รุ่งเพกา
คงไม่มีครอบครัวใดปฏิเสธว่า มีรูปทรงสี่เหลี่ยมประเภทหนึ่งเป็นสิ่งมีอิทธิพลมากอยู่ในบ้าน
ภาพสื่อสารอันหลากหลายที่ตอบสนองต่อสังคมเสรี มีให้ชมตั้งแต่ลืมตาตื่นจนปิดตาหลับ
ไม่น่าเชื่อเลยว่าเจ้าจอสี่เหลียมไครอบงำเราไว้ ชี้แนะ หลอกล่อ
และบังคับให้ทำตามโดยง่ายดาย หลายครั้งเราจึงยอมทำตามไปโดยไม่รู้ตัว
ไม่เคยคิดว่าทำไปแล้วจะเกิดผลอย่างไรบ้างหรือคิดแล้ว แต่ก็ยังอยากจะทำ
แม่ไม่ได้เกลียดหรือปฏิเสธทีวี เพราะบางครั้งโอกาสในโลกของการสื่อสารทีวี
ก็ให้ประโยชน์เรื่องความฉับไว แต่ถ้าถามว่าทีวีมีอะไรบ้างเอ่ย...
ที่เหมาะสมต่อการพัฒนาของลูก ให้คุณค่าทางความคิดและทักษะการใช้ชีวิตที่ถูกต้อง
แม่บอกได้คำเดียวว่า "ไว้วางใจไม่ได้เลย"
โดยเฉพาะทีวีช่องปกติ ซึ่งล้วนแต่มีรายการไม่ชอบมาพากล
ส่วนเคเบิ้ลทีวี (ซึ่งมีอยู่เจ้าเดียว) พ่อแม่อาจจะหวังไว้ว่า ลูกจะได้เรียนรู้ในเรื่องราว
ที่ได้ประโยชน์และแตกต่างออกไปบ้าง แต่ไปๆ มาๆ ลูกก็ยังเฝ้าดูแต่การ์ตูน
ซึ่งพ่อแม่ไม่สามารถควบคุมได้ รายการในจอสี่เหลี่ยมที่ดำเนินไปตลอดเวลา
ในขณะที่พ่อแม่อย่างเราๆ ไม่มีโอกาสจะนั่งติดหน้าจอทั้งวันทั้งคืน ดังนั้น
จึงไม่มีทางรู้เลยว่าลูก กำลังเสพสิ่งใด
ลูกเคยติดการ์ตูนอยู่เรื่องหนึ่งที่ฉายในวันธรรมดาตอนประมาณทุ่มครึ่ง
ซึ่งไม่ใช่เวลาที่จะมานั่งดูทีวีเลย แต่ลูกก็ขอต่อรองโดยไม่ดูการ์ตูนในช่วงเย็น
จะขอดูเรื่องนี้เรื่องเดียว แม่ก็ตกลง แต่บางครั้งเมื่อดูการ์ตูนเรื่องโปรดจบแล้ว
เหตุการณ์ชักจะยืดเยื้อ
"ดูอีกแป๊บเดียวนะแม่" ลูกต่อรองและเวลาก็ล่วงเลยไป...และก็ล่วงเลยไป
แม่สะกิด 2-3 ครั้ง ลูกเกิดอาการหน้าง้ำ หน้างอ บ่นอีก 2-3 คำ
แล้วยอมลุกจากกหน้าจอทีวีโดยดี เพราะลูกอาจเป็นคนที่กลัวการไปโรงเรียนสาย
และไม่ชอบผิดกฎระเบียบที่ตนเองจะต้องปฏิบัติเลย จึงทำให้พูดไม่ยากนัก
ลูกเพิ่ง 8 ขวบ แม่คิดว่ายังมีทางเลือกอื่นอีกมากที่ลูกจะได้ออกกำลังเคลื่อนไหวแขนขา
เพื่อการเจริญเติบโตใช้ความคิดฝึกทักษะแห่งวัย ซึ่งจำเป็นที่จะได้รับการตอบสนอง
ไม่ว่าจะยอมรับหรือปฏิเสธการที่ยอมให้ลูกนั่งนิ่งอยู่หน้าจอสี่เหลี่ยมบ่อยๆ นานๆ
กลอกตาไปมา ทำหน้ามู่ทู่หรือหัวเราะร่วนอยู่เพียงลำพังนั้น เป็นการสื่อสารที่ตลกสิ้นดี
ไม่มีการตอบโต้ ไม่เปิดโอกาสให้แสดงความคิดเห็น ลูกของเราไม่ได้พูดสักคำ
นั่งเบื้อใบ้ฟังคำชี้แนะที่ลูกอาจจะนำไปทำตามในสิ่งที่ไม่น่าจะชื่นชมสักเท่าไหร่
ในโลกนี้ยังมีผู้คน เพื่อนรอบบ้านให้สื่อสารพูดคุย ยังมีเด็กอีกตั้งเป็นล้านๆ คน
จะเป็นเพื่อนเล่น เวลาเล่นคือเวลาที่เด็กได้เรียนรู้ถึงความสัมพันธ์
เรียนรู้อารมณ์ของผู้อื่นและตนเองด้วย และนั่นคือตัวตนจริงของมนุษย์ที่สัมผัสได้
ไม่ใช่ลูกของเราเพียงผู้เดียว ที่แสดงออกทางความรู้สึก โดยที่อีกฝ่าย (เจ้าจอสี่เหลี่ยม)
ไม่สนใจและสามารถรับรู้ได้เลย
แม่จะบ่นไปในใจคนเดียวก่อนว่า น่าจะมีทีวีสักช่องที่เลือกสรรเรื่องราวน่ารู้ต่างๆ
สำหรับเด็กวัยเรียน รวมทั้งการ์ตูนและบันเทิงที่ไม่ได้มอมเมาความคิดกันตั้งแต่เด็กๆ
แต่ก็ฝันไปเถอะ เพราะยากที่จะเป็นไปได้ สู้ฝันว่าจะคว้าดาวมาเล่นสักดวงยังจะง่ายกว่า
แม่จึงกลับมามองความจริง ทำในสิ่งที่เป็นไปได้โดยตนเอง
ไม่ต้องรอหวังจากใคร ด้วยการพูดคุยและตั้งกฎกติกาสำหรับการดูทีวีขึ้นมา
เพื่อดึงลูกออกจากโลกสี่เหลี่ยม ลูกก็ยอมรับและปฏิบัติตามโดยไม่งอแง
นี่คงเป็นผลจากเหตุที่แม่ไม่ได้ปล่อยให้ลูกดูทีวีไปเรื่อยๆ โดยไม่มีจุดหมายปลายทาง
ว่าจะสิ้นสุดลงเมื่อไหร่ เวลาไหนมาตั้งแต่วัยอนุบาล
ลูกสนใจเรื่องไหนแม่ก็สนใจด้วย และพยายามเรียนรู้ให้มากกว่า
เพื่อจะได้แน่ใจว่าไม่มีสิ่งแอบแฝงอันน่ากลัวซ่อนตัวอยู่ในเรื่องนั้น
ลูกกำลังโตขึ้นทุกวัน กระหายใคร่รู้ ซึ่งในวันต่อไปแม่ไม่อาจเลือกสิ่งที่แม่คิดว่าดี
ให้ลูกได้ทั้งหมด แต่ถ้าแม่ได้แอบสร้างความเคยชินในสิ่งดีๆ โดยที่ลูกไม่ได้รู้สึกว่ากำลังถูกบังคับ
ทางเลือกหนึ่งในอนาคตเมื่อลูกก้าวออกไปสู่โลกของเพื่อนๆ ลูกย่อมไม่ลืมเลือน
หนทางที่แม่ได้เคยมอบให้และชี้นำ
กฎกติกาของแม่ต้องเข้มแข็งและห้ามใจอ่อนหรือเพิกเฉยในการปฏิบัติ
ในวันจันทร์ถึงศุกร์
หนึ่ง กลับมาจากโรงเรียนทำหน้าที่ของตนเองให้เรียบร้อยเสียก่อน
สอง ดูการ์ตูนได้ไม่เกิน 1 เรื่อง ส่วนในวันหยุดนั้นแม่จะไม่พูดถึง
อยากจะให้ลูกรู้สึกว่าไม่เข้มงวดกับการดูทีวีจนเกินไปนัก แต่ในควรผ่อนคลายและรู้ตัวนั้น
แม่จะคอยดูแลไม่ให้ลูก ติดจอ เกิน 1 ชั่วโมง แต่ถ้ามีภาพยนต์เรื่องใดน่าชม
แม่ก็ปล่อยตามสบาย
เด็กวัยนี้สามารถชมภาพยนต์ได้เข้าใจดีแล้ว ภาพยนต์บางเรื่อง
ก็เป็นการรวบรวมภาพคิดฝัน สื่อสัมพันธ์และบรรยากาศอันงดงาม
ซึ่งยากที่จะไปหาชมได้ด้วยตนเอง การเรียนรู้จากภาพยนต์ (บางเรื่อง)
ที่ได้จัดสร้างมาอย่างดีแล้วเป็นทางลัดหนึ่งก่อนที่จะได้เรียนรู้จากชีวิตจริง
หลังจากพยายามดึงลูกออกจากทีวีอยู่ไม่นาน แม่ก็พบอีกวิธีหนึ่งที่จะทำได้คือ
หาสิ่งทดแทน
วันหนึ่ง แม่ก็ค้นพบวิธีสร้างพัฒนาการนอกจอ
วันนั้นแม่พาลูกกับเพื่อนๆ ไปเที่ยวสวนสาธารณะกันในวันปิดเทอม
ลูกและเพื่อนๆ มีอาการเฮฮาปาร์ตี้กันมาก แม่จัดเตรียมอาหารไปกินด้วย
เที่ยวสวนในวันธรรมดาที่มีผู้คนไม่มาก ราวกับเราได้เป็นเจ้าของสถานที่อันกว้างใหญ่นี้
ลูกช่วยแม่ขนของถือของกันโดยไม่ต้องเอ่ยปาก แล้ววิ่งนำหน้าแม่ไปจังจองที่ริมน้ำ
ต่อจากนั้นเราก็วิ่งไล่จับและเล่นซ่อนแอบกันตามต้นไม้จนเหนื่อย
โดยเฉพาะผู้ใหญ่อย่างแม่จึงรีบชวนลูกว่า
"เรามาเล่นเกมทายเสียงกันดีกว่า"
"ตกลงแม่ ตกลง" ลูกพยักหน้า มีแต่ตัวเล็กกว่าใครที่อิดออดเล็กน้อย
เพราะอยากเล่นซ่อนแอบอีก แต่เมื่อเห็นพี่ๆ จะเล่นเกมใหม่จึงยอมโดยไม่ว่ากัน
แม่บอกให้ทุกคนนอนลงบนหญ้าท่าไหนก็ได้ตามถนัด หลับตาแล้วห้ามส่งเสียง
นอนฟังเสียงรอบๆ ตัวเงียบๆ เมื่อแม่บอกว่าพอแล้วก็ให้บอกแม่ว่าได้ยินเสียงอะไร
"เสียงลมไงแม่ ฟังเหมือนเสียงน้ำไหลเลย" ลูกบอกอย่างมีความสุข
ต่อจากนั้น แม่ให้นอนดูก้อนเมฆว่า เมฆแปลงกายเป็นรูปอะไรบ้าง
มืดแล้ว...ลูกกับเพื่อนๆ ยังอยากจะวิ่งเล่นกันอีกสักครู่หนึ่ง แม่รับด้วยความยินดี
เพราะลูกจะได้รับรู้ถึงบรรยากาศยามค่ำของธรรมชาตินอกบ้าน
ในขณะที่กำลังมีความสุข จะกลัวอะไรกับน้ำค้างและความมืด
|