นพ.นริศ เจนวิริยะ
ทุกวันนี้ถ้าใครไม่รู้จัก มือถือ ต้องถือว่าเขาเชยแหลก
หลายคนที่ไม่เชยก็อาจจะยังไม่รู้ว่ามือถือ นั้นที่จริงในวงการในอุตสาหกรรมมือถือแล้ว
เขาเรียกมันว่าโทรศัพท์ที่เคลื่อนที่หรือ ที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า mobile phone
การที่เขาเรียกว่าโทรศัพท์เคลื่อนที่นี้ไม่ใช่ เพราะมันไม่มีสายอย่างเดียว
แต่หมายความว่ามันสามารถเคลื่อนที่ไปได้ไกล การที่เป็นอย่างนั้น
เพราะเขามีสถาบันรับส่งคลื่นสัญญาณ โทรศัพท์ติดตั้งอยู่มากมายเป็นเครือข่ายเข้าลักษณะรังผึ้ง
ที่คอยรับส่งสัญญาณถ่ายทอดกันไปในขณะที่โทรศัพท์เคลื่อนที่ไปเรื่อยๆ
การที่สถานีรับส่งมีลักษณะเป็นรังผึ้ง (มีลักษณะคล้าย CELL) ทำให้มีคำเรียก
เป็นภาษาอังกฤษอีกคำหนึ่งว่า Cellular phone และคำนี้เป็นคำที่ฝรั่งเขาใช้ย่อว่า
Cellphone ซึ่งเป็นคำที่ติดปากมากที่สุดพอๆ กับคำว่า มือถือในเมืองไทย
แม้คำว่ามือถือจะเป็นคำที่มีความหมายไม่เข้าท่าแต่เนื่องจากคนใช้ภาษา
เขาชอบเขาสื่อสารกันเข้าใจมิไยที่ครูภาษาไทยจะว่าอย่างไรก็คงจะไม่มีทางไปเปลี่ยนแปลงคำนี้
ไปจากภาษาไทยไปได้แล้ว และถ้าหากราชบัณฑิตไทยว่ากันแฟร์ๆ
ไม่มีอคติมีใจกว้างตามแบบของนักเขียนพจนานุกรมฝรั่งอีก 10 ปีคำว่า "มือถือ" นี้
ก็คงจะเข้าไปอยู่ในพจนานุกรมภาษาไทยแน่นอน
โทรศัพท์มือถือเป็นสิ่งที่ได้มีการพัฒนามามากมาย ในช่วง 10 กว่าปีมานี้
ตอนแรกก็เป็นโทรศัพท์ที่ต้องหิ้วแบตเตอรี่หนักอึ้งพ่วงไปด้วย
ใครที่นิยมใช้ก็ต้องหิ้วมันจนแขนโต สมัยนั้นเคยเห็นนักรักโทรศัพท์หิ้วมัน
พร้อมแบตเตอรี่ขึ้นการบินไทยบินจากขอนแก่น เนื่องจากผมมีโอกาสวาสนาดี
ได้นั่งใกล้ๆ มือถือรุ่นแรกๆ ผมจึงพยายามแอบเงี่ยหูฟังดูซิว่า
จะมีเรื่องสำมะคัญอะไรในการใช้มือถืออย่างนั้นบ้าง รอฟังอยู่ตั้งนานจนเครื่องบินจะลงแล้ว
จึงได้ยินหมุนไปถึงที่บ้านว่า "ตอนนี้อยู่บนเครื่องเดี๋ยวจะลงดอนเมืองแล้ว แล้วเจอกันนะ"
ฟังแล้วรู้สึกว่าแหมคนๆ คนนั้นต้องรักมือถือจริงๆ มิฉะนั้นคงไม่หิวจนไหล่ลู่ไปไหนมาไหน
เพื่อจะพูดจาไม่กี่คำแค่นั้นเป็นแน่ นอกจากนี้ยังเคยเห็นหัวหน้าสหภาพแรงงาน
เดินหิ้วมือถืออย่างว่านั้น ในขณะประท้วงรัฐบาล ในสมัยนั้น มือถือจริงมีความสำคัญ
ระดับชาติตั้งแต่ไหนๆ มาแล้ว
ต่อมามือถือก็แปรสภาพจากแบตเตอรี่หลายกิโลเป็นแท่งอิฐ
ซึ่งสามารถใช้ถือไปถือมาเป็นอาวุธประจำกายคล้าย ป.ล.ย.บ.88 (ย่อมาจาก
ปืนเล็กยาวแบบ พ.ศ.2488) ที่ผมเคยใช้เรียน รด. หนีการเกณฑ์ทหาร
สมัยเป็นนักเรียนมหาลัย ที่ว่าคล้ายกันเพราะมันใช้เป็นกระบองทุบหัวฝ่ายตรงข้ามได้
ต่อมามือถือก็ได้รับการพัฒนาให้เล็กลงๆ จนสามารถตกลงในช่องระบายน้ำเน่าของกทม.ได้
ราคาของมือถือตอนแรกๆ ก็แพงมากเมื่อเจ็ดแปดปีก่อน เครื่องที่เล็กและเบาที่สุด
แถมพับได้ด้วยคือ โมโตโรล่า ไมโครแทค 2 ซึ่งตอนเข้ามาใหม่ๆ ราคาเรือนแสน
ซึ่งผมยังจำราคาได้ดีเพราะเคยหลงไปติดเบ็ดเป็นลูกค้าแล้วก็ยังคงติดเบ็ดใช้มา
จนถึงปัจจุบันนี้ (และจนกระทั่งพังกันไปข้างหนึ่ง) ปัจจุบันนี้ราคามือถือลดลง
และขนาดก็เล็กลงเรื่อยๆ ที่จริงแล้วราคามือถือไม่ควรแพงอย่างนั้น
แต่รัฐบาลไทยยอมให้บริษัทมือถือโก่งราคา ถอนทุนคืนจนกลายเป็นกำไรล้นเหลือ
ที่สหรัฐเขามีบริษัทมือถือแข่งขันกันมากจนแจกมือถือให้ผู้ใช้ฟรีๆ เพื่อหวังเอากำไร
จากค่าใช้มือถือเท่านั้น ซึ่งก็มากพอที่จะอยู่ได้แล้ว บริษัทมือถือไทย
โกยเงินกำไรมหาศาลมานานแล้วจนรวยไม่รู้เรื่อง บางเจ้ารวยจนทนไม่ไหว
ต้องทำบุญกันแบบสุดฤทธิ์สุดเดชเพื่อหวังอายตนนิพพาน บางเจ้าก็เข้าเล่นการเมือง
เอาเงินต่ออำนาจและต่อเงินต่อไป มือถือจึงมีความดีหลายสถาน
ปัจจุบันนี้ตลาดมือถือเมืองไทยเริ่มตื่น เริ่มจะเหมือนต่างประเทศที่เขาเจริญกันบ้างแล้ว
มีบริษัทมือถือมากขึ้น เช่น บริษัทแท็ค บริษัทแอดวานซ์อินโฟเซอร์วิส บริษัทดิจิตอลโฟน
และบริษัทตะวันโมไบล์เทเลคอม ทำให้มีแรงของตลาดเข้ามาบังคับราคา ลดราคาค่าเช่าใช้เวลามากมาย
และทุกวันนี้ธุรกิจมือถือสวนทางกับภาวะเศรษฐกิจไอเอ็มเอฟอย่างไม่น่าเชื่อ
สมาชิกมือถือมีจำนวนมากขึ้นแทนที่จะลดลง จากการสำรวจตลาดพบว่า
ในคน 900 คน อายุระหว่าง 15 ถึง 45 ปีมีถึง 12% ที่คิดว่ากำลังจะซื้อมือถือใหม่ภายในไม่กี่เดือนนี้
ตัวเลขอย่างนี้ถ้าไม่ให้วิเคราะห์ว่าคนไทยชอบพูดหรือพูดมากก็ไม่รู้จะว่าอย่างไร
การใช้มือถือนับวันยิ่งมากขึ้น ทำให้มีอุบัติการณ์ทางร้ายๆ ที่เนื่องกับการใช้มือถือเกิดขึ้นได้มาก
ผมเคยเห็นรถยนต์ชนสันกำแพงกั้นทางลงทางด่วนแบบผ่าหมาก เนื่องจากคนขับมัวแต่โทรมือถือ
อีกรายชนบานประตูรถที่เปิดอ้าหลุดกระเด็นบนไหล่ทางขณะคนขับรถตู้ลงไปเช็ครถ
แต่การบอกเล่าอย่างนี้ไม่มีใครเชื่อ บริษัทมือถือก็ออกมาเถียงตามฟอร์มว่าไม่มีหลักฐาน
แต่ตอนหลังมีการศึกษาทางวิทยาศาสตร์จากแคนาดาพบว่า มันทำให้เกิดอุบัติเหตุ
เพิ่มขึ้นถึง 4 เท่า ตัวเมื่อเปรียบเทียบกับคนที่เขาห้ามใช้มือถือพูดคุย (ใช้ทำอย่างอื่นคงไม่ห้าม)
ในขณะขับรถยนต์ในหลายประเทศเขามีกฎหมายห้าม เช่น บราซิล อิสราเอล
ออสเตรเลีย และสวิตเซอร์แลนด์ เป็นต้น
หลายรายอ้างว่าคลื่นมือถือทำให้เกิดมะเร็งในสมองถึงกับฟ้องร้องขึ้นโรงขึ้นศาล
เพื่อเรียกร้องค่าเสียหาย แค่ศาลยกฟ้อง เมื่อไม่นานมานี้ที่ประเทศหนึ่ง
มีการฟ้องร้องบริษัทมือถือเรียกค่าเสียหายที่ทำให้เขาหลงลืม
สมองเสื่อมเพราะการใช้มือถือมาก เรื่องของเรื่องมีอยู่ว่านายคนนั้น
เข้าไปชอปปิ้งแล้วใช้โทรศัทพ์มือถือด้วย เมื่อซื้อเสร็จก็ได้ลืมเอาของกลับ
พอมาถึงบ้านแล้วจึงนึกได้ว่า ลืมของที่ซื้อไว้ พอกลับไปเอาของๆ ก็หายหมดแล้ว
ทำให้เขาเสียหายมากทั้งนี้และทั้งนั้นก็เนื่องจากการใช้มือถือจนสมองเสื่อม
(เขาบรรยายฟ้องว่าอย่างนั้น) คณะลูกขุนจะฟังแล้วเชื่อหรือไม่ก็ไม่รู้
การอ้างว่าคลื่นมือถือทำลายสุขภาพนี้มีทำกันมากแต่ยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์เจ่งๆ
ออกมาแน่ชัด ในขณะนี้เมืองไทยก็มีการอ้างแบบนี้ โดยบริษัทมือถือบริษัทหนึ่งอ้างว่า
การใช้มือถือที่มีกำลังสูง 2 วัตต์ ทำให้มีผลเสียต่อสมอง อีกบริษัทหนึ่งที่ขายเครื่องความแรง 2 วัตต์
ก็เดือดร้อนถึงขนาดมีการฟ้องร้องกันขึ้นแล้วขณะนี้เรื่องยังไม่จบ
และล่าสุดที่บันดาลใจให้ผมเขียนเรื่องมือถือนี้ก็คือเรื่องมือถือทำให้เกิดการระเบิดขึ้น
ที่ปั๊มน้ำมัน เรื่องนี้เกิดขึ้นที่อินโดนีเซียในขณะที่แขกอินโดคนหนึ่งกำลังเติมน้ำมันรถ
พลางปากก็พูดใส่มือถือพลาง ตาก็ก้มลงมองดูว่าน้ำมันเต็มถังหรือยังพลางก็เกิดระเบิดขึ้น
สนั่นหวั่นไหวทำให้ไฟไหม้ บาดเจ็บ รถพัง (และต้องหยุดพูดด้วย)
ที่เป็นอย่างนั้นเขารายงานว่าเกิดเพราะประกายไฟฟ้าจากมือถือ
ทำให้ไอน้ำมันจากถังรถสันดาประเบิดขึ้น หนังสือพิมพ์ไซน่าโพสต์ในฮ่องกงลงข่าวว่า
ขณะนี้บริษัทน้ำมันไซนีสปิโตรเลียมคอร์ปอเรชั่นได้สั่งห้ามลูกค้าเติมน้ำมันใช้มือถือในปั๊ม
ทั้งนี้ไม่ใช่บริษัทในฮ่องกงที่เกิดจากอาการบ้าจี้ กระตู้ฮู้ไปบริษัทเดียว
บริษัทน้ำมันในอังกฤษ ออสเตรเลีย ก็เอาด้วยและถึงตอนนี้บริษัทคาลเท็กซ์ไทย
กำลังจะออกคำสั่งห้ามลูกค้าใช้มือถือในปั๊มแล้ว
ตอนนี้ผู้เชี่ยวชาญเรื่องมือถือก็กำลังเถียงกันคอเป็นเอ็นว่า
มือถือไม่น่าจะทำให้เกิดการระเบิดอย่างนั้น กว่าเรื่องนี้จะมีการลงเอยอย่างใดอย่างหนึ่ง
ท่านผู้อ่านที่ไปเติมน้ำมันก็ควรจะงดใช้มือถือกันไว้ก่อน รอให้ใครทำรีเสิร์ตเรื่องนี้
จนได้เป็นศาสตราจารย์แล้วค่อยมาว่ากันใหม่ ในขณะที่รอนี้มือถือก็ค่อยๆ
กลายเป็นส่วนหนึ่งของสังคมไทยแน่นแฟ้นมากขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นปัจจัยที่ 5
ที่คนไทยต้องถือไปถือมาเหมือนที่รองนายกรัฐมนตรีจากพรรคกิจสังคมทำอยู่เป็นประจำนั่นแหละครับ
|