เพ็ญประภา วัฒนรัตน์
ความเครียด (STRESS) เป็นสภาวะที่ทำให้เด็กต้องบีบบังคับตัวเอง
รวมทั้งปฏิกิริยาจากภายในที่ตอบโต้สถานการณ์นั้นๆ มีเด็กจำนวนมากที่รู้สึกว่า
ตนเองตกอยู่ในความเครียดแต่ไม่สามารถที่จะบอกใครได้
ความเครียดอาจเกิดจากหลายปัจจัย เช่น การเปลี่ยนแปลงทั้งในด้านดีและร้าย
ความเจ็บป่วยหรือเรียนมากไป การที่เหตุการณ์ใดจะก่อให้เกิดความเครียดหรือไม่นั้น
ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเหตุการณ์ว่าใหญ่หรือเล็กแต่ขึ้นอยู่กับว่า
ลูกของคุณจะสามารถจัดการกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้ดีเพียงใด เพราะบางทีปัญหาเล็กๆ
ก็อาจจะทำให้ลูกเครียดได้มากกว่าปัญหาใหญ่ๆ ก็ได้
ความเครียดเป็นสภาวะที่เป็นจริงของชีวิตที่ไม่ว่าเด็กเล็กหรือเด็กโต
ก็ต้องเผชิญด้วยกันทั้งสิ้น สิ่งสำคัญที่พ่อแม่ควรจะใส่ใจก็คือ
ระดับของความเครียดที่ลูกต้องเผชิญและวิธีการในการโต้ตอบของลูก
เมื่อใดที่ความปกติของร่างกายเกิดความไม่สงบสุขขึ้น ด้วยสาเหตุที่เกิดความเครียด
เช่น ลูกเริ่มที่จะนอนไม่หลับรับประทานอาหารได้น้อยลง สุขภาพไม่แข็งแรง
นั่นหมายความว่า ร่างกายของลูกกำลังส่งสัญญาณเตือนว่า
เขากำลังตกอยู่ในภาวะของความเครียดมากเกินไปแล้ว
ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้น
เมื่อมีสถานการณ์ที่ทำให้ลูกเกิดความตึงเครียดขึ้น
สมองของเขาก็จะส่งสัญญาณเตือนภัย ด้วยการปล่อยสารเคมีที่เรียกว่า "สารสื่อประสาท"
(Neurotransmitter) เพื่อกระตุ้นการผลิตฮอร์โมนที่ทำให้ร่างกายตื่นตัวและเตรียม
พร้อมที่จะรับมือกับปัญหา หัวใจจะเต้นแรง ชีพจรจะเต้นเร็วขึ้นมือไม้สั่น
และท้องไส้อาจปั่นป่วน
ฮอร์โมนบางชนิดที่หลั่งออกมาในสถานการณ์ตึงเครียด
โดยเฉพาะอะดรีนาลิน (Adrenaline) ยังมีผลไปกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
เป็นทีททราบกันว่า ความเครียดระดับปานกลางที่เกิดในเวลาสั้นๆ
สามารถทำให้กลับคืนสู่สภาวะปกติได้อย่างรวดเร็ว แต่ความเครียดระดับสูง
ที่เกิดขึ้นเป็นเวลานาน จะมีผลทำให้ปริมาณฮอร์โมนลดน้อยลง
ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานช้าลงไป ซึ่งในที่สุดเด็กก็จะมีความ
ต้านทานโรคน้อยลงด้วย
เครียดอย่างพอเหมาะจะมีผลดี
ความเครียดในระดับที่พอเหมาะ จะเป็นแรงหนุนให้เด็กสามารถทำสิ่งต่างๆ
ในชีวิตได้ดีขึ้น ซึ่งเด็กเล็กๆ มีโอกาสเกิดความเครียดได้ในหลายสถานการณ์
ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์ต้องแยกจากแม่เพื่อไปโรงเรียนหรือการย้ายโรงเรียน
การสอบ ฯลฯ แต่หากลูกมีความเครียดมากเกินไป
หรือเครียดติดต่อกันเป็นเวลานานเกินไป
ความเครียดก็สามารถบั่นทอนสุขภาพของเด็กได้
"จริงๆ แล้วไม่ใช่ว่า เด็กไม่ควรจะเครียดเลย" นพ.ณัทธร พิทยรัตน์เสถียร
จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ เสนอแนะ
"ความเครียดก็เป็นสิ่งจำเป็นเหมือนกัน เช่น
การที่เด็กเครียดเรื่องการที่ต้องแยกจากแม่เด็กจะร้องไห้งอแงกลัวการแยกจาก
แต่ว่าในทิศทางเราจะเห็นว่า เด็กจะต้องโตไปเป็นผู้ใหญ่จะต้องแยกจากแม่ให้ได้
จะต้องดำเนินชีวิตด้วยตัวเองให้ได้ การที่เราใส่ความเครียดพอดีๆ
ให้เขาค่อยๆ แยกจาก ไม่ใช่ฉับพลันทันที แต่ค่อยๆ ห่างออกไป"
นพ.ณัทธร ยังเสริมต่อไปว่า จากการที่พ่อแม่จะต้องดูลูกอยู่ตลอด
ก็ปล่อยให้เขาไปอยู่อีกห้องหนึ่งบ้างไปเล่นของเล่นแล้วพ่อแม่ก็อยู่อีกห้องหนึ่ง
ซึ่งในที่สุดเด็กก็จะแยกจากได้ การไปโรงเรียนที่ต้องแยกจากพ่อแม่ก็จะไม่มีปัญหา
เด็กควรจะเครียดบ้างเล็กน้อย แต่สุดท้ายความเครียดจะทำให้เขาพัฒนาไปตามวัย
หรืออย่างการเรียนก็ดี ถ้าเราดูการเรียนของเด็ก ถ้าเรียนไปเรื่อยๆ
การที่ไม่มีความเครียดอะไรก็จะต่างจากเรียนแล้วมีสอบบ้าง
ตอนสอบก็มีความเครียดขึ้นมานิดหน่อย แต่ตรงนั้นจำเป็น
เพราะจะทำให้เด็กเกิดความกระตือรือร้นอ่านหนังสือแล้วก็ได้ความรู้มากขึ้น
เพราะฉะนั้น ความเครียดในขนาดที่กำลังเหมาะจะทำให้เขาพัฒนา
แต่ถ้าเครียดมากไปก็ไม่ไหว ทำให้การพัฒนาแย่ไปเหมือนกัน
สาเหตุที่เกิด
ในเด็กเล็กๆ ถ้าเขาไม่ได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด ด้วยเหตุที่คุณพ่อคุณแม่ไม่มีเวลา
ต้องแยกจากกันบ่อยๆ ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เด็กเครียดได้ "ประมาณ 6 เดือน
เด็กเริ่มที่จะจำหน้าแม่ได้ แล้วพอคุณแม่ต้องห่างไปบ่อยๆ เด็กก็จะเริ่มมีความกังวล
ต่อการแยกจาก คือเป็นห่วงว่าคุณแม่ไปไหน ทำไมทิ้งเขาไว้ตรงนี้"
นพ.ณัทธร อธิบายต่อไปว่า
เด็กจะเกิดความเครียดก็ต่อเมื่อความต้องการของเด็ก
ไม่ได้รับการตอบสนองอย่างเพียงพอความต้องการก็จะต้องมองเรื่องทางกายกับเรื่องทางใจ
ทางกายก็เป็นเรื่องของปัจจัยสี่ ส่วนเรื่องทางใจ เนื่องจากเด็กในวัยเล็กๆ
ที่ต่ำกว่า 1 ขวบ ตรงนี้เขาจะต้องการการดูแลอย่างใกล้ชิดมาก
เป็นเหมือนวิวัฒนาการสิ่งมีชีวิตเล็กๆ จะต้องมีแม่คอยดูแลเพื่อความอยู่รอด
ไม่อย่างนั้น ชีวิตก็จะดำเนินต่อไปไม่ได้
เพราะฉะนั้น การดูแลในช่วงเล็กๆ จึงมีความสำคัญมาก
ที่จะให้เกิดความรักความผูกพันแม้แต่แค่การกอดหรือสัมผัสลูก
ก็สามารถให้ผลต่างจากเด็กที่ขาดการสัมผัสได้มาก
เพราะฉะนั้นความใกล้ชิดจึงเป็นปัจจัยสำคัญประการหนึ่ง
ถ้าขาดไปเด็กก็จะเครียดได้
การระบายความเครียด
ความเครียดของเด็กจะมีทุกช่วงอายุของเขา
ในเด็กโตจะมีเรื่องให้เครียดมากกว่าเด็กเล็กๆ อาจเป็นเรื่องของการเรียน
เพื่อน ครู พ่อแม่ ฯลฯ การระบายออกของเด็กไม่ว่าจะเป็นการเก็บกด
หรือระบายออกมาอย่างเปิดเผยเต็มที่เลยนั้น ก็คงจะไม่ดีทั้งคู่
เพราะว่ามันเชื่อมโยงกันว่า ถ้าเก็บกดมากๆ ก็อาจจะแสดงออกอย่างรุนแรงในที่สุดได้
หรือเด็กที่เก็บอะไรไม่เป็นเลยก็จะออกมาในภาพที่ก้าวร้าว
"เราก็เลยอยากจะให้เด็กสามารถระบายความเครียด
หรืออารมณ์ที่ไม่แจ่มใสได้อย่างเหมาะสม อย่างเช่น เด็กควรจะรู้วิธีเล่น
อย่างกีฬา หรือว่าเล่นอะไรที่ได้ออกแรงเสียหน่อย ตรงนี้จะได้ระบาย
หรือว่าการพูด ก็เป็นสิ่งที่ควรสอนเด็กนั่นคือ ถ้าเด็กเกิดอารมณ์เครียด
พยายามให้เด็กฝึกคิดระบายความรู้สึกออกมา เช่น ถ้าเราเห็นเด็ก
แสดงท่าหงุดหงิดออกมาก็บอก "ตอนนี้หนูอึดอัดใจอะไรหรือเปล่าคะ"
ให้เขาเข้าใจว่าอย่างนี้ว่าหนูไม่ชอบนะ แล้วมีอะไรก็ให้พูดออกมา
คนเราพอได้พูด การแสดงในทางร่างกายก็จะลดลงเยอะเลย
เพราะฉะนั้นควรจะสังเกตว่า ถ้าลูกมีท่าทีเปลี่ยนไป
เราก็จะช่วยได้ง่ายๆ ด้วยการให้เขาพูดออกมา" นพ.ณัทธร สรุป
เมื่อเกิดความเครียดขึ้น เด็กไม่สามารถหลีกหนีปัญหาที่ต้องเผชิญอยู่ทุกวันได้
แต่พ่อแม่ควรจะเป็นผู้ที่คอยใกล้ชิดลูก และให้คำแนะนำถึงวิธีที่จะจัดการ
กับความเครียดของลูก โดยการให้เขาเรียนรู้กับการปรับสภาวะจิตใจในขณะเครียดทันที
ซึ่งก็จะเป็นวิธีการที่ได้ผลในการลดความเครียดระดับหนึ่ง
|