เป็นโรคกระเพาะ ปวดท้องเรื้อรัง อาเจียน
- ระบบประสาท เช่น ทำให้เกิดอาการเวียนหัวหรือการนอนผิดปกติ
การรักษาโรคกลุ่มนี้จะต้องตรวจร่างกายอย่างละเอียดเพื่อหาว่ามีโรคอะไร และรักษาทั้งทางร่างกาย
และจิตใจควบคู่กันไปเสมอ รวมทั้งจำเป็นที่จะต้องให้คุณพ่อคุณแม่ช่วยเหลืออย่างใกล้ชิดโดยความเข้าใจ
ความเห็นใจ รับฟัง และแนะนำลูกอาการที่ลูกเป็นเป็นอาการจริงทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นปวดท้อง หอบเหนื่อย ฯลฯ
คุณพ่อคุณแม่จึงควรพาลูกไปให้แพทย์ตรวจเพื่อรักษาให้ยาบรรเทาอาการขณะเดียวกันก็รักษาทางจิตใจไปด้วย
โดยคุณพ่อคุณแม่ต้องให้ความร่วมมือ ระยะแรกจะต้องมาหาแพทย์ตามนัดเพื่อรับคำแนะนำและปฏิบัติตาม
ควรให้ลูกเป็นตัวของตัวเอง โดยคุณพ่อคุณแม่ไม่ควรปกป้องหรือถนอมลูกมากเกินไป หรือกังวลมากเกินไป
เพราะท่าทีเหล่านี้มักจะทำให้อาการทั้งหลายเป็นมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้จะต้องไม่ไปเพ่งเล็งสนใจอาการลูกจนเกินไปด้วย
ควรให้ลูกได้มีโอกาสระบายความรู้สึกคับข้องใจเกี่ยวกับความเจ็บป่วยและให้หาทางระบายอารมณ์
ในทางที่เหมาะสม เช่น พูดบอกความกังวล หากทำการบ้านไม่ได้ แทนที่จะปล่อยให้ตนเองปวดหัว
ก็ให้พูดบอกแทนและให้คุณพ่อคุณแม่ช่วยเหลือ หรือมีความกลัวแทนที่จะปวดท้องก็ให้ลูกได้มีโอกาสไต่ถาม
และคุณพ่อคุณแม่ควรปลอบโยนให้กำลังใจให้โอกาสและเพิ่มประสบการณ์ให้ลูก
มีตัวอย่างของเด็กที่เป็นโรคทางกายอันเกิดจากจิตใจแปรปรวนมาเล่าให้ฟังค่ะ
คุณพ่อคุณแม่อ่านไว้เป็นประสบการณ์และเผื่อเป็นหนทางแก้ปัญหาสำหรับลูกน้อยของท่านนะคะ
ปวดหัว
ด.ญ.นุช อายุ 10 ปี มีอาการปวดหัว ปวดท้อง แน่นหน้าอก หายใจไม่ออกมา 1 เดือน
ตั้งแต่เปิดเทอมคุณแม่พาไปเช็กร่างกายอย่างละเอียด ทั้ง X-Ray วัดสายตา ฯลฯ ก็ไม่พบความผิดปกติ
คุณแม่รู้สึกเบื่อหน่ายเรื่องการเจ็บป่วยของลูก ส่วนทางโรงเรียนให้น้องนุชงดออกกำลังกาย
เพราะเห็นว่าน้องนุชป่วยบ่อย หยุดโรงเรียนบ่อยมากไม่ค่อยมีเพื่อนที่โรงเรียน
น้องนุชเป็นเด็กขี้โมโห ขี้น้อยใจ ขี้กลัว เถียงเก่ง ทำให้คุณแม่โมโหบ่อยๆ ซึ่งเมื่อเทียบกับน้อง
แล้วน้องจะพูดรู้เรื่องกว่ามาก น้องนุชโกรธน้องบ่อยๆ เพราะน้องชอบแย่งของเล่น
เวลาน้องนุชปวดหัว คุณพ่อมักบอกว่าน้องนุชแกล้งปวดหัวทำให้น้องนุชรู้สึกน้อยใจ
รู้สึกว่าคุณพ่อคุณแม่ไม่ยุติธรรม เวลารู้สึกเช่นนี้จะปวดหัวบ้าง ปวดท้องบ้าง
คุณพ่อคุณแม่ของน้องนุชเอาใจใส่ลูกดี แต่ก็มีความไม่พอใจรำคาญเด็ก
และกังวลกับอาการของลูกควบคู่กันไปด้วย ทำให้ลูกเกิดความไม่มั่นใจในความรักของคุณพ่อคุณแม่
นอกจากนี้น้องนุชยังมีความเครียดที่โรงเรียนด้วย เพราะรู้สึกเหงา ไม่มีเพื่อน
รายนี้แพทย์ต้องอธิบายให้คุณพ่อคุณแม่รู้ว่าอาการทั้งหมดนั้นน้องนุชเป็นจริงๆ ไม่ได้แกล้งทำ
แต่เป็นอาการแสดงออกของความเครียดจึงได้ให้ยาแก้ปวดหัว ยาแก้ปวดท้อง ยาเคลือบกระเพาะให้รับประทาน
และให้คุณพ่อหรือคุณแม่ไปพบครูเพื่อให้ครูเข้าใจถึงปัญหาของลูกขอความร่วมมือให้น้องนุชได้เข้าร่วมกิจกรรมกลุ่ม
ให้ออกกำลังกายได้ตามปกติ ส่วนคุณพ่อคุณแม่จะต้องไม่แสดงความวิตกกังวลต่ออาการของลูก
และยอมรับอารมณ์ของลูก ควรปลอบใจให้กำลังใจพอสมควร และควรให้ความยุติธรรมเรื่องเกี่ยวกับน้อง
ควรให้ลูกได้ช่วยงานบ้าน ลูกจะได้ใกล้ชิดคุณแม่และเพิ่มความรับผิดชอบขึ้น พร้อมกับฟังลูกพูด
คุณพ่อคุณแม่จะต้องให้น้องนุชไปโรงเรียนทุกวัน โดยไม่ไปว่ากล่าวเพียงแต่บอกน้องนุชว่า
เมื่อหนูปวดหัวหนูจะหายเองได้โดยทำอะไรให้เพลินๆ เสีย
ส่วนเรื่องน้อง เมื่อพี่น้องทะเลาะกันคุณพ่อคุณแม่อย่าไปเอาเรื่องนัก ให้เขาตัดสินกันเองบ้าง
หลังจากการรักษาประมาณ 6 สัปดาห์ น้องนุชไม่มีอาการอีกเลย น้องนุชสามารถช่วยงานบ้านได้หลายอย่าง
และคุณแม่ก็แสดงความชื่นชมลูกมากขึ้น น้องนุชเล่นกับน้องได้ดีขึ้น และที่โรงเรียนก็มีเพื่อนมากขึ้น
สรุป สิ่งสำคัญของการช่วยเหลือลูกนั้นไม่ใช่เพียงบ่งให้อาการหายเท่านั้นแต่ต้องช่วยด้านสัมพันธภาพ
ระหว่างลูกกับคุณพ่อคุณแม่ พี่น้องหรือลูกกับทางโรงเรียน เช่น ครู เพื่อน ให้ดีขึ้นด้วย
ขณะเดียวกันก็ต้องลดปัญหาความขัดแย้งลง ให้มีความเข้าใจต่อกันในแง่ดีและยอมรับซึ่งกันและกัน เช่น
คุณแม่ต้องยอมรับว่าลูกต้องการให้คุณแม่รักจึงต้องทำอ้อนเป็นเด็กหรือเรียกร้องความสนใจด้วยวิธีอื่น
คุณแม่ก็ต้องยอมกอดลูกหรือแสดงความรักให้ลูกสบายใจขณะเดียวกันก็กระตุ้นส่วนที่เป็นเด็กโตให้เขามีความภูมิใจ
เช่น ให้นอนดึกกว่าน้องได้ เวลาลูกช่วยงานก็ชมและแสดงความรักบ่อยๆ บอกลูกว่าแม่ชอบเด็กโตที่ช่วยงานบ้าน
และช่วยตัวเองได้ สิ่งเหล่านี้ทำให้ลูกเกิดความมั่นใจลูกจึงเลิกพฤติกรรมที่ทำตัวเป็นเด็กเล็ก
นี่เป็นตัวอย่างเพียงแค่อาการเดียว ฉบับหน้าจะมีอีกหลายอาการทางกายที่เกิดจากจิตใจแปรปรวน
มาเล่าให้ฟังอีกอย่างพลาดนะคะ เพราะล้วนแล้วแต่น่ารู้สำหรับคุณพ่อคุณแม่อย่างยิ่ง
พ.ญ.ลำดวน นำสิริกุล
|