ดร.วินัย ดะห์ลัน
ในโลกนี้ทุกหนทุกแห่งรอบตัวเราเต็มไปด้วยเชื้อจุลินทรีย์นับเป็นล้านชนิดอาศัยอยู่
ในทุกหนทุกแห่ง รวมไปถึงฟุ้งกระจายอยู่เต็มอากาศเชื้อเหล่านี้ ส่วนใหญ่
เป็นเชื้อที่ไม่สร้างปัญหาต่อสุขภาพหรือไม่ใช่เชื้อโรค ขณะเดียวกันก็มีเชื้อจำนวนมหาศาล
ที่เป็นเชื้อโรค น่าแปลกตรงที่มีน้อยครั้ง ที่เชื้ออันตรายเหล่านี้จะผ่านระบบร่างกาย
เข้าไปทำร้ายมนุษย์ได้
สำคัญที่สุดในร่างกายเพราะต้องทำหน้าที่ต่อสู้ต้านทานโรคต่างๆ เหล่านั้น
ชนิดยากที่จะเพลี่ยงพล้ำต่อเชื้อโรคร้ายเห็นทีไม่มีสิ่งใดเกิน "ภูมิต้านทาน" ไปได้
ตามปกติภายในร่างกายจัดเป็นระบบปลอดเชื้อโรค หากผิวหนังไม่มีแผลสะกิดสะเกาเกิดขึ้น
เชื้อโรคจากภายนอกแทบจะผ่านเข้าสู่ร่างกายไม่ได้เลย ผิวหนังจึงจัดเป็นปราการหลัก
ที่ใช้ป้องกันเชื้อโรคที่มีมากมายภายนอก
ระบบทางเดินอาหารเป็นระบบปิดเช่นกัน เชื้อโรคเมื่อผ่านเข้าสู่ทางเดินอาหาร
ยังต้องต่อสู้กับระบบย่อยอาหารที่มีสภาพเป็นกรดเข้มข้นและด่างรุนแรง
หากเชื้อโรคยังทนทานผ่านไปได้โดยไม่ถูกทำลาย เชื้อเหล่านี้ย่อมผ่านไปสู่ลำไส้ใหญ่
ที่มีเชื้อจุลินทรีย์จำนวนมหาศาลที่เป็นมิตรต่อร่างกาย แต่เป็นภัยต่อเชื้อแปลกปลอมจากภายนอก
หากในที่สุดเชื้อยังต่อสู้ต้านทานเชื้อจุลินทรีย์เหล่านั้นอยู่รอดต่อไปได้อีก
มันย่อมถูกขับออกจากร่างกายทางระบบขับถ่ายในที่สุด
ระบบภูมิต้านทานสำคัญที่สุดจึงได้แก่ระบบผิวหนังห่อหุ้มร่างกาย
ทั้งผิวหนังภายนอกและผิวเยื่อบุต่างๆ ในระบบทางเดินอาหาร อย่างไรก็ตาม
ยังมีโอกาสอยู่บ้างที่เชื้อจะผ่านเข้าสู่ร่างกายผ่านทางรูเปิดเล็กๆ น้อยๆ
หรือแผลที่อาจเกิดขึ้นในบางจุด เช่น ตามไรฟัน ซอกเล็บ ทางแผลในกระเพาะลำไส้
หรือจากรอยถลอกบนผิวหนังด้านนอก
หากเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายผ่านเข้าสู่ระบบเลือด อันตรายยิ่งใหญ่ที่จะเกิดขึ้นคือ
เลือดพรั่งพร้อมไปด้วยสารอาหารที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของเชื้อทุกชนิด
เลือดจึงเป็นแหล่งโปรดของเชื้อ เหตุนี้เองที่ทำให้ร่างกายพัฒนาระบบภูมิต้านทาน
ในเลือดที่ซับซ้อนและมีประสิทธิภาพขึ้น นอกจากนี้ ยังมีระบบภูมิต้านทานในอวัยวะต่างๆ
เพิ่มเติมอีก
ในเลือดนั้น เซลล์เม็ดโลหิตขาวทำหน้าที่ต่อสู้ต้านทานเชื้อจากภายนอกเป็นด้านหลัก
เชื้อผู้รุกรานจากภายนอก ไม่ว่าจะเป็นแบคทีเรีย ไวรัส สารแปลกปลอมอื่นๆ
แม้กระทั่งเซลล์มะเร็งที่เกิดขึ้นภายในร่างกาย หากตรวจพบว่าจะสร้างปัญหาต่อชีวิตได้
เซลล์เม็ดโลหิตขาวมีระบบที่จะทำการกำจัดทั้งสิ้น
เซลล์เม็ดโลหิตขาวชนิดเซลล์-ที ทำหน้าที่ต่อสู้กับสิ่งแปลกปลอมเหล่านั้นโดยตรง
นอกจากนี้มันยังสร้างสารอีกอย่างน้อยสองชนิดไว้ใช้ต้านทานสิ่งแปลกปลอมและเชื้อโรค
อย่างเช่นสารเคมีที่เรียกว่า อินเตอร์เฟอรอน และ อินเตอร์ลิวคิน
เป็นต้น
เซลล์พิฆาต (Natural Killer Cell) ซึ่งเป็นเม็ดโลหิตขาวอีกกลุ่มหนึ่ง
ที่เรียกว่า นิวโตรฟิลล์ หรือ ลิมโฟซัยต์ ทำหน้าที่กลืนกิน
สิ่งแปลกปลอมโดยตรง ส่วนเซลล์เม็ดโลหิตขาวชนิดเซลล์-บี
ทำหน้าที่สร้างสารที่เรียกว่า "แอนติบอดีส์" ที่มีมากมายหลายชนิด
ทำหน้าที่สำคัญในระบบเตือนภัยและระบบต่อสู้ต้านทานเชื้อร้าย ดังนั้น
การรุกรานจากภายนอกใช่ว่าจะทำได้ง่ายๆ
การสร้างเสริมภูมิต้านทานให้กับร่างกายจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะละเลยเสียไม่ได้
สิ่งที่จะช่วยสร้างเสริมภูมิต้านทานของร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ระบบภูมิต้านทานภายในร่างกายที่สำคัญที่สุดไม่มีสิ่งไหนเกิน "อาหาร" ไปได้เลย
สารอาหารที่รับประทานเข้าสู่ร่างกายหลายชนิดทำหน้าที่สำคัญ
ในการสร้างสารภูมิต้านทานต่างๆ นอกจากนี้ ยังมีสารอาหารอีกหลายชนิด
ที่ช่วยเสริมหรือเร่งการทำงานของเซลล์เม็ดโลหิตขาวชนิดต่างๆ
ตลอดจนถึงระดับที่สามารถเพิ่มระดับเซลล์เม็ดโลหิตขาวในร่างกายได้
ในขณะที่สารอาหารหลายชนิดมีข้อดี สารอาหารบางชนิดก็สามารถก่อข้อเสีย
ให้กับการทำงานของระบบภูมิต้านทานของร่างกายได้เช่นกัน
คราวนี้ลองมาพิจารณากันดีกว่าว่าสารอาหารตัวไหนที่ช่วยเพิ่มภูมิต้านทานให้กับร่างกาย
และสารอาหารกลุ่มไหน ชนิดใด ที่อาจสร้างปัญหาให้กับระบบภูมิคุ้มกันร่างกาย
หากได้ทราบแล้วเราจะได้หาหนทางเพิ่มหรือปรับระบบภูมิต้านทาน
ของร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
------ ไขมันส่งผลกระทบต่อระบบภูมิคุ้มกัน ------
สารอาหารกลุ่มแรกที่ควรรู้จัก เนื่องจากแทบจะเป็นกลุ่มเดียว
ที่อาจสร้างปัญหาให้กับระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายนั่นก็คือ "ไขมัน"
การรับประทานไขมันมากเกินไป ดูเหมือนจะมีผลทำให้ภูมิต้านทานของร่างกาย
ลดลงได้อย่างแทบไม่น่าเชื่อ ที่เป็นเช่นนี้นักวิทยาศาสตร์การแพทย์เชื่อว่า
เป็นเพราะไขมันที่มีมากเกินไปเหล่านี้จะเข้าไปกดการทำงานของเซลล์พิฆาต
ที่กล่าวถึงในตอนต้น
นักระบาดวิทยาชื่อ ดร.เจมส์ อาร์ เฮลเบิร์ต (James R. Hebert)
แห่งวิทยาลัยแพทย์ มหาวิทยาลัยแมสสาชูเสตต์ ทำการศึกษาในอาสาสมัคร
ได้ผลว่า เมื่อทดลองให้อาสาสมัครลดไขมันในอาหารลงจากเดิมได้พลังงาน
จากไขมันร้อยละ 32 ลดให้เหลือเพียงร้อยละ 28 ปรากฏว่าการทำงานของเซลล์พิฆาต
เพิ่มขึ้นได้ถึงร้อยละ 48
ขณะเดียวกัน ชนิดของไขมันก็ยิ่งมีความสำคัญ กรดไขมันชนิดโอเมกาสาม
ที่พบมากในปลาทะเล ช่วยเพิ่มภูมิต้านทานได้ส่วนหนึ่ง ใครที่ชอบรับประทานปลาทะเลบ่อยๆ
จึงมีภูมิต้านทานค่อนข้างดี กรดไขมันที่สร้างปัญหาต่อระบบภูมิต้านทานของร่างกาย
กลับกลายเป็นกรดไขมันประเภทโอเมก้าหก หรือกรดไขมันไม่อิ่มตัวสูง
ที่พบมากในน้ำมันพืชนั่นเอง
นักวิทยาศาสตร์พบว่า กรดไขมันโอเมก้าหกที่มีระดับสูงมากๆ
ดังที่พบในน้ำมันเมล็ดดอกทานตะวัน น้ำมันดอกคำฝอย น้ำมันข้าวโพด
หรือแม้กระทั่งน้ำมันถั่วเหลือง จะลดภูมิต้านทานโดยการกดการสร้างเซลล์ลิมโฟซัยต์
ทำให้ระบบภูมิต้านทานเกิดปัญหา
นอกจากนี้ กรดไขมันเหล่านี้ยังเกิดปฏิกิริยาสร้างอนุมูลอิสระได้ง่าย
ก่อปัญหารบกวนการทำงานของระบบเซลล์ภูมิต้านทาน ทั้งยังเร่งการสร้างเซลล์มะเร็ง
เหตุนี้นี่เองที่กล่าวกันว่าน้ำมันพืชที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวสูง
หากรับประทานมากเกินไป ย่อมเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็ง
สร้างปัญหาต่อสุขภาพได้ ลดการรับประทานลงบ้าง อย่าให้มากเกินไปก็จะดี
------ ผักผลไม้เพิ่มภูมิต้านทาน ------
ผักผลไม้หลายชนิด มีสารอาหารตัวหนึ่งที่ถือว่าเป็นสารตั้งต้นสร้างวิตามินเอ
สารที่ว่านั้นคือ "เบต้าแคโรทีน" นอกจากนี้ ยังมีสารแคโรทีน
หรือแคโรทีนอยด์อื่นๆ อีกมากมายหลายชนิด สารแคโรทีนเหล่านี้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเบต้าแคโรทีน ช่วยเพิ่มภูมิต้านทานให้แก่ร่างกายได้
มีงานวิจัยทางการแพทย์อยู่หลายชิ้นพบว่า พืชผักที่มีเบต้าแคโรทีนสูง
จะช่วยเพิ่มภูมิต้านทานได้จริง อย่างเช่นการศึกษาของ ดร.โรนัลด์ วัตสัน (Ronald R Watson)
แห่งมหาวิทยาลัยอริโซน่าในสหรัฐอเมริกา พบว่า ชาย-หญิงจำนวน 60 คน
มีอายุเฉลี่ย 56 ปี เมื่อรับประทานผักผลไม้ให้ได้เบต้าแคโรทีนปริมาณ 30-60 มิลลิกรัมต่อวัน
ภูมิต้านทานเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเลยทีเดียว
ภูมิต้านทานนั้น เขาวัดได้จากการทำงานของบรรดาเม็ดเลือดขาวทั้งหลาย
ดังเช่น จำนวนของเซลล์พิฆาตเพิ่มขึ้น ปริมาณของเซลล์ทีและลิมโฟซัยต์
ที่พร้อมจะทำงานมีมากขึ้น สรุปเป็นว่า สารเบต้าแคโรทีนนี่แหละที่ช่วยทำให้
เม็ดเลือดขาวเหล่านี้ถูกกระตุ้นหรือเกิดการแบ่งเซลล์ทำให้พร้อมที่จะทำงานได้
เมื่อหยุดรับประทานผักผลไม้ ผลปรากฏว่าภูมิต้านทานค่อยๆ ลดลง
จนกระทั่งมีระดับกลับสู่ค่าที่เคยเป็นมาก่อนการเสริมผักผลไม้ เมื่อตรวจสอบว่า
สารเบต้าแคโรทีนเหล่านี้มาจากไหนได้บ้าง พบว่า เบต้าแคโรทีน
ขนาด 30-60 มิลลิกรัมนั้น ได้มาจากการรับประทานแครอท 5-10 หัว
หรือโดยการรับประทานมันฝรั่งบด 2-4 ขีดต่อวัน (200-400 กรัม)
กรณีของอาหารไทย เราสามารถพบเบต้าแคโรทีนได้ในพืชผักไทย
หลายต่อหลายชนิด อย่างเช่น ในผักใบเขียวเข้ม ผักโขม ตำลึง ใบยอ หรือพืชผักสีเหลืองและสีส้ม
เช่น ฟักทอง แครอท ผลไม้อย่าง มะละกอ มะม่วงสุก ก็มีเบต้าแคโรทีนสูงเช่นกัน
ที่ควรจะทราบอย่างยิ่งคือ เบต้าแคโรทีนในพืชผักนั้น ช่วยเพิ่มภูมิต้านทานได้
แต่การรับประทานเบต้าแคโรทีนในรูปของแคปซูลที่ขายกันเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
ราคาแพงนั้น ไม่แน่นักว่าจะช่วยเพิ่มภูมิต้านทานได้ ที่ตอบได้ไม่ชัดเจน
เพราะมีรายงานวิจัยจากหลายประเทศ ทั้งสหรัฐอเมริกา ฟินแลนด์ จีน
และที่อื่นๆ พบว่า ผู้ที่เสริมเบต้าแคโรทีนแคปซูล อุบัติการณ์เกิดความเสี่ยง
ต่อการเกิดโรคมะเร็งไม่ได้ลดลงเลย ทั้งๆ ที่เคยคาดการณ์ว่าเบต้าแคโรทีน
น่าจะลดมะเร็ง
ดังนั้น การที่พบว่าสารอาหารบางชนิดในพืชผักช่วยป้องกันโรคได้
แต่เมื่อสกัดสารชนิดนั้นๆ ออกมาบรรจุแคปซูลแล้ว ใช่ว่าสารดังกล่าว
จะช่วยป้องกันโรคดังที่เคยเชื่อกัน ที่เป็นอย่างนี้ย่อมแสดงว่า
สารอาหารที่อยู่อย่างธรรมชาติในอาหาร มีข้อได้เปรียบ มีการทำงานอย่างซับซ้อน
ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถอธิบายกลไกซับซ้อนลักษณะนี้ได้
นอกจากจะไม่ช่วยลดปัญหาแล้ว การใช้สารอาหารบริสุทธิ์
ในรูปผลิตภัณฑ์เสริมอาหารอาจจะให้ผลในทางตรงข้าม ดังเช่น
การศึกษาของนักวิจัยในประเทศฟินแลนด์ พบว่า ผู้ที่สูบบุหรี่และเสริมเบต้าแคโรทีนแคปซูล
แทนที่จะลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งปอดลงกลับเสี่ยงเพิ่มขึ้น
เป็นเพราะเหตุนี้เองที่ผู้เขียนแนะนำให้ป้องกันโรคโดยใช้อาหารอย่างฉลาด
และสมดุล มากกว่าที่จะใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ใครต่อใครที่ชอบลงทุน
กับผลิตภัณฑ์เสริมอาหารกันเหลือเกิน คงต้องยับยั้งชั่งใจไว้บ้างว่า
สิ่งที่ได้ยินกับสิ่งที่ปรากฏ อาจจะเป็นคนละเรื่องกันเลย
จึงอย่าได้ฟังสรรพคุณของผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจากบรรดาพนักงานขายตรง
หรือสื่อโฆษณาให้มากนัก
นอกเหนือจากสารเบต้าแคโรทีนที่มีอยู่มากในผักผลไม้แล้ว
เขายังพบวิตามินซีในผักผลไม้ในปริมาณที่สูงอีกด้วย
วิตามินซีเหล่านี้นอกจากจะสามารถทำงานได้อย่างอิสระแล้ว
มันยังช่วยเบต้าแคโรทีนในการเสริมภูมิต้านทานได้ด้วย
นอกจากวิตามินซีแล้ว อาจจะมีสารอีกอีกหลายชนิดที่เข้าไปทำงานร่วมกัน
เพื่อเพิ่มภูมิตานทาน
เหตุที่ผักและผลไม้มีสารอาหารหลายชนิดช่วยเพิ่มภูมิต้านทานเช่นนี้นี่เอง
ที่ทำให้ผู้ที่รับประทานมังสวิรัติมักจะมีรายงานเจ็บป่วยน้อยกว่าพวกที่ชอบรับประทานเนื้อ
เพราะเนื้อเองมีสารและกรดไขมันบางชนิดที่ลดการทำงานของเซลล์ภูมิต้านทาน
เท่ากับเป็นการซ้ำเติมปัญหาทำให้ผู้ที่รับประทานเนื้อมาก รับประทานผักน้อย
มีปัญหาของการเจ็บป่วยค่อนข้างมาก เกิดปัญหาทั้งมะเร็ง โรคหัวใจและโรคอื่นๆ
ค่อนข้างบ่อย
การศึกษาของนักวิจัยในสถาบันมะเร็งแห่งเยอรมันที่เมืองไฮเดนเบิร์ก
ได้ข้อมูลว่าเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ได้มาจากเลือดของผู้ที่เป็นมังสวิรัติ
เมื่อมีจำนวนเท่ากับเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ได้มาจากเลือดของผู้ที่ชอบการรับประทานเนื้อ
เซลล์กลุ่มแรกจะทำงานได้ด้วยประสิทธิภาพที่สูงกว่า
รายงานพบว่า เซลล์เม็ดเลือดขาวจากชาวมังสวิรัติ สามารถฆ่าเซลล์มะเร็ง
ได้มากกว่าเซลล์จากคนที่ชอบรับประทานเนื้อในจำนวนที่เท่ากันถึงสองเท่า
กลไกลักษณะนี้จะเกิดจากอะไรบ้างนั้น นักวิจัยยังอธิบายไม่ได้ แต่สิ่งที่รู้ก็คือ
กลุ่มที่รับประทานเนื้ออาจจะสะสมสารบางตัวที่กดการทำงานของเซลล์ภูมิต้านทานก็ได้
การรับประทานอาหารเพื่อเพิ่มต้านทานอย่างถูกต้อง
คือเพิ่มการรับประทานผักผลไม้ให้มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งผักใบเขียวเข้ม
หรือผักผลไม้ที่มีสีเหลืองแดง หรือสีเหลืองอมส้ม เมื่อรับประทานผักผลไม้เหล่านี้มากขึ้นแล้ว
ขอแนะนำให้ลดการรับประทานเนื้อสัตว์ลงด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเนื้อแดงของสัตว์บก
สัตว์ใหญ่ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นวัว ควาย แกะ ม้า หรือสุกรก็ตาม
ผักผลไม้นั้น ให้สารอาหารที่เป็นประโยชน์อยู่มากอย่างไม่ต้องสงสัย
แต่สิ่งที่สมควรระมัดระวังอย่างยิ่งคือ ความสะอาด การดูแลไม่ให้มีสารปนเปื้อนในพืชผัก
จะเป็นเรื่องสำคัญเสมอ ปัจจุบัน พืชผักเป็นอาหารที่เสี่ยงต่อการปนเปื้อนมากที่สุด
ไม่ว่าจะปนเปื้อนจากยาฆ่าแมลง ยาฆ่าวัชพืช ปุ๋ย เชื้อโรคจากการใช้ปุ๋ยอินทรีย์บางชนิด
สารเคมีที่จงใจเติมลงไป เช่น ฟอร์มาลีน หรือสีย้อมผ้า ที่พักหลังๆ มีรายงานว่า
พ่อค้าแม่ขายบางคนนิยมเอามาทาเปลือกผลไม้และผักให้มีสีสดน่ารับประทาน
เห็นทีจะต้องระวังและล้างพืชผักอย่างถูกต้องทุกครั้งก่อนที่จะนำไปรับประทานแล้วล่ะ
------ เรื่องของโยเกิร์ตหรือนมเปรี้ยว ------
โยเกิร์ต เพิ่มภูมิคุ้มกันเป็นเรื่องที่กล่าวขานกันมานานมาก
ผู้เขียนจำได้ว่าสมัยที่ยังเป็นเด็กหรือสามสิบกว่าปีมาแล้ว มีผู้นำโยเกิร์ตจืดเข้ามาจำหน่าย
พร้อมกับโฆษณาสรรพคุณว่าช่วยป้องกันโรค ตอนนั้นยังไม่มีการเรียกทับศัพท์ว่า
โยเกิร์ต แต่เรียกกันว่า "นมเปรี้ยว"
นมเปรี้ยวกลายเป็นผลิตภัณฑ์ฮิตเปรี้ยงปร้างในยุคนั้น
ทั้งใช้เป็นอาหารและเป็นเครื่องสำอางประทินผิวก็เพราะมีข่าวข้ามมาจากตะวันออกกลาง
และยุโรป ว่า คนโบราณใช้นมเปรี้ยวนี่แหละเป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้ชะลอความแก่
คนยุคโบราณแม้จะกินดีอยู่ดีขนาดไหน แต่อายุเฉลี่ยก็ค่อนข้างสั้น
เพราะขาดเทคโนโลยีทางการแพทย์ ส่วนคนยุคใหม่บริโภคมากขาดสมดุล
ทั้งยังอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ไม่ดีนัก แต่อายุกลับยืนยาวก็เพราะเทคโนโลยีด้านการแพทย์
ก้าวหนร้าสามารถยืดชีวิตคนให้ยืนยาวได้อย่างน่าอัศจรรย์ แม้ว่าคุณภาพชีวิต
จะไม่ดีสักเท่าไหร่ก็ตามที
คนยุคเก่าหากต้องการจะมีอายุยืนยาวจะต้องต่อสู้กับโรคภัยไข้เจ็บ
ที่ระรานอยู่รอบตัวให้ได้ การเพิ่มภูมิต้านทานของตนเองให้มากขึ้น
ดูเหมือนจะเป็นสูตรสำเร็จ และกระบวนการเหล่านี้นี่แหละที่นับเป็นเวชศาสตร์
การป้องกันที่คนยุคใหม่จำเป็นจะต้องเรียนรู้เอาไว้
การปล่อยร่างกายให้ป่วยแล้วจึงเข้ารับการรักษา สู้การป้องกันตนเองให้ปลอดจากโรคไม่ได้เลย
ทั้งยังประหยัดค่าใช้จ่ายได้อีกมากโข มีอาหารหลายชนิดที่กล่าวกันว่า
ช่วยยืดอายุได้และนมเปรี้ยวนี่แหละเป็นหนึ่งผลิตภัณฑ์ที่นิยมใช้กันมากในโลกยุคเก่า
นมนั้นคุณค่ามากมายเกินบรรยาย ผู้คนส่วนใหญ่ยอมรับกันอยู่แล้ว
จะไม่ยอมรับก็เพียงคนกลุ่มหนึ่งที่ต่อต้านนมอยู่ในขณะนี้
การทำนมให้เปรี้ยวไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร เพียงเติมเชื้อแบคทีเรีย
ที่เป็นประโยชน์บางชนิดลงไปในนมให้มันเจริญเติบโต
โดยการย่อยสลายน้ำตาลแลคโตสในนมให้กลายเป็นกรดแลคติค
น้ำตาลให้รสหวานขณะที่กรดให้รสเปรี้ยว นมเปรี้ยวเมื่อมีน้ำตาลที่มีกรด
เพิ่มเข้าไปทดแทน นมเปรี้ยวแทบจะขาดรสหวานแต่ออกรสเปรี้ยว
คนสมัยใหม่มักติดรสหวาน ดังนั้น ในกระบวนการผลิตโยเกริต์
หรือนมเปรี้ยวที่วางขายกันทั่วไป จึงนิยมเติมน้ำตาลเข้ากลับไปอีก
สิ่งนี้อาจทำให้โยเกิรต์ยุคใหม่อ่อนมีสรรพคุณของนมเปรี้ยวที่เคยกล่าวขานกันในอดีต
สรรพคุณของโยเกิร์ตหรือนมเปรี้ยว เป็นที่ยอมรับในทางการแพทย์กัน
ศาสตราจารย์คนหนึ่งในมหาวิทยาลัยชื่ออะกิล่าในเมืองอะบรูซซี่ ประเทศอิตาลี
คลาวดิโอ เดอซิโมเน่ (Claudio De Simone) ลองทำการศึกษา
คุณสมบัติของนมเปรี้ยวในหลอดทดลอง พบว่า นมเปรี้ยวสามารถเพิ่มการทำงาน
ของเซลล์เม็ดโลหิตขาวได้ไม่ต่างจากยา Levaelsole ที่นิยมใช้เร่งการทำงานของเม็ดโลหิตขาว
การศึกษาในสัตว์ทดลองและในมนุษย์หลายต่อหลายที่ก็ให้ผลว่า
โยเกิร์ตช่วยเพิ่มการทำงานของบรรดาเซลล์พิฆาตได้
ช่วยเพิ่มการสร้างสารแอนติบอดีบางชนิด ทั้งยังช่วยเร่งการสร้างสารภูมิคุ้มกันเรียกกันว่า
"แกมม่าอินเตอร์เฟอรอน"
มีบางรายงานบ้างเหมือนกันว่า โยเกิร์ตไม่ได้ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกัน
ในส่วนของแกมม่าอินเตอร์เฟอรอน แต่ช่วยในส่วนอื่นอย่างเช่น
การศึกษาของนักวิจัยของมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ดาวิส ตีพิมพ์วารสาร
Journal of Nutrition ปี พ.ศ.2542นี่เอง
การศึกษานำโดย ดร.Van de Water แห่งภาควิชาวิทยารูมาตอยด์
การแพ้และภูมิคุ้มกันวิทยา พบว่า คนที่รับประทานโยเกิร์ตสดปริมาณ
200 กรัมต่อวันทุกวันเป็นเวลานานหนึ่งปี อาการแพ้ที่เคยมีอยู่จะลดลง
การรับประทานโยเกิร์ตสดจะให้ผลดีกว่าการใช้โยเกิร์ตชนิดพาสเจอร์ไรซ์
------ ฤทธิ์ของกระเทียม ------
อยู่เมืองไทย อากาศแปรปรวน อยู่บ่อยๆ บางปีฤดูหนาว
แทบจะไม่มีเลย แต่บางปี โดยเฉพาะปี 2542 ต่อ 2543 จู่ๆ อากาศ
ก็เกิดหนาวยะเยือก ต่อเนื่องกัน หลายวัน แถบเหนือ และอีสาน
ในบางพื้นที่อุณหภูมิลดฮวบจนกระทั่งติดลบ
ตามภูที่เป็นสถานที่ท้องเที่ยว หลายต่อหลายแห่ง อากาศหนาวขนาด
-6 องศาเซลเซียส ขนาดน้ำค้างแข็ง แต่ในพื้นที่เดียวกันนี้ อากาศร้อนจัดๆ
ขนาด 42 องศา ก็เคยมาแล้ว ในพื้นที่เดียวกัน อุณหภูมิจึงแตกต่างกันได้มาก
ความชื้นเองก็แปรเปลี่ยน ได้บ่อย ทั้งความชื้น ทั้งอุณหภูมิ ปรับไปเปลี่ยนมาอย่างนี้
หากใครมีปัญหาด้านภูมิต้านทานหน่อยก็คงหนีไข้หวัดไม่พ้น
ผู้เขียนเคยเขียนเรื่องกระเทียมและหอม ช่วยลดอาการหวัดมาแล้ว
เชื่อกันว่าฤทธิ์ของกระเทียมในการลดอาการหวัด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ในช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงของอากาศเป็นผลมาจากการที่กระเทียมมีสารเคมี
ที่มีกำมะถันเป็นองค์ประกอบอยู่หลายชนิดที่ออกฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียและไวรัสได้โดยตรง
นอกจากนี้ สารบางตัวในกระเทียมยังกระตุ้นการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาวได้
ไม่ว่าจะเป็นเซลล์-ที หรือเซลล์พิฆาต ที่เรียกกันว่า มาโครฟาจ
หรือ ฟาโกซัยต์ เซลล์สองชนิดนี้ทำหน้าที่หลักในการต่อสู้ต้านทาน
เชื้อจากภายนอก การเพิ่มภูมิต้านทานของกระเทียม จึงกระทำผ่านการทำงาน
ของเซลล์กลุ่มนี้นี่แหละ
หนึ่งในนักวิจัยที่ทำงานทางด้านกระเทียมค่อนข้างมาก คือ
ดร.เบนจามิน เลา (Benjamin Lau) อยู่ที่มหาวิทยาลัย
โลมาลินดาในแคลิฟอร์เนีย งานค่อนข้างน่าสนใจ ผู้เขียนเคยไปนั่งคุยกับ
ดร.เลามาแล้ว พบว่า ความที่ ดร.เลามีเชื้อสายจีน สิ่งที่ ดร.เลา สนใจคือ
การใช้ตำรับการแพทย์ตะวันออกในการรักษาและป้องกันโรค
และกระเทียมนี่ก็เป็นเรื่องหนึ่ง
เชื่อกันว่า การใช้กระเทียมป้องกันและรักษาโรคนั้น เริ่มกันในจีนและญี่ปุ่น
หรือแม้กระทั่งแถบตะวันออกกลาง โดยย้อนยุคไปได้นับพันปี
ชาวตะวันตกนำเอาความรู้นี้ออกเผยแพร่กระทั่งแทบจดจำไม่ได้ว่า
ความรู้เรื่องกระเทียมนี้มาจากไหน
ชาวรัสเซีย ตลอดจนเยอรมัน ใช้กระเทียมกันมากกระทั่งมีการเรียกกระเทียมว่า
"แอสไพรินธรรมชาติ" นั่นคือ กระเทียมสามารถใช้ลดอาการไข้ได้
เช่นเดียวกับแอสไพริน เพียงแต่ว่าอาจจะต้องใช้กระเทียมมากหน่อย
และต้องใช้เป็นประจำ นั่นคือ ใช้เป็นอาหารหรือปรุงไปกับอาหาร
การศึกษาของ ดร.เลาในห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์ พบว่า
เมื่อแช่สารสกัดจากกระเทียมไว้กับเซลล์เม็ดเลือดขาว
สารเคมีบางชนิดจากกระเทียมสามารถกระตุ้นให้เม็ดเลือดขาว
สร้างสารต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย รวมทั้งกำจัดเซลล์มะเร็งได้มากขึ้น
การรับประทานกระเทียมเพื่อป้องกันมะเร็ง ที่เคยกล่าวขานกัน
จึงไม่ใช่เรื่องที่ไม่มีเหตุผล
นายแพทย์อัลดุลลาห์ (Tarig Abdullah) เป็นแพทย์ประจำอัคบาร์คลินิก
และศูนย์วิจัยที่เมืองปานามาซิตี้ รัฐฟลอริดา ทำการทดลองให้อาสาสมัคร
รับประทานกระเทียมธรรมชาติ 15 กลีบต่อวัน (กลีบขนาดใหญ่)
เป็นเวลานานระยะหนึ่ง จากนั้นนำเอาเลือดของอาสาสมัครมาศึกษา
ปริมาณและฤทธิ์ของเม็ดเลือดขาว
สิ่งที่หมออับดุลลาห์พบคือ เซลล์เม็ดเลือดขาวของอาสาสมัคร
ที่รับประทานกระเทียมมีจำนวนมากกว่าอาสาสมัครที่ไม่ได้รับประทานกระเทียม
ยิ่งไปกว่านั้นคือ เม็ดเลือดขาวเหล่านั้นยังมีฤทธิ์ในการทำลายเซลล์มะเร็งมากขึ้น
สามารถทำลายเซลล์มะเร็งได้มากขึ้นถึง 140-160% กระเทียมจึงนับเป็นอาหาร
ที่เพิ่มภูมิต้านทานได้ดี
แต่ทั้งหมดนี้อาจจะต้องฟังหูไว้หูบ้าง เพราะมีรายงานทางการแพทย์บางรายงาน
กล่าวว่า กระเทียมให้ผลเพิ่มภูมิต้านทานได้ไม่ชัดเจนนัก
ใครที่เสริมผลิตภัณฑ์กระเทียมราคาแพง หากไม่ได้ผล ก็เสียดายสตางค์
ผู้เขียนขอแนะนำให้เลือกกระเทียมสดจากธรรมชาติจะดีกว่า
เพราะการเพิ่มกระเทียมในมื้ออาหาร ไม่สร้างปัญหา
ทั้งไม่ทำให้ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นมากนัก
------ ธาตุสังกะสีและธาตุเหล็ก ------
ในอดีต เรื่องราวของธาตุเหล็กกับสังกะสีในด้านการเพิ่มภูมิต้านทานโรคนั้น
กล่าวขานกันมาก คนที่มีปัญหาโลหิตจางเพราะการขาดธาตุเหล็กจะป่วยบ่อย
เป็นหวัดบ่อย แสดงให้เห็นว่าภูมิต้านทานลดลง หากได้รับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็กมาก
อย่างเช่น ตับ ม้าม เลือด เนื้อสัตว์ หรือผักบางชนิดที่มีธาตุเหล็กสูงอย่างหัวกะหล่ำ
จะช่วยให้ภูมิต้านทานกลับสู่ภาวะปกติได้
ครั้งที่ผู้เขียนทำวิจัยอยู่ที่มหาวิทยาลัยมหิดล เคยศึกษาเรื่องนี้ไว้เช่นกัน
พบว่า เมื่อให้สตรีเสริมธาตุเหล็ก นอกจากระดับสภาวะเหล็กในเลือดจะดีขึ้น
แล้วยังพบว่าการทำงานของเซลล์-ที ยังมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งนี้
ผู้เขียนพบข้อเท็จจริงข้อหนึ่งว่าสตรีไทยจำนวนไม่น้อยที่เห็นว่าท่าทางเป็นคนปกติ
มีปัญหาขาดธาตุเหล็กแฝงอยู่
ธาตุตัวสำคัญอีกตัวหนึ่งที่สำคัญมากๆ ในเรื่องของภูมิต้านทานคือ
ธาตุ "สังกะสี" ดร.สเป็คเตอร์ (Novera H. Spector)
แห่งสถาบันวิจัยแห่งชาติสหรัฐอเมริกา กล่าวว่า คนที่มีอายุเกิน 60 ปีขึ้นไป
การทำงานของต่อมธัยมัสเริ่มมีปัญหา ขนาดของต่อมลดลง
ทำให้การสร้างภูมิต้านทานในรูปของฮอร์โมนที่เรียกกันว่า "ธัยมูลิน"
ลดปริมาณลง คนชราจึงป่วยไข้ได้บ่อย
การศึกษาของ ดร.ฟาบริส (Nicola Fabris) แห่งสถาบันวิจัยแห่งชาติอิตาลี
ตลอดจน คุณหมอสถิตย์ สิริสิงห์ แห่งมหาวิทยาลัยมหิดลเอง พบว่า
การเสริมธาตุสังกะสีในผู้ป่วย จะช่วยทำให้ผู้ป่วยมีภูมิต้านทานต่อโรคมากขึ้น
ดูได้จากการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดเซลล์-ทีมีประสิทธิภาพมากขึ้น
การเสริมธาตุสังกะสีจึงให้ประโยชน์
การเสริมธาตุสังกะสีง่ายๆ หากไม่ต้องการใช้ยาเม็ดเกลือแร่
อาจจะรับประทานหอยนางรมเพิ่มก็ได้ หอยนางรมมีธาตุสังกะสีสูงมาก
สูงถึง 70 มิลลิกรัมต่อหนึ่งขีด หรือ 100 กรัม แต่หอยนางรมราคาแพง
ทั้งยังมีคอเลสเตอรอลสูง ผู้เขียนจึงพอใจที่จะแนะนำให้เสริมเป็นยาเม็ด
แร่ธาตุจากองค์การเภสัช ซึ่งราคาไม่แพง จะประหยัดเงินได้โขทีเดียว
ก่อนจบ ขอประชาสัมพันธ์หน่อยครับว่าใครต้องการสอบถามปัญหาทางอาหาร
และโภชนาการหรือปัญหาอื่นๆ สามารถผ่านเข้าโฮมเพจของผู้เขียนที่
URL wphat.com/webboard คลิก "คุยกับ ดร.วินัย"
ได้คุยกันแน่นอนครับ
|