มาที่นี่ที่เดียว ได้อ่านบทความทางด้านการแพทย์ ภาษาไทย จากเกือบทุกโฮมเพจที่มีใน INTERNET
http://www.oocities.org/Tokyo/Harbor/2093/
จำสั้นๆ i.am/thaidoc



บริจาคอวัยวะ  เป็นบุญอันยิ่งใหญ่


ความก้าวหน้าของวิทยาศาสตร์ ช่วยให้คนที่อวัยวะภายในบางอย่างเสื่อมสมรรถภาพไปแล้ว สามารถมีชีวิตยืนยาวต่อไปได้ โดยมีคุณภาพชีวิตที่ดีใกล้เคียงกับคนทั่วไป ด้วยวิธีการปลูกถ่ายอวัยวะ

ปัญหาสำคัญคือ จำนวนผู้ป่วยที่ต้องรับการปลูกถ่ายอวัยวะมีอยู่มาก แต่จำนวนผู้ที่บริจาคอวัยวะมีน้อย และยังต้องให้ตายเสียก่อนจึงจะเอาอวัยวะของผู้บริจาค มาปลูกถ่ายให้ผู้ป่วยได้ ยกเว้นเพียงอวัยวะเดียว คือ ไต ซึ่งมีอยู่ 2 ข้าง จึงอาจผ่าตัดมาให้กันได้ขณะมีชีวิตอยู่ โดยผู้บริจาคต้องเป็นญาติร่วมสายโลหิต หรือคู่สมรสที่แต่งงานกันมาอย่างน้อย 3 ปี

ประชากรของไทยมีกว่า 61 ล้านคน แต่มีผู้แสดงความจำนงบริจาคอวัยวะเพียงแสนกว่าคน ซึ่งโอกาสที่จะได้อวัยวะจากผู้บริจาคเหล่านี้มีน้อยมาก เพราะส่วนใหญ่มักมีอายุยืน กว่าจะตายก็อาจมีอวัยวะที่ชราภาพมากแล้ว ใช้งานได้ไม่ค่อยดี ต้องเป็นผู้ที่ตายจากอุบัติเหตุในวัยหนุ่มสาว จึงมีอวัยวะที่ค่อนข้างเหมาะสมแด่การปลูกถ่ายให้ผู้อื่น

ในโรงพยาบาลของรัฐหลายแห่ง มีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุปีละหลายร้อยคน แต่ไม่สามารถนำอวัยวะของเขามาใช้ได้ เพราะเขาไม่ได้พกบัตรประจำตัว ผู้มีความจำนงบริจาคอวัยวะ ซึ่งอาจเป็นเหตุจากที่เขาไม่เคยบริจาค หรือมีบัตรบริจาคแต่ถูกผู้ร้ายลอกคราบไประหว่างที่เกิดอุบัติเหตุ เป็นพฤติกรรมเลวกำลังสอง

ประเทศสิงคโปร์ เป็นประเทศเดียวที่มีข่าวมาเมื่อไม่นานนี้ ว่ามีกฎหมายอนุญาตให้แพทย์นำอวัยวะของผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุไปปลูกถ่ายให้ผู้ป่วยได้ โดยไม่ต้องมีหนังสือยินยอมล่วงหน้า นับว่าเป็นความกล้าหาญของผู้บริหารประเทศ เขาที่กล้าตัดสินใจ รักษาผลประโยชน์ของส่วนรวม จากทรัพยากรที่มีอยู่จำกัด โดยไม่ต้องหวั่นเกรงว่า จะมีใครมากล่าวหาว่าละเมิดสิทธิมนุษยชน

เรื่องนี้หากพิจารณาให้ดี จะเห็นได้ว่าเป็นการบริหารทรัพยากร อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากอวัยวะของคนเราเมื่อตายแล้ว ก็มีแต่จะเน่าเปื่อยสลายไปโดยเปล่าประโยชน์ สู้เอามาให้คนที่เขาสามารถใช้ประโยชน์จากอวัยวะนั้นจะมิดีกว่าหรือ อย่างนี้จึงจะเรียกว่าตายอย่างมีคุณค่า

สาเหตุที่คนไทยยังบริจาคอวัยวะน้อย เป็นเพราะปัจจัยหลายอย่าง ปัจจัยแรกเป็นเรื่องของการประชาสัมพันธ์

เรื่องแบบนี้คนมักให้ความสนใจน้อย และไม่ขวนขวายที่จะไปบริจาค จึงจำเป็นต้องมีการประชาสัมพันธ์เชิงรุกเพื่อให้คนสนใจบริจาคกันมากขึ้น และต้องให้ความสะดวกแก่เขา อาจต้องไปบริการถึงที่ หรือให้ส่งทางไปรษณีย์ ผมเองก็ไปพบเข้าโดยบังเอิญในศูนย์การค้าแห่งหนึ่ง จึงนำใบแสดงความจำนงมากรอก และส่งไปรษณีย์ไป

กลุ่มเป้าหมายน่าจะเป็นหนุ่มสาวหรือวัยรุ่น ซึ่งมีความเสี่ยงจากอุบัติเหตุมากพอควร อาจนำไปพ่วงกับนักเรียนอาชีวะที่ไปรับการฝึกทหารก็ได้ เป็นการส่งเสริมให้เขาทำความดี และมีความเสียสละเพื่อสังคม

เรื่องของความเชื่อที่ไม่ถูกต้อง ก็เป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้บางคนไม่กล้าบริจาคอวัยวะ เช่นกลัวว่าบริจาคไปแล้ว ชาติหน้าจะมีอวัยวะไม่ครบ เรื่องนี้ท่านผู้รู้ทางพุทธศาสนาหลายคน ยืนยันแล้วว่าไม่เป็นความจริง ขอให้เลิกกลัวได้แล้ว เมื่อพูดถึงการบริจาคอวัยวะ หลายคนมักมีความรู้สึกนึกคิดโยงไปถึงเรื่องความตายและพาให้รู้สึกหวาดเสียว

คนส่วนใหญ่รู้สึกว่าความตายเป็นเรื่องไกลตัว ทั้งนี้เพราะจิตใจของเขา พยายามกลบเกลื่อนความกลัวตาย โดยใช้กลไกทางจิตลบออกไปจากจิตสำนึก เมื่อคิดถึงการบริจาคอวัยวะจึงเกิดสำนึกระลึกถึงความตายขึ้นมา ความกลัวจึงเกิดขึ้นมาเด่นชัด

การบริจาคอวัยวะจึงเป็นเรื่องที่ดี เพราะช่วยเตือนสติให้คนเห็นสัจธรรมของชีวิต ว่าไม่มีใครหลีกหนีความตายได้พ้นและจะมาถึงเร็วหรือช้า ก็ไม่อาจรู้ได้ จึงควรดำรงชีวิตด้วยความไม่ประมาท และเตรียมตัวไว้บ้าง

คนเราเมื่อตายลงศพก็กลายเป็นภาระต้องจัดการ จะเอาไปทำมัมมี่ทุกคนก็คงเป็นไปไม่ได้ เพราะต้นทุนสูงและไม่มีที่เก็บด้วย การเอาศพไปเผา ก็เป็นการก่อมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม ทั้งเขม่า, ควัน, ความร้อน และก๊าซที่เกิดขึ้น ล้วนเป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อมทั้งสิ้น การเอาศพไปฝัง จะสลายไปตามธรรมชาติได้ ก็ต้องไม่ใส่โลงเพื่อให้จุลินทรีย์ย่อยสาย ให้เป็นดินเป็นปุ๋ยที่มีประโยชน์ต่อพืชถ้าใช้โลงก็ต้องตัดไม้ เป็นการทำลายสิ่งแวดล้อมอีก

ชนบางเผ่าที่เอาศพไปทิ้งให้แร้งกิน เป็นวิธีการที่กลมกลืนกับธรรมชาติมก ตามหลักการของห่วงโซ่อาหาร (food chain) ซึ่งเป็นแบบเดียวกับการรีไซเคิล (recycle) นั่นเอง

การบริจาคอวัยวะเป็นแบบอย่างของการนำกลับมาใช้ (reuse) เมื่อไม่มีประโยชน์สำหรับคนหนึ่งแล้วก็นำกลับมาให้อีกคนหนึ่ง ที่สามารถใช้ประโยชน์จากอวัยวะนั้นได้ หากคิดในเชิงบวก เราอาจมองได้ว่า การที่อวัยวะของเราได้รับการนำไปปลูกถ่ายให้คนอื่นเมื่อเราตายไปแล้วก็เท่ากับว่า เรายังไม่ได้ตายไปหมดทั้งคน แต่ยังมีบางส่วนของเราอยู่รอดต่อไป โดยไปฝากเลี้ยงไว้ในร่างของอีกคนหนึ่ง อย่างนี้ก็เท่ากับต่ออายุอวัยวะของเราเอง

คนไทยส่วนใหญ่ชอบทำบุญ แต่บางคนทำบุญแล้ว ยังไม่เห็นมีความสุข ทั้งนี้ อาจเป็นเพราะทำบุญมากเกินตัว หรือต้องผ่อนส่งค่าทำบุญ และที่แย่ที่สุดคือทำบุญโดยหวังผลตอบแทน เหมือนกับลงทุนในตลาดหุ้น จึงเกิดอาการหน้าเหี่ยวหน้าแห้ง จิตใจไม่เป็นสุข

การทำบุญที่ถูกวิธีต้องทำโดยไม่คาดหวังผลตอบแทน เพราะการให้โดยไม่ต้องการรับนั้น เป็นการละกิเลสทำให้เกิดความสุขอย่างแท้จริง การบริจาคอวัยวะเป็นการทำบุญที่มีประโยชน์ต่อโลกเป็นอย่างยิ่ง เป็นการช่วยชีวิตคนอื่น ให้อยู่รอดต่อไป โดยผู้ให้ไม่ต้องลงทุนอะไรเลย คนตายแล้วทิ้งไว้ก็เน่าเปื่อยไปโดยเปล่าประโยชน์ สู้บริจาคให้เขานำไปใช้จะดีกว่า

อวัยวะเป็นสิ่งที่มีค่า แต่ไม่ควรมีราคาคือไม่ควรมีการซื้อขายกัน ลำพังเรื่องการขายตัว (ความจริงคือ การเช่าอวัยวะบางส่วน) ก็สร้างความเสื่อมเสียต่อประเทศเรามาพอแล้ว อย่าให้เสียหายเพราะการขายอวัยวะอีกเลยครับ

ส่วนพวกที่คิดจะผ่าตัดแปลงเพศก็น่าจะบริจาคอวัยวะส่วนที่ไม่ต้องการใช้นั้น ให้คนอื่นที่ต้องการ เพื่อเป็นการทำบุญอาจมีปัญหาอยู่บ้างในเรื่องการปลูกถ่ายอวัยวะส่วนนี้ ซึ่งยังได้ผลไม่ดี ส่วนใหญ่จะเน่า เพราะร่างกายผู้รับปฏิเสธ จึงควรปรึกษาศัลยแพทย์เสียก่อน ถ้าใช้ไม่ได้จะบริจาคให้เป็ดกินก็ได้ มนุษย์ชอบกินอวัยวะสัตว์มานานแล้ว ลองให้สัตว์ได้กินของคนบ้าง นึกว่าเป็นการโปรดสัตว์ก็แล้วกัน

นพ.เกษม ตันติผลาชีวะ



[ที่มา..หนังสือ นิตยสารใกล้หมอปีที่ 23 ฉบับที่ 9 กันยายน 2542]

[ BACK TO LIST]
main พบแพทย์ คอมพิวเตอร์ เรื่องบ้าน เรื่องรถ เรื่องกฏหมาย เรื่องของผู้บริโภค เรื่องเบาๆ คลายเครียด

มีปัญหาสุขภาพ ที่นี่มีคำตอบ ห้องสมุดE-LIB[ hey.to/yimyam ][ i.am/thaidoc ]

Best view with [IE3.02][NETSCAPE 4.05][OPERA 3.21] resolution 800x600