เมื่อวันก่อนผมได้รับทราบเรื่องราวของรายการวิทยุรายการหนึ่ง
ซึ่งมีเจตนารมณ์ที่จะส่งเสริมให้คนทำความดีด้วยการช่วยเหลือกันในสังคม
วันหนึ่งมีสมาชิกโทศัพท์ไปแจ้งว่า พบหญิงสาวคนหนึ่งอยู่ใต้สะพานลอยคนข้าม
เป็นเวลา 3 วัน 3 คืนแล้ว หญิงคนนี้ไม่ยอมนอนเอาแต่เดินไปเดินมา
สมาชิกผู้นั้นพยายามชักจูงเธอให้กลับบ้าน ก็ไม่ยอมกลับ ผู้ดำเนินรายการจึงบอกว่า
จะประสานงานกับรัฐมนตรีหญิงท่านหนึ่งให้ช่วยจัดการ
เรื่องนี้หากมองในแง่ของเจตนาที่จะช่วยเหลือผู้อื่น ก็น่าจะเป็นสิ่งที่ดี
แต่หากพิจารณารายละเอียดของกระบวนการในการแก้ปัญหาแล้วก็มีจุดที่น่าสนใจอยู่หลายประเด็น
ประเด็นแรก คือ เป็นการเหมาะสมหรือไม่ที่สมาชิกผู้เป็นชาย
จะพยายามนำหญิงผู้นั้นไปส่งบ้านโดยลำพัง ถึงแม้จะมีเจตนาดี
แต่พฤติกรรมแบบเดียวกันก็อาจเกิดขึ้นได้โดยคนที่มีเจตนาไม่ดี
หรือประสงค์ร้าย
ประเด็นที่สอง คือ เป็นการเหมาะสมหรือไม่ที่จะไปนำรัฐมนตรี
เข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ รัฐมนตรีของเราไม่มีงานอื่นที่สำคัญกว่านี้
จะทำแล้วหรือจึงต้องมาจัดการเรื่องเล็กน้อยซึ่งควรแก้ไขได้โดยเจ้าหน้าที่ระดับอื่น
ซึ่งหน้าที่เกี่ยวข้องโดยตรง หรือว่ารัฐมนตรีของเราชอบทำงานประเภทนี้เป็นงานหลัก
เพื่อจะได้มีข่าวและเป็นการสร้างผลงานที่ภาคภูมิใจ
ประเด็นที่สาม คือ ใครเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่โดยตรงในการจัดการเรื่องนี้
เป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือเจ้าหน้าที่กรมประชาสงเคราะห์หรือใครกันแน่
มีหลายเรื่องที่เป็นอำนาจหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจโดยตรง
แต่เนื่องจากมีงานมาก จึงมอบหมายให้เจ้าหน้าที่มูลนิธิบางแห่งจัดการแทน
นานเข้าก็เลยทำให้เจ้าหน้าที่มูลนิธิเกิดความรู้สึกเหมือนเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ
ผู้มีอำนาจหน้าที่โดยตรงไปเลย และบางครั้งอาจกระทำการบางอย่างเกินขอบเขตไปได้
เรื่องทำนองนี้พบบ่อยในบ้านเรา ซึ่งเป็นลักษณะของการแก้ปัญหา
โดยสร้างปัญหาใหม่ให้ตามแก้ไปในอนาคต
ในกรณีของหญิงสาวในเรื่องนี้ หากวิเคราะห์ตามข้อมูลของพฤติกรรมแล้ว
ก็มีแนวโน้มว่าจะมีความผิดปกติทางจิตบางอย่าง ซึ่งอาจถึงเป็นโรคจิตก็ได้
เพราะคงไม่มีคนปกติคนใดไปอยู่ริมถนน เป็นเวลาหลายวันโดยไม่ยอมนอน
การพิจารณาเพียงว่า เขาพูดคุยรู้เรื่องหรือความจำยังดี แล้วก็เป็นคนปกติ
เป็นเรื่องไม่ถูกต้อง เพราะคนเป็นโรคจิตไม่ใช่สมองเสื่อมหรือปัญญาอ่อน
จึงต้องพูดไม่รู้เรื่องหรือจำอะไรไม่ได้ เรื่องนี้เป็นความเข้าใจผิดของคนจำนวนมาก
ผู้ที่พบเห็นพฤติกรรมแบบหญิงผู้นี้ จึงควรแจ้งเจ้าหน้าที่บ้านเมือง
เพื่อนำส่งสถานรักษาพยาบาลทางจิตเวชจะเป็นการเหมาะสมกว่า
การกระทำการใดๆ โดยพลการ และไม่มีอำนาจหน้าที่ อาจก่อให้เกิดความสับสน
วุ่นวาย ดังตัวอย่างที่เคยเกิดมาแล้ว เช่น ได้รับแจ้งว่ามีมีคนฉุดหญิงสาวไปข่มขืน
ที่โรงแรมแห่งหนึ่ง โดยไม่ทราบแหล่งข่าวชัดเจน ก็ยกกำลังไปขอตรวจค้นตามห้องต่างๆ
ในโรงแรมนั้น ซึ่งเรื่องนี้ควรเป็นหน้าที่ความรับผิดชอบของเจ้าหน้าที่ตำรวจมากกว่า
คนที่ไม่มีอำนาจหน้าที่ ไม่มีสิทธิ์ไปขอตรวจค้นตามที่ต่างๆ ถ้าหากประสบเหตุฉุดคร่ากันซึ่งหน้า
แล้วทำการช่วยเหลือในฐานะพลเมืองดี จึงเป็นเรื่องน่าสรรเสริญ
กรณีของการช่วยเหลือผู้พยายามฆ่าตัวตายโดยขาดความรู้ เช่น
เห็นหญิงสาวมีอาการมึนเมา ขึ้นไปเดินอยู่บนดาดฟ้า และปีนขึ้นไปบนขอบตึก
ผู้ช่วยเหลือต้องเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่และมีความรู้ความเข้าใจในสถานการณ์
จึงจะปฏิบัติหน้าที่ได้ อย่างน้อยก็ต้องรู้ว่าบุคคลนั้นมีเจตนาจะฆ่าตัวตายจริงหรือเปล่า
กระทำไปเพราะความมึนเมา หรือเรียกร้องความสนใจ หรือต้องการอะไรกันแน่
ต้องประเมินความเสี่ยงว่ามีโอกาสฆ่าตัวตายมากน้อยเพียงใด
การตัดสินใจจู่โจมโดยขาดความรู้และประสบการณ์ อาจกลายเป็นการทำให้เขาตกใจ
และต่อสู้เพื่อป้องกันตัวเอง พลาดพลั้งอาจถึงแก่ชีวิตและกลายเป็นโศกนาฏกรรมไปได้
กรณีตำรวจพยายามเข้าไปแย่งปืนที่มีผู้ก่อเหตุหยิบฉวยไปจากลิ้นชักของตำรวจผู้นั้นบนโรงพัก
จนเป็นเหตุให้ตำรวจถูกยิงตาย ก็เป็นตัวอย่างของความตั้งใจดีในการปฏิบัติหน้าที่
แต่มีความผิดพลาดในการตัดสินใจ
พฤติกรรมของชายที่มีประวัติยาเสพย์ติดเป็นประจำ และเล่าให้ใครต่อใครฟังว่า
กำลังถูกตำรวจที่ค้ายาเสพย์ติดตามล่า อาจเป็นเรื่องจริงหรือเป็นอาการหลงผิด
ในผู้ป่วยที่เป็นโรคจิตจากสารเสพย์ติดก็เป็นได้ ถ้าเป็นเรื่องจริงแล้วบุกไปขโมยปืนตำรวจ
จากโรงพักอย่างนั้น ก็คงเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดไม่เหมาะสม แต่หากเป็นอาการหลงผิด
ก็ไม่น่าจะต้องไปแย่งปืนจากเขาในสถานการณ์เช่นนั้น เมื่อเกิดเรื่องขึ้นก็นำความเศร้าโศกเสียใจมาให้ทุกคน
และควรใช้เป็นบทเรียนในการตัดสินใจปฏิบัติการในกรณีคล้ายคลึงกับเรื่องนี้
ปัญหาบางอย่างในบ้านเมืองเราขณะนี้ ยังคาราคาซังอยู่
มิใช่เพราะผู้มีอำนาจหน้าที่ขาดความรู้ความสามารถในการแก้ปัญหา
แต่เป็นเพราะไม่ยอมทำตามบทบาทหน้าที่ที่ควรปฏิบัติ
กรณีมีผู้ตั้งลัทธิใหม่ เผยแพร่ไวรัสเข้าสู่พุทธศาสนา และยังหลอกลวงคนให้หลงเชื่อ
ถูกดูดทรัพย์จนหมดตัว บางรายต้องกู้หนี้ยืมสินมาผ่อนส่งค่าขึ้นสวรรค์
เพราะผู้ดำเนินการแก้ปัญหา แสดงเจตนาชัดเจนว่าต้องการโอบอุ้มฝ่ายที่มีความผูกพันกัน
เช่นเดียวกับที่เคยโอบอุ้มอลัชชีสีเขียวมาแล้ว
การที่จะหวังให้คนเกิดความรู้ ความเข้าใจในพระพุทธศาสนา
และใช้ปัญญาในการแก้ปัญหาให้เกิดการดับทุกข์ หลุดพ้นจากกิเลสคงเป็นเรื่องยากมาก
และคนที่มีความสามารถทางปัญญาระดับนี้ยังมีน้อย คนส่วนใหญ่ยังนับถือพุทธ
แต่บูชาผี ซึ่งเป็นเรื่องที่ฝังอยู่ในระดับจิตไร้สำนึกมานานแล้ว
การเปลี่ยนแปลงความเชื่อแบบนี้ต้องใช้เวลานาน ต้องวางแผนอย่างเป็นระบบ
หลังผลในระยะยาวมากว่าระยะสั้น
การแก้ปัญหาทุกอย่าง ต้องวิเคราะห์ประเด็นปัญหา ค้นหาสาเหตุ
และคิดหาวิธีแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ และมีขั้นตอน
ปัญหาทั้งปวงต้องแก้ด้วยปัญญา มิใช่แก้ด้วยสิ่งก่อสร้างใหญ่โต
และไม่ต้องใช้ความสวยงามของร่างกายมาช่วยแต่อย่างใด
นพ.เกษม ตันติผลาชีวะ
|