วันพฤหัสบดีที่ผ่านมา มีเรื่องแปลกเกิดขึ้นเรื่องหนึ่งคือ ข้าพเจ้าได้ทำการผ่าตัด และรักษาคนไข้สตรี 5 คน 
ในลักษณะคล้ายกับเป็น วงจรชีวิตคู่ของสตรีวัยเจริญพันธุ์คนแรก ทำหมัน คนที่ 2 แก้หมัน 
คนที่ 3 เจาะท้องหยอด "ตัวอ่อน" เพื่อให้มีลูก คนที่ 4 ตรวจและกระตุ้นไข่ เพื่อนำไปทำ "เด็กหลอดแก้ว" 
คนที่ 5 ผ่าตัดคลอดลูก 
 ทุกคนมาหาหมอด้วยเรื่องลูกทั้งสิ้น เพราะลูกเป็นส่วนสำคัญยิ่งในชีวิตคู่ของผู้หญิง 
 ตอนเช้า 9 นาฬิกา คุณผู้หญิงรายแรกมาตามนัด เธอต้องการทำหมันแห้งเนื่องจากมีลูก 2 คนเพียงพอแล้ว 
ลูกคนสุดท้องอายุ 2 ปี แข็งแรงดี และนี่คือเหตุผลที่ข้าพเจ้ายินยอมสุขภาพร่างกายอ่อนแอ 
เจ็บป่วยกระเสาะกระแสะอยู่เสมอ ก็ไม่น่าจะทำหมัน เผลอไผล เกิดลูกป่วยตายไปจะเดือดร้อนที่ต้องกลับมา
เพื่อผ่าตัดใหม่ต่อหมันในภายหลัง 
 กรรมวิธีทำหมันแห้งในคุณแม่รายนี้ คือ กาเจาะท้องที่ขอบล่างของสะดือแล้วสอดกล้อง
ขนาดเท่าหัวแม่มือเข้าไป ส่วนปลายของกล้อมมีแกนเหล็กคู่ที่คล้องห่วงยางเอาไว้จับท่อนำไข่ 
เมื่อจับท่อนำไข่ส่วนกลางได้ ก็จะรูดปลายห่วงยางให้รัดบริเวณนั้น แค่นี้ถือว่าคุณผู้หญิงเป็นหมันเรียบร้อยแล้ว 
 แต่คุณแม่รายนี้โชคไม่ดี ในขณะที่กำลังปล่อยห่วงยางไปรัดท่อนำไข่ข้างขวา ปรากฏว่าเครื่องเกิดขัดข้อง 
จนทำให้ท่อนำไข่ด้านขวาฉีกขาดและมีเลือดออกอย่างมาก ข้าพเจ้าพยายามจี้หยุดเลือดด้วยไฟฟ้า ณ ตำแหน่งที่เลือด 
แต่ทำไม่สำเร็จในที่สุดจึงจำเป็นต้องผ่าตัดเปิดแผลที่หน้าท้องลงไปหยุดเลือด ขณะเดียวกันได้จัดการผูก
และตัดท่อนำไข่ทั้งสองข้าทำหมันด้วย  
 การทำหมันแห้งไม่ได้ง่ายเสมอไป ดังนั้นคุณผู้หญิงทุกคนที่ต้องการทำหมันแห้ง 
ควรศึกษาทำความเข้าใจกรรมวิธีให้ถ่องแท้ เสียก่อนก็จะเป็นการดี เพื่อเตรียมตัวรับสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้น 
หรือเปลี่ยนใจไปเลือกวิธีคุมกำเนิดชนิดอื่น 
 สำหรับคุณผู้หญิงรายที่ 2 อายุ 33 ปี หน้าตา บุคลิกภาพดี มีบุตร 2 คน ทำหมันหลังคลอดบุตรคนสุดท้อง 
บุตรทั้งสองมีอายุ 13 และ 11 ปี  เธอแต่งงานใหม่มา 2 ปี สามีคิดอยากจะมีบุตรของตนเอง 
จึงขอร้องภรรยามาผ่าตัดแก้หมัน 
 ข้าพเจ้าได้อธิบายให้ฟังว่า การผ่าตัดแก้หมันนั้นเป็นการผ่าตัดใหญ่ ไม่ใช่การผ่าตัดเล็กเหมือนกับการทำหมัน 
เพราะฉะนั้นจึงจำเป็นต้องเตรียมร่างกายอย่างมากมายเหมือนกับการผ่าตัดใหญ่ทางหน้าท้องอื่นๆ ทุกประการ 
อาทิ อดอาหารและน้ำเป็นเวลา 6 ชั่วโมง ส่วนถ่ายอุจจาระ ตรวจเลือด เอกซเรย์ จองเลือดทำความสะอาดหน้าท้อง 
เป็นต้น 
 "ท่อนำไข่ข้างขวาตัดต่อหมันได้ดี แต่ข้างซ้ายเวลาผ่าตัดค่อนข้างมีปัญหา ภายภาคหน้า 
ท่อนำไข่อาจกลับมาตีบตันดังเดิม" ข้าพเจ้าอธิบายให้เธอฟัง "อีก 2 เดือนขอให้คุณมาเอกซเรย์
พร้อมกับฉีดเข้าโพรงมดลูกจะได้รู้ว่า ท่อนำไข่ต่อติดกันได้ดีหรือเปล่า แต่
ถึงแม้ท่อนำไข่จะต่อกันได้ดี 
ก็ควรระวังอันตรายเนื่องจากเวลาตั้งครรภ์ขึ้นมามีโอกาสเกิดท้องนอกมดลูกได้ 
 เพราะฉะนั้น คุณต้องรีบมาฝากครรภ์ทันทีที่ทราบว่าตั้งครรภ์และแจ้งกับหมอที่ฝากครรภ์ด้วยว่า 
เป็นการตั้งครรภ์ที่เกิดจากการแก้หมัน หมอจะได้ตรวจดูด้วยอัลตาซาวนด์ทางช่องคลอด 
ว่าเป็นการตั้งครรภ์ภายในหรือภายนอกมดลูก ? ถ้าเป็นท้องนอกมดลูกต้องรีบผ่าตัดเอาออกทันที 
หากชักช้าจะเกิดปัญหาท่อนำไข่แตกและตกเลือดภายในช่องท้อง จนอาจถึงตายได้" 
 คุณผู้หญิงรายนี้อยู่โรงพยาบาล 4 วัน ก็กลับบ้านโดยไม่มีภาวะแทรกซ้อนใดๆ 
 คุณผู้หญิงรายที่ 3, 4 และ 5 สมาโรงพยาบาลในเวลาใกล้เคียงกัน คือ ประมาณบ่ายโมง
แต่คุณผู้หญิงรายที่ 3 มีกำหนดเวลาล่วงหน้าแน่นอนในการเจาะท้องส่องกล้องหยอดตัวอ่อน
จึงต้องขอให้คุณผู้หญิงรายอื่นรอไก่อน 
 คุณผู้หญิงรายที่ 3 นี้เป็นกรณีผู้มีบุตรยาก อายุ 32 ปี แต่งงานได้ 4 ปี มีปัญหาเรื่องรังไข่ทั้งสองข้าง
เป็น "PCOD" (Polycystic Ovarian Disease) หมายความว่า รังไข่มีความผิดปกติ กล่าวคือภายในรังไข่มีถุงไข่เล็กๆ 
จำนวนมากมายและมีการสร้างฮอร์โมนเพศชายสูงมากเกินไป ยังผลให้คนไข้มีผิวหนังมัน ร่างกายอ้วน 
ขนดก และไข่ไม่ค่อยตกตามปกติ ถ้าตรวจดูด้วยอัลตราซาวนด์ผ่านทางช่องคลอดจะพบว่ามีถุงไข่ใบเล็กๆ 
เรียงรายตามขอบภายในของรังไข่ เวลาที่รังไข่ถูกกระตุ้นด้วยยา จะเกิดมีไข่จำนวนมากเติบโตขึ้นมา
และไข่แต่ละใบยังสามารถปฏิสนธิได้ด้วย 
 เธอได้รับการกระตุ้นและเจาะไข่ออกมาได้ 32 ใบและเมื่อนำไปทำ "เด็กหลอดแก้ว" (IVF) 
ปรากฏว่าได้ "ตัวอ่อน" ถึง 21 ตัว ซึ่งต้องนำไปแช่แข็งไว้ทั้งหมด เพื่อป้องกันภาวะรังไข่ถูกกระตุ้นมากเกินไป
หากตั้งครรภ์ในรอบเดือนนั้น รอบเดือนนี้เธอได้รับการเตรียมมดลูกเรียบร้อยแล้ว ข้าพเจ้านัดมา
เพื่อหยอดตัวอ่อน 4 ตัว ทางหน้าท้อง 
 การผ่าตัดเจาะท้องส่องกล้องหยอด "ตัวอ่อน" ในเบื้องต้นปรากฏว่า มีปัญหาจนไม่สามารถหยอดตัวอ่อนได้ 
เนื่องจากท่อนำไข่ทั้งสองข้างมีพังผืดยึดติดกับลำไส้และอุ้งเชิงกราน เมื่อสุดหนทางก็จำต้องผ่าตัดเปิดหน้าท้องเข้าไป 
ท่อนำไข่ข้างซ้ายมีพังผืดยึดติดแน่นกับผนังอุ้งเชิงกราน ไม่สามารถผ่าตัดเราะได้เลย ท่อนำไข่ข้างขวา
ยึดติดแน่นกับผนังลำไส้ใหญ่ ดังนั้น เพื่อความปลอดภัยจึงได้เชิญศัลยแพทย์มาช่วยเราะพังผืดซึ่งท่านทำได้ดีมาก 
จนท่อนำไข่ข้างขวาสามารถดึงลอยขึ้นมาเป็นอิสระ 
 การหยอด "ตัวอ่อน" ลงไปทางปากแตรของท่อนำไข่ มีความยุ่งยากพอสมควร เนื่องจากปากแตร
มีลักษณะบวมแดงจนหารูเปิดเข้าไม่เจอ อย่างไรก็ตามในที่สุดข้าพเจ้าสามารถใช้ท่อเหล็กเล็กๆ 
เป็นส่วนนำสอดเข้าไปได้ ตอนแรก ลองใช้พลาสติกเปล่าๆ สอดแยงเข้าไปในท่อเหล็กนั้น 
เมื่อเห็นว่าท่อนำไข่โปร่งโล่งดี จึงสอดแยงสายท่อพลาสติกที่บรรจุ "ตัวอ่อน" เข้าไปและหยอด "ตัวอ่อน" 
อย่างนิ่มนวลสำหรับอนาคตของเธอจะท้องหรือไม่ คงต้องรอผลเจาะเลือดอีก 2 สัปดาห์ 
 คุณผู้หญิงรายที่ 4 อายุ 33 ปี เคยท้องนอกมดลูก และผ่าตัดเอาท่อนำไข่ออกไปแล้ว 2 ครั้ง 
นอกจากนั้น ข้าพเจ้ายังเคยทำ "เด็กหลอดแก้ว" และหยอดตัวอ่อนทางช่องคลอดให้ด้วย 2 ครั้ง เช่นกัน 
 ครั้งแรกหยอด  "ตัวอ่อน" ที่เติบโต 3 วันหลังปฏิสนธิ ซึ่งมีอัตราการตั้งครรภ์เพียงร้อยละ 16-20 เท่านั้น 
ครั้งที่ 2 หยอด "ตัวอ่อน" ระยะ 4 วันหลังปฏิสนธิ (เดิมกะว่าจะหยอด "ตัวอ่อน" ระยะ 5 วัน 
แต่เกิดภาวะเติบโตช้าเสียก่อน) 
 ผลการหยอดตัวอ่อนทั้งสองครั้งปรากฏว่าล้มเหลว ดังนั้น ครั้งนี้จึงตั้งใจไว้ว่าจะหยอด "ตัวอ่อน" 
ระยะ 5 วัน (Blastocys) เนื่องจากมีอัตราการตั้งครรภ์สูงถึงร้อยละ 50 ทีเดียว 
 วันที่นัดมานี้ เธอได้รับการกระตุ้นไข่มาแล้ว 9 วันและตอนเช้ายังได้รับการตรวจเลือดเกี่ยวกับฮอร์โมนเพศด้วย 
ตอนบ่ายข้าพเจ้าได้นัดมาเพื่อตรวจดูขนาดของไข่ซึ่งคาดว่าน่าจะใช้ได้ 
 เธอได้มารอที่โรงพยาบาลเป็นเวลานานกว่า 3 ชั่วโมง เนื่องจากข้าพเจ้าติดผ่าคนไข้รายที่ 3 อยู่ 
เมื่อข้าพเจ้าผ่าตัดเสร็จและมาตรวจดู ปรากฏว่า "ไข่" หลายใบอยู่ในสภาพที่พร้อมสมบูรณ์แล้ว ดังนั้น 
จึงกำหนดให้เธอไปฉีดยาอีกเข็มหนึ่งตอน 3 ทุ่มเพื่อเปลี่ยนแปลง "ไข่" ให้อยู่ในสภาพที่พร้อมปฏิสนธิ
ในอีก 36 ชั่วโมงถัดมาและนัดมาเจาะไข่ในวันเสาร์ เวลา 9 นาฬิกา ซึ่งคาดว่า จะได้ไข่ประมาณ 10 ใบ 
 คุณผู้หญิงรายที่ 5 อายุ 27 ปี ท้องแรก ตั้งครรภ์ได้ 37 สัปดาห์มีน้ำเดินมาตั้งแต่ 6 โมงเช้า 
ปากมดลูกยังไม่เปิด จึงเป็นข้อบ่งชี้ที่จะต้องผ่าตัด แต่ข้าพเจ้าขอให้นอนรอที่ห้องคลอดก่อนเนื่องจากกำลังติดผ่าตัดอยู่ 
 เมื่อผ่าตัดคุณผู้หญิงรายที่ 3 และตรวจคุณผู้หญิงรายที่ 4 เสร็จแล้ว ข้าพเจ้าได้ขึ้นไปตรวจดูเธอก็พบว่า 
ท้องโตตามปกติ น้ำคร่ำยังมีอยู่มาก และเด็กมีหัวใจเต้นสม่ำเสมอ ดังนั้นจึงผ่าตัดให้เมื่อเวลา 17 นาฬิกา 
ทารกเป็นเพศหญิง น้ำหนัก 2,750 กรัมแข็งแรงดี 
 แต่น่าแปลกใจที่แม่มีไข้สูงตั้งแต่วันที่ 4 หลังคลอด ซึ่งอาจเกิดจากเต้านมคัด แผลอักเสบ 
ทางเดินปัสสาวะอักเสบ หรือมดลูกอักเสบเมื่อติดตามดูก็ไม่สามารถหาสาเหตุที่แท้จริงได้ อย่างไรก็ตาม 
ข้าพเจ้าได้ให้ยาแก้อักเสบไปหลายขนาน เป็นเวลา 5 วัน ไข้จึงลดลง เธอกลับบ้านได้หลังจากนอนโรงพยาบาล 10 วัน 
 อันสตรีนั้น ย่อมผูกพันกับการมีลูกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ด้วยเหตุผลใดเหตุผลหนึ่ง 
ซึ่งอาจเกิดจากความต้องการมีครอบครัวที่สมบูรณ์ หรือความเป็นผู้หญิงที่จะต้องมีบทบาทเป็นแม่หรือเพราะความเหงา 
หรือกลัวถูกทอดทิ้ง 
 คุณผู้หญิงรายที่ 4 บอกว่า ถ้าไม่มีลูก สามีจะมีลูกกับผู้หญิงอื่น ซึ่งทำให้เธอกลุ้มใจจนต้องนำเงินที่เก็บสะสมไว้
ด้วยความยากลำบากออกมาใช้ เพื่อมารับการรักษา "ภาวะมีบุตรยาก" อีกเป็นครั้งที่ 3 ข้าพเจ้ารู้สึกเห็นใจทั้งสองฝ่าย 
แต่จะทำอย่างไรได้นอกจากอวยพรให้เธอและสามีประสบความสำเร็จได้ลูกสมใจ 
 เส้นทางชีวิตของผู้หญิงมักเป็นเช่นนี้ แต่งงานแล้วมีลูก มีลูกพอแล้วก็ทำหมัน 
วันดีคืนดีผู้หญิงบางคนไม่สามารถทนกับสามีได้ ก็หย่าแยกทางไปพร้อมกับเรือพ่วงลำน้อย 
เมื่อพบรักและแต่งงานใหม่ก็จำเป็นต้องกลับมาแก้หมันหรือทำ "เด็กหลอดแก้ว" เพื่อสร้างครอบครัวที่สมบูรณ์ใหม่อีกครั้ง 
การทำหมันและแก้หมันถือเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับสังคมยุคปัจจุบัน 
 ถ้าผู้หญิงคนใดไม่สามารถมีลูกให้กับสามีได้จริงๆ เธอก็อาจพบปัญหาสามีนอกใจไปมีลูกกับหญิงอื่นได้ 
 เรื่องราวอย่างนี้มีปรากฏให้เห็นจริง จนข้าพเจ้าไม่กล้านำไปพูดเล่น โชคดี
ที่เทคโนโลยีสมัยใหม่
ช่วยเหลือให้มีลูกได้ แต่ต้องแลกกับเงินทองค่าใช้จ่ายจำนวนมากมาย รวมทั้งต้องเสี่ยงต่อการผ่าตัดและการดมยา 
ทั้งหมดนี้เกือบจะพูดได้ว่า 
 ผู้หญิงเท่านั้นที่ยอมทุกอย่างเพื่อให้ได้มาซึ่งของขวัญอันมีค่าของครอบครัวที่เรียกว่า "ลูก" 
	
					
  |