"วันหนึ่งเราอาจสงสัยว่าเหตุใด
ลูกเราจึงชอบก่อเรื่องชกต่อย วางมาดเป็นนักเลงโต
ชอบใช้อำนาจข่มเหงผู้อื่น ซึ่งหากย้อนกลับไป
พิจารณาเรื่องราวในอดีตเราก็อาจจะพบว่า
สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นผลจากการเลี้ยงดูของเรา
ที่เรายกให้เขาเป็น "คุณหนู"
มีอำนาจอย่างเต็มที่ที่จะจัดการกับคนทำงานในบ้าน
ซึ่งอยู่ในฐานะเพียง "คนใช้"
ผู้คอยรับคำสั่ง "เจ้านาย" อย่างไม่มีปากเสียง"
สิ่งที่ผมกล่าวมาข้างต้นนี้ เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นได้ในสภาพสังคมไทย
|
|
" สิ่งที่เด็กๆ ได้รับ
เมื่อครั้งยังเล็กนั้น
เด็กจะจดจำอย่างฝังรากลงไป
ยิ่งในวัยที่กำลังพัฒนาการใช้เหตุผล
เด็กจะไม่สามารถแยกแยะว่า
สิ่งใดถูก สิ่งใดผิด
หากไม่ได้รับการสอนการอธิบาย
เด็กที่ได้รับ การยกย่องไว้สูง
ในฐานะ "คุณหนู"
นี่แหละน่าเป็นห่วงที่สุด "
|
สังคมไทยเป็นสังคมแห่งชนชั้นมาตั้งแต่สมัยโบราณ เราแบ่งคนในสังคม
ออกเป็นชนชั้นต่างๆ ทั้งอย่างชัดแจ้ง เช่นระบบเจ้าขุนมูลนายระบบอาวุโส
และอย่างเป็นนัย เช่น เรายกย่องให้คนที่มี "เงินมาก" เป็นคนที่อยู่เหนือชั้นกว่าคนที่มีเงินน้อย
หรือเรียกว่า คนรวยย่อมน่านับถือมากกว่าคนจน สะท้อนจากการที่สังคมไทย
ยกย่องให้เกียรติคนมีเงิน มียศถาบรรดาศักดิ์มีตำแหน่งใหญ่ มีชาติตระกูลดีมากกว่า
เป็นสังคมที่ให้เกียรติคนในฐานะที่เกิดมาเป็นคนอย่างเท่าเทียมกัน
ชนชั้นที่สังคมจัดให้อยู่ในระดับ "สูงกว่า" มักจะมี "อำนาจที่เหนือกว่า"
เป็นองค์ประกอบตามมาด้วยเสมอ
ดังนั้นหากเด็กๆ เกิดมาในบ้านที่พ่อแม่ฐานะดี มีทรัพย์สมบัติตำแหน่ง
มีหน้ามีตาในสังคมย่อมมีเงินมากเพียงพอที่จะจ้างคนมาช่วยทำงานบ้าน
ช่วยเลี้ยงดูเด็กๆ ในบ้าน สิ่งที่เกิดขึ้นคือ การจัดแบ่งชนชั้นภายในบ้าน
เจ้าขอบ้านจะกลายเป็น "เจ้านาย" ที่มีอำนาจเต็มที่ในการสั่งการ
ส่วนคนทำงานบ้านก็จะกลายเป็น "คนรับใช้" ที่อยู่ในฐานะที่ต่ำต้อยกว่า
ส่วนเด็กๆ ก็จะกลายเป็น "คุณหนู" ของบ้านในฐานะ "เจ้านาย" คนหนึ่งไปโดยปริยาย
เด็กๆ แม้แต่ตัวเล็กๆ ก็สามารถใช้ "อำนาจ" ในการสั่งการคนรับใช้ที่อยู่ภายในบ้านได้
เราคงต้องตั้งคำถามว่า "การที่เด็กมีอำนาจเหนือคนอื่น
เพียงเพราะเขาเป็นลูกคนมีเงินนั้น นำมาซึ่งสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตของเขาหรือไม่ ?"
ผมได้ลองวิเคราะห์ความน่าจำเป็นที่จะเกิดขึ้นแก่เด็กๆ เหล่านี้
โดยตั้งอยู่บนสมมติฐานว่า พ่อแม่ผู้ปกครองและคนในบ้าน
ปล่อยให้เด็กใช้อำนาจในฐานะคุณหนูลูกเจ้านายได้อย่างอิสระ
พบว่าจะส่งผลต่อเด็กดังนี้ อาทิ
- เด็กจะเห็นว่า การใช้อำนาจเป็นสิ่งที่ถูกต้อง
เด็กๆ มีแนวโน้มของการใช้อำนาจการชอบเอาชนะผู้ที่อ่อนแอกว่าอยู่แล้ว
ดังนั้น การที่เขาได้ดำรงตำแหน่งเป็น "นาย" คนใช้จึงเป็นเหมือน "บ่าว"
ที่เขามีสิทธิที่จะใช้งานดุด่าว่ากล่าวดูดถูกเหยียดหยามไม่ให้เกียรติอย่างไรก็ได้
ยิ่งผู้ปกครองทำเป็นแบบอย่างเด็กก็จะเลียนแบบอย่างเพราะคิดว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง
สามารถใช้อำนาจเหนือคนที่อยู่ภายใต้ได้ สามารถใช้คนเหล่านี้ทำในสิ่งที่ตนเองพอใจได้
และหากเขาไม่ตามใจ ก็สามารถดุด่าว่ากล่าวได้โดยไม่ต้องเกรงใจไม่ต้องเคารพในความถูกต้อง
การยกตัวอย่างละครทางโทรทัศน์คงทำให้เห็นภาพที่ชัดเจนขึ้น
เจ้าของบ้านดูเหมือนจะมีอำนาจอย่างเต็มที่เหนือชีวิตเหล่าบรรดาคนรับใช้ในบ้าน
คำขึ้นต้นชื่อที่เจ้าของบ้านมักจะเรียกคนเหล่านี้คือ "ไอ้..." คำพูดที่ใช้มักเต็มไปด้วยความหยาบคาย
การดูถูกดูแคลน "ฉันสั่งแกก็ต้องทำ แกมันเป็นเพียงคนใช้ อย่ามาทำตีเสมอรู้ดีกว่าเจ้านาย"
หรือหนักกว่านั้นคือถึงขั้นลงไม้ลงมือ ตบหัว ผลักไส เป็นต้น ส่วนในทางตรงกันข้าม
เหล่าบรรดาคนรับใช้ก็ดูเหมือนจะยอมรับในสถานภาพของตนว่า "ต่ำต้อย" และ "ด้อยค่ากว่า"
มักยกย่องเจ้านายไว้สูง มีความสงบเสงี่ยมเจียมตัว จนหลายครั้งแสดงออก
ถึงการรังเกียจผู้มีฐานะที่ต่ำกว่าตนและทำงานที่ต่ำกว่าของตนด้วย
เมื่อเด็กๆ ดูละครเหล่านี้ก็เหมือนกับเป็นการสำทับไปว่า
การกระทำของเขาเป็นสิ่งที่ถูกต้องและเด็กจะเริ่มเลียนแบบการใช้อำนาจ
ในฐานะเจ้าของบ้านแก่คนในบ้าน
- เด็กจะคิดว่า ตนเองเป็น "เจ้านาย" ของทุคนที่มีฐานะต่ำกว่า
หากเด็กๆ เป็นเช่นนี้ที่บ้าน เด็กก็จะติดนิสัยของ "ผู้วางอำนาจ"
เด็กจะคิดในใจเสมอว่า "ตนเองเป็นเจ้านาย" และเขาก็จะนำไปใช้ในที่อื่นๆ ด้วย
เช่นที่โรงเรียน เด็กจะพยายามหาผู้ที่อ่อนแอกว่าอาจจะเป็นเพื่อนๆ
ที่มีฐานะด้อยกว่าตัวเล็กกว่ามาเป็นเหมือน "บริวาร" เด็กๆ จะมีนิสัยชอบดูถูกคน
เกลียดคนที่ไม่ตามใจตน มาตรฐานวัดคุณค่าของเด็กก็จะบิดเบี้ยวไป
- เด็กจะเห็นว่า คนที่มีเงิน มีฐานะดีเท่านั้นคือคนที่มีคุณค่า
เด็กๆ จะไม่เห็นคนทุกคนมีคุณค่าแต่จะเห็นว่า "คนที่มีเงิน" มากกว่าเป็นคนที่มีคุณค่า
เด็กจะไม่เข้าใจในเนื้อแท้ของการเคารพสิทธิเสรีภาพของปัจเจกบุคคลตามหลักสิทธิมนุษยชน
ไม่เข้าใจว่า คนทุกคนมีคุณค่าเท่าเทียมกันและสามารถอยู่อย่างมีศักดิ์ศรีของคนเป็นมนุษย์
เมื่อเขาเติบโตขึ้นเขาก็จะไหว้คนที่มีเงิน มีฐานะ และดูถูกคนยากจน ผู้ที่อ่อนแอกว่า
- เด็กจะใช้เงินและอำนาจเป็นหนทางสู่ความสำเร็จ
การที่เด็กมี "อำนาจ" ตั้งแต่เขายังเล็กๆ ทำให้เด็กเรียนรู้ว่า
การมีเงินนำมาซึ่งอำนาจ บริวาร และความสุขสบายในชีวิต ดังนั้นเขาจึงพยายามรักษาอำนาจ
ที่เขามีอยู่บนฐานของ "เงิน" เขาจะใช้เงินนั้นไปจ้างคนให้มากระทำ
ในสิ่งที่ตนเองพึงพอใจได้เมื่อเติบโตขึ้น เด็กก็จะเป็นคนที่รักเงินและอำนาจมาก
จนไม่ยอมที่จะประสบความยากลำบากหรือยากจน เพราะเกรงว่า
จะกลายเป็นคนอีกชนชั้นหนึ่งที่มีคนดูถูกดูแคลนซึ่งอาจเป็นเหตุนำไปสู่การประพฤติที่ไม่ถูกต้อง
เช่น คอร์รัปชั่น โกงกิน ติดการพนัน หรือทำในสิ่งที่ตนจะได้เงินมาง่ายๆ
เพื่อรักษาไว้ซึ่งอำนาจที่เขาเห็นว่ามีคุณค่ามากกว่า
- ลูกเราควรเป็น "ผู้มีอำนาจ" หรือควรเป็น "ผู้เห็นคนมีค่า"
สิ่งที่เด็กๆ ได้รับเมื่อครั้งยังเล็กนั้นเป็นสิ่งที่พ่อแม่ต้องใส่ใจ
เพราะเด็กจะจดจำอย่างฝังรากลงไปว่า สิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องสามารถกระทำได้
ยิ่งเด็กในวัยที่กำลังพัฒนาการใช้เหตุผล เด็กจะไม่สามารถแยกแยะว่าสิ่งใดถูก
สิ่งใดผิด หากไม่ได้รับการสอน การอธิบายจากผู้ปกครอง ดังนั้นหากเด็กได้รับการยกย่องไว้สูง
ในฐานะ "คุณหนู" มีคนรับใช้คอยห้อมล้อมมากมายเด็กก็อาจเติบโตขึ้น
พร้อมกับการมัวเมาในอำนาจมัวเมาในการใช้เงินฟาดหัวผู้อื่น
เพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ตนต้องการ และกลายเป็นคนที่แบ่งชนชั้นคน
ดูถูกเหยียดหยามจนถึงขั้นทำร้ายผู้อื่นได้อย่างง่ายดาย
ดังนั้น ถ้าเราไม่ต้องการทำร้ายลูก เราก็ไม่ควรสอนลูกหรือเป็นแบบอย่างให้ลูกเห็นว่า
เราสามารถเป็น "เจ้านาย" ที่มีอำนาจเหนือกว่า "คนใช้" หรือ "ลูกจ้าง" ในบ้านของเรา
แต่ควรสอนให้ลูกๆ เห็นคุณค่าของคนอย่างเหมาะสมอาทิ
- สอนลูกให้เห็นคนเป็นคน คนทุกคนมีคุณค่า
พ่อแม่ที่รักลูกควรเป็นแบบอย่างในการเห็นคุณค่าของความเป็นคน
ไม่ควรเห็นคนที่เขามาทำงานให้เรามีศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ด้อยกว่าเรา
เพราะเขาจนกว่าเรา เขาต้องพึ่งพาเงินของเรา ถ้าเราไม่มีเงินให้เขา เขาก็จะต้องอดตาย
แต่เราควรคิดใหม่ให้ถูก ต้องว่ามนุษย์ทุกคนมีคุณค่าศักดิ์ศรีเท่าเทียมกัน
ทุกคนควรได้รับเกียรติได้รับการปฏิบัติอย่างสมกับที่เกิดมาเป็นคนโดยไม่ได้เลือกว่า
เขาจะมีสถานภาพเป็นเช่นไร
พ่อแม่ที่ดีควรสอนลูกว่าการที่เรามีเงิน มีคนทำงานให้กับเรา ไม่ได้หมายความว่า
เรามี "อำนาจ" เหนือชีวิตของเขาเพราะเงินไม่ได้เป็นเครื่องวัดคุณค่าความเป็นคน
เราไม่สามารถใช้เงินเป็นเครื่องมือในการบีบบังคับให้คนๆ หนึ่งทำงานให้กับเราได้หากเขาไม่เต็มใจ
หากเราในฐานะที่เป็นพ่อแม่มีจิตสำนึกเช่นนี้ และกระทำให้เป็นแบบอย่างแก่ลูก
ลูกก็จะเลียนแบบกระทำตาม เมื่อเขาเติบโตขึ้นเขาก็จะเป็นที่รักของคนรอบข้าง
เขาจะไม่เป็นคนที่ใช้อำนาจบาตรใหญ่หรือมีลักษณะเป็น "นักเลงโต" ข่มเหงผู้ใด
แต่จะเป็นคนที่อ่อนน้อมและให้เกีรยติแก่ทุกคนไม่ว่าคนนั้นจะยากดีมีจนเพียงไร
- สอนลูกให้มีใจขอบคุณคนที่มาช่วยทำงาน
เราควรสอนให้ลูกของเรามองคนเหล่านี้ว่า เขาเป็นผู้มาช่วยงานของเรา
โดยอธิบายให้ลูกฟังว่า หากครอบครัวไม่ได้เขามาช่วยเราก็จะต้องทำงานเองทุกอย่าง
ซึ่งเราคงจะเหน็ดเหนื่อยมาก หากไม่ได้เขามาช่วย ดังนั้นเราจึงควรขอบคุณเขาเสมอ
ที่เขายินดีทำงานให้เรา
ผมจะไม่สอนให้ลูกเห็นคนที่ทำงานให้กับเราเป็นเหมือน "คนรับใช้" หรือ "ลูกจ้าง"
เพราะคำนี้นำมาซึ่งอำนาจแก่ผู้พูดให้การเหยียบผู้อื่นให้ต่ำกว่า
อันเป็นการลดคุณค่าความเป็นคน แต่จะสอนลูกเสมอว่า
เราควรเห็นคุณค่าคนควรให้เกียรติที่จะพูดกับเขาและปฏิบัติกับเขาตามความอาวุโส
และขอบคุณเขาด้วยความจริงใจในสิ่งต่างๆ ที่เขาทำให้
ผมจะเป็นแบบอย่างในเรื่องนี้ให้แก่ลูกเสมอ เช่น ทุกครั้งที่ผมลงจากรถ
ผมจะกล่าวขอบคุณคนขับรถเพราะผมเห็นว่าเขาเป็นเพื่อนร่วมงานที่ดีคนหนึ่ง
เป็นบุคคลที่ช่วยแบ่งเบาภาระของผมทำให้ผมสามารถทำงานในขณะที่นั่งรถ
เดินทางไปที่ใดๆ ได้มากขึ้น
เราคงต้องถามตัวเองว่า เราอยากให้ลูกของเราเติบโตขึ้นเป็นคนที่มี "อำนาจ"
หรือเป็นคนที่ "เคารพในคุณค่าความเป็นคน" ถ้าเราเลือกประการแรก
ลูกของเราก็มีแนวโน้มเติบโตเป็นผู้ที่มีความสุขกับการใช้อำนาจเหนือผู้อื่น
เป็นผู้แสวงอำนาจทั้งในทางชอบธรรมและ ทางอธรรม แต่ถ้าเราเลือกประการที่สอง
ลูกของเราก็มีแนวโน้มที่จะเติบโตขึ้นเป็นผู้ที่มีความสุขกับการให้เกียรติผู้อื่น
และเป็นผู้สร้าง "สันติภาพ" ให้กับสังคมเพราะเขาจะเห็นว่า
คนทุกคนมีคุณค่าสมควรได้รับสิ่งดีจากเพื่อนมนุษย์เท่าเทียมกัน
ศ.ดร.เกรียงศักดิ์ เจริญวงศักดิ์
|