มาที่นี่ที่เดียว ได้อ่านบทความทางด้านการแพทย์ ภาษาไทย จากเกือบทุกโฮมเพจที่มีใน INTERNET
http://www.oocities.org/Tokyo/Harbor/2093/
จำสั้นๆ i.am/thaidoc


ไม่อ้วนเอาเท่าไหร่ ?


"โรคอ้วน" กลายเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญทั่วโลก อย่างที่ประเทศอังกฤษมีประชากรกลุ่มที่ถือว่าเป็นคนอ้วน (OBESE) หรือน้ำหนักเกินปกติ (overweight) เพิ่มขึ้น 15% จากปี 2523 ถึงปี 2535 จนขณะนี้ปรากฏว่าผู้ชาย 54% และผู้หญิงอังกฤษ 45% มีน้ำหนักเกินปกติ ปัญหานี้พบคล้ายคลึงกันที่สหรัฐอเมริกา สวีเดน และเนเธอร์แลนด์

คนสมัยโบราณรู้ว่าความอ้วนมีผลกระทบต่อสุขภาพมาก อย่างที่ฮิปโปเครติส บิดาแห่งการแพทย์แผนปัจจุบันกล่าวไว้ว่า "คนอ้วนมีโอกาสตายอย่างเฉียบพลันได้มากกว่าคนผอม" และคำกล่าวนี้ได้รับการยืนยันโดยรริษัทประกันชีวิตซึ่งเป็นผู้กระตุ้นให้สังคมรับทราบปัญหานี้ อย่างเมื่อปี 2536 มีชาวเอมริกันอายุระหว่าง 35-74 ปี ที่มีดัชนีมวลร่างกาย (BMI) สูงกว่า 21 กก/ม² เสียชีวิต 1.25 ล้านคน โดยมีมรณะบัตรบ่งบอกสาเหตุการตายว่า จากสาเหตุธรรมชาตินั้น ราว 1 ใน 4 หรือ 325,000 คน น่าจะเป็นผลสืบเนื่องจากอาหาร ความอ้วนและการมีชีวิตแบบนั่งๆ นอน ๆ

การตายจากโรคหัวใจขาดเลือดของชาวอเมริกันในปีเดียว 406,973 ราย นั้น 77,315 มีผลจากโรคอ้วนหรือการตายในคนเบาหวาน 55,110 ราย เป็นผลจากโรคอ้วนเสีย 34,413 ราย และโดยภาพรวมแล้วการตายของผู้หญิง อายุระหว่าง 20-74 ปี 18 ล้านคน และผู้ชาย 16.7 ล้านคนนั้น กว่าครึ่งมีผลจากความอ้วนเป็นสาเหตุอยู่ด้วย

ผู้เชี่ยวชาญชาวต่างประเทศตั้งข้อสังเกตว่าในทวีปเอเชีย ดูเหมือนว่า โรคอ้วนก่อให้เกิดปัญหาต่างจากชาวตะวันตกตรงที่ว่า ผลกระทบต่อสุขภาพเนื่องจากโรคอ้วน ซึ่งทำให้ค่าใช้จ่ายของสุขภาพเพิ่มขึ้นนั้นปรากฏใน BMI ที่ต่ำกว่าฝรั่ง ทั้งนี้อาจเป็นผลจากการที่ชาวเอเชียอ้วนลงพุงมากกว่า

ที่ประเทศญี่ปุ่นนั้น นักมวยปล้ำซูโม่ มีน้ำหนักราว 300 กิโลกรัม แต่ดูแข็งแรงดี อย่างไรก็ตามถ้าหยุดแข่งขันไปเพียง 1 ปี ไม่ว่าจะจัดอาหารและให้คำแนะนำดีอย่างไร ก็ปรากฏว่า 35% ของนักมวยเหล่านี้จะเป็นเบาหวานและหลายคนเสียชีวิต ด้วยโรคหัวใจตั้งแต่อายุ 40 ต้นๆ

โรคอ้วนทำให้เสียค่าใช้จ่ายมากอย่างเมื่อปี 2538 ชาวออสเตรเลียเสียชีวิต ก่อนวัยอันควรมากจนทำให้ประเทศต้องสูญงบประมาณค่าใช้จ่ายถึง 7,500 ล้านเหรียญสหรัฐ คุณภาพชีวิตของคนอ้วนทำให้เสียค่าใช้จ่ายอีก 11,000 ล้านเหรียญ ยิ่งกว่านั้นประชาชนใช้จ่ายไปกับการลดน้ำหนักอีก 19,000 ล้านเหรียญ โดยยังไม่นับค่ารักษาเวลาเจ็บป่วยอีก 900 ล้านเหรียญ

คนที่มี BMI ระหว่าง 23-25 หมายความว่ากำลังเข้าสู่บริเวณที่มีความเสี่ยง จึงต้องระมัดระวังเรื่องอาหารเพิ่มกิจกรรมการเคลื่อนไหวของร่างกาย เพื่อไม่ให้น้ำหนักเพิ่มต่อไป

โรคอ้วนคืออะไร ?

โรคอ้วน คือ ภาวะเรามีไขมันในร่างกายเพิ่มมากกว่าปกติ โดยอาจเป็นทั่งร่างกายหรือเป็นเฉพาะที่ก็ได้ ความอ้วนเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อน และอัตราตายโดยเฉพาะความอ้วนที่ท้อง (ABDOMINAL OBESITY)

ทำไมถึงอ้วน ?

ขณะนี้มีความรู้ความเข้าใจแน่นอนแล้วว่า เราเสียดุลพลังงานคือ ถ้าดุลเป็นบวกอยู่ตลอดเวลาก็จะเกิดการอ้วน พลังงานที่ว่านี้ขึ้นกับ 2 ปัจจัยคือ ปริมาณพลังงานที่รับประทานกับพลังงานที่ใช้ไป

พลังงานจากอาหารที่รับประทาน ขึ้นกับสารอาหาร 3 ชนิด คือ โปรตีน หรือคาร์โบไฮเดรต 1 กรัม เมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้วจะสามารถเผาไหม้เป็น
พลังงาน 4 กิโลแครอรี โดยไม่มีขีดจำกัด ในขณะที่ไขมัน 1 กรัมให้ 9 กิโลแคลอรี แต่ร่างกายมีขีดจำกัดในการเผาไหม้ไขมันคือ เมื่อถึงจุดหนึ่งจะเกิดการสะสมที่เนื้อเยื่อไขมัน

หลักการลดน้ำหนักจึงมุ่งที่การเคลื่อนไหวร่างกาย ซึ่งอาจทำขณะทำงาน หรือระหว่างที่พักผ่อนร่วมกับการออกกำลังกายจนเกิดดุลพลังงานเป็นศูนย์จึงจะไม่อ้วน
ไขมันที่ว่านี้เป็นไทรกลีเซอร์ไรด์เป็นส่วนใหญ่ซึ่งประกอบด้วยกลีเซอรอลกับกรดไขมัน ถ้าร่างกายเผาไหม้กรดไขมันไม่ได้ก็จะสะสมเป็นไทรกลีเซอไรด์อยู่ตามเนื้อเยื่อไขมัน

งานวิจัยในชาวตะวันตกแสดงให้เห็นว่า ความอ้วนเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะ
  • การดื้อต่อฮอร์โมนอินซูลิน
  • โรคเบาหวานชนิดที่ 2
  • นิ่วในถุงน้ำดีและถุงน้ำดีอักเสบ
  • กรดยูริกสูงขึ้น
  • ข้ออักเสบ
  • ทางเดินหายใจทำงานผิดปกติ
  • มะเร็งบางชนิดเช่น ลำไส้ใหญ่และต่อมลูกหมากในผู้ชาย มะเร็งเยื่อมดลูก ถุงน้ำดี ปากมดลูก รังไข่และเต้านมในผู้หญิง

เนื่องจากโรคอ้วนเป็นโรคเรื้อรังและก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพหลายประการ การวินิจฉัยได้แต่เนิ่นๆ และเริ่มการบำบัดรักษาจึงเป็นสิ่งสำคัญ

ปัจจุบันมีวิธีวัดปริมาณไขมันในร่างกายตลอดจนการกระจายตัวได้หลายวิธี แต่วิธีที่ใช้ชี้วัดได้สะดวกในทางปฏิบัติ เพื่อการวินิจฉัยความอ้วนโดยรวม (overall boesity) และความอ้วนที่ท้องหรืออ้วนลงพุง (abdominal obesity) สำหรับผู้ใหญ่คือ ดัชนีมวลร่างกายหรือ BMI (body mass index) และอัตราส่วนเส้นรอบวงเอวต่อสะโพก (WHR หรือ waist over hipcircumference ratio)

BMI ได้จากตัวเลขน้ำหนักตัวเป็นกิโลกรัมหารด้วยส่วนสูงเป็นเมตรยกกำลังสอง ซึ่งแม้ค่าที่ได้อาจจะหยาบสักหน่อย แต่ก็มีประโยชน์ที่สุดในการตรวจวัดประชาชนทั่วไป เพื่อศึกษาภาวะน้ำหนักต่ำกว่าปกติและความอ้วนโดยรวม โดยสามารถประมาณการณ์ ความชุกของประชากรที่มีน้ำหนักต่ำกว่าปกติและคนอ้วนในประชากรตลอดจนความเสี่ยงที่สัมพันธ์กัน

สำหรับการอ้วนลงพุง ก็มีการศึกษาไว้มากถ้าหากเป็นการอ้วนแบบสะโพกผาย ก็ไม่เป็นไรมากแต่ถ้าอ้วนลงพุงจะมีปัญหา เราจึงวัดเส้นรอบวงที่เอว แล้วหารด้วยเส้นรอบวงที่สะโพก ถ้าได้ผลเกิน 1 ในผู้ชายหรือเกิน 0.8 ในผู้หญิงก็จัดว่า อ้วนลงพุง (องค์การอนามัยโลกใช้ตัวเลข 0.85 ในผู้หญิง)

ถ้าหากเราดูส่วนประกอบของร่างกายในเชิงเคมีก็จะพบว่าประกอบด้วย น้ำ ไขมัน โปรตีน ซึ่งการศึกษาพบว่า ในคนอ้วนนั้น ทุกๆ 1 กิโลกรัมที่อ้วนขึ้นไม่ได้เป็นไขมันเสียหมด คือ เป็นไขมันเพียง 75% ส่วนอีก 25% เป็นกล้ามเนื้อ ข้อมูลการศึกษาในคนไทย จึงสอดคล้องกับความเป็นจริง คือผู้หญิงไทยมีสัดส่วนไขมันในร่างกายมากกว่าผู้ชาย ในทางตรงกันข้ามผู้ชายจะมีกล้ามเนื้อมากกว่าผู้หญิง

การลดน้ำหนักจึงไม่ใช่จะดูแต่น้ำหนักอย่างเดียว ต้องดูส่วนประกอบของร่างกาย ให้ลดเฉพาะไขมันในร่างกายเพื่อไม่ให้เกิดผลร้ายต่อสุขภาพ

คณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญด้านสถานภาพร่างกายขององค์การอนามัยโลก จัดแบ่งกลุ่มผู้ใหญ่อายุ 20 ปีขึ้นไปตาม BMI ออกเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มที่มีน้ำหนักน้อยกว่าปกติ ปกติและคนอ้วน โดยในกลุ่มน้ำหนักน้อย และกลุ่มคนอ้วนยังแยกเป็น 3 กลุ่มย่อยซึ่งในคนไทยจะเห็นในตารางดังนี้

กลุ่ม BMI (กก./ม²)
กลุ่มน้ำหนักต่ำกว่าปกติ (underweight)

เกรด 3
น้อยกว่า 16.0
เกรด 2
16.0-16.99
เกรด 1 บี
(เกรด 1 ขององค์การอนามัยโลก)
17.0-18.49

เกรด 1 เอ
(องค์การอนามัยโลกถือว่าปกติ)

กลุ่มปกติ 20.0-24.99
กลุ่มคนอ้วน

เกรด 1 เอ
(กลุ่มก่อนอ้วนตามองค์การอนามัยโลก)
25.0-29.99

เกรด 1 บี
(เกรด 1 ตามองค์การอนามัยโลก)
30.0-34.99

เกรด 2
35.0-39.99
เกรด 3
มากกว่า 41.0

คนมักจะเข้าใจเอาเองว่า ความอ้วนปรากฏแต่ในประเทศพัฒนาเท่านั้น แต่จริงๆ แล้ว ประเทศกำลังพัฒนาก็มีกลุ่มคนที่มีอันจะกินอยู่ด้วย ศาสตราจารย์นายแพทย์วิชัย ตันไพจิตร หัวหน้าหน่วยโภชนาการคลินิก และอายุรศาสตร์ชีวเคมี ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี จึงทำงานศึกษาเชิงระบาดวิทยาในชุมชนเมืองที่มีฐานะดี และกำลังจะเป็นโรคอ้วนก็ปรากฏว่า มีคนอ้วนลงพุงที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย 37.1% และเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลรามาธิบดี 47.7%

งานวิจัยยังแสดงด้วยว่าพร้อมๆ กับความอ้วนที่พบมากขึ้นในคนไทยนั้น ยังตามมาด้วยปัญหาสุขภาพเรื้อรังที่คุกคามชีวิตเช่น ความดันโลหิตสูง โรคไขมันผิดปกติ เบาหวาน ข้อเสื่อม

การป้องกันโรคอ้วนมีความสำคัญมาก เพราะการรักษาทำได้ยากกว่ามาก ศูนย์ลดความอ้วนทั้งหลายส่วนใหญ่มีแต่ราคาคุย คือ อาจช่วยลดน้ำหนักได้ตอนเสียเงินไปเข้าโครงการครั้งละ 4-5 พันบาท เสร็จแล้วก็กลับไปอ้วนใหม่ การจะถือว่าลดน้ำหนักได้สำเร็จ จะต้องคงสภาพการลดน้ำหนักไว้อย่างน้อย 5 ปี

เมื่อรู้หลักของโรคอ้วนแล้ว วิธีป้องกันง่ายขึ้นคือ อย่ารับประทานมากโดยเฉพาะไขมันอย่างให้เกิน 30% ของพลังงานที่บริโภคในแต่ละวัน อย่าลืมว่าของมันเมื่อเจอกับของหวานแล้วมักจะหยุดกินไม่ได้เพราะอร่อยมากอย่างเช่น ข้าวเหนียวมะม่วง ซึ่งว่ากันว่ายิ่งกินยิ่งอร่อย

การออกกำลังกายนั้นไม่ต้องออกไปวิ่งเสมอไป การเคลื่อนไหวร่างกายตลอดทั้งวันช่วยลดการสะสมของไขมันได้ เช่นเดินขึ้นลงบันไดก็ช่วยได้แล้ว อย่ามัวนั่งหรือนอนดูโทรทัศน์ทั้งวัน

ศาสตราจารย์นายแพทย์วิชัยบอกว่าที่จริงคนไทยบริโภคไขมันโดยรวมแล้ว ไม่มากเท่าฝรั่งแต่ที่อ้วนเพราะรับประทานขนมมาก แล้วยังดื่มสุราอีกต่างหาก

สิ่งที่จะขอฝากท่านผู้อ่าน "ใกล้หมอ" ไว้ก็คือว่า อย่าหวังพึ่งแต่เพียงยา เป็นตัวทำให้เราลดน้ำหนักเพราะจริงอยู่ที่ว่ายาช่วยลดน้ำหนักได้แต่ก็ไม่ได้รักษาโรคอ้วน ถ้าไม่เปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภค ไม่เพิ่มการออกกำลังกาย

นพ.ชุมศักดิ์ พฤกษาพงษ์


[ที่มา..หนังสือ นิตยสารใกล้หมอปีที่ 24 ฉบับที่ 3-4 มีนาคม-เมษายน 2543]

[ BACK TO LIST]
main พบแพทย์ คอมพิวเตอร์ เรื่องบ้าน เรื่องรถ เรื่องกฏหมาย เรื่องของผู้บริโภค เรื่องเบาๆ คลายเครียด

มีปัญหาสุขภาพ ที่นี่มีคำตอบ ห้องสมุดE-LIB[ hey.to/yimyam ][ i.am/thaidoc ]

Best view with [IE3.02][NETSCAPE 4.05][OPERA 3.21] resolution 800x600