นักวิชาการพยาบาลทารก แนะพ่อ-แม่ยุคใหม่นวดสัมผัสลูก
ส่งผลให้เด็กมีพัฒนาการด้านอารมณ์ที่ดี ขณะเดียวกันก็ให้พูดและสบตาลูกน้อย
เพื่อให้ชินกับสัมผัสทางคลื่นเสียงและสายตา ระบุให้นวดเพียงวันละ 10-15 นาที
เพราะอาจทำให้เด็กเบื่อได้
ผศ.วิไล เลิศธรรมทวี อาจารย์คณะพยาบาลศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เปิดเผยว่า จากการที่ได้ศึกษาเรื่องการพยาบาลและเลี้ยงดูเด็กอ่อนมาเป็นเวลานาน
พบว่า กิจกรรมหนึ่งซึ่งพ่อแม่ควรทำให้แก่ลูกน้อยอย่างยิ่ง คือการนวดสัมผัส
เพราะการสัมผัสเป็นสิ่งแรกที่เด็กรู้สึกตั้งแต่อยู่ในท้อง
เมื่อมีโอกาสสัมผัสผนังมดลูกของมารดา
เด็กเล็กต้องการสัมผัสจากพ่อแม่อย่างมาก การสัมผัสมีทั้งทางกายภาพคือ
การอุ้ม การแตะต้องเนื้อตัว ซึ่งเพียงเท่านี้ยังไม่เพียงพอ ควรมีการนวด
ระหว่างนวดก็ให้สัมผัสทางคลื่นเสียงด้วยการพูดคุยด้วย
และสัมผัสทางสายตาด้วยการมองตา ทำให้ทารกรู้สึกว่า
ตนเองได้รับความรักความอบอุ่นจากพ่อแม่ตั้งแต่เล็ก
ผศ.วิไลกล่าวอีกว่า ในทางการแพทย์ให้การยอมรับการนวดสัมผัสมานานแล้ว
และในประเทศตะวันตกก็มีการทำวิจัยเรื่องนี้อย่างจริงจัง
รวมทั้งมีการนำมาใช้กันอย่างกว้างขวางด้วย โดยเฉพาะในทารกที่คลอดก่อนกำหนด
และต้องนำเข้าตู้ หมอและพยาบาล หรือพ่อ-แม่ ต้องนำทารกออกมานวดสัมผัสเป็นระยะๆ
เพื่อสร้างพัฒนาการให้เด็กดีขึ้น
สถาบันวิจัยการสัมผัส คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยไมอามี วิจัยพบว่า
การนวดสัมผัสทารกแรก คลอดที่มีน้ำหนักตัวน้อย มีผลทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น
วันละ 47 เปอร์เซ็นต์ และออกจากโรงพยาบาลเร็ว ขึ้น 6วัน
คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเบย์ลอร์ ในเมืองฮุสตันได้วิจัย พบว่า
สมองของเด็กๆ ที่ไม่ค่อยได้ถูกสัมผัสหรือเล่นด้วย มีการเจริญเติบโตด้อย
กว่าสมองของเด็กในวัย เดียวกันถึง 20-30 เปอร์เซ็นต์
ผศ.วิไลเผยอีกว่า จากการศึกษาของตนพบว่า การสอนให้พ่อและแม่
นำลูกจากตู้อบมาอุ้มในท่าจิงโจ้แนบอก ทำให้ทารกได้รับความอบอุ่น
และมีพัฒนาการเร็วขึ้นเช่นกัน
"สำหรับทารกที่คลอดตามกำหนด การนวดก็มีประโยชน์อย่างมาก
เพราะ มีส่วนสร้างพัฒนาการทั้ง ทางด้านอารมณ์และจิตใจของลูกน้อย
เป็นการเริ่มต้นของกิจกรรมการเล่นของเด็ก ซึ่งเป็นพัฒนาการสำคัญของมนุษย์วัยเด็ก
ทั้งเป็นการผ่อนคลายกล้ามเนื้อ เป็นการเตรียมพร้อมสู่การคลาน
การเดิน เป็นการกระตุ้นระบบทางเดินอาหาร ทำให้ลูกกินได้ นอนหลับ ขับถ่ายคล่อง
และเสริมภูมิคุ้มกัน เด็กที่ได้รับการนวด จากพ่อแม่จะอารมณ์ดี มองโลกในแง่ดี"
อย่างไรก็ตาม การนวดทารกมีอยู่ด้วยกันหลายท่า อาทิ ท่ายิ้มแฉ่ง
ท่ารถเมล์จอดป้าย ท่าเปิดหนังสือ ท่าระหัดวิดน้ำ ท่าไอเลิฟยู ท่าปูไต่พุง ฯลฯ
ซึ่ง ผศ.วิไลบอกว่า ไม่จำเป็นต้องนวดทารกทุกท่า แต่ให้เลือกท่าที่ลูกชอบ
โดยควรทำทุก วันๆ ละ 1-2 ครั้งๆ ละ 10-15 นาที ไม่ควรเกิน 20 นาที
เพราะทำให้เด็กเบื่อและกล้ามเนื้อช้ำได้
ช่วงเวลานวดควรเลือกในช่วงเวลาที่ทั้งพ่อหรือแม่และลูกมีอารมณ์ดี
เช่น หลังตื่นนอนหรือหลังอาบน้ำใหม่ๆ และควรนวดสัมผัสหลังให้ลูกดื่มนม
แล้วอย่างน้อย 1 ชั่วโมงเพราะหากนวดขณะนมยังเต็มกระเพาะอาจทำให้ลูก
อาเจียนได้
ห้องที่ใช้นวดสัมผัสไม่ควรเย็นเกินไป เนื่องจากต้องถอดเสื้อผ้าลูกออก
ก่อนนวด เพื่อให้เนื้อสัมผัสเนื้ออย่างแท้จริง และควรเตรียมผ้าอ้อมไว้ด้วย
2-3 ผืน เพราะระหว่างนวดเด็กอาจฉี่ออกมาได้ที่นอนค่อนข้างแข็ง
หรือใช้ผ้าเช็ดตัว ผืนใหญ่ปูกับพื้น เพราะหากที่นอนนิ่มเกินไป
เมื่อนวดก็จะยุบตัวลงไป ทำให้ได้ผลไม่เต็มที่
ก่อนนวดควรใช้แป้งทามือคุณพ่อหรือคุณแม่ก่อน
เพื่อนวดแล้วไม่ฝืดไม่ทำอันตรายผิวหนังอัน อ่อนนุ่มของลูก
ทั้งเป็นการปรับอุณหภูมิไม่ให้มือพ่อหรือแม่ร้อนเกินไป
ในช่วงที่อากาศหนาวควรใช้โลชั่นทาผิวแก่ลูกด้วย
แต่ไม่ควรใช้น้ำมันเพราะเด็กๆ แพ้ง่าย
|