มาที่นี่ที่เดียว ได้อ่านบทความทางด้านการแพทย์ ภาษาไทย จากเกือบทุกโฮมเพจที่มีใน INTERNET
http://www.oocities.org/Tokyo/Harbor/2093/
จำสั้นๆ i.am/thaidoc



พ่อแม่แบบนี้ยกนิ้วให้เลย


เด็กๆ มีเวลาโยกโย้ก่อกวนไม่สบอารมณ์โก๋ได้แทบทุกเวลา ไม่ต่างจากผู้ใหญ่เรา ท่าทีของพ่อแม่ในการรับมือกับอารมณ์ลูก ก่อผลได้ทั้งทางด้านลบและด้านบวก เมื่อไรก็ตามที่คุณรู้สึกคุมอารมณ์ไม่อยู่ และลงท้ายด้วยการตะโกนใส่เจ้าหนู พร้อมฟาดไปที่ก้นน้อยๆ อีก 2-3 ป้าบ

ในที่สุดเมื่อพายุอารมณ์ผ่านพ้นไป เจ้าความรู้สึกผิดว่า โธ่...แม่ไม่น่าจัดการกับลูกอย่างนั้นเลยมันก็จะเป็นฝ่ายเข้ามาก่อกวนคุณแทน เจ้าหนูเองก็รู้สึกแย่ม๊าก...มาก "นี่แม่หรือนางยักษ์ขมูขีกันแน่ สงสัยจะไม่รักเราแล้วมั้ง แค่นี้ก็ต้องตีด้วย"

ร้ายกว่านั้นพ่อแม่จะพบว่าสอนลูกไม่ได้เลย ปัญหาทางอารมณ์ของทั้ง 2 ฝ่าย ทำให้การสื่อสารไม่อาจเป็นไปได้สะดวก เหมือนอย่างใจนึก แล้วแม่นั้นแหละที่จะรู้สึกว่า ทำไมเราควบคุมยายหนู ตาหนูของเราไม่ได้เสียเลย "หรือเรานี่ท่าจะเป็นแม่ที่ไม่ได้เรื่องเสียแล้ว"

อย่าเพิ่งตำหนิติเตียน เห็นความไม่ถูกต้องของตัวเองไปเสียหมด โธ่! การเลี้ยงเด็กน่ะมันของกล้วยๆ เสียที่ไหน ใครว่าง่าย มาเลี้ยงเจ้าตุ้ยนุ้ยที่บ้านสักอาทิตย์หน่อยเป็นไง ถ้ายังยิ้มอยู่ได้จนถึงวันศุกร์ล่ะก็ จะยอมให้หมดเลย โดยเฉพาะถ้าต้องอดตาหลับขับตานอน เลี้ยงเจ้าตัวเล็กด้วยแล้ว โอกาสที่อารมณ์ของคุณแม่หัวฟูและคุณพ่อหัวบานจะระเบิดเถิดเทิง มีอยู่ไม่น้อย...แล้วทำยังไง เราจึงจะลดอารมณ์ให้มั่นคงจนเย็นฉ่ำ เหมือนแอร์เบอร์ 5 ได้บ้าง

ต่อไปนี้คือ 10 ยุทธศาสตร์ที่จะช่วยรักษาอารมณ์ของความเป็นแม่ให้มั่นคง และรักษาสายใยรักระหว่างเรากับเจ้าตัวน้อย ซึ่งแสบสันในบางครั้ง ให้แนบแน่นกันต่อไป

ตั้งกฎ

ไม่ใช่ว่าข้อแรกก็มาแบบเฉียบขาดคุมเข้มกันเลย แต่คงไม่ลืมว่าใครๆ ก็ย่อมต้องการความชัดเจนหรือไกด์ไลน์ที่พอจะใช้เป็นหลักในการอยู่ร่วมกัน หรือปรับนิสัยใจคอให้เป็นที่ยอมรับกันได้บ้าง เด็กๆ เหมือนกันนั่นแหละ แกก็คงอยากรู้ว่าแม่น่ะไม่ชอบให้หนูขว้างทรายใส่ตาใคร ไม่อยากให้กินน้ำ แล้วเทน้ำที่เหลือเรี่ยราดตามใจชอบ หรือเที่ยวเอาไม้ไล่ตีใครๆ เวลาที่ไม่พอใจ รวมทั้งด่าไอ้แม่บ้าด้วยนั่นแหละ เรื่องแบบนี้หนูยังเล็กจิ๊ดเดียว พ่อแม่ไม่บอก ไม่วางกฎเกณฑ์ไว้บ้าง หนูก็พร้อมจะทำตามอารมณ์หนูเหมือนกัน จะเป็นการดีที่คุณจะรีบสต๊อพเจ้าหนูเอาไว้ ในขณะที่แกกำลังสำแดงพฤติกรรมเหล่านั้น แต่จะมีท่าทีกับแกอย่างไรล่ะ

แบบนี้ไม่ดีแน่ : อย่านะ! ไปตีเด็กเล็กๆ อย่างนั้นได้ไง ร้ายกาจจริงๆ ถ้าขืนทำอีกล่ะก็...แม่พากลับบ้านจริงๆ ด้วย
แบบนี้ดีไหม : อย่าลูก! ไปตีน้องเล็กอย่างนั้นไม่ได้ เราต้องไม่ทำร้ายคนอื่นนะคะ โดยเฉพาะเด็กที่เล็กกว่าเรา ลูกเป็นเด็กดีของแม่ ไหนทำให้แม่ดูหน่อยสิคะว่ารักน้องทำยังไงไปหาน้องและบอกน้องนะคะว่า หนูเสียใจและขอโทษที่ไปตีเขา
ท่าทีที่ดี เสียงที่สงบมั่นคง และการอธิบายช่วยปรับนิสัยของเจ้าตัวน้อย ได้ดีกว่าการเอ็ดตะโรของพ่อแม่ค่ะ

เข้าใจกันหน่อย

บอกตัวเองเสมอว่า ลูกในวัย 2-3 ปียังเล็กมากเกินกว่าที่จะเข้าใจว่า ความร้ายกาจเป็นอย่างไร และตัวแกเองก็ไม่ต้องการที่จะเป็นตัวแสบอะไรอย่างนั้น ก็เจ้าหนูของเราเพิ่งจะเลิกดูดนิ้วไปไม่นานนี้เอง เมื่อไรที่เจ้าตัวน้อยทำอะไรผิดพลาด จงให้อภัยและอย่าได้ทำร้ายจิตใจของหนูด้วยการลงโทษ การพูดคุยอธิบาย จะช่วยปรับนิสัยของลูกน้อยได้มากที่สุดค่ะ
ที่สำคัญอย่าคาดหวังให้ลูกทำอะไรเกินวัยของเขา เช่น คาดหวังว่าลูกจะถ่ายเป็นที่เป็นทาง ทั้งที่เพิ่งหัดเดิน หรือเขียนหนังสือเป็นตัว ทั้งที่เพิ่งอายุ 5 ขวบ ยิ่งร้ายหนักเข้าไปอีกคือ ถ้าลูกทำไม่ได้ แล้วถูกทำโทษงานนี้โหดมหาหินเลยค่ะ

แน่ใจตัวเองหรือยัง

เมื่อใดที่ลูกรู้สึกอารมณ์บูด และเริ่มเอะอะโวยวาย อย่าเพิ่ง 'รมณ์เสียตามเจ้าตัวแสบ เพราะเราจะกลายเป็นฝ่ายอยู่ในคอนโทรลของเจ้าตัวดีทันที ตั้งสติ สงบอารมณ์ของตัวเองให้ดี เพราะแท้จริงลูกกำลังต้องการใครสักคน ที่สงบพอจะสยบแกได้ ถ้าลูกไปเอะอะโวยวาย ร้องไห้เสียงดังท่ามกลางชาวประชามากหน้าหลายตา ทางที่ดีหาทางเคลื่อนย้ายออกมาจากสถานการณ์นั้นก่อน หรือชี้ชวนให้เจ้าหนูเปลี่ยนความสนใจไป ถ้าไม่สำเร็จ เดินออกมาจากที่ลูกกำลังเกลือกกลิ้งอาละวาด แกจะวิ่งตามมาเอง จากนั้นเปลี่ยนความสนใจและค่อยๆ อธิบายให้ลูกฟัง ในที่สุดหนูน้อยจะเรียนรู้ว่าการใช้วิธีอาละวาดฟาดหัวฟาดหางกับพ่อแม่นั้น มันบ่มิไก๊นะหนู แต่เมื่อใดเจ้าตัวน้อยเกิด "รมณ์บ่จอยขึ้นที่บ้าน นั่งเคียงข้างลูกค่ะ หรือไม่ก็ปล่อยเจ้าตัวน้อยไว้ตามลำพังในที่ปลอดภัย เช่น ห้องของเขา หรือในเตียงที่ปลอดภัย คุณแม่บางคนบอกว่า ถ้าลูกอาละวาดมากมายจนเหมือนระงับอารมณ์ไม่อยู่แล้ว ให้กอดลูกแน่นๆ จนลูกรู้สึกสงบลง วิธีนี้เราเองก็จะสงบลงด้วย

เมินๆ เสียบ้าง

ทำเป็นไม่ใส่ใจหรือมองไม่เห็นเสียบ้าง กับพฤติกรรมที่ไม่ถูกไม่ควรของลูก มัวแต่พูดว่า "อย่า อย่า" อยู่เรื่อยๆ นั้นไม่ได้ผลหรอกค่ะ ลูกๆ เองก็อยากรู้เหมือนกันว่า ไอ้คำว่า "อย่า" ของแม่น่ะ แท้จริงมันมีความหมายแค่ไหนนะ เก็บ "ไม่" หรือ "อย่านะ" ไว้ใช้ยามคับขันที่เกี่ยวกับความปลอดภัยของลูกจะดีกว่า
บางครั้งการมองจากมุมของลูกก็จะช่วยทำให้คนเป็นพ่อแม่ยอมรับข้อเท็จจริง เข้าใจการกระทำของลูกมากขึ้น คุณแม่คนหนึ่งเล่าให้ฟังว่า รู้สึกรำคาญเหลือทนที่จะต้องคอยบอกลูกว่า อย่ารินน้ำหกๆ อย่ารินน้ำหก บอกตั้งกี่ครั้งไม่รู้กี่ครั้ง ลูกก็ยังทำน้ำหกอยู่นั่นเอง จนทนไม่ไหว เอ็ดตะโรเจ้าตัวดีร้องไห้โฮไปเลย พอหลุดจากสถานการณ ์มานั่งสงบสติอารมณ์ก็คิดได้ว่า โธ่เอ๊ย...ลูกเพิ่ง ขวบ ยังเล็กนิดเดียว ผ่านโลกมาก็แค่ 5 ปี จะมาคาดหวังให้ลูกทำอะไรได้เท่ากับใจคนเป็นแม่ ที่อยู่มานานกว่า 30 ปีได้ไง แล้วเรื่องรินน้ำหกก็เล็กนิดเดียว จะเอาเรื่องเอาราวอะไรนักหนา ให้มันแล้ว...แล้วไปบ้างนิ

ติดดิสก์เบรกได้เลย

เมื่อไรที่รู้สึกว่ากำลังอารมณ์เสีย และเครียดเสียจนเริ่มควบคุมตัวเองไม่อยู่ หรืออารมณ์เสียบ่อยๆ จนเกิดอาการบูดเน่าไปทั้งบ้าน หาเวลาให้ตัวเอง หรือ Time out คือปล่อยให้ตัวเองอยู่นิ่งๆ บ้าง ขอให้สามีเพื่อนผู้หวังดี พี่น้องช่วยกันติดดิสก์เบรกให้หน่อย ให้เวลาตัวเองไปว่ายน้ำสักครึ่งชั่วโมง ออกกำลังกายหรือหาวิดีโอสักเรื่องมาดูให้ผ่อนคลาย
อีกวิธีที่น่าจะได้ผลดี เมื่อเจ้ามารร้ายในตัวเราเริ่มทำท่าออกอาละวาด คือเผ่นออกจากห้องไปก่อน ไปนั่งสงบสติอารมณ์ นั่งมองต้นไม้ใบหญ้า นับหนึ่งถึงสิบ ยังไม่หายนับให้ถึงร้อย ยังไม่ซาอีก นับไปเรื่อยๆ จนถึงพัน ถึงหมื่น ให้มันรู้ไปว่าเราจะเอาชนะความโกรธไม่ได้ การหายใจลึกๆ ดื่มชาอุ่นๆ สักถ้วย หรือสไปร์ทเย็นเจี๊ยบ บีบมะนาวลงไปหน่อย ก็พอจะเป็นเครื่องมือที่ช่วยเบรกอารมณ์ของเราได้...ลองดูค่ะ

ชมไว้เป็นดี

อย่าให้ใครๆ กล่าวหา ว่าแม่ไทยไม่ชอบชม เอาแต่ติ อู๊ย...นั่นมันแม่ในศตวรรษที่ 20 เราจะเป็นแม่ในยุค 21 Century แล้ว ต้องรู้จักชื่นชมลูกอย่างมีหลักการ คำชม เสียงแสดงความชื่นชมของพ่อแม่ ไม่เพียงสนับสนุนนิสัยที่ดีๆ ของลูกเท่านั้น ยังทำให้ลูกเกิดความมั่นใจในตนเอง มีความรู้สึกที่ดีต่อตัวเอง ทำให้เกิดความมั่นคงในใจ
นอกจากเสียงชื่นชม การกอด จูบ และบอกลูกบ่อยๆ ว่าแม่กับพ่อภูมิใจในตัวลูกอย่างไร ลูกเป็นเด็กฉลาด น่ารักเพียงใด เป็นวิธีการที่ดีที่จะช่วยให้ความสัมพันธ์ในบ้านเป็นไปอย่างราบรื่น และลดความขัดแย้งไปอีกจม งานนี้ใครไม่เชื่อขอท้าให้ลองทำดู แล้วจะรู้ว่าของดีนั้นมันอยู่ที่มธุรสวาจาของเรานี่เอง

หนักแน่นเข้าไว้

ความหนักแน่นต่อสถานการณ์ต่างๆ ของพ่อแม่ เป็นสิ่งที่ลูกคาดหวัง และความหนักแน่นนี้เองจะช่วยให้ลูกเกิดความมั่นคงในอารมณ์มากขึ้น ความหนักแน่นนี้คงไม่ได้หมายถึงว่าจะต้องเข้มข้นเอาจริงเอาจังกับกฎเกณฑ์ต่างๆ หรือเอาเป็นเอาตายกับความผิดถูก เพราะยิ่งเราเข้มงวดเท่าไร ก็จะยิ่งเป็นการถ่างช่องว่างของเรากับลูกมากขึ้น ยืดหยุ่นกับสถานการณ์ต่างๆ มองมันด้วยอารมณ์ขันในบางครั้ง ก็จะช่วยคลี่คลายสถานการณ์และปัญหาต่างๆ ไปได้ โลกยังไม่ถล่มทลายไปในวันนี้
สิ่งที่ควรหนักแน่นคือ มองอย่างเข้าใจ พยายามทำความเข้าใจ มีสติ ไม่ใช้อารมณ์ จะทำให้เราหาทางแก้ปัญหาได้คลี่คลายมากขึ้น

ขอโทษ

เชื่อมั้ยคะสิ่งวิเศษสุดสิ่งหนึ่งในชีวิตการเป็นพ่อแม่ คือ การกล่าวคำว่า "ขอโทษ" เมื่อพ่อแม่เป็นฝ่ายไม่ถูก เผลอเอ็ดตะโรใส่หน้า ตำหนิติเตียนทั้งที่ยังไม่สืบสาวข้อเท็จจริง ฟาดหัวฟาดหางและฟาดก้นเล็กๆ ของเจ้าตัวน้อยไปแล้วไม่ต้องกลัวเสียหน้า หรือกลัวลูกไม่นับถือ ไม่ใช่นายกฯ นี่ จะได้ต้องให้คนมาง้างปากขอโทษ พ่อแม่ก็มีสิทธิ์ทำไม่ถูกได้ การขอโทษไม่เพียงทำให้ลูกได้เรียนรู้ว่า เมื่อไรที่ทำไม่ถูกต้อง การไม่ถือทิฐิ ยอมรับผิดอย่างเต็มใจ จะช่วยคลี่คลายสถานการณ์ต่างๆ ให้ดีขึ้น แล้วยังทำให้เรานับถือตนเอง และได้รับการยอมรับจากผู้อื่นด้วย
ทำไปเถอะค่ะ ลูกจะให้ความนับถือพ่อแม่ขึ้นอักโข ทั้งยังเป็นจุดเริ่มต้น ที่จะทำให้เราพูดคุยกับลูกได้มากขึ้นด้วย

หลีกเลี่ยงปัญหา

คาดการณ์ไว้ก่อนว่า จะพบปัญหาอะไรบ้าง เช่น ในตอนเช้าที่แสนจะวุ่นวาย เจ้าตัวเล็กตื่นนอนใหม่ๆ จะต้องงอแงทุกเช้า ทำให้แม่ไปทำงานไม่ทัน อารมณ์หงุดหงิดจะตามมา เป็นอย่างนี้ก็เตรียมการเสียตั้งแต่คืนนี้ จะใส่เสื้อผ้าชุดไหน ขวดนมลูก ตะกร้าใส่ข้าวของเครื่องใช้อาหารเช้าพร้อมอุ่น เตรียมไว้ให้พร้อม พรุ่งนี้คอยแก้ปัญหาเจ้าตัวเล็กก็พอจะได้ไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง ให้วุ่นวายอารมณ์ หรือรู้ว่าทุกครั้งที่ได้เล่นน้ำ เจ้าตัวดีจะไม่ยอมขึ้นจากน้ำง่ายๆ แต่แม่ยังมีธุระปะปังอีกมากมาย กลัวลูกไม่สบายด้วยล่ะ ให้เตรียมของล่อใจเอาไว้เลยค่ะ ตกลงกับลูกน้อยกันก่อนนะคะ เช่น ว่าให้ลูกเล่นน้ำจนถึงแม่ล้างชามเสร็จ แล้วแม่จะเล่านิทานให้ฟัง ตอนลูกนอนกลางวันการเป็นนักวางแผน และจัดการช่วยให้ความสัมพันธ์แม่ลูกราบรื่นได้

มองโลกในแง่ดี

อย่าทำให้ลูกรู้สึกว่าแกเป็นคนโง่ ไม่ได้เรื่องในสายตาของพ่อแม่ เพราะเรากำลังต้อนลูกให้เข้าสู่ความเป็นคนไม่ได้เรื่องด้วยมือของเราเอง ท่าทีที่นุ่มนวล อธิบายให้ลูกเห็นถึงผลที่จะเกิด หรือพูดในเชิงบวก ดีกว่าการชี้ถูกชี้ผิด ฟันธงไปชัวะๆ ว่า ลูกต้องทำไม่ได้แน่
"ไปรินน้ำให้แม่กินหน่อย แล้วอย่าทำหกล่ะ เรายิ่งซุ่มซ่ามอยู่ด้วย" การคาดหมายแบบนี้นอกจากไม่ได้ป้องกันแก้วแตกแล้ว ยังพิพากษาลูกน้อยของเราไปเสร็จสรรพ ลองคาดหมายใหม่ดีกว่าค่ะ คาดหมายว่าหากลูกไปรินน้ำให้แม่ อะไรที่จะเป็นอุปสรรคของลูกบ้าง "ไปรินให้แม่กินหน่อย ตอนเดินมาต้องระวัง อย่าไปสะดุดของเล่นน้องเข้านะลูก" แบบนี้น้องหนูของเราน่าชื่นใจกว่านะคะ

ภาระของการเป็นพ่อแม่ไม่ง่ายเลย ทั้งถูกเรียกร้องจากหน้าที่การงาน และจากงานบ้าน งานเลี้ยงลูกภาระกิจมะรุมมะตุ้มแบบนี้ วิธีคิดที่ดี การพยายามปรับอารมณ์ให้มั่นคงจะช่วยลดความขัดแย้งภายในบ้านไปได้มาก บ้านที่สงบและแต้มด้วยเสียงหัวเราะนั้น ไม่ได้เกิดจากสวรรค์บันดาล แต่เกิดจากอารมณ์อันสงบมั่นคงของคนในบ้านแท้ๆ เทียว

วีวีลา


[ที่มา..นิตยสารดวงใจพ่อแม่   ่ ปีที่ 4 ฉบับที่ 45 กรกฎาคม 2452]

[ BACK TO LIST]
main พบแพทย์ คอมพิวเตอร์ เรื่องบ้าน เรื่องรถ เรื่องกฏหมาย เรื่องของผู้บริโภค เรื่องเบาๆ คลายเครียด

มีปัญหาสุขภาพ ที่นี่มีคำตอบ ห้องสมุดE-LIB[ hey.to/yimyam ][ i.am/thaidoc ]

Best view with [IE3.02][NETSCAPE 4.05][OPERA 3.21] resolution 800x600