มาที่นี่ที่เดียว ได้อ่านบทความทางด้านการแพทย์ ภาษาไทย จากเกือบทุกโฮมเพจที่มีใน INTERNET
http://www.oocities.org/Tokyo/Harbor/2093/
จำสั้นๆ i.am/thaidoc



โรคภูมิแพ้ในสหัสวรรษใหม่


ความชุกของโรคภูมิแพ้ในประเทศไทยเพิ่มขึ้นมากมาย จากการศึกษาของคณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล ระหว่างปี 2533-2539 พบว่าคนไทยเป็นโรคหืดเพิ่มขึ้น 3 เท่าตัว และที่น่าตกใจมากคือ ภาวะภูมิแพ้ที่ปรากฏอาการทางจมูกเหมือนคนเป็นหวัดเรื้อรัง (ALLERGIC RHINITIS) ซึ่งแม้จะเพิ่มเพียง 2 เท่า แต่ปริมาณที่เพิ่มนั้นสูงมาก คือเพิ่มถึง 1:2 คือหมายความว่า เด็กๆ ที่เดินอยู่ข้างถนนนั้นครึ่งหนึ่งจะมีโอกาสเป็นโรคภูมิแพ้ของจมูก

สาเหตุที่เพิ่มขึ้นเกิดจากอะไร ?

คงจะดูได้จากปัจจัยเสี่ยงที่เป็นสาเหตุนำไปสู่โรคหืดทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นพันธุกรรม, ประวัติครอบครัว, สารก่อภูมิแพ้ (ALLERGENS) การติดเชื้อและการสูบบุหรี่ เป็นต้น

เมื่อปี 2495 ที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ มีคนตายหลานพันคน และมีผู้ล้มป่วยด้วยโรคทางเดินหายใจอีกมากมาย ซึ่งจากการศึกษาทางระบาดวิทยาพบว่า มาจากมลภาวะในอากาศ เช่น ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ และหมอกควัน เป็นต้น โดยเราทราบดีว่าปัจจัยทั้งสองนี้มาจากอุตสาหกรรมที่ใช้ถ่านหินเป็นส่วนใหญ่ มลภาวะดังกล่าวจัดว่าเป็นปรากฏการณ์ของโลกเก่า แต่ปัจจุบันอุตสาหกรรมที่ใช้เชื้อเพลิงดังกล่าวลดลงมาก แต่ก็เกิดมลภาวะชนิดใหม่เป็นสารเคมีที่เรียกว่า ฟลูออโคเคมิคัล ออกซิแดนท์ ที่กลายเป็นมลพิษของโลกใหม่ โดยเป็นผลมาจากการเผาผลาญเชื้อเพลิงทั้งหลาย เช่น จากรถยนต์และโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งก่อให้เกิดไนโตรเจนออกไซด์แล้ว ถูกรังสีอัตราไวโอเลตจากแสงแดดเปลี่ยนเป็นโอโซน

ในประเทศไทยหมอกควันเหล่านี้คือ ฝุ่นละอองซึ่งมีแหล่งที่มาทั้งจากดิน, ทะเล, โรงงาน, การก่อสร้างและรถยนต์ ปรากฏปริมาณสูงมากอย่างเช่นที่ประตูน้ำ บางแห่งมีปริมาณที่เรียกว่า TSP สูงถึง 2000 ทั้งๆ ที่ระดับที่ควรจะรับได้อยู่ที่ 330 เท่านั้น

คำถามมีว่า เราจะใส่หน้ากากอย่างที่ตำรวจจราจรในหลายท้องที่ใช้อยู่อย่างนี้ต่อไป หรือเราควรจะห้ามรถยนต์ออกมาแล่น ?

บรรดาฝุ่นละอองทั้งหลายนั้น ปัจจุบันเราทราบดีว่า ฝุ่นขนาดใหญ่ (PARTICULATE MATTER หรือ PM) ทำให้เกิดปัญหาน้อยเพราะจมูกของคนเราจะกรองออกหมด แต่ถ้าฝุ่นละอองขนาดเล็กๆ กว่า 10 ไมครอน เช่น 2.5 ไมครอน จะทำให้เกิดปัญหาเพราะมันลงไปในปอดได้มาก โดยอาจจะเป็นสารประกอบอินทรีย์สำคัญๆ ที่จะได้ยินมากคือ ส่วนประกอบที่มาจากรถยนต์ที่ใช้น้ำมันดีเซล ซึ่งเผาไหม้ไม่สมบูรณ์ รวมเรียกว่า DEP (DIESEL EXHAUST PARTICLES) เมื่อมลภาวะจากฝุ่นชนิดนี้มากขึ้น อันตรายจะเพิ่มมากขึ้น งานวิจัยจากเมืองซีแอตเติล ในสหรัฐอเมริกาชี้ให้เห็นว่า เมื่อฝุ่นขนาด PM 10 (ขนาด 10 ไมครอนลงมา) เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ผู้คนบริเวณนั้นจะเสี่ยงต่อการเกิดโรคหืดมากขึ้น เป็นเส้นตรงโดยไม่ปรากฏว่าจะขึ้นถึงสุดยอด

แม้ว่ารัฐบาลหลายประเทศพยายามจะแก้ไขปัญหานี้แต่ก็ประสบการต่อต้านพอควร เพราะน้ำมันดีเซลเป็นเชื้อเพลิงหลักของบริษัทขนส่ทั้งหลาย

โอโซนอาจไม่เป็นปัญหามากนักในประเทศไทย แต่เป็นปัญหาใหญ่มาก ที่กรุงลอสแองเจลิสและเม๊กซิโกซิตี้ ซึ่งได้รับผลกระทบชัดเจนจากโอโซนต่อสุขภาพของเด็กๆ ซึ่งงานวิจัยเมื่อ 4-5 ปีก่อน พบว่าการไปใช้บริการห้องฉุกเฉินในแต่ละวัน เนื่องจากโรคหืดที่กรุงเม๊กซิโกเพิ่มขึ้น และตัวเลขนี้สัมพันธ์กับมลภาวะในอากาศ

ภูมิภาคที่มีอากาศเย็นกว่าเช่น ยุโรป ภาคเหนือ ซึ่งไม่ค่อยได้เห็นแสงแดดมากนัก และมีโอกาสจะเห็นระดับโอโซนขึ้นถึง 100 หรือ 110 PPB อย่างน้อย แต่ก็มีปัญหาจากการใช้แก๊สหุงต้มในครัวเรือนมาก ทำให้ระดับของซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ในครัวเรือนขึ้นถึง 800 PPB ซึ่งสูงกว่า 2 เท่าของที่บันทึกได้จากมลภาวะจากไอเสียรถยนต์ ใจกลางเมืองเสียอีก อย่าลืมว่าครัวเรือนทางตอนเหนือของยุโรปไม่ค่อยมีหน้าต่างถ่ายเทอากาศเท่าไรนัก เพราะอากาศเย็นเกินกว่าจะเปิดหน้าต่างทิ้งไว้อย่างบ้านเรา และแก๊สที่ใช้ก็ไม่มีกลไกระบายสู่อากาศภายนอกได้ดีนักในหลายๆ บ้าน บรรดาแม่บ้านจึงมีความเสี่ยงต่อการหายใจหวิดหวิวเป็น 2 เท่า เช่นเดียวกับการตื่นนอนด้วยอาการหายใจลำบาก มีโรคหืดเพิ่มขึ้น

งานวิจัยจากสหรัฐอเมริกาแสดงถึงผลของฝุ่นละอองที่บ่งชี้ว่าทุกๆ 10 ไมโครกรัม ต่อลูกบาศก์เมตรของฝุ่นชนิด PM 10 ที่เพิ่มขึ้น อัตราตายจากโรคทางเดินหายใจจะเพิ่มขึ้น 3% และอัตราการกำเริบของโรคหืดจะเพิ่ม 3% ด้วย

จึงนับเป็นสิ่งอัศจรรย์ที่พวกเรายอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ทั่วโลก ซึ่งถ้าเราสำรวจดูเมืองขนาดใหญ่ๆ ที่มีประชากรกว่า 10 ล้านคนสัก 20 แห่ง จะพบว่า 17 แห่งมีระดับ DEP สูงกว่าที่องค์การอนามัยโลกกำหนดไว้ มลภาวะจากฝุ่นละอองจึงเป็นปัญหาสุขภาพสำคัญที่ชาวโลกต้องเผชิญในศตวรรษหน้า

ประเทศไทยมีการตรวจวัดคุณภาพอากาศโดยเฉพาะในกรุงเทพมหานคร มากว่า 10 ปี (เริ่ม พ.ศ.2531) และเก็บรวบรวมข้อมูลมาอย่างต่อเนื่อง โดยเครือข่ายการตรวจวัดเพิ่มขึ้นทุกปี จนปัจจุบันมีการตรวจพื้นที่อื่นๆ ในประเทศ

ฝุ่นละออง PM 10 (ฝุ่นที่มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางเล็กว่า 10 ไมครอน) ใน กทม. มีระดับสูงกว่ามาตรฐานที่ประเทศไทยกำหนดไว้ คือ 50 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร 108 ครั้งการจากการสังเกตการณ์ 1692 ครั้ง PM 10 จึงเป็นปัญหารุนแรงที่สุดในกทม. เพราะมีระดับเกินเกณฑ์มาตรฐานมากที่สุด

ข้อมูลการตรวจวัดปริมาณตะกั่วในบรรยากาศริมถนนตั้งแต่ปี พ.ศ. 2531 เป็นต้นมา ที่วัดได้สูงสุดคือปี 2533 ซึ่งระดับมาตราฐานรายเดือนอยู่ที่ 1.5 ไมโครกรัม/ลบ.ม. ช่วงนั้นระดับตะกั่วในเลือดของคนกรุงเทพอย่างเช่น ตำรวจ จราจร และคนขับรถโดยสารประจำทางสูงกว่า 20 ไมโครกรัม/เดซิลิตร ซึ่งเกินค่ามาตรฐานที่องค์การอนามัยโลกกำหนดไว้ (ไม่ควรเกิน 10) หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงเริ่มหาทางแก้ไข

อย่างตะกั่วที่เจือปนอยู่ในน้ำมันดีเซลปี 2533 อยู่ที่ 0.4 กรัม/ลิตร หลังจากนั้นลดลงเหลือ 0.15 และเป็น 0 ในปี 2539 ปรากฏการณ์นี้ ส่งผลในการวัดค่าตะกั่วในบรรยากาศของกรุงเทพซึ่งลดลงตามปริมาณตะกั่วในน้ำมัน

คาร์บอนมอนอกไซด์ (CO) ที่ริมถนนมีค่าสูงสุด ขึ้นๆ ลงๆ ตามสภาพการจราจร

ปริมาณรถยนต์ที่จดทะเบียนใน กทม. เพิ่มขึ้นตามลำดับตั้งแต่ 2533-2540 ซึ่งเมื่อปลายปี 2540 มี 3-8 ล้านคน (รวมจักรยานยนต์) ในขณะที่ระดับ CO มีแนวโน้มลดลงตั้งแต่ปี 2537

ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ?

คงจำกันได้ว่าตั้งแต่ปี 2536 มีรถยนต์ใหม่ออกมามากขึ้นเพราะรัฐบาลลดภาษี แต่ก็เป็นรถใหม่ที่มีคุณภาพดีขึ้น มีการกำหนดมาตรฐานให้ผู้ผลิตลดไอเสียรถยนต์ ให้อยู่ในเกณฑ์ โดยเปลี่ยนจากระบบคาร์บูเรเตอร์เป็นระบบหัวฉีด มีการบังคับใช้ CATALYTIC CONVERTER เข้ามาในท่อไอเสีย ดังนั้นแม้รถยนต์จะเพิ่มเกือบเท่าตัว แต่ระดับ CO กลับลดลงเรื่อยๆ ซึ่งนับเป็นแนวโน้มที่ดีขึ้น

ระดับของ CO ในอากาศมีความสัมพันธ์กับการจราจรบนถนน ถนนที่มีการจราจรเบาบางจะมี CO ขึ้นเฉพาะในช่วงเช้าที่เป็นชั่วโมงเร่งด่วน และอีกครั้งตอนเย็นถึงค่ำ ส่วนถนนธุรกิจที่มีการจราจรแน่นหนาทั้งวัน จะมี CO กระจายตัวตลอดวัน ไปลดอีกทีตอนเที่ยงคืนอย่างเช่นที่ประตูน้ำ

ในฤดูหนาวท่านผู้อ่านจะสังเกตเห็นบรรยากาศในกทม. ที่มีลักษณะที่เรียกว่า HAZY SKY ซึ่งมีหมอกแดดเสริมจากอากาศด้วย ฤดูหนาวจะมีอุณหภูมิต่ำ ลมสงบ ความชื้นมีในตอนเช้าจึงเกิดหมอก หากมีฝุ่นละอองขึ้นไปในอากาศมากๆ ก็จะเป็นสาเหตุให้มีการกลั่นตัวของไอน้ำได้ง่ายขึ้น เกิดเป็นหมอกปกคลุม พอเข้าหน้าร้อนเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น การเกิดหมอกจะลดลง แต่แหล่งกำเนิดของฝุ่นยังไม่เปลี่ยนเท่าไรนัก

ระดับฝุ่นละอองจะสัมพันธ์กับการจราจร อย่างในช่วงครึ่งเดือนแรก ของเดือนเมษายนของทุกปีที่มีวันหยุดมาก ผู้คนออกจากกรุงเทพ เมื่อปี 2540 มี วันหยุดยาว PM 10 ในสถานีตรวจวัดต่างๆ ลดลง พอพ้นวันจักรีก็กลับเพิ่มขึ้นอีก เพราะคนกรุงเทพฯ กลับมาชั่วคราว แล้วก็ลดลงอีกตอนสงกรานต์ เมื่อคนออกจากกรุงเทพอีก

ผลกระทบของ PM 10 ใน กทม. เป็นอย่างไรบ้าง ?

ทีมวิจัยศึกษาผลกระทบต่อสุขภาพแล้วพบว่าอัตราตายของประชาชนที่สัมผัสฝุ่นละอองระยะสั้น มีความสัมพันธ์กับระดับ PM 10 ในอากาศ คือ วันไหนมี PM 10 สูงก็จะมีอัตราตายสูงตามไปด้วย อัตราการเข้าพักรักษาตัวในโรงพยาบาลก็สูงขึ้นตามลำดับของ PM 10 เช่นเดียวกับอาการของทางเดินหายใจจะเพิ่มตาม PM 10 ทั้งนี้ยังขึ้นกับปริมาณ PM 10 ด้วย กล่าวคือถ้า PM 10 เพิ่มขึ้น 30 ไมโครกรัม/ลบ.ม. อัตราตายจากโรคทางเดินหายใจจะเพิ่มขึ้น 7-20%

ดังนั้นถ้าเราสามารถลดระดับ PM 10 ได้ 10 ไมโครกรัมต่อปี ก็จะสามารถลดตัวเลขเลวร้ายต่างๆ ได้เช่นอัตราตายลดลง 700-2000 การไปใช้บริการห้องฉุกเฉินลดลง 12,000-35,000 ครั้ง จำนวนวันที่เป็นโรคหืดลดลง 10 แสนถึง 1 ล้านวันต่อไป หรือถ้าแปลเป็นเงินก็จะลดค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพลงได้ 35,000-88,000 ล้านบาทต่อปี

ถ้ามองในเชิงสาธารณสุขแล้ว เราอาจกำหนดมาตรการต่างๆ อาทิเช่น
1. ระบบเตือนภัย คือวันไหนถ้าเราคาดว่าฝุ่นละอองจะมีมากเกินมาตรฐาน ก็น่าจะเตือนภัยว่าเด็กหรือผู้สูงอายุหรือคนที่เป็นโรคเรื้อรังระวังตัวมากขึ้น
นอกจากนี้ควรหาทางลดไอเสียจากรถยนต์อย่างในบางประเทศมีมาตรการให้เจ้าหน้าที่ นั่งรถเมล์ที่จัดให้แทนการขับรถยนต์มาทำงานเอง
2. การให้ความรู้แก่ประชาชน ซึ่งขณะนี้ทางกรมควบคุมมลพิษมีข้อมูลอากาศอยู่ในอินเตอร์เนท
3. มีการติดตามเฝ้าระวังมากขึ้น โดยกรมควบคุมมลพิษได้ทำแล้ว อย่างในบางจังหวัดที่มีการใช้เครื่องวัดมลพิษในอากาศ
4. เข้าไปจัดการตรวจแหล่งปัญหา

แหล่งที่มาของ PM 10 มี 3 แหล่งใหญ่ คือ

1. ฝุ่นจากถนน
2. แหล่งเคลื่อนที่ โดยเฉพาะรถยนต์ที่ใช้น้ำมันดีเซล เช่น รถโดยสารประจำทางและนอกจากนี้ยังมีจักรยานยนต์อีก
3. การก่อสร้าง อุตสาหกรรม แต่ไม่มากเท่ารายการที่ 1 และ 2

ปัญหาที่เราสามารถตรงเข้าไปแก้แหล่งปัญหาได้คือ

1. เพิ่มการทำความสะอาดถนนให้มากขึ้น โดยใช้รถดูด, กวาดฝุ่นต่างๆ บนผิวถนน เพื่อลดการสะสมของฝุ่นบนถนนให้น้อยลง การราดพื้นถนนสายต่างๆ ด้วยวัสดุถาวรรวมทั้งแก้ไขไหล่ถนนที่อาจจะเปิดโล่งให้ดินสะสมก็เป็นเลี่ยนเป็นวัสดุถาวร หรือปลูกพืชคลุมดินลดการกระจายของฝุ่น
2. เตาของโรงงานอุตสาหกรรมควรเน้นควบคุมคุณภาพเชิงเพลิง เช่นเปลี่ยนจากน้ำมันเตาเป็นแก๊สได้มากขึ้น
3. แหล่งเคลื่อนที่ต้องเน้นมากโดยเฉพาะการดูแลสภาพรถ เช่น รถเมล์ของขสมก. ควรมีการเปลี่ยนเครื่องไปใช้เครื่องยนต์ที่มีมลพิษน้อยกว่า ซึ่งอาจจะถูกกว่าเปลี่ยนทั้งคันถ้าสภาพเศรษฐกิจไม่อำนวย

การตรวจสภาพรถและบำรุงรักษารถอย่างสม่ำเสมอก็จะช่วยได้มาก
รถจักรยานยนต์ควรเปลี่ยนไปใช้เครื่องยนต์ 4 จังหวะ ซึ่งจะทำให้ควันขาวลดหายไป รวมทั้งการเปลี่ยนน้ำมันเครื่องของจักรยานยนต์เป็นน้ำมันเครื่องควันต่ำ

โรคภูมิแพ้ของจมูก (ALLERGIC RHINITIS)

นับเป็นภาวะโรคที่ไม่เกี่ยวกับการติดเชื้อที่พบบ่อยที่สุด วิธีการสำรวจ คือ การซักประวัติ, ตรวจร่างกายและทำการทดสอบผิวหนัง (SKIN PRIC TEST) เพื่อดูว่าแพ้หรือไม่ ปรากฏว่าในเด็กไทยเกือบทุกคนมีความชุกถึง 20% และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

โรคภูมิแพ้ทางจมูกมีได้ 2 รูปแบบ คือ
1. ชนิดที่มีอาการได้ตลอดปี (PERENNIAL TYPE)
2. ชนิดที่มีอาการเป็นฤดู (SEASONAL TYPE)

อย่างในเมืองไทยนั้นคนที่เป็นโรคภูมิแพ้แบบนี้จะมีอาการมากขึ้นแถวเดือนมีนาคม และตอนปลายปี ส่วนสารกระตุ้นก็จะต่างจากในประเทศตะวันตกซึ่งมี 4 ฤดู และมักจะเป็นกันมากช่วงฤดูใบไม้ผลิ ซึ่งมีการผลิดอกออกใบทั่วไปหมด โดยเฉพาะหน้าที่เรียกว่าแร็กวีด (RAG WEED) แต่ของเมืองไทยจะเป็นพวกกก, หญ้า, เฟิร์น, วัชพืช และตัวการในบ้านคือ แมลงสาบและไรฝุ่น

การวินิจฉัย โรคนี้นอกจากจะใช้การซักประวัติและตรวจร่างกายแล้ว ยังต้องทดสอบผิวหนัง (SKIN TEST) ประกอบบางรายอาจต้องเก็บตัวอย่าง เนื้อเยื่อในรูจมูกมาส่องกล้องดูการเปลี่ยนแปลงของเซลล์

สำหรับท่านที่มีอาการคัดจมูก น้ำมูกไหล ก็คงขึ้นอยู่กับว่าอาการรุนแรง จนกระทบการดำเนินชีวิตมากน้อยเพียงใด อย่างบางคนเป็นเพียงจามมากๆ ติดต่อกันหลายครั้งในตอนเช้าร่วมกับน้ำมูกไหลเล็กน้อย ก็คงพอทนรำคาญได้ แต่ที่จะทนอยู่ไม่ไหวเห็นจะเป็นอาการคัดจมูกขนาดหายใจไม่ออกราวกับช่องจมูกถูกปิด วิธีการบำบัดคือ ให้ยาแก้แพ้ซึ่งเป็นยากลุ่มต้านฮิสตามิน (ANTIHISTAMINE) และให้ยาลดการคั่งของเยื่อบุจมูก (DECONGESTANTMINE) คล้ายๆ กับการบรรเทาหวัด

ในกรณีที่อาการรุนแรงมาก หมออาจต้องพิจารณาให้การบำบัดทางภูมิคุ้มกันที่เรียกว่า อิมมูโนบำบัด (IMMUNOTHERAPY) และบางรายอาจต้องผ่าตัดจมูก เพื่อบรรเทาอาการอุดตันจนหายใจไม่ถนัด

กลไกที่ก่อให้เกิดอาการดังกล่าวเริ่มจากสารก่อภูมิแพ้ที่รวมเรียกว่า "อัลเลอเจน" (ALLERGEN) เช่น ไรฝุ่น, ฝุ่นละออง, เกสรดอกไม้ ลอยมาสัมผัสผิวเยื่อบุในรูจมูก แล้วก่อให้เกิดปฏิกิริยาบวม, มีสารคัดหลั่งปรากฏออกมามากมายภายในไม่กี่นาที ทั้งนี้เป็นผลจากการที่ร่างกายใช้มาตรการต่างๆ ต่อสู้สิ่งแปลกปลอม แต่ในการทำสงครามต่อสู้ข้าศึกนั้นจะมีความเสียหายเกิดขึ้น เช่น มีการอักเสบของเยื่อบุภายในรูจมูก ทำให้เกิดอาการคัดจมูกน้ำมูกไหลมากน้อยต่างกันไปในแต่ละคน

เดี๋ยวนี้ นักวิจัยค้นพบกลไกลการอักเสบอันสลับซับซ้อนที่เกิดขึ้น เวลาร่างกายเผชิญข้าศึกที่มาคุกคามเปรียบราวกับสมรภูมิขนาดใหญ่ที่มีการบัญชาการรบอย่างมีหลักการ มีการแบ่งหน้าที่ชัดเจน อย่างเม็ดเลือดขาวก็มีการแยกประเภทเพื่อไปทำหน้าที่ต่างๆ อย่างเป็นที่น่าอัศจรรย์ใจและจากความรู้ดังกล่าวก็นำไปสู่การค้นหายาที่จะบรรเทาอาการ หรือบำบัดโรคได้ ซึ่งขณะนี้มียาที่ใช้บำบัดโรคภูมิแพ้ของจมูกหลายกลุ่ม ซึ่งบางคนต้องใช้ยาหลายขนาดควบกันจึงจะได้ผล

1. ยาต้านอิสตามิน (ANTIHISTAMINE) ซึ่งมีอยู่มากมายหลายขนานแต่ละจะมีรุ่นใหม่ๆ ที่ทำให้เกิดอาการง่วงน้อยกว่าเช่น ยาLORATADINE เป็นต้น
2. ยาต้านลูโคไทรน์ (ANTILEUKOTRIENE) ซึ่งจะช่วยลดการอักเสบของเยื่อบุทางเดินหายใจ
3. สเตียรอยด์ชนิดพ่น ซึ่งออกฤทธิ์ช่วยลดการอักเสบเช่นกัน
4. ภูมิคุ้มกันบำบัด ซึ่งอยู่ในระหว่างการพัฒนาและวิจัย

โรคหืด (ASTHMA)

ความสัมพันธ์ของภูมิแพ้และโรคหืดคือคนที่เป็นโรคภูมิแพ้อาจเป็นโรคหืดได้ เช่นเดียวกับคนเป็นโรคหืดก็อาจเป็นโรคภูมิแพ้ได้ ดังนั้น การรักษาร่วมกันก็จะควบคุมอาการได้ดี

กลุ่มโรคภูมิแพ้มีการถ่ายทอดทางพันธุกรรมให้สารพิเศษเพื่อต่อสู้สิ่งระคายเคืองร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งโปรตีนที่มี ชื่อว่า "อิมมูโนโกลบูลิน อี" (IMMUNOGLOBULIN E หรือย่อๆ ว่า IgE) เพื่อออกมาต่อสู้กับสารก่อภูมิแพ้ทั้งหลาย แต่ถ้าสารก่อภูมิแพ้รุนแรงมาก เปรียบเหมือนข้าศึกที่มีพละกำลังมหาศาลได้เปรียบกว่ามากก็ย่อมเอาชนะเราได้

โรคหืดเป็นปัญหาสาธารณสุขทั่วโลกรวมทั้งเมืองไทยด้วย โดยคาดว่าจะมีชาวโลกเป็นหืดไม่ต่ำกว่า 100-150 ล้านคน และมีการตายจากโรคหืดทั่วโลกไม่ต่ำกว่า 1 แสนคนต่อปี

ความชุกของโรคหืดในเมืองไทยคาดว่าจะอยู่ราว 5-12% คือ 2-3 ล้านคน

โรคหืดทำให้เกิดอะไร ?

อาการหอบหืดเกิดจากพยาธิวิทยาพื้นฐาน 3 ประการของโรคหืดคือ
1.มีการตีบตัวของหลอดลม เนื่องจากกล้ามเนื้อเรียบที่รายล้อมหลอดลมเกิดการหดตัว
2.มีการอักเสบของทางเดินหายใจทำให้เยื่อบุบวมและมีการตอบสนองอย่างเกินเหตุของหลอดลม
3.มีเยื่อเมือกผลิตน้ำเมือกเข้มข้นออกมาอุดทางเดินหายใจ

เมื่อเข้าใจพยาธิสภาพแล้วก็จัดการรักษาไปตามส่วน เช่นถ้าคนไข้มีอาการหายใจหวิดหวิว หรือหายใจหอบก็ต้องให้ยาขยายหลอดลมซึ่งขนานที่มีและออกฤทธิ์แรงน่าพอใจในปัจจุบันคือ ยากลุ่ม BETA-2-AGONIST เช่น ยา SALBUTAMOL และ TERBUTALINE จัดเป็นการรักษาแบบบรรเทาอาการ (RELIEVER)

อาการบวมก็ต้องให้ยาต้านการอักเสบซึ่งขนานที่ดีที่สุดในขณะนี้คือ สเตียรอยด์ชนิดสูดดม จัดเป็นการรักษาแบบควบคุมอาการ (CONTROLLER)
ส่วนในกรณีน้ำเมือกเข้มข้นนั้นต้องได้บริโภคน้ำให้เพียงพอ
ดังนั้นคนไข้โรคหืดสมัยใหม่จะพกพายาพ่นสูดดม 2 หลอด คือ ยาบรรเทาซึ่งมักจะเป็นสีฟ้า และยาควบคุมซึ่งมักจะมีสีแดงหรือน้ำตาล

ข้อสำคัญที่ท่านผู้อ่านจะต้องฝึกฝนให้ดีคือ การใช้ยาสูดดมให้ถูกวิธีที่สุด เพราะคนไข้จะต้องหายใจให้เข้าจังหวะกับเครื่องพ่นยา มิฉะนั้นยาจะไม่ลงไปในช่องปอด แต่กลับค้างอยู่ที่คอเรียกว่า เสียสตางค์เปล่าๆ แถมยังจะพลอยทำให้เชื้อราขึ้นที่ปากอีก

ท่านผู้อ่านที่เคารพครับ มนุษย์เราได้ใช้ความฉลาดเฉลียวเกินสัตว์อื่น ในการดำรงชีวิตอยู่ในโลกและได้แสดงความเห็นแก่ตัวในการทำลายสภาพสิ่งแวดล้อม จนเกิดปัญหาตามมาให้คนรุ่นหลังต้องตามแก้ หรือไม่ก็ตามทำลายต่อ

โรคภูมิแพ้จึงเป็นตัวอย่างของการทำลายสภาพแวดล้อมจนเกิดมลภาวะของสิ่งแวดล้อม ที่กระตุ้นให้เกิดโรคนี้มากขึ้นตามลำดับ

แนวทางการรักษาจึงไม่เพียงพอแต่จะบรรเทาและควบคุมอาการเท่านั้น แต่หมายรวมถึงการร่วมมือร่วมใจกันแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมได้ อื้อประโยชน์ต่อการอยู่ร่วมกันเป็นหมู่ใหญ่ได้อีกต่างหาก

ขอให้ทุกท่านช่วยกันคนละไม้คนละมือนะครับ

นพ.ชุมศักดิ์ พฤกษาพงษ์



[ที่มา..หนังสือ นิตยสารใกล้หมอปีที่ 23 ฉบับที่ 10 ตุลาคม 2542]

[ BACK TO LIST]
main พบแพทย์ คอมพิวเตอร์ เรื่องบ้าน เรื่องรถ เรื่องกฏหมาย เรื่องของผู้บริโภค เรื่องเบาๆ คลายเครียด

มีปัญหาสุขภาพ ที่นี่มีคำตอบ ห้องสมุดE-LIB[ hey.to/yimyam ][ i.am/thaidoc ]

Best view with [IE3.02][NETSCAPE 4.05][OPERA 3.21] resolution 800x600