"โรงเรียนเปิดแล้วหรือนี่"
ไม่ว่าเด็กหรือวัยรุ่นหรือหนุ่มสาวไม่นอ้ยบ่นอย่างไม่ค่อยสบายใจเท่าไร
ก็ยังสนุกกันไม่เสร็จสักทีแม้จะแค่เดือนเดียว พอต้องไปโรงเรียนเข้าจริงๆ
ก็เริ่มอิดออดไม่อยากไปเท่าไร หรือไปสักพักจะทำท่าไม่ค่อยอยากเรียนซะแล้ว
หลายคนเลยมีข้ออ้างอยู่เรื่อยๆ ปวดหัว ตัวร้อน คลื่นไส้ อาเจียน เป็นไข้เจ็บคอ ฯลฯ
สารพัดจะอ้างขอให้ไม่ต้องไป
พ่อแม่จึงต้องดูโดยเฉพาะเด็กเล็กๆ ถ้าแกงอแงไม่ยอมไปโรงเรียนต้องดูให้แน่ใจว่า
"ป่วยจริงไหม" หรือ "ป่วยการเมือง" ที่หวังแค่ขอได้หยุดสักวันวิธีดูว่าลูกป่วยจริงไหม
ถ้าลูกต้องอยู่บ้านจริงๆ ก็ต้องเป็นโรคบางอย่างขืนให้ไปลูกเราอาจไม่สบายมากขึ้น
เผลอๆ ชักอีกต่างหากได้ โรคที่ว่านี้ก็มีหลายโรคเช่น
"ไข้หวัดใหญ่" ถ้าเป็นไข้หวัดเล็กๆ ก็แปลว่าเรื่องยังพอเล็กได้
"เจ็บคอ" เจ็บแบบกลืนน้ำยากหรือคอบวมพูดเหมือนเสียงเป็ดหรือไม่อยากพูด
"ไอไม่หยุด" จนเราสงสารหรือไอจนหอบตัวโยน
"ปวดหู" ปวดแบบทนไม่ได้หรือร้องครวญครางตลอด
"ตาแดง" อาจจะเป็นโรคตาแดงหรือเป็นไข้ หรือเป็นอะไรที่ดูแล้วไปโรงเรียนไม่ได้แน่
และโรคที่ว่ามานี้ถ้าอาการหนักควรพาลูกไปหาหมออย่าทำเป็นหมอประจำบ้าน
ถ้าเกิดโรคร้ายแรงเพราะไปช้าเกินกว่าหมอจะช่วยเยียวยาได้
แพทย์หญิงคอนนี่ บาร์ทเลทท์ (Connie Bartlett) กุมารแพทย์ประจำโรงพยาบาล
Orange County ในแคลิฟอร์เนียเตือนว่า
พ่อแม่ไม่ควรให้ลูกอยู่บ้านถ้ามีอาการอะไรเล็กๆ น้อยๆ
ถ้าลูกยังกินได้เล่นได้ตามปกติก็ให้ลูกไปโรงเรียนได้
อาการแบบนี้ แปลว่าเจ็บยังไงก็หายได้ภายในไม่กี่วัน
ไม่ต้องตื่นเต้นหรือตกอกตกใจเกินกว่าเหตุ แต่ก็ไม่ควรเห็นอะไรเป็นเรื่องเล็กไปหมด
ถ้าเด็กเป็นไข้แล้วมีอาการซึม ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านั้นซนยิ่งกว่า
แต่ตอนนี้กลับนิ่งเหมือนตุ๊กตาหมี ก็อย่าทำใจเย็นให้ลูกไปโรงเรียน
ทางที่ดีควรอยู่บ้านดูอาการว่าควรจะทำอย่างไรกับแกดี
แพทย์หญิงคอนนี่กล่าวต่อไปอีกว่า ถ้าเด็กเป็นไข้และมีอาการเจ็บคอด้วย
หรือคอบวมต้องรีบพาไปหาหมอจะได้รู้ว่าอาการเป็นอย่างไร
ดีกว่าปล่อยจนลูกชักแล้วพ่อแม่ก็ต้องมาร้องห่มร้องไห้กลัวลูกรักมีอันเป็นไป
โดยเฉพาะเด็กเล็กๆ แกพูดไม่ได้ บอกไม่ถูกว่าแกเจ็บตรงไหน
อย่างเก่งก็ร้องไห้งอแง น้ำ อาหารไม่อยากแตะ ไม่ว่าพ่อแม่จะอ้อนอวนแค่ไหน
เพราะแกกลืนไม่ลงคอบวมจนเป่ง พ่อแม่ก็อย่าหลงดีใจว่าลูกอ้วน
ถ้าลูกตื่นขึ้นกลางดึกแล้วร้องว่า เจ็บหูหรือชี้หรือเกาตรงหู
หากบอกไม่ได้พ่อแม่ก็ต้องใส่ใจสังเกตว่าลูกรักมีอะไรผิดปกติตรงไหน
หรือตาแดงหรือมีรอยจุดตามตัวก็พาไปหาหมอดีกว่า
มีเหตุการณ์เกิดขึ้นแล้วเมื่อหนูบิลลี่อายุ 4 ขวบไม่สบาย เผอิญวันนั้นพ่อไม่อยู่
แม่เลยโทรบอกพ่อที่ทำงานช่วงค่ำว่า บิลลี่ตัวร้อนแม่ได้ใช่ผ้าขนหนูเช็ดหน้าผาก
ใต้แขนพับ ตามขาพับ คอ และตามแขนขา
พ่อบอกให้รอจะมารับไปหาหมอแต่รถติดขัดกว่าพ่อจะมาถึงพาลูกไปคลินิก
ก็ปาเข้าไปเกือบ 2 ทุ่ม
หมอที่คลินิกแนะนำให้พาไปโรงพยาบาล พอถึงโรงพยาบาลก็เข้าห้องฉุกเฉิน
หมอบอกว่า ถ้ามาช้าอีกนิดอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต
พ่อแม่เกือบเป็นลมเพราะมีลูกคนเดียวและมีไม่ได้อีกแล้ว
นายแพทย์โรเบิร์ต โอเกลแมน (Robert Hoekelman) แห่งโรงพยาบาลเด็ก
ในมหาวิทยาลัยโรเชสเตอร์เตือนว่า
ถ้าลูกท้องเสียอย่านอนใจถ้าแกถ่ายตลอดเวลา อย่าคิดว่าไม่เป็นไร
เพราะแกอาจเสียน้ำมากเกินกว่าเหตุจนอาจเป็นอันตราย
อาการท้องเสียเป็นเครื่องบ่งบอกว่ามีแบคทีเรียเข้าไปในร่างกาย
อาจจะมาจากอาหารการกินหรือของเล่นหรือติดจากที่ใดก็ตาม
โดยเฉพาะถ้าเด็กเล่นกับเพื่อนเล็กๆ ของแกก็อาจมีปัญหาอาจจะกินอาหารจานเดียวกัน
ใช้ช้อนหรือแก้วร่วมกัน เชื้อแบคทีเรียอาจถ่ายทอดกันได้ทางที่ดีถ้าลูกท้องเสียอย่างมาก
หรือตลอดเวลาควรพาไปหาแพทย์เฉพาะทาง
เด็กเล็กๆ บอกไม่ได้ว่าเป็นอะไร เจ็บตรงไหน นอกจากร้องไห้
ขอความช่วยเหลือหรืองอแง
หากเป็นหวัดและมีไข้แล้วลามหรือน้ำมูกไหลตลอดเวลา
แปลว่าเด็กควรอยู่บ้านถ้าเป็นไข้เล็กน้อยและไม่มีไข้ยังพอให้ไปโรงเรียนได้
เนื่องจากว่าถ้าเด็กเล็กๆ เจ็บป่วยเป็นไข้หวัด น้ำมูกไหล จามตลอด
ขืนไปโรงเรียนเพื่อนตัวน้อยๆ คงติดเชื้อและจามกันเป็นแถวได้
เด็กเล็กๆ ชอบเล่นด้วยกันกินด้วยกัน โอกาสติดเชื้อจึงมากกว่าผู้ใหญ่
สังเกตได้ว่า ลูกตอนเช้าก่อนไปโรงเรียนยังดูปกติไม่เป็นอะไร
พอกลับจากโรงเรียนตอนเย็นอาจมีปัญหาอาจติดไข้ ติดหวัดจากเพื่อนได้
ยิ่งเพื่อนเป็นตาแดง แกอาจเป็นด้วย...เพื่อนไม่ใส่แว่นตาดำเลยติดเพื่อนง่าย
หรือเพื่อนเป็นอีสุกอีใสลูกเราอาจเป็นด้วยก็ได้ ควรให้เด็กกลับไปโรงเรียนเมื่อไร
เด็กเล็กๆ ที่ป่วยไข้ พ่อแม่หลายคนเป็นห่วงว่าแกควรจะไปเรียนได้...
หลังจากป่วยแล้วกี่วัน ถึงจะปลอดภัยแก่ตัวเด็กและเพื่อนตัวน้อยๆ
นายแพทย์โฮเกลแมนบอกว่าต้องหลัง 24-48 ชั่วโมง หลังได้รับการรักษา
ถ้าเป็นการติดเชื้อแบบรุนแรงควรจะให้เด็กอยู่บ้านพักผ่อนนานกว่านั้น
ถ้าเป็นอีสุกอีใสควรให้อยู่บ้านสัก 1 อาทิตย์ หรือ 10 วัน ต้องให้แผลหายแล้วค่อยไปเรียนได้
และต้องระวังอย่าให้เด็กแกะเกาโดยเฉพาะเด็กเล็กๆ จะแกะเกาเป็นประจำ
อาจทำให้เป็นแผลเป็นหากเป็นเด็กหญิงอาจมีปมด้อยเมื่อโตขึ้น
จึงอธิบายให้ลูกฟังแม้ลูกจะยังไม่เข้าใจก็ตาม
ส่วนจะหยุดนานแค่ไหนมากหรือน้อยกว่านี้ควรปรึกษาแพทย์ที่รักษาลูก
และตอนลูกไม่สบายอยู่กับบ้านก็อย่าไปห่วงลูกหรือเร่งให้ลูกอ่านเขียน
หากลูกไม่มีแรงหรือเพลียอย่าได้บีบบังคับให้แกหงุดหงิดหรือหายช้า
ควรให้ลูกพักผ่อนให้มากที่สุดและพยายามเอาใจใส่ดูแลแกให้เต็มที่ทั้งกายและใจ
สุขภาพจิตน้อยๆ ของแกจะได้ดีขึ้นเพื่อจะได้หายในเร็ววัน
ที่เขียนแบบนี้เพราะเคยเห็นคุณแม่ผู้กลัวลูกเรียนไม่ทันเพื่อนบังคับลูก
ในวัยอนุบาลอ่านหนังสือทั้งๆ ที่เด็กเพิ่งหายไข้ยังต้องการปรับร่างกายให้คืนสภาพเดิม
พ่อแม่อย่าไปห่วงเรื่องการเรียนมากว่าสุขภาพลูก ถ้าลูกสุขภาพดีก็จะเรียนดีขึ้น
แต่ถ้าเราบีบบังคับลูกมากอาจทำให้ลูกเบื่อโรงเรียนก็ได้
รศ.สุพัตรา สุภาพ
|