นายแพทย์รุ่งโรจน์ ตรีนิติ
ถุงยางอนามัยเป็นอุปกรณ์คุมกำเนิดที่ทุกคนรู้จักกันดี แต่กลับไม่ค่อยชอบใช้กัน
บ้างก็อ้างว่า ไม่เป็นธรรมชาติ ทั้งๆที่ถุงยางอนามัยนั้นทำมาจากยางธรรมชาติแท้ๆ
อย่าว่าแต่พกถุงยางอนามัยเลย แม้แต่จะซื้อถุงยางอนามัยก็ยังอาย
ก็ไม่รู้จะไปอายอะไรกัน พึงระลึกเสมอว่า "คนที่ใช้ถุงยางอนามัยนั้นคือ
คนที่มีความรับผิดชอบ" รับผิดชอบต่อตนเอง และรับผิดชอบต่อคู่ของตัว
เพราะถุงยางอนามัยนั้นนอกจากจะป้องกันการตั้งครรภ์ได้แล้ว
ยังสามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ด้วย
ป้องกันตัวเองที่จะไม่รับเชื้อและป้องกันไม่แพร่เชื้อไปยังคู่ของตัวเอง
ความนิยมและอัตราการใช้ถุงยางอนามัย
ความนิยมใช้ถุงยางอนามัยเพื่อคุมกำเนิดมีอัตราแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ
ประเทศที่พัฒนาแล้วมีอัตราการใช้สูงเกือบร้อยละ 20 ในขณะที่ประเทศกำลังพัฒนา
ใช้ไม่ถึงร้อยละ 5 ประเทศญี่ปุ่นได้ชื่อว่ามีการใช้ถุงยางอนามัยมากที่สุดในโลก
มีการใช้ถุงยางอนามัยเพื่อการคุมกำเนิดสูงถึง ร้อยละ 80 ในช่วง10ปีที่ผ่านมา
แล้วบ้านเราล่ะ แต่ก่อนนี้มีการใช้น้อยมาก แต่ตั้งแต่เจ้าเอดส์ระบาดนี่
คนไทยใช้ถุงยางอนามัยกันมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
จะไม่ใช้ได้ยังไงละครับ ถ้าไม่ใช้หญิงบริการจะไม่ยอมให้อึ๊บโดยเด็ดขาด
อยากอึ๊บก็เลยจำต้องใช้ แต่การใช้ถุงยางอนามัยเพื่อคุมกำเนิดในคนทั่วไปก็ยังมีน้อย
ก็ด้วยเหตุผลทางค่านิยมที่รังเกียจกลัวคนจะรู้ว่าตัวเองพกถุงยางอนามัย "อาย" ว่างั้นเถอะ
เราคงต้องเปลี่ยนค่านิยมอันนี้เสียใหม่แล้วครับ ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาเอดส์
และการตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์ได้ด้วย เรียกว่าได้ประโยชน์ชนิดทูอินวัน
อย่าลืมนะครับ "คนที่ใช้ถุงยางอนามัยคือคนที่มีความรับผิดชอบ"
ถุงยางอนามัยเป็นเครื่องมือแพทย์
คุณทราบหรือไม่ว่าถุงยางอนามัยเนียะ จัดเป็นเครื่องมือแพทย์นะครับ
และเป็นเครื่องมือแพทย์อันเดียวที่คุณไม่จำเป็นต้องเป็นแพทย์แต่ก็สามารถใช้ได้
เมื่อถุงยางอนามัยเป็นเครื่องมือแพทย์ก็ต้องมีกฎหมายรับรอง ต้องมีประกาศมาตรฐาน
ควบคุมการผลิต กระทรวงสาธารณสุขได้ออกประกาศเป็นกฎกระทรวงฉบับที่ 11 พ.ศ. 2535
ว่าให้ถุงยางอนามัยเป็นเครื่องมือแพทย์ เป็นอุปกรณ์ที่ทำจากน้ำยางธรรมชาติ
น้ำยางสังเคราะห์หรือวัตถุอื่น ใช้สวมอวัยวะเพศชายเพื่อการคุมกำเนิด
หรือใช้เพื่อป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
ชนิดของถุงยางอนามัย
ถุงยางอนมัยที่มีการผลิตจำหน่ายในโลกนี้มี 2 ชนิดตามวัสดุที่ใช้
1. ชนิดที่ทำจากลำไส้สัตว์ (Skin condom)
วัสดุที่ใช้ผลิตเป็นส่วนของลำไส้ส่วนล่างของแกะ ที่เรียก caecum
มีใช้ในอเมริกา ราว ร้อยละ 5 เขาว่าใช้แล้วรู้สึกสบายยามสวมใส่ ไม่รัดรูป
ให้ความรู้สึกสัมผัสที่ดีในขณะมีเพศสัมพันธ์ เชื่อว่าวัสดุจากลำไส้สัตว์สามารถสื่อผ่าน
ความอบอุ่นของร่างกายสู่กันได้ และความชุ่มชื่นจากสารคัดหลั่งสามารถซึมผ่านเนื้อเยื่อได้
แต่เนื่องจากผิวของวัสดุมีรูพรุนเล็กๆที่ขวางได้เฉพาะตัวอสุจิเท่านั้น
จึงไม่สามารถป้องกันเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ skin condom
มีความหนา 0.15 มิลลิเมตร และไม่สามารถยืดตัวได้ (แต่มีความอ่อนนุ่ม)
จึงสวมใส่แบบหลวมๆ ไม่รัดแนบแน่นแบบที่ทำจากยางธรรมชาติ
ขนาดความกว้างเมื่อวางแบนราบ มีตั้งแต่ 62 มิลลิเมตร ถุง 80 มิลลิเมตร
ถุงยางชนิดนี้ไม่มีการผลิตจำหน่ายในเมืองไทย ไม่ต้องถามหากันนะครับ
(อ้อ..ราคาแพงมากด้วยครับ)
2. ชนิดที่ทำจากน้ำยางธรรมชาติ (rubber condom or latex condom)
จากวัสดุที่ทำนี่เองจึงเป็นที่มาของคำว่า "ถุงยางอนามัย"
ผมไม่รู้ว่าใครเป็นคนคิดค้นชื่อนี้ ชอบครับ ถุงยางที่ถูกสุขอนามัย สะอาด ตรงและเหมาะสมจริงๆ
แต่คนไทยไม่ชอบยาวๆ (ทีอย่างอื่นละก็เรียกร้องจะเอาแบบยาวๆ..เนาะ)
กลับเรียกไปต่างๆนานา ปลอก นวม เสื้อ เสื้อฝน เสื้อเกราะ มีชัย ฯลฯ
ฝรั่งก็มีชื่อเรียก นอกจาก Condom แล้ว ก็เรียก sheath, prophylactic,
French letter, English cape เป็นต้น
ถุงยางอนามัยที่ทำจากยางธรรมชาตินี้มีราคาถูกกว่า บางกว่า
ยืดหยุ่นได้ดีกว่าแบบทำจากลำไส้สัตว์ จึงมีขนาดความกว้างน้อยกว่า
การสวมใส่ก็กระชับรัดแนบเนื้อ สามารถใช้ได้ทั้งเพื่อการคุมกำเนิด
และป้องโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ด้วย
แต่ปัจจุบันได้มีการนำวัสดุอื่นมาผลิตเป็นถุงยางอนามัยด้วย เช่น
สาร Polyurethane เพราะถุงยางอนามัยที่ทำจากยางธรรมชาติก็มีข้อด้อย
เรียกถุงยางอนามัยชนิดนี้ว่า ถุงยางพลาสติก (plastic condom)
แต่ถุงยางอนามัยชนิดนี้ยังไม่มีการผลิตออกจำหน่าย ยังอยู่ในขั้นตอนการวิจัย
เขาว่าถุงยางชนิดนี้ให้ความรู้สึกที่ดีกว่าแบบที่ทำจากน้ำยางธรรมชาติ
ก็คงต้องรออีกหน่อยครับ
แบบของถุงยางอนามัย
ถุงยางอนามัยเมื่อเป็นสินค้าก็ย่อมมีการตลาด จึงต้องมีแบบต่างๆ
ให้ลูกค้าเลือกมากมาย ตามความต้องการของลูกค้ารวมทั้งทำเพื่อเป็นจุดขายเพื่อการโฆษณาด้วย
ถุงยางอนามัยที่ทำจากน้ำยางธรรมชาติชนิดเข้มข้นมีรูปแบบที่เกี่ยวกับลักษณะสำคัญ 6 เรื่องคือ
1. สารหล่อลื่น มีทั้งแบบแห้งคือไม่มีสารหล่อลื่น และแบบที่มีสารหล่อลื่น
แบบที่มีสารหล่อลื่นก็ยังแบ่งเป็นแบบสารหล่อลื่นธรรมดา
และแบบที่มีตัวยาฆ่าเชื้อ เช่น nonnoxynol-9 หรือ N-9 เป็นต้น
2. ลักษณะของก้นถุง แบ่งเป็นแบบก้นถุงมนแบบถุงกาแฟ (plain)
และแบบถุงมีกระเปาะ หรือติ่ง (reservoir-ended or teat) เพื่อเป็นที่เก็บน้ำอสุจิ
ซึ่งแบบนี้จะเป็นที่นิยมมากกว่า และวิธีการสวมใส่ก็แตกต่างกัน
3. รูปทรงของถุง แบ่งเป็นแบบทรงกระบอกตรงๆ (straight) และแบบลูกคลื่น (rippled)
4. ลักษณะผิว แบ่งเป็นแบบผิวเรียบ (smooth) และแบบผิวไม่เรียบ (textured)
5. สี อันนี้คงรู้จักกันดี มีทั้งแบบสีธรรมชาติของยาง หรือ เจ็ดสีมีชัย ประกายรุ้ง
6. กลิ่นและรส มีให้เลือกทั้งกลิ่นรสมินต์ กลิ่นสตรอเบอรี่ กลิ่นมะนาว
บางยี่ห้อมีกลิ่นทุเรียนด้วย การเติมกลิ่นและรสนี้เพื่อคนที่ใช้การร่วมเพศทางปาก (oral sex)
ขนาดของถุงยางอนามัย
คุณภาพมาตรฐานและข้อกำหนดของถุงยางอนามัยตามประกาศ
ของกระทรวงสาธารณสุขปี 2535 ได้กำหนดประเภทของถุงยางอนามัย
ที่ทำจากน้ำยางธรรมชาติ เป็น 13 ประเภท ตามขนาดความกว้าง
คือตั้งแต่ขนาด 44 มิลลิเมตร จนถึงขนาด 56 มิลลิเมตร
และกำหนดความยาวของถุงยางวัดจากปลายเปิดจนถึงปลายปิด
ไม่รวมส่วนที่เป็นติ่งหรือกระเปาะ ต้องไม่น้อยกว่า 160 มิลลิเมตร
ซึ่งกำหนดตามมาตรฐานขององค์การกำหนดมาตรฐานระหว่างประเทศ (ISO) ปี ค.ศ. 1990
สำหรับตลาดในเมืองไทยเท่าที่มีจำหน่าย ก็มีอยู่ 2 ขนาด
คือขนาดใหญ่กับขนาดยักษ์ (คนไทยไม่ชอบอะไรที่เล็กๆ
ขนาดใหญ่ (ความจริงมันก็ขนาดเล็กนั่นแหละ) หรือขนาด 49 มิลลิเมตร
มีขนาดความกว้างเมื่อวางถุงยางที่คลี่แล้วแบนราบกับพื้น
วัดจากขอบหนึ่งถึงขอบหนึ่ง 49 มิลลิเมตร มีขนาดความยาว 160 มิลลิเมตร
ขนาดนี้เหมาะกับคนไทยมากที่สุด
ขนาดยักษ์ หรือขนาด 52 มิลลิเมตร ความกว้างเมื่อวางแบนราบ
เท่ากับ 52 มิลลิเมตร ความยาวเท่ากับ 180 มิลลิเมตร
ความหนาของถุงยางอนามัย
อย่างที่พูดไว้ข้างต้น ถุงยางอนามัยที่ทำจากลำไส้สัตว์หนาตั้ง 0.15 มิลลิเมตร
แต่สำหรับถุงยางอนามัยที่ทำจากน้ำยางธรรมชาติจะบางกว่านั้นมาก
เพราะเหนียวและยืดได้มากกว่า ของญี่ปุ่นทำได้บางที่สุดในโลก คือ
บางแค่ 0.02มิลลิเมตร ส่วนของอเมริกากำหนดมาตรฐานไว้ที่
ไม่น้อยกว่า 0.03 มิลลิเมตร ของอังกฤษเจมส์บอนด์
กำหนดไว้หนาไม่เกิน 0.04 มิลลิเมตร ขององค์การอนามัยโลกกำหนดไว้
ระหว่าง 0.05 - 0.08 มิลลิเมตร แล้วของพี่ไทยล่ะ
ไม่มีครับ
ไม่มีกำหนดความหนาไว้ในประกาศของกระทรวงสาธารณสุข ปี 2535
แต่เท่าที่เคยมีการกำหนดมาตรฐานของถุงยางอนามัยที่ประกาศ
ในการจัดซื้อถุงยางอนามัยไว้ใช้ในโครงการวางแผนครอบครัว
เมื่อปี 2526 ได้กำหนดความหนา ไม่มากกว่า 0.06 มิลลิเมตร เอาไว้
ประสิทธิภาพของถุงยางอนามัย
ในการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
โรค | ประสิทธิภาพ
|
เอดส์ ไวรัสตับอักเสบ บี หูดหงอนไก่
หนองในเทียม หนองในแท้ พยาธิในช่องคลอด
ซิฟิลิส โรคเริม แผลริมอ่อน
|
+++ +++ 0/+
++ +++ +++
++ + +
|
|
0 เท่ากับ ไม่ได้ผลหรือน้อยกว่า 10 %
+ เท่ากับ ป้องกันได้ 10-50%
++ เท่ากับ ป้องกันได้ 50-90%
+++ เท่ากับ ป้องกันได้ มากกว่า 90 %
|
อยากเตือนนักเที่ยวทั้งหลายว่า แม้ท่านจะใช้ถุงยางอนามัยเวลาร่วมเพศ
แต่ถ้าท่านจะให้หญิงบริการทำ ออรัลเซ็กให้ ก็ต้องสวมถุงยางด้วยเสมอ
พลาดท่าเป็นเสือร้องไห้มาแยะแล้วครับ เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือนกัน
ประสิทธิภาพของถุงยางอนามัยในการคุมกำเนิด
ถุงยางอนามัย เป็นวิธีการคุมกำเนิดที่ดี มีประสิทธิภาพ เชื่อถือได้
ถ้าใช้ถุงยางอนามัยที่ได้มาตรฐาน ไม่เสื่อม ไม่รั่ว ไม่ซึม
ใช้อย่างถูกวิธีและใช้อย่างสม่ำเสมอ จะมีอัตราตั้งครรภ์ 3 ราย
ใน 100 ราย ที่ใช้ใน 1 ปี นี่พูดตามทฤษฎีนะครับ แต่ในทางปฏิบัติจริง
พบว่ามีอัตราตั้งครรภ์ สูงถึง 10-15 ราย ใน 100 ราย ใน 1 ปี ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ??
สาเหตุของการล้มเหลวในการใช้ถุงยางอนามัย
ท้องได้ไง ก็ใช้ถุงยางแล้ว ..อ้าวทำไมปัสสาวะถึงแสบๆ ก็ใช้ถุงยางอนามัยแล้ว
การล้มเหลวในการใช้ถุงยางอนามัย ย่อมทำมาซึ่งความหายนะอันใหญ่หลวง
ที่หลายๆคนเคยประสพมาแล้ว ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น
1. การใช้ถุงยางอนามัยไม่สม่ำเสมอ นับเป็นสาเหตุสำคัญในการคุมกำเนิด
ซึ่งอาจมาจากความไม่ร่วมมือของฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด หรือใช้ถุงยางอนามัยสลับกับการนับวัน
หรือหลั่งภายนอก
2.การใช้ถุงยางอนามัยไม่ถูกวิธี เช่น คลี่ออกทั้งหมดก่อนสวมใส่
การใส่ผิดด้าน การใส่ที่ไม่เว้นส่วนติ่งไว้(คือดึงมาจนสุดไม่เหลือติ่ง)
ไม่ไล่อากาศออกจากติ่งกระเปาะ ถูกเล็บหรือของมีคม(กรณีให้สาวใส่ให้)
การนำกลับมาใช้ใหม่หลังจากที่ใช้ไปพักหนึ่งแล้วถอดออก
การไม่จับขอบตอนถอนสมอ การใช้สารหล่อลื่นที่ไม่เหมาะสม
หลั่งแล้วแช่นานจนนกเขาหลับ การใช้ไม่ถูกวิธีเหล่านี้นำมาซึ่ง การแตก รั่ว
เลื่อนหลุดของถุงยางอนามัย หรือการการปนเปื้อนของน้ำอสุจิบริเวณช่องคลอด(หกปากถ้ำ)
3. การแตกของถุงยางอนามัย แม้ได้ระมัดระวังอย่างดีแล้ว
4. การเลื่อนหลุดของถุงยางอนามัยแม้ได้ระมัดระวังอย่างดีแล้ว
การแตกของถุงยางอนามัย
แม้ได้ใช้อย่างถูกวิธี ระมัดระวังอย่างดี ก็ยังแตกได้ครับ
มีรายงานตั้งแต่ร้อยละ 1 ถึง 12 เฉลี่ยก็ร้อยละ 5 แต่ถ้าร่วมเพศทางทวารหนัก
จะหนักกว่านี้ จากการศึกษาของอีตา steiner แกพบว่า ครึ่งหนึ่งจะแตกตรงส่วนปลายปิด
หนึ่งในสี่แตกตรงตัวถุง และอีกหนึ่งในสี่ แตกตรงปลายเปิด แต่ที่สำคัญคือ
กว่าจะรู้ว่าแตก ก็เสร็จกิจไปแล้ว ถึงสองในสามของการแตก นี่ซิ ซวยชนิดไม่บอก
แล้วมันแตกได้ยังไง
1. ใช้ไม่ถูกวิธี
2. พฤติกรรมทางเพศ ที่ไม่เหมาะสม เช่น ร่วมเพศอย่างเมามันรุนแรง
ยาวนาน หรือมีการเสียดสีอย่างมาก หรือช่องคลอดที่แห้งยังไม่พร้อมจะมีเพศสัมพันธ์
หรือช่องคลอดแห้งในสตรีวัยทอง
3. การใช้สารหล่อลื่นที่ไม่เหมาะสม สารหล่อลื่นที่ใช้กับถุงยางอนามัย
ที่ทำจากยางธรรมชาติ จะต้องมีส่วนประกอบที่เป็นน้ำหรือซิลิโคนเท่านั้น
ห้ามใช้สารหล่อลื่นที่ทำจากน้ำมันหรือ ผลิตภัณฑ์ที่มาจากน้ำมันโดยเด็ดขาด
(petroleum and derivatives) ยางกับน้ำมันไม่ถูกกันครับ จาการทดลองในห้องปฏิบัติการ
พบว่า ความแข็งแรงของถุงยางอนามัยลดลงถึงร้อยละ 90 เมื่อถุงยางอนามัย
สัมผัสกับสารหล่อลื่นที่มีส่วนประกอบของน้ำมัน ตารางข้างล่างนี้บอกถึงชนิดของสารหล่อลื่นที่ปลอดภัย
และไม่ปลอดภัยเมื่อใช่ร่วมกับถุงยางอนามัย
สารหล่อลื่นหรือผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัยและไม่ปลอดภัย
เมื่อใช้ร่วมกับถุงยางอนามัย
ปลอดภัย |
ไม่ปลอดภัย |
Aloe-9 Aqua-Lube Aqua-Lube Plus (Spermicidal)
Astroglide Carbowax Condom-Mate
Contraceptive Foams
(e.g., Emko, Delfen, Koromex)
Contraceptive Creams and Gels
(e.g., Prepair, Conceptrol, Ramses)
Duragel Egg White ForPlay Lubricant
Glycerin U.S.P H-R Lubricating jelly Intercept
Koromex Gel Lubafax Lubrin Insert
Norform Insert Ortho-Gynol Personal Lubricant
Prepair Lubricant Probe Saliva
Semicid Silicones DC 360
Transi-Lube Water
|
Baby Oils Burn Ointments Coconut Oil/Butter
Edible Oils
(e.g., Olive, Peanut,
Corn, Sunflower)
Fish Olis Hermorrhoidal Ointments Insect Repellants
Margarine/Dairy Butter Mineral Oil Plam Oil
Petroleum Jelly
(e.g., Vaseline)
Rubbing Alcohol Suntan Oil Vaginal Creams/Spermicides
(e.g., Monistat, Estrace,
Femstat, Vagisil,
Premarin, Rendell's Cone.
Pharmatex
Ovule)
Some Sexual Lubricants
(e.g., Elboe Grease,
Hot Elbow Grease,
and Shaft)
|
ที่มา : Hatcher RA, et al.
อย่างไรก็ตามมีสิ่งที่ต้องสังวรไว้ก็คือความเชื่อที่เคยเชื่อว่า
ผลิตภัณฑ์หล่อลื่นที่สามารถล้างออกด้วยน้ำได้ ก็สามารถใช้ได้กับถุงยางอนามัยนั้น
ไม่ถูกต้องเสมอไป เพราะมีผลิตภัณฑ์บางชนิดมีส่วนประกอบที่เป็นน้ำมันอยู่ด้วยก็มี
4.ใช้ขนาดของถุงยางอนามัยไม่เหมาะสม ในเมืองไทย มี 2 ขนาด
คือขนาด 49 มิลลิเมตร และขนาด 52 มิลลิเมตร ขนาดที่เหมาะสมกับคนไทยคือ
ขนาด 49 มิลลิเมตร
5. คุณภาพของถุงยางอนามัยไม่ดี ปกติถุงยางอนามัยที่มีจำหน่ายในตลาดเมืองไทย
เขาก็ผลิตดี ได้มาตรฐาน ISO กันทั้งนั้น มีอายุเก็บไว้ได้นานถึง 5 ปี
นับแต่วันที่ผลิตถ้าเก็บไว้อย่างถูกต้องและเหมาะสม แต่ที่คุณภาพมันแย่
ก็มักเกิดขึ้นหลังจากผลิตออกมาแล้วทั้งสิ้น เช่น เก็บไว้แล้วโดนแสงอุลตร้าไวโอเล็ต
จากดวงอาทิตย์(ตั้งโชว์ไว้หน้าร้าน) หรือโดนแสงนีออนนานๆ ความร้อน
ความชื้น โอโซน ความเค็มของอากาศชายทะเล ล้วนเป็นเหตุให้ถุงยางอนามัยเสื่อมคุณภาพ
ก่อนหมดอายุได้ทั้งสิ้น แต่ที่ร้ายที่สุดก็คือพวกที่ชอบพกถุงยางอนามัยไว้ในกระเป๋าตังนี่ซิ
แค่เดือนเดียวก็หมดสภาพแล้วครับ
แล้วที่โรงงานผลิตออกมาห่วยๆ มีไม๊
ก็มีครับ แต่ก็น้อยยยยมากกกกก
เช่น ความหนาของผิวยางไม่สม่ำเสมอ มีฟองอากาศ เป็นรอยพับย่น มีเศษวัสดุแปลกปลอม
รอยตำหนิเหล่านี้อาจเป็นสาเหตุของการแตกของถุงยางอนามัยได้เช่นกัน
วิธีใช้ถุงยางอนามัย
ถุงยางอนามัยเป็นอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้ง
ไม่สามารถนำมาซักแล้วใช้ใหม่ได้ ทั้งนี้ก็ด้วยเหตุทางความปลอดภัย
จะประหยัดนำมา Recycle ใช้ใหม่ไม่ได้นะครับ
รวมทั้งระหว่างมีเพศสัมพันธ์ถ้าได้ถอดกลางคันแล้ว ต้องทิ้งเลยครับ
ดังนั้นจะต้องมีถุงยางมากกว่า1 อันเสมอไว้เป็นอะไหล่ ทีขับรถคุณยังมียางอะไหล่
แล้วใช้ถุงยางอนามัย ทำไมคุณไม่เตรียมอะไหล่ไว้ยามฉุกเฉินเช่น
รั่ว หลุด แตก ล่ะครับ
การใช้ถุงยางอนามัยควรใช้ก่อนที่อวัยวะเพศทั้งสองฝ่ายจะสัมผัสกัน
เพื่อป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และการสวมจะต้องให้อวัยวะเพศชานแข็งตัวเต็มที่แล้ว
จะใส่เองก็ได้ หรือจะให้ฝ่ายหญิงค่อยๆ บรรจงสวมใส่ให้
โดยถือเป็นขั้นตอนหนึ่งของการเล้าโลมทางเพศก็ได้
ขั้นตอนการใช้ถุงยางอนามัยมีดังนี้
1. บรรจงฉีกซองอย่างระมัดระวัง แล้วหยิบออกจากซองอย่างนิ่มนวล
ระวังอย่าให้ถุงยางอนามัยสัมผัสกับเล็บหรือของประดับที่มีคม
2. ถุงยางอนามัยบรรจุในซองในลักษณะม้วนเป็นรูปวงแหวน
ให้รอยม้วนอยู่ด้านนอก คลี่ถุงยางออกมาสัก 1 - 2 เซนติเมตร
3. ใช้นิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้บีบกระเปาะ(ติ่งตรงปลาย)ไล่ลมออก
น้ำมาครอบปลายอวัยวะเพศ (ถ้าหนังหุ้มยาว ต้องรูดขึ้นไปให้พ้นปลายหัว)
4. ใช้อีกมือรูดถุงยางขึ้นไปจนถึงโคน (อีกมือยังคงบีบปลายติ่งอยู่)
5. ถ้าใส่ถูกต้อง ตรงติ่งต้องแบนไม่มีลมอยู่ภายใน (ถ้าเป็นแบบปลายมา
ต้องเหลือปลายถุงยางไว้สัก หนึ่งเซ็นติเมตร)ทั้งนี้เพื่อป้องกันถุงยางอนามัยแตก
6. ถ้าความหล่อลื่นไม่พอ ก็สามารถทาสารหล่อลื่นเพิ่มเติมได้
แต่ต้องหลังจากสวมใส่แล้ว และสารหล่อลื่นที่ใช้ ต้องเป็นสารที่มีส่วนผสมเป็นน้ำ
หรือซิลิโคน เช่น ky - jelly อย่ามักง่าย ใช้วาสลินโดยเด็ดขาด
เพราะวาสลินเป็นเจลที่มี petroleum เป็นส่วนประกอบ
7. หลังจากมังกรพ่นพิษ ห้ามรอดูผลงาน ห้ามแช่ ต้องรีบถอย ถอนสมอโดยเร็ว
ก่อนที่นกเขาจะหลับ ไม่งั้นถุงยางจะหลุดค้างคาในถ้ำ
8. ตอนถอนสมอ มือต้องจับขอบปลายส่วนเปิดไว้ด้วย ไม่งั้นถุงยางอาจถูกหนีบออกแต่ตัว
แต่เสื้อหลุดได้ และเมื่อออกมาแล้ว ต้องระมัดระวังมืออย่าไปโดนด้านนอก
ของถุงยางที่มีสารคัดหลั่งของฝ่ายหญิงอยู่ อาจติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้
(กรณีมีเพศสัมพันธ์กับหญิงอื่นที่มิใช่ภรรยา)
9. เมื่อถอดออกแล้ว จะทดสอบรอยรั่วได้โดยเอาไปรองน้ำจากก๊อกใส่ถุงยางที่ใช้แล้ว
ถ้ารั่วก็จะเห็นได้
ถุงยางอนามัยสตรี (female condom)
|
---|
เอ๊ะถุงยางอนามัยของผู้หญิงมีด้วยเหรอ หลายคนถาม ..มีครับ
เดี๋ยวนี้ผู้หญิงเขาเรียกร้องสิทธิสตรีกัน ผู้ชายมีถุงยางอนามัยได้ ผู้หญิงก็มีได้
เธอไม่ใช้ ชั้นใช้เองก็ได้ ไม่ต้องง้อ โดยเฉพาะหญิงที่สามีชอบไปปล่อยไข่ข้างนอก
แล้วไม่ใช้ถุงยางอนามัย ใครจะไปรู้ว่าพ่อตัวดีจะเอาโรคอะไรมาฝากด้วย
แม่บ้านก็ต้องมีไว้ป้องกันตัวเองบ้าง ก็นับเป็นวิวัฒนาการที่ทันสมัย
และเป็นอุปกรณ์ชนิดแรกที่ให้โอกาสสตรีในการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
โรคเอดส์ รวมทั้งป้องกันการตั้งครรภ์ด้วยตนเอง
ใครหนอช่างคิดค้น ช่างห่วงใยผู้หญิง คิดค้นออกแบบถุงยางอนามัยสตรี
เขาเป็นหมอสูติ ชาวเดนมาร์กครับ ได้จดทะเบียนลิขสิทธิ์ในอเมริกา
ในปี 2531 โดยบริษัท Wisconsin pharmacal ปีต่อมาที่อังกฤษ
บริษัท Chartex International ได้ผลิตออกจำหน่ายในชื่อ Femidom
ถุงยางอามัยสตรี เป็นถุงโปร่งแสง ทรงกระบอก ยาว 15 เซนติเมตร
ปลายมน ทำจากสาร Polyurethane ปลายเปิดของถุงยางมีขอบคล้ายห่วงติดอยู่
เรียก ขอบนอก มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 7 เซนติเมตร
ภายในก้นถุงเป็นปลายตันจะมีห่วงอีกอันหนึ่งวางอยู่ มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 5.5 เซนติเมตร
เรียกว่า ขอบใน ซึ่งสามารถถอดออกได้ ขอบในนี้มีประโยชน์
ในการที่จะสอดใส่ถุงยางเข้าไปในช่องคลอด โดยบีบขอบในแล้วสอดเข้าไปจนสุด
ซึ่งจะเข้าไปครอบอยู่บนปากมดลูก และห่วงนี้จะยึดถุงยางไว้ไม่ให้หลุดออกมา
ในขณะที่ห่วงนอกที่เป็นขอบถุงจะช่วยให้ถุงยางแผ่ปิดตรงบริเวณปากช่องคลอด
ถุงยางอนามัยสตรี ทำจาก polyurethane ซึ่งมีความเหนียวทนทาน
มีความนุ่มนวล บางกว่า ยางที่ทำจาก latex (น้ำยางธรรมชาติ)
และสามารถใช้กับสารหล่อลื่นที่เป็นผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีได้
ขั้นตอนการสวมใส่ถุงยางอนามัยสตรี
การสวมใส่และถอดมีขั้นตอนดังนี้
1. ล้างมือให้สะอาด
2. จัดท่าให้เมาะสมกับการใส่ ปกติจะใช้ท่านอนหงายชันเข่า หรือท่านั่งยองๆ
3. เมื่อแกะออกจากซอง ให้ตรวจดูว่าวงแหวนภายในอยู่ที่ก้นถุง
4. ใช้มือข้างที่ถนัด จับวงแหวนภายในจากภายนอกของถุงยาง
ซึ่งอยู่บริเวณก้นถุงด้วยนิ้วหัวแม่ถือกับนิ้วกลางบีบเข้าหากันเป็นวงรี (หมายเลข 2)
ขณะเดียวกันให้วางนิ้วชี้ทาบไปบนวงแหวน ระหว่างนิ้วหัวแม่มือกับนิ้วกลาง
เพื่อช่วยในการสอดใส่เข้าช่องคลอด โดยปล่อยปลายเปิดซึ่งติดกับวงแหวนภายนอกให้ห้อยลง
5. ใช้นิ้วมืออีกข้างแยกปากช่องคลอดให้เปิดออก จากนั้นสอดวงแหวนภายใน
ที่อยู่ในก้นถุงเข้าสู่ช่องคลอด (หมายเลข 3 )
6. ใช้นิ้วชี้ของมือข้างที่ถนัด สอดผ่านปลายเปิดเข้าไปดันวงแหวนภายใน
จากภายในถุงโดยตรงให้เข้าไปในช่องคลอดให้ลึกที่สุดเท่าที่จะทำได้ (หมายเลข 4)
7. เมื่อสอดใส่วงแหวนภายนอกจะอยู่ภายนอกช่องคลอด
และอาจอยู่ห่างช่องคลอด ประมาณ 1 นิ้ว (หมายเลข 5)เมื่อมีการร่วมเพศ
ช่องคลอดจะยืดขยายตัวทำให้ส่วนของถุงที่ยื่นออกมาหดสั้นลง
จนวงแหวนภายนอกชิดกับปากช่องคลอดได้
8. ขณะสอดอวัยวะเพศชายเข้าช่องคลอด หญิงอาจช่วย
โดยใช้มือจับวงแหวนภายนอกให้ชิดกับปากช่องคลอด
เพื่อป้องการสอดเข้าด้านข้างของถุงยาง
9. หลังการร่วมเพศ ให้เอาถุงยางอนามัยสตรีออกจากช่องคลอด
ก่อนลุกนั่งหรือยืน โดยหมุนวงแหวนภายนอกเพื่อไม่ให้น้ำอสุจิไหลออกจากปลายเปิด
จากนั้นจึงค่อยดึงออกจากช่องคลอดอย่างนุ่มนวล ตรวจดูสภาพว่าไม่ชำรุด
จากนั้นก็ห่อกระดาษแล้วนำไปทิ้งถังขยะให้มิดชิด ห้ามนำไปซักล้างแล้วใช้ใหม่
10. ถ้าจะร่วมอีกรอบ ก็ต้องใช้อันใหม่
เป็นไงครับถุงยางอนามัยสตรี อ่านแล้วก็ค่อนข้างยุ่งยาก
ด้วยเหตุนี้คนไทยจึงไม่ค่อยนิยมใช้ ก็เลยหาซื้อยาก เพราะไม่ค่อยมีขาย
|