พ่อแม่ทุกคนรักลูก ยิ่งลูกอยู่ห่างตัวจะยิ่งห่วงไม่ว่าลูกเล็กๆ หรือโตแล้วก็ตาม
ยิ่งมีข่าวต่างๆ ว่า เด็กถูกจับตัวถูกข่มขืน ถูกทำร้าย พ่อแม่ยิ่งเกิดความกังวล
ดร.โดนัลด์ สตีเฟนส์ (Dr.Donald Stephen) ผู้อำนวยการบริหาร
The National School Safty Center ได้ให้ข้อคิดเรื่องการป้องกันความปลอดภัยของลูกไว้
และที่เตือนก็เพราะพ่อแม่ไม่น้อยจะไม่รู้ว่ามีอาการอะไรบ้างที่บ่งชี้ว่าลูกของเรามีปัญหา
เช่น ลูกของคุณจิรภากลับจากโรงเรียนด้วยอาการกลัวๆ และเช้าๆ
จะบอกแม่เสมอว่า ต้องให้เงินครบและขอเหรียญสิบเท่านั้น
โดยลูกของคุณจิรภาได้วันละ 20 บาท เนื่องจากมีอาหารการกินที่โรงเรียนพร้อม
แถมมีรถโรงเรียนมารับส่งถึงบ้านด้วย
คุณจิรภาไม่ได้เอะใจอะไรนึกว่าลูกไม่ชอบธนบัตร
ซึ่งจริงๆ แล้ว ลูกคุณจิรภาโดนเพื่อนนักเรียนด้วยกันรีดไถ
เป็นเจ้าพ่อระดับประถมตัวน้อยๆ คอยเอาเงินจากเพื่อน
ถ้าไม่ให้ก็ข่มขู่
พอกลัวให้ง่ายๆ เจ้าพ่อน้อยๆ เลยได้ใจรีดไถต่อไป
บางครั้งขยายวงด้วยการบังคับให้เสพและค้ายาเสพย์ติด ซึ่งนสพ.ลงข่าวอยู่ไม่น้อย
นักเรียนที่ไปโรงเรียนจึงผวาและไม่รู้จะพึ่งใคร
ทางที่ดีพ่อแม่ควรสังเกตบ้างตามผู้เชี่ยวชาญแนะนำ คือ
1. รู้สึกไหมว่ามีตรงไหนไม่ปลอดภัยในโรงเรียน
เช่น ที่นั่งใต้ต้นไม้ เครื่องเล่น ต้นไม้เก่าแก่เกินไปไหม เป็นต้น
2. มีใครไหมในโรงเรียนที่ชอบทำผิด ถูก
ไม่ว่าจะเป็นครู อาจารย์ นักเรียน พนักงาน คนงาน ภารโรง เป็นต้น
แล้วผู้บริหารเคยแก้ไขหรือปล่อยปละละเลยให้เหตุการณ์เลวร้ายแล้ว
เรายังให้ลูกหลานไปเรียนได้อย่างไร เพราะนอกจากคนที่ทำผิดกฎจะไม่สำนึก
ลูกหลานเราอาจโดนทำร้าย หรืออาจเปลี่ยนนิสัยชอบทำผิดกฎเกณฑ์ไปด้วย
3. ลูกอยากไปโรงเรียนหรืออยากอยู่บ้านมากกว่ากัน
ถ้าลูกบอกแต่ว่า
"ขออยู่บ้านดีกว่า"
ให้คิดดูให้ดี โรงเรียนมีปัญหาอะไร ลูกหลานเราถึงไม่อยากไป
กลัวอะไรหนักหนา กลัวครู อาจารย์หรือเพื่อนๆ หรือกลัวคนอื่น
หรือมีใครคอยเอาเรื่องหรือทำร้ายลูกเราตามทางหรือไม่
4. เห็นครูใหญ่หรืออาจารย์ใหญ่
หรือผู้อำนวยการดูแลความเรียบร้อยบ่อยครั้งหรือไม่
หรือเอาแต่นั่งทำงานในห้องปรับอากาศเวลาเกิดเหตุจึงหาหัวหน้ามาแก้ไขสถานการณ์
หรือตัดสินอะไรได้ไม่ทันการ หรือมีคนร้องเรียนไปให้ครูใหญ่หรืออาจารย์ใหญ่
หรือผู้อำนวยการเปลี่ยนแปลงแก้ไขให้มาดูแลลูกหลานเรามากกว่านี้
ดรสตีเฟนส์ย้ำว่า พ่อแม่ผู้ปกครองแก้ไขได้ด้วยการไปพบ
หรือร่วมกิจกรรมกับโรงเรียน ลูกเราจะได้รับการเอาใจใส่มากขึ้น
สังเกตลูกกรรมการโรงเรียนมัก จะไม่ค่อยถูกลืม ครูอาจารย์พอจำได้
ไม่เหมือนพ่อแม่ที่ไม่ยอมร่วมกิจกรรมหรือเป็นกรรมการโรงเรียน
หรือไม่ไปพบครูอาจารย์ในรายการ "พบกับคุณครู"
ลูกของคนเหล่านั้นได้รับการดูแลเอาใจใส่เท่าๆ กับคนอื่นๆ
ที่ไม่ได้เป็นกรรมการ หรือไม่ได้มาพบมากน้อยเพียงไรลองคิดดูสิ
ก็เห็นใจครูอาจารย์ นักเรียนมาก สอนหลายชั่วโมง การบ้านต้องตรวจมากมาย
จะไปจำได้ทุกคนหมด...คงยากถ้าไม่มาบอกกล่าวกันบ้าง
พ่อแม่ผู้ปกครองมีเวลาควรไปร่วมกิจกรรมเพื่อช่วยสังคมและช่วยลูกของเรา
อย่าคิดว่าไม่เป็นไร ก็ครูอาจารย์มีเด็กมากมาย เราจะฝากชีวิตลูกของเราไว้กับเขาได้อย่างไร
เรามีลูกแค่ไม่กี่คน ยังไม่มีเวลาดูแล แต่จะฝากชีวิตไว้กับคนอื่น
ให้ดูแลได้อย่างไรกัน...ก็ใครจะรักเท่าลูกของเราเท่าลูกของเราล่ะคะ
5. ลูกของเราเคยถูกร้ายหรือเห็นใครในโรงเรียนถูกทำร้ายหรือไม่
ถ้าถูกทำร้าย คนๆ นั้นถูกทำโทษหรือไม่...หรือปล่อยปละละเลยให้รังแกไม่ว่าจะเป็นนักเรียน
ครูหรือใครก็ตามใครต่อใครไปเรื่อยๆ เพราะกลัวหรือไม่อยากเอาเรื่อง
ถ้าเป็นแบบนี้ลูกหลานเราคงเรียนหนังสือลำบาก อาจโดนทำร้ายได้สักวัน
ถ้าไม่เอาจริงจังกัน
6. ทางเข้าโรงเรียนอันตรายหรือไม่ เป็นทางที่ลึก หรือเป็นที่โล่งๆ
หากเป็นถนนลึก แต่ข้างทางไม่มีหลังคา ก็ยังถือว่าปลอดภัย ถ้าเราไปส่ง
แต่ถ้าลูกหลานเราต้องเดินทางเองจัดว่าน่าเป็นห่วง
ยกเว้นมีรถโรงเรียนหรือมีเพื่อนเดินกันเป็นกลุ่ม
7. รถเมล์ รถเมล์เล็ก มอเตอร์ไซค์ที่อยู่แถว
โรงเรียนคอยรับส่งลูกหลาน มีท่าทางอย่างไร ชอบลวนลาม
หรือคอยข่มขู่ลูกของเราหรือไม่
หากลูกมาปรึกษา อย่าได้ดุด่าว่ากล่าวพยายามถามความเป็นมา
เพื่อลูกเราจะได้กล้าบอกอะไร จะได้มีหนทางแก้ไข ดีกว่าปล่อย
ลูกเราถูกข่มขู่หรือต้องหวาดกลัวต่อไปเรื่อยๆ
8. ลูกเราคบเพื่อนตีหรือไม่ดี ถ้าคบเพื่อนมีปัญหา เกเร
ชอบพาไปทำตัวเสื่อมเสียก็ขอให้สังเกตไว้
เดี๋ยวนี้นักเรียนประถมหรือมัธยมทำตัวเป็นอันธพาลก็มีไม่น้อย นสพ.
เคยลงแล้ว นักเรียนประถมที่ทำตัวเป็นขาใหญ่ รวบรวมเพื่อนค้ายาบ้าก็มีให้เห็นบ้าง
ฉะนั้นพ่อแม่ต้องคอยพูดคุยเอาใจใส่ลูกเราว่า ชีวิตประจำวันแต่ละวันมีอะไรบ้าง
อาจให้ลูกเล่าให้ฟังตอนรับแกกลับบ้าน หรือตอนรับประทานอาหารเย็นด้วยกัน
หรือเสาร์อาทิตย์พาลูกไปเที่ยวนอกบ้านอาจพูดคุยกันได้ ตอนนั้นแกจะสบายใจ
จึงอยากบอกหรือระบายความในใจ
ที่สำคัญพ่อแม่ต้องเป็นเพื่อนลูกให้ได้มากที่สุด
สภาพเศรษฐกิจปัจจุบันที่แข่งขันสูง ตกงานมาก เงินหายาก
เด็กหลายคนจึงพยายามอยู่รอดไปด้วย
บางครั้งแกจะหาเงินเพื่อซื้อสิ่งของที่แกต้องการให้ได้
หรือหวังตีไม่อยากเป็นภาระหรือหวังช่วยพ่อแม่จนต้องขโมยหรือทำสิ่งผิดๆ
9. โรงเรียนสอนลูกผิดๆ หรือไม่ ซึ่งถ้าผิดจะเป็นอันตรายแก่เด็ก
ถ้าผิดโดยๆ ไม่ตั้งใจ ก็น่าให้อภัย แต่ถ้าสอนแบบให้ลูกเป็นอันธพาลหรือชอบทำร้ายกัน
ก็ถือว่าเป็นโรงเรียนที่ไม่น่าให้ลูกเข้าเรียนเท่าไหร่นัก เช่น มีบางโรงเรียนที่เด็กยกพวกตีกัน
เพราะพี่หรือครูบางคนสอนน้องหรือลูกศิษย์ว่า "เพื่อนศักดิ์ ตีกันได้" สอนแบบนี้
อนาคตไม่พ้นต้องอยู่สถานกักกัน
ถ้าเรียนโรงเรียนแบบนี้ ลูกเราอาจติดร่างแหโนจับ หรือถูกทำร้าย (จากคู่อริ)
หรือไม่มีความปลอดภัย ในการเดินทางไปโรงเรียน แล้วลูกเราโตขึ้น
จะกลายเป็นนักเรียนหรือนักเลงกันแน่
หรือลูกเราเป็นเด็กดีๆ ไม่ได้ไปร่วมกลุ่มจะโดนทำร้ายหรือไม่
หรือจะหวาดกลัวกับการแต่งชุดโรงเรียนนั้นไหม
ถ้าลูกเราเรียนด้วยความหวาดกลัวคงให้ลูกไปเรียนโรงดังกล่าวได้ดียาก
แม้จะรักโรงเรียนนั้น แต่เราต้องรักลูกเรามากกว่า
ดร.สตีเฟนส์กล่าวว่า โรงเรียนที่ดีมีความปลอดภัย ไม่ได้เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ
แต่เป็นเรื่องสำคัญที่สุดที่ทุกคนต้องร่วมมือร่วมใจ เพื่อลูกหลานของเราจะได้เติบโต
เป็นผู้ใหญ่ที่ดีต่อไปในวันข้างหน้า
รศ.สุพัตรา สุภาพ
|