มาที่นี่ที่เดียว ได้อ่านบทความทางด้านการแพทย์ ภาษาไทย จากเกือบทุกโฮมเพจที่มีใน INTERNET
http://www.oocities.org/Tokyo/Harbor/2093/
จำสั้นๆ i.am/thaidoc



อยากให้คุณได้รู้…
 บันทึกประสบการณ์ของผู้หญิงที่ตั้งท้องเมื่อไม่พร้อม
โครงการรณรงค์เพื่อสิทธิอนามัยเจริญพันธุ์


ชีวิตมักเล่นกับเราเสมอ


คุณคงเห็นด้วยกับคำพูดที่ว่า
ไม่มีผู้หญิงคนใดในโลก ตั้งใจจะมีท้อง ทั้งที่ยังไม่พร้อม
ไม่มีผู้หญิงคนใดในโลก ตั้งใจท้อง เพื่อที่จะไปทำแท้ง


ในโลกของความจริง การตั้งท้องเมื่อไม่พร้อม เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ตลอดเวลาเกิดขึ้นอยู่ทุกวันเกิด ขึ้นได้ทุกชั่วโมงเกิดขึ้นทุกนาที แม้ว่า ณ วันนี้เราจะ มีวิธีการคุมกำเนิดที่ทันสมัยหลายวิธีแต่นี่คือความจริง ที่เป็นอยู่

ในปีหนึ่งๆ ผู้หญิงที่ตั้งท้องทั่วโลก มีจำนวนกว่า 200ล้านคนกว่าหนึ่งในสี่ เป็นการท้องเมื่อไม่พร้อมและ/หรือ ยุติการท้องนั้นด้วยการทำแท้ง
ในปีหนึ่งๆ ประเทศพัฒนาแล้วมีผู้หญิง ตั้งท้องประมาณ 28 ล้านคน ราวๆ ครึ่งหนึ่งของจำนวนนี้ เป็นการท้องที่ไม่ตั้งใจ และประมาณสิบล้านคน ยุติลงที่การทำแท้ง
ในปีหนึ่งๆ ประเทศกำลังพัฒนา มีผู้หญิงตั้งท้องจำนวนประมาณ 182 ล้านคน ประมาณ 65 ล้านคนตั้งท้องโดยไม่พร้อม และประมาณ 36 ล้านคน ยุติการท้องด้วยการทำแท้ง

เหตุผลที่ผู้หญิงไม่พร้อมจะมีลูกก็ไม่มีอะไรมาก
ก็แค่…ผู้หญิงมีลูกมากพอแล้ว
…ผู้หญิงมีลูกถี่ ติดกันเกินไป
…ผู้หญิงอายุยังน้องเกินไป
…ผู้หญิงยากจนเกินไป
…ผู้หญิงกำลังมีปัญหาในชีวิตคู่
…ผู้หญิงต้องเรียนหนังสือหรือต้องทำงาน
…ผู้หญิงมีสุขภาพไม่ดีพอ
…ผู้หญิงที่ครอบครัว ยังไม่ต้องการให้เธอมีลูก
และสุดท้าย…ผู้หญิงคนนั้นถูกข่มขืน

และเป็นความเข้าใจผิดอย่างยิ่ง หากจะพูดว่า ถ้ามีการคุมกำเนิดปัญหาท้องเมื่อไม่พร้อมคงไม่เกิดขึ้น เพราะในความเป็นจริง แม้จะนำวิธีคุมกำเนิดที่มี ประสิทธิภาพมากที่สุด มาใช้อย่างถูกวิธี และใช้อย่างสม่ำเสมอ โอกาสพลาดยังคงมีอยู่ เพราะไม่มีวิธีคุมกำเนิดใดที่มี ประสิทธิภาพเต็มร้อย

ด้วยเหตุดังนี้ ผู้หญิงในทุกสังคมทั่วโลก จึงมีโอกาสตั้งท้องตอนที่ไม่พร้อมและมีโอกาส ที่จะยุติการท้องนั้นด้วยการทำแท้งแต่ไม่ใช่ว่า ทุกคนอยากแก้ปัญหาด้วยการทำแท้ง

ผู้หญิงไทยจำนวนหนึ่ง พยายามหาทางออกที่ดีที่สุดให้กับวิกฤตการณ์ในชีวิตของตน ในท่ามกลางการไม่ยอมรับของสังคมและทางเลือกที่แทบจะหาไม่ได้ เธอแต่ละคนเผชิญกับสิ่งต่างๆ มากมายที่ไม่สามารถบรรยายให้ใครเข้าใจได้อย่างหมดจด ส่วนหนึ่งของมุมมอง ความคิดและประสบการณ์ของเธอ ถูกบันทึกไว้ ณ ที่นี้




อุสา
ปีนี้อุสาอายุยี่สิบปีพอดี เธอเป็นแม่ของลูกชายอายุหกเดือน
เป็นลูกสาวคนโตของพ่อกับแม่ เป็นพี่สาวของน้องเล็กๆ อีกสองคน
และเธอยังไม่ได้แต่งงาน

ทุกครั้งที่เฝ้ามองลูกชายตัวน้อยเธอมักนึกถึงช่วงเวลาที่เพียรพยายามหาหนทางที่จะไม่ให้เจ้าตัวจ้อยได้เกิด ไม่ใช่เพราะเธอใจร้าย ไม่ใช่เพราะเธอใจดำ แต่เพราะนี่คือร่องรอยของความสัมพันธ์อันปวดร้าว ระหว่างเธอกับพ่อแท้ๆ ของเธอ

กลางดึกคืนหนึ่งในตอนที่อุสาอายุสิบหกปี แม่ไปทำงานต่างจังหวัด อุสาถูกปลุกให้ตื่นด้วยสัมผัสแปลกๆ ที่ทำให้เธอรู้สึกหนาวยะเยือกของผู้เป็นพ่อที่กลับบ้านด้วยอาการมึนเมาพ่อข่มขืนเธออย่างไม่ไยดี ว่านี่คือลูกสาวแท้ๆ

ความคิดที่วนเวียนอยู่ในหัวของอุสา มีแต่การฆ่าตัวตาย หรือไม่ก็หนีออกจากบ้าน แต่สำนึกอีกด้านหนึ่งย้ำอย่างหนักแน่นว่า เธอไปไม่ได้ ถ้าเธอไป ใครจะช่วยแม่เลี้ยงน้อง ใครจะช่วยแม่ในยามที่ถูกพ่อข่มขู่ทำร้ายจะเอาเงิน ครอบครัวเล็กๆ ที่พ่อติดทั้งเหล้าและยานี้ จะต้องลำบากสักเพียงไหน และเธอต้องไม่ทำให้แม่เสียใจ ไม่ว่าจะด้วยการฆ่าตัวตาย หนีออกจากบ้าน หรือแม้แต่เล่าเรื่องนี้ให้แม่ฟัง

อีกสามปีนับจากนั้น ทุกครั้งที่แม่ไม่อยู่บ้าน พ่อจะทำร้ายเธอเสมอ อุสาพยายามหาหนทาง ที่จะพาตัวเองออกจากสถานการณ์นี้ แต่มันมืดมนเสียจริงๆ ครั้งหนึ่งเธอพยายามสานความสัมพันธ์กับชายหนุ่ม ในหมู่บ้านใกล้เคียง อยากมีลูกกับเขาเพราะหวังว่าจะเป็นหนทางที่ฉุดเธอออกจากการอยู่ร่วมบ้านกับพ่อ แต่ความพยายามนี้ก็ไม่เป็นผลสำเร็จ เพื่อนชายค่อยๆ ห่างการติดต่อกับเธอไปในที่สุด

อุสาเริ่มแน่ใจว่าตัวเองตั้งท้องก็เมื่อประจำเดือนไม่มาได้สองเดือน เธอพยายามหาทางออก เพราะมันจะเป็นไปได้อย่างไร ที่เธอจะมีลูกกับพ่อแท้ๆ ของตัวเอง

"ตอนแรกอยากตาย แต่ว่าก็นึกถึงแม่ ถ้าเราตายไปจะเป็นยังไง จะเอาอะไรกิน ก็เลยไม่อยากจะตายแล้ว อยากเอาออก แต่จะเอาออกอย่างไร เราก็ไม่รู้จักใคร แล้วเงินเราก็ไม่มี คิดไปคิดมาก็เลยปล่อยเลยตามเลย"

อุสาบอกกับครอบครัวว่าพ่อของเด็กก็คือเพื่อนชายคนนั้น ผู้ซึ่งหนีหน้าไปแล้ว เธอต้องเผชิญกับเสียงซุบซิบนินทาของชาวบ้าน ญาติพี่น้องที่ตำหนิติเตียน และความหวาดกลัว ผิดหวังที่มีต่อพ่อเธอไม่มีความหวังความฝันใดๆ เหลือไว้ให้ตัวเองนอกเสียจากดูแลแม่กับน้อง และลูกของเธอเองให้ดี และเก็บความจริงทุกอย่างไว้กับตัวเองต่อไป


แก้ว
เพศสัมพันธ์ครั้งแรกในชีวิตของเด็กสาววัยแรกรุ่นหลายคนคงเริ่มต้นคล้ายๆ อย่างนี้ เริ่มต้นจากความสัมพันธ์ยาวนานที่กลายมาเป็นความรัก ความไว้เนื้อเชื่อใจ และความผูกพัน จนวันหนึ่งฝ่ายชายเริ่มต้นพูดถึงความรักในมิติใหม่ที่
สาวน้อยไม่เคยคิดมาก่อน มันคือความรักที่เดินมาคู่กับความใคร่ ถ้าหากรักก็ต้องมีเซ็กซ์ ไม่มีเซ็กซ์แปลว่าไม่ได้รัก

"แต่ก่อนนี้ จับมือก็ห้าม ไม่เคยจับมือกันเลย ไม่เคยสัมผัสตัวกันเลย แล้วพอมาเป็นแบบนี้ แก้วก็ไม่ยอม ยังไงก็ไม่ยอม ไม่เคยคิดว่าเราจะมีแบบนี้ แก้วคิดว่าต้องแต่งงานก่อนแล้วค่อยมี ก็ไม่คิดว่าเขาจะบังคับ"

ลองนึกดูเถอะว่า เพียงแค่นี้ก็ผิดความคาดหมายไปมากพอแรงแล้ว มิพักต้องพูดถึงการป้องกันอะไรทั้งสิ้น

"ไม่กล้าค่ะ เพราะแก้วอาย ไม่กล้าพูดเรื่องแบบนี้เด็ดขาดเลย แล้วก็ไม่รู้จัก ใช้ไม่เป็น ไม่รู้จะไปเริ่มต้นยังไง ทานยังไง คุมยังไง ทำนองเนี้ยค่ะ"

แก้วอายุสิบเจ็ดปี ปีนี้เธอยังเรียนอยู่ชั้น ม.6 เป็นลูกสาวคนเดียว มีพี่ชายน้องชายอย่างละหนึ่งคน ในสาวตาของทุกคน แก้วเป็นเด็กดี ซึ่งเธอก็เชื่ออย่างนั้น และภูมิใจในความเป็นเด็กดีของตน แก้วกับรุ่นพี่ที่โรงเรียน คบหากันมาได้กว่าห้าปีแล้ว จนกระทั่งฝ่ายชายเรียนจบและเริ่มทำงานครอบครัวของทั้งคู่ รับรู้และยินดีกับความสัมพันธ์ใสสะอาดของหนุ่มสาวคู่นี้พ่อแม่ของฝ่ายชายกำลังรอวันที่ลูกชาย จะบวชตามประเพณีและจะจัดพิธีแต่งงานให้ทั้งคู่หลังจากแก้วเรียนจบปริญญาตรี

ไม่กี่เดือนหลังจากที่ความสัมพันธ์ของทั้งคู่แนบแน่นขึ้นจากเหตุการณ์ในคืนนั้น แก้วพบว่าตัวเองตั้งท้อง เธอปรึกษาครอบครัว ทุกคนปลอบประโลมและให้เธอเป็นคนตัดสินใจเอง แก้วตัดสินใจตั้งท้องต่อไป โดยมีครอบครัวของเธอช่วยประคับประคอง แต่แฟนหนุ่มของเธอวิตกกังวลอย่างมาก เขารู้ว่าพ่อแม่ต้องเสียใจ ที่ลูกชายมาเบียดก่อนบวช

แก้วรับรู้ความต้องการของแฟน เธอตัดสินใจไปหาหมอเพื่อขอร้องให้เขาจัดการให้ ราคาที่ต้องจ่ายไปเกือบห้าพันบาท ทำให้ชีวิตของแฟนและตัวเธอเองดำเนินต่อไปอย่างที่ครอบครัวคาดหวัง

"อยากให้เรื่องการคุมกำเนิดมันแพร่หลายมากกว่านี้ เคยเรียนมาก็แต่เรื่องเอดส์ ถ้าเดินไปให้ทั่วประเทศไทย แก้วว่าเราจะเห็นเด็กที่เกิดมาโดยไม่พร้อมมีอยู่เต็มไปหมด เด็กที่ต้องไปเป็นขอทาน ไปเป็นโจร มีอนาคตที่ไม่ดี เราสามารถป้องกันเด็กที่เกิดโดยไม่พร้อมได้ถ้าเรื่องนี้ (การคุมกำเนิด) มันแพร่หลาย"



จำเนียน

ในใจเรานี่รู้ดีว่าเขานั่นแหละพลาด 100% เลย
เพราะห่วงมันไม่หลุด ถ้าห่วงหลุดก็คือเราหลุดเอง
นี่อัลตราซาวน์ดูแล้ว ยังอยู่ แต่เราไม่มีสิทธิบอกว่าเขาใส่ไม่ดี

ในหมู่บ้านเล็กๆ ที่ฉันอยู่มาตั้งแต่เกิด ผู้หญิงในหมู่บ้านต่างคุ้นเคยกันดีกับความรู้เรื่องการคุมกำเนิด ที่เจ้าหน้าที่ประจำสถานีอนามัยคอยแนะนำและให้บริการอยู่อย่างสม่ำเสมอ ฉันแต่งงานเมื่อสิบปีที่แล้ว ก่อนแต่ง แม่แนะนำให้ฉันไปฉีดยาคุมที่อนามัยล่วงหน้าเอาไว้ก่อน แต่การฉีดยาคุมทำให้น้ำหนักขึ้นอย่างรวดเร็ว หลังจากฉีดได้สองเข็มฉันเลยหยุด ปล่อยให้มีท้องแรกซึ่งก็คือลูกชายคนโตที่ทุกวันนี้อายุแปดขวบแล้ว

พยาบาลที่ทำคลอดแนะนำให้ฉันใส่ห่วงอนามัยคุมกำเนิด ฉันจ่ายเงินไปห้าสิบบาทและใส่ห่วงอยู่ถึงหกปี ก่อนที่จะไปที่โรงพยาบาลเอาออก ทุกปีฉันต้องไปรับการตรวจดูว่าห่วงยังอยู่ในสภาพดีไหม เป็นหกปีที่ฉันรู้สึกสบายใจ ว่าตัวเองจะไม่มีโอกาสท้องเพราะพยาบาลบอกว่า การใส่ห่วงเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพมากกว่าวิธีอื่นๆ สามีฉันเขาก็ชอบไม่ได้รู้สึกว่าห่วงเป็นอุปสรรคเลยแม้แต่น้อยในยามที่เรามีความสุขด้วยกัน

จนกระทั่งลูกชายโตพอที่จะดูแลตัวเองได้และเริ่มไปโรงเรียน ซึ่งเป็นปีที่ฉันมีอายุยี่สิบเก้า และพร้อมที่จะมีลูกอีกคนตามที่วางแผนกันไว้ ฉันไปเอาห่วงออกที่โรงพยาบาลในเมือง

ลูกสาวคนที่สองถือกำเนิดขึ้นอีกไม่นานหลังจากนั้น เราดีใจกันมาก ชายหนึ่ง หญิงหนึ่ง เป็นไปตามแผนที่วางไว้ทุกอย่าง หลังคลอด หมอแนะนำให้ฉันทำหมัน แต่…ให้ฉันตายเสียยังดีกว่า คนแถวบ้านฉันเขารู้กันทั้งนั้นว่าถ้าผู้หญิงทำหมันแล้วร่างกายจะอ่อนแอลง ไม่มีแรงทำงาน ถ้าให้ผู้ชายทำหมัน ก็มักจะหมดอารมณ์ทางเพศไปเลย ดูอย่างลุงฉันเป็นต้น แกย้ำนักย้ำหนาว่า มีลูกสอนลูก มีหลานสอนหลาน ว่าอย่าไปทำหมัน เดี๋ยวเมียมีชู้ ฉันเลยขอใส่ห่วงอย่างเดิม เพราะถึงจะไม่ถาวร แต่ก็หายห่วงไปได้หลายปี

เกือบสามปีต่อมา ฉันเริ่มรู้สึกว่าตัวเองมีอาการแพ้ท้อง ประจำเดือนหายไปเกือบสองเดือน พอเริ่มเฉลียวใจ ฉันก็รีบไปที่โรงพยาบาลเดิมทันที หมอตรวจแล้วก็ยืนยันว่าฉันท้องแน่นอน ฉันไม่อยากจะเชื่อ เถียงหมอว่า มันไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะโรงพยาบาลนี้เป็นคนใส่ห่วงให้ฉันเอง ไหนว่ามันจะคุมได้ดีกว่าวิธีอื่นๆ ไงล่ะ ทำไมเป็นแบบนี้ไปได้ ฉันจะเอาเงินที่ไหนเลี้ยงลูกสามคนให้มีคุณภาพ ทุกวันนี้ที่ทำนา ก็ได้ไม่มากเท่าไรนัก หมอนิ่งคิดเป็นพักใหญ่ เขาพลิกใบประวัติของฉันดูไม่รู้กี่รอบ ก่อนที่จะบอกว่า เขาจะเอาออกให้ แต่ว่าฉันต้องทำหมันไปเลย ถ้าไม่ทำหมัน ก็ไม่ทำแท้งให้ ถึงคราวที่ฉันต้องอึ้งบ้าง พยายามต่อรองขอฉีดยาคุมแทน หมอไม่ยอม ฉันรู้สึกแย่มากๆ เพราะเรื่องที่ฉันใส่ห่วงแล้วยังท้อง มันไม่ใช่เพราะฉันทำหลุด หมออัลตราซาวน์ดูแล้วยังเจอว่าอยู่ที่เดิม ฉันไม่กล้าพูดว่าที่ฉันพลาดเป็นเพราะโรงพยาบาลใส่ให้ไม่ดี ถ้าพูดไปแล้วหมอบอกว่าถ้าอย่างนั้นมาหาหมอทำไม แล้วฉันจะไปทำอะไรเขาได้

ในที่สุด ฉันตกลงตามที่หมอบอก เพราะชั่งน้ำหนักดูแล้ว ถ้าฉันไม่ยอม ฉันก็ต้องไปหาที่ทำเองที่ไหนมีบ้างก็ไม่รู้ แล้วจะปลอดภัยเหมือนทำในโรงพยาบาลหรือเปล่าก็บอกไม่ได้อีก

แต่ก่อนที่หมอจะลงมือรักษา มีพยาบาลอีกคนหนึ่งมาเชิญฉันไปคุยเรื่องการทำหมัน เขาใจดีและอธิบายดีมาก ทำให้ฉันกล้าซักถามและสบายใจขึ้นมาก




ตาล

ถ้าเกิดมาแล้ว เราจะทำมาหากินไม่ได้ เขาเองก็ลำบาก
แล้วแค่เด็กสองคนนี้นะ ยังหาเลี้ยงกันไม่ค่อยพอเลย ถ้าเกิดมาใหม่อีก
เราจะให้เขาอดไหม เรากลัวไม่พอเลี้ยงเขา
ชีวิตเราโตมา ไม่เคยได้กินขนมเลย แม้แต่สลึงเดียว

ตาลอายุสามสิบเจ็ดปี มีสามี มีลูกสองคนกำลังวัยรุ่นทั้งคู่ ทุกวันนี้ตาลและสามีเช่าที่นาของคนในหมู่บ้าน ทำนาเลี้ยงครอบครัว หลายปีก่อนสามีถูกญาติโกงเงินไปหลายหมื่น ครอบครัวลำบากกันกว่าเดิม ต้องไปกู้หนี้ยืมสินเจ้าโน้นมาโปะเจ้านี้หมุนเงินกันพัลวันไปหมด เพื่อนบ้านที่ใกล้ชิดพากันเตือนว่า ระวังเจ้าหนี้จะมาเก็บ ตาลกับสามีพยายามทำงานให้ได้มากที่สุดเพื่อใช้หนี้ให้หมดและไม่ถูกปองร้าย

ตั้งแต่แต่งงานมา ตาลเคยฉีดยาคุม แต่ก็ไม่ถูกกัน เพราะทำให้ตาลผอมมากจนไม่มีแรงทำงานหนัก พอเปลี่ยนมาเป็นยากิน กลับอ้วนขึ้นมากแต่ตาลก็ทนกิน อ้วนยังดีกว่าผอม เพราะมีแรงทำงาน ตาลไปอนามัยเพื่อซื้อยาคุมเป็นประจำกินทุกวันเพราะไม่อยากท้อง มีลูกสองคนก็นับว่ามากพอแล้ว สำหรับชีวิตทุกวันนี้ที่ต้องทำงานหนักและต้องดิ้นรนกันอย่างมากเพื่ออยู่รอด

ชาวบ้านในหมู่บ้านมีความเชื่อว่า ถ้าผัวทำหมันจะหมดสมรรถภาพทางเพศ เมียจะมีชู้ ส่วนถ้าเมียเป็นฝ่ายทำหมัน จะทำให้อารมณ์เพศสูง มีชู้ได้ง่ายอีกเหมือนกัน แล้วยังทำให้อ่อนแอ ไม่มีแรงทำงานด้วย เพราะฉะนั้น แม้ว่าจะมีลูกพอแล้ว ทั้งคู่ก็ไม่นึกถึงการทำหมันเลย

การกินยาคุมทุกวัน ถือเป็นกฎเหล็กสำหรับตาลเพราะสามีไม่เคยว่างเว้นจากการร่วมหลับนอนด้วย ยกเว้นแต่ตอนที่ตาลไม่สบายมากๆ ซึ่งถ้าไม่สบายมาก ตาลก็จะงดกินยาคุมไปจนกว่าจะหายดีก่อน จึงกินใหม่เพราะกลัวจะกินยาเยอะเกินไป

"อาทิตย์นึงเจ็ดวันนี่ ถ้าเราดีๆ อยู่ เค้าจะไม่หยุดให้เลย ถ้าเราไม่ให้เค้าร่วมเพศด้วยนะ เค้าจะว่าเราว่านอกใจ"

ตั้งแต่เริ่มคุมกำเนิดมา ตาลเคยพลาดอยู่สองครั้ง ครั้งแรกเมื่อสามปีที่แล้ว ประจำเดือนมาช้าไปสองวัน ตาลรีบปรึกษาคนเฒ่าคนแก่แถวบ้าน ได้คำแนะนำให้ไปซื้อยาเลือดมากิน ตาลกินเข้าไปเยอะมาก นอนปวดท้องอยู่ตั้งแต่เช้ายันบ่าย แต่แล้วประจำเดือนก็มาตามปกติ

ครั้งหลังสุดเพิ่งเกิดขึ้นไม่นาน คราวนี้กินยาแล้วประจำเดือนก็ยังไม่มา ตาลเริ่มไปเสาะหาข้อมูล คนเฒ่าคนแก่ก็ว่าให้ไปบีบออก แต่พอไปถึงบ้านหมอ ตาลก็เปลี่ยนใจ เพราะมีคนชี้ให้ดูเด็กผู้ชายสองคน คนหนึ่งตาบอด อีกคนหนึ่งแขนขาลีบ บอกว่านี่เป็นเด็กที่หมอบีบแล้วไม่ออก ตาลเลยไปปรึกษาคนที่อนามัย เขาแนะนำคลินิกในเมืองตาลรีบไปแต่เช้า ทำเสร็จเสียเงินไป สามพันบาท มันไม่เชิงว่าหมอคิดราคาสามพันหรอก เพราะเขาถามว่ามีเงินมาเท่าไร พอตาลบอกว่าสามพัน เขาก็ขอทั้งหมดเลย แต่พอทำเสร็จแล้ว กลับมาถึงบ้านเย็นวันนั้น ตาลก็ตกเลือดอย่างรุนแรง เพื่อนบ้านเกือบตัดสินใจพาส่งโรงพยาบาล แต่พอรุ่งเช้าอาการก็คลี่คลายและค่อยๆ แข็งแรงขึ้นจนปกติ

"หมอเขาบอกไว้แล้วว่าไม่ต้องกลับมาหาหมออีกแล้วนะ เป็นอะไรไม่ต้องตกใจ กลับมาไม่ได้แล้วนะ"



ธิดา

ทุกครั้งที่ได้ยินเรื่องทำแท้ง ฉันคิดว่าผู้หญิงคนนั้นใจร้ายมาก
ฉันว่ามันบาป ทำไมไม่รอให้แต่งงานก่อนค่อยปล่อยให้ท้อง
ทำไมถึงไปมั่วแล้วมาทำบาปกับเด็ก

ฉันมีครอบครัวแล้ว เรามีลูกคนแรกด้วยกันหลังจากที่แต่งงานได้หนึ่งปี ฉันอยากทำหมันไปเลย สามีกับฉันตกลงกันไว้ว่าเราจะมีลูกแค่คนเดียวเพราะเราไม่ใช่คนมีความรู้สูง ทำงานรับจ้าง รายได้น้อย ลองคิดดูแล้วถ้ามีลูกแค่คนเดียว เราน่าจะพอเลี้ยงเขา ส่งเขาให้เรียนจนจบปริญญาได้ แต่ถ้ามีมากกว่าหนึ่งคน ทั้งเราและลูกคงจะชีวิตที่ดีกว่าเดิมไม่ได้แน่

ตอนไปคลอด ฉันขอให้หมอทำหมันให้เลย แต่หมอปฏิเสธ เขาบอกว่าต้องให้ท้องที่สองก่อน ถึงจะทำให้ฉันกับแฟนเลยต้องปรับแผนกันใหม่ว่า ถ้าต้องมีลูกคนที่สอง เราน่าจะเว้นสักสามปี ให้ลูกชายคนแรกเข้าโรงเรียนก่อน ค่อยมีคนที่สอง

หลังคลอดลูกคนแรกได้ไม่นาน เราย้ายไปออยู่บ้านเกิดของแฟนที่หมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่ง ในจังหวัดทางภาคเหนือ ลืมบอกไปว่า หลังคลอดฉันกินยาคุมกำเนิดตามที่หมอแนะนำมาโดยตลอด พอรู้ว่าต้องย้ายไปอยู่กับแฟน ฉันเตรียมยาคุมติดตัวไปอีกสองแผงซึ่งเท่ากับว่าอีกสองเดือนข้างหน้า ฉันยังมียาคุมกินตามปกติ

ในช่วงนั้น ฉันเลี้ยงลูกอยู่กับบ้าน พร้อมไปกับดูแลยายของแฟนซึ่งแก่มากแล้ว ส่วนแฟนฉันก็ไปทำงานโรงงานในละแวกนั้น พอยาคุมที่เตรียมไปใกล้หมด ฉันไปถามหาซื้อที่อนามัยแต่ได้รับคำตอบว่าไม่มียาคุมกำเนิดแบบเม็ด มีแต่ยาฉีดกับยาฝัง เขาแนะนำให้ฉันลองไปหาซื้อที่ กศน. ฉันเลยได้ยาคุมจาก กศน. มาสามแผง จ่ายเงินไปสิบบาท

พอยาใกล้จะหมด ฉันไปหาซื้อที่ กศน.อีกครั้งคราวนี้เขาบอกไม่มีของแล้ว ฉันกลับมาถามที่อนามัย ก็ได้รับคำตอบเดิมว่ามีแต่ยาฉีดกับยาฝัง ตัวฉันเองเป็นโรคอะไรไม่รู้ ฉีดยาทีไรต้องเป็นลมทุกที ฉันเลยไม่อยากต้องมาฉีดยาทุกสามเดือน ส่วนเรื่องที่จะฝัง คนในละแวกนั้น ซึ่งส่วนใหญ่ใช้วิธีนี้ บอกว่าฝังยาคุมแล้วจะยกของหนักไม่ได้ ต้องคอยระวังตัวเอง ฉันจึงไม่ฝังเพราะฉันคิดว่าพอลูกโตสักหน่อย ฉันจะเริ่มหางานทำ ในช่วงต่อจากนั้นมาฉันพยายามไปหาซื้อยาคุม แต่หมู่บ้านที่ฉันไปอยู่ไม่มีร้านขายยาเลย ไม่มีแม้แต่ตลาด ชาวบ้านจะเอาของมาขายเฉพาะตอนเช้าช่วงนั้นทั้งฉันและแฟนจึงต้องระมัดระวังกันอย่างมาก เพราะเราจำเป็นต้องใช้วิธีธรรมชาติคือ การหลั่งข้างนอก

ต่อมาอีกราวๆ สองสามเดือน ยายของแฟนก็เสีย เราจึงย้ายกลับมาอยู่ที่บ้านพ่อแม่ของฉัน ฉันดีใจมาก เพราะอนามัยที่นี่มียาเม็ดคุมกำเนิดขาย เราจะได้เลิกวิตกกังวลเสียที แต่แล้วก็เหมือนฝันร้ายกลายเป็นจริง ในอาทิตย์แรกที่ย้ายกลับมานั้นเอง ฉันพบว่าประจำเดือนไม่มาตามกำหนด พอไปหาหมอที่อนามัย เขาก็บอกให้รออีกสักอาทิตย์หนึ่ง แต่แล้วมันก็ยังไม่มา ฉันเลยไปตรวจอีกที ปรากฏว่า ฉันท้องจริงๆ ฉันกับแฟนกลุ้มใจมาก ฉันนึกถึงการไปเอาออกทั้งๆ ที่ตัวเองมีสามี ไม่ได้ไปมั่วกับใครที่ไหน แต่เหตุผลมันไม่ใช่แค่นี้ ไม่ใช่ว่าพอแต่งงานมีสามีแล้วจะมีลูกกี่คนก็ได้ทุกเมื่อ แต่มันเป็นเพราะลูกคนแรก เพิ่งขวบเดียว ต้องกินนมกระป๋องเพราะหัวนมฉันบอด ฉันกับแฟนเพิ่งได้งานทำ ค่าแรงต่อเดือนรวมกันแล้ว แค่สามพันกว่าบาท จ่ายค่านมลูกเดือนละพันกว่าบาท ค่ากินค่าที่อยู่ต้องช่วยพ่อแม่ออกอีกล่ะ เงินเก็บก็ไม่มีเลย จะเอาเงินที่ไหนไปคลอด ไปซื้อนมให้ลูกคนที่สองแล้วฉันก็จะทำงานไม่ได้อีกอย่างน้อย ก็จนกว่าลูกคนแรกจะเข้าโรงเรียนเพราะแม่ฉันแกเลี้ยงเด็กเล็กๆ พร้อมกันสองคนไม่ไหวแน่

ในหัวฉันคิดวนเวียนอยู่แต่ว่าทำไมเรื่องนี้ต้องเกิดขึ้นด้วย ทำไมอนามัยที่จังหวัดบ้านเกิดของแฟน ถึงไม่มียาเม็ดขาย แล้วทำไมหมอไม่ยอมทำหมันให้ฉันตั้งแต่ตอนที่คลอดลูกคนแรก


สุดใจ
ฉันอยู่กินกับสามีคนที่สองมาได้เกือบสองปีแล้วเราไม่มีลูกด้วยกันแต่ฉัน มีลูกติดมาสองคนส่วนเขาก็มีลุกบุญธรรมคนหนึ่งเขาไม่เคยแต่งงานมาก่อนอายุ อานามก็เกือบจะห้าสิบปีแล้วส่วนฉันอายุสามสิบเอ็ดปี

เราทั้งคู่ทำงานอยู่ด้วยกันที่วิทยาลัยแห่งหนึ่ง ฉันทำหน้าที่แม่บ้าน เขาก็ดูแลสวน ดูแลความสะอาดทั่วๆ ไป ช่วยหยิบนั่นยกนี่ตามแต่พวกอาจารย์จะใช้

เราต้องทำงานทุกวัน เสาร์อาทิตย์เขาก็ไม่ให้หยุด ถ้าหยุดวันไหนหมายความว่าจะขาดรายได้ของวันนั้น ไปสามร้อยกว่าบาท ปีที่แล้วฉันลาแค่วันเดียว เพื่อกลับไปทำบัตรประชาชนที่บ้านเกิด แค่นี้ก็โดนอาจารย์เขาว่าแล้วว่าอีก แต่ได้ทำงานที่นี่ก็ดีไปอย่าง ตรงที่เขามีห้องพักให้เราด้วย ค่าเช่าบ้านก็เลยไม่ต้องเสียเอง

แต่เราก็ใช้จ่ายเงินกันไม่พอเดือน ลูกสามคนกำลังเรียนหนังสือ คนโตเรียนพิเศษด้วย เพราะหัวสมองไม่ดี ตอนเด็กๆ เคยชักหลายครั้ง เกือบจะเป็นปัญญาอ่อน สามีใหม่เป็นคนติดเหล้ามาก หมดเงินไปกับเรื่องนี้เดือนละไม่รู้เท่าไร เพราะเมาแล้วเป็นต้องทะเลาะกัน ตีฉันเป็นประจำ ทุบทำลายข้าวของบ่อยๆ ต้องซื้อต้องหาของใช้ใหม่เข้าบ้านอยู่เรื่อย

บางครั้งฉันก็เหลืออดเหลือทน คิดว่าเราจะอยู่ด้วยกันไปได้สักกี่น้ำ เขาทำให้ฉันเดือดร้อนมาก เพราะทำงานไม่ได้ดีอย่างที่อยากทำ อาจารย์ที่ดูแลก็เข้มงวดมาก จับผิดกันอยู่เรื่อย หากว่าเราทำไม่สะอาดบ้างล่ะ วันไหนฉันโดนซ้อมหนัก ทำงานได้ไม่ค่อยเต็มที่ ก็หาว่าขี้เกียจ คอยจะหาเรื่องหักเงิน เขาไม่ง้อเราเลย เพราะถือว่ามีคนอื่นที่อยากได้งานนี้เหมือนกัน ฉันเลยต้องทำให้เต็มที่ ไม่ให้เขาหาจุดอ่อนไล่เราออกได้

ชีวิตมันลำบากลำบนอย่างนี้ทำให้ฉันถึงกับเข่าอ่อนไปเลยพอรู้ว่ากำลังท้องไม่ใช่ว่าฉันไม่คุมตั้งแต่เป็นสาวมา ฉันกินยาคุมมาตลอด แต่มาอยู่กับสามีคนนี้ เขาบอกว่าเขาเป็นหมันเพราะกินเหล้าเยอะ แล้วนี่ฉันท้องได้อย่างไร ฉันไม่ได้ไปยุ่งกับใครที่ไหน พอบอกเขาว่าท้อง เขาก็ด่าเสียๆ หายๆ หาว่าฉันมีชู้ ไม่มาช่วยคิดแก้ไขแม้แต่น้อย

ฉันพยายามปรึกษาคนที่รู้จัก พวกอาจารย์บางคนเขาสงสาร เลยแนะนำให้ไปที่คลินิกแห่งหนึ่ง เขาเรียกเงินฉันสองพันฉันวิ่งหายืมเงินอยู่สองสามวัน หาไม่ได้เลย ในที่สุดลองทำใจกล้า ไปขอกู้กับฝ่ายการเงิน เขาก็ดี ให้กู้ได้ แต่ก็เท่ากับว่าฉันมีหนี้สินเพิ่มจากเดิมที่มีอยู่แล้ว เอาเถอะ ทำงานใช้หนี้ไปเดี๋ยวก็หมด แต่ถ้าไม่ทำ จะเอาเงินที่ไหนมาคลอด มากิน หรือให้ลูกไปโรงเรียน เพราะถ้าฉันท้อง ทำงานให้เขาไม่ได้ อาจารย์เขาก็ไม่เอาฉันไว้แน่นอน

บาปหรือไม่บาป ฉันไม่คิดถามตัวเองให้เสียเวลา เรียนมาก็แค่ชั้น ป.4 ได้งานดีอย่างนี้ต้องถือว่า ฉันกับลูกโชคดีมากแล้ว


ใกล้รุ่ง
มองดูเผินๆ ใกล้รุ่งก็เหมือนเด็กสาววัยยี่สิบทั่วๆ ไป เธอเพิ่งเรียนจบ ปวส. มีแผนจะเรียนต่อ แต่เปลี่ยนใจมาหางานทำ เพราะสถานการณ์ทางบ้านอยู่ในขั้นวิกฤติ พี่ชายคนโตเพิ่งเสียชีวิต พ่อแม่เสียใจจนแทบไม่เป็นผู้เป็นคน ฐานะทางบ้านย่ำแย่ ใกล้ล้มละลาย บ้านถูกยึด น้องอีกสองคนยังเรียนอยู่ชั้นประถม

ใกล้รุ่งผ่านการสัมภาษณ์และได้เริ่มงานทันที ในช่วงปีแรกเธอเป็นลูกจ้างรายวัน รายได้ต่อเดือนสามพันกว่าบาท เมื่อผ่านการประเมินแล้วจึงจะปรับเป็นพนักงานประจำ ซึ่งหมายถึงว่าเธอจะมีเงินให้ทางบ้านมากขึ้นด้วย

ใกล้รุ่งมีเพื่อนชายที่รู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก เพราะครอบครัวสนิทกัน พ่อแม่ไว้ใจเพื่อนชายคนนี้มาก วันหนึ่งเมื่อปีที่แล้ว ใกล้รุ่งมีเพศสัมพันธ์กับเพื่อนชายคนนี้ด้วยความไม่เต็มใจ เพราะความที่ไว้ใจเขามาก

จากนั้นมาทั้งคู่ป้องกันด้วยการใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีอะไรกัน ต่อมาเธอเริ่มสังเกตว่าตัวเองท้องอืด กินยาแก้ท้องอืดและยาถ่ายแล้วแต่ก็ไม่หาย เธอคิดว่าเป็นเพราะตัวเองเครียดกับปัญหาครอบครัวและงาน ปกติประจำเดือนก็มาบ้างไม่มาบ้าง ยิ่งเครียดคงยิ่งผิดปกติมากขึ้น

เวลาผ่านไปเกือบสี่เดือน พ่อแม่เริ่มทักว่าเธออ้วน กระเซ้าเย้าแหย่เหมือนมีน้องอยู่ในท้อง ใกล้รุ่งเริ่มเอะใจ จึงไปซื้อแผ่นตรวจการตั้งครรภ์มาลองตรวจดู ปรากฏว่าเธอท้องจริงๆ

"ทันทีที่รู้ก็คิดเลยว่าไม่ได้ล่ะ เราต้องทำงาน ต้องทำทุกอย่างเพื่อแม่เพื่อน้องก่อน ก่อนจะมาเพื่อตัวเอง เพื่อแฟน"

เธอรีบไปบอกแฟน แต่ท่าที่เขาแสดงออกมาทำให้ใกล้รุ่งเรียนรู้ว่า นี้ไม่ใช่คนที่เธอจะร่วมชีวิตด้วย เขายังไม่รู้จักรับผิดชอบอะไรเลย เธอตัดสินใจหาทางออกแต่เพียงลำพัง ถึงแม้จะรู้ว่ามีคลินิกอยู่ที่ไหน ความไม่มีเงินทำให้เธอต้องรอจนกว่าจะสิ้นเดือน พอถึงสิ้นเดือน ความจำเป็นต้องใช้เงินของทางบ้าน ทำให้เธอไม่สามารถเก็บรวบรวมเงินเพื่อไปคลินิกได้

ใกล้รุ่งบังเอิญไปรู้มาว่า มีหมอนวดอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่ง เคยช่วยคนที่มีปัญหาอย่างเธอ เธอแอบไปให้หมอคนนี้นวดอาทิตย์ละสองครั้ง นานเกือบสองเดือน แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เธอยังคงเก็บสะสมเงินเท่าที่จะทำได้เพื่อจะไปคลินิก เพราะถ้ามีลูกตอนนี้ คงไม่ได้รับการเลื่อนขึ้นเป็นพนักงานประจำ หรืออาจจะถูกไล่ออก เพราะนโยบายบริษัทค่อนข้างเข้มงวด อีกทั้งเธอเป็นพนักงานใหม่ และมีคนที่อยากมาทำงาน ในบริษัทนี้อีกมาก หรือถ้าโชคยังดี เธอไม่ถูกไล่ออก แต่รายได้ต่อเดือนที่แทบจะไม่พอใช้จ่ายในครอบครัวอยู่แล้ว จะรับผิดชอบเด็กอีกคนหนึ่งได้อย่างไร ไหนจะค่ากินของทุกคนในบ้าน ค่าเช่าบ้านเพราะบ้านเดิมถูกยึด ค่าไปโรงเรียนของน้องอีกสองคน แรงกดดันเหล่านี้ทำให้ใกล้รุ่งไม่หยุดความพยายามที่จะเอาออกทั้งๆ ที่ ตอนนี้อายุครรภ์กำลังเข้าเดือนที่เจ็ดแล้ว


ขวัญ

ฉันเพิ่งจะอายุครบสิบหกในวันที่ถูกพี่เขยข่มขืนพ่อกับแม่ทำงานอยู่ต่างจังหวัด ส่วนฉันอาศัยอยู่กับพี่เขยพี่สาวช่วยเขานาหลังจากที่เรียนจบ ม.3 วันนั้นพี่สาว อยู่ที่โรงพยาบาลเพื่อรอคลอด พ่อกับแม่ขึ้นมาเยี่ยม
แต่ไปเฝ้าที่อยู่ที่โรงพยาบาล พี่เขยกลับมาเอาเสื้อผ้า เขาถามฉันว่า ไม่ไปโรงพยาบาลเหรอ ฉันตอบว่าเดี๋ยวจะตามไป แต่แล้วเขาก็ปราดเข้ามาประชิดตัว เตะต่อยจนฉันทรุดลงไปกองกับพื้น เขาข่มขืนฉันจนสำเร็จแล้วก็ออกไป

นับจากวันนั้นฉันยังคงใช้ชีวิตอยู่อย่างเดิม แต่ไม่เหมือนเดิม นึกแต่อยากจะฆ่าเขาให้ตาย ไม่อยากอยู่ร่วมบ้านเลย แต่มันทำอะไรไม่ได้ ถ้าพูดออกไป ชาวบ้านก็จะรับไม่ได้ เขาจะมองฉันเสียๆ หายๆ ซุบซิบนินทา ฉันสงสารพี่สาวกับหลานมากที่สุด

เหมือนโชคชะตากลั่นแกล้ง อีกสี่ห้าเดือนต่อมา ฉันพบว่าตัวเองท้อง ฉันไม่อยากจะเชื่อว่า การข่มขืนเพียงครั้งเดียวจะทำให้ฉันท้องได้ แต่ประจำเดือนไม่เคยหายไปนานหลายเดือนขนาดนี้ ฉันไม่มีอาการแพ้ แต่ท้องมันใหญ่ขึ้นจนรู้สึกได้ ฉันใส่แต่เสื้อตัวใหญ่ๆ และพยายามทบทวนดูว่าพอจะมีทางออกไหม ฉันไม่กล้าบอก ไปถามใคร กลัวเขาเก็บความลับไม่อยู่ คนแถวบ้านเคยพูดกันว่าจะเอาเลือดออกให้กินยา…กับเหล้าขาว ฉันลองกินอยู่ได้อาทิตย์หนึ่ง ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ต่อมาไม่นาน อยู่ๆ เพื่อนก็มาพูดให้ฟังว่าเขาไปเอาออกที่หมู่บ้านถัดไปอีกสิบกว่ากิโล แต่ฉันไม่กล้าพูดออกไปว่า ฉันเองก็กำลังมีปัญหา เพื่อนคนนี้เก็บความลับไม่อยู่มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ฉันไม่รู้จะไปพึ่งใครได้ หมอที่อนามัยก็เป็นคนในหมู่บ้าน ครูที่โรงเรียนเก่าก็อยู่ในหมู่บ้าน ฉันเลี่ยงไม่ได้แม้แต่น้อย เรื่องนี้ให้ใครรู้ไม่ได้เลย

พอได้สักเจ็ดเดือน ท้องใหญ่ขึ้นมากจนฉันตัดสินใจว่าอยู่ต่อไปไม่ได้อีกแล้ว คนต้องรู้กันแน่ๆ ฉันรวบรวมเงินที่พี่สาวให้ไว้กินขนมวันละนิดวันละหน่อยเป็นค่ารถลงมากรุงเทพ เพื่อนในหมู่บ้านคนหนึ่ง ลงมาทำงานที่กรุงเทพฯ และเคยให้ที่อยู่ไว้ถ้าจะไปที่อื่น ฉันก็ไม่รู้จักใครเลย

มาถึงหมอชิต ฉันยืนพะว้าพะวังอยู่พักใหญ่ ก่อนตัดสินใจขึ้นแท็กซี่คันหนึ่ง ลุงคนขับถามฉันว่าจะไปไหน ฉันบอกว่าจะไปหาเพื่อนแต่ไม่รู้ว่ายังอยู่ที่เดิมหรือเปล่า ลุงเลยถามว่าถ้าไม่เจอเพื่อนจะทำยังไง ฉันไม่ตอบเพราะยังไม่รู้เหมือนกันว่าถ้าเพื่อนย้ายไปแล้ว ฉันจะไปที่ไหนต่อ ลุงเลยบอกว่ามีปัญหาอะไรหรือเปล่า ลุงช่วยได้นะ น่าแปลกทั้งๆ ที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ฉันกลับเล่าให้แกฟังทั้งหมด ลุงพาฉันกลับไปบ้าน ที่บ้านมีป้าซึ่งเป็นเมียของลุง กับลูกอีกสองคน เขาช่วยกันคิดหาทางออกให้ฉัน ลุงกับป้าพาฉันไปที่คลินิกแห่งหนึ่ง แต่เขาไม่ทำให้เพราะท้องใหญ่มากแล้ว ต่อมาลุงไปได้ข้อมูลมาว่ามีบ้านพักสำหรับหญิงท้องอยู่ที่หนึ่ง แกพาฉันไปติดต่อเพื่อขอพักชั่วคราวหลังจากได้ที่พักเรียบร้อยแล้ว ลุงติดต่อพ่อกับแม่ให้มาเจอฉันที่บ้านพัก พ่อแม่โกรธพี่เขยมาก พี่สาวเองก็เสียใจมาก แต่แม่ยังไม่ให้เลิกกันเพราะกลัวชาวบ้านจะสงสัยว่าเลิกกันทำไม แม่ให้พี่เขยกับพี่สาวไปอยู่ที่บ้านพ่อแม่ของพี่เขยอีกจังหวัดหนึ่งก่อน แล้วให้พี่สาวใช้เวลาตัดสินใจสักพักว่า จะเลิกกันหรือไม่ส่วนตัวฉันเองพ่อกับแม่ปรึกษากันว่าคลอดเสร็จแล้วคงจะยกเด็กให้คน ที่อยากเป็นพ่อแม่บุญธรรมฉันเองก็เห็นด้วยเพราะมันเป็นไปไม่ได้ที่ทั้งพี่สาวน้องสาว จะมีลูกกับผู้ชายคนเดียวกัน



สายใจ

มาถึงตอนนี้ที่ผ่านมันมาแล้ว ฉันอยากจะบอกว่า
ถ้าเพียงแต่มีคนให้คำปรึกษา คนที่รู้ว่าทางออกมีมากกว่าหนึ่งทาง
ฉันคงไม่ต้องเสียใจเหมือนที่เป็นอยู่ในวันนี้

ฉันอายุยี่สิบ เพิ่งเลิกกับแฟนที่คบกันมาปีกว่า เพราะเขาไม่รับผิดชอบในสิ่งที่ร่วมกันสร้างขึ้นมา แฟนเป็นคนต่างจังหวัด เขาเป็นเพื่อนของเพื่อนอีกทีหนึ่ง เรารู้จักกันตอนที่เขามาหาเพื่อนฉันและเริ่มคบหากัน ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เขาจะมาหาฉันเป็นประจำทุกเดือน จนกระทั่งวันหนึ่งฉันเริ่มรับรู้ว่าตัวเองตั้งท้อง ใจหนึ่งวิตกกังวล แต่อีกใจก็รู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูก มันจะเป็นเรื่องดีนะเพราะเราก็รักกันมาก

ฉันโทศัพท์ไปบอกแฟน แต่เขาไม่ดีใจอย่างที่คิด แต่บอกให้ฉันรอและเชื่อใจเขา เขาจะหาเงิน เพื่อมารับฉันไปกรุงเทพฯ ไปเอาออกที่นั่น ฉันรู้สึกงงๆ แต่ก็ตกลงตามนั้น เรารักกันและนี่คงเป็นทางออก ที่ดีที่สุดสำหรับเราทั้งคู่

หลังจากนั้น เขาเงียบหายไปเกือบสี่เดือน ระหว่างที่รอฉันเริ่มกระวนกระวายใจมากขึ้นเรื่อยๆ เริ่มมั่นใจขึ้นเรื่อยๆ ว่าฉันคงต้องแก้ปัญหานี้ด้วยตัวเอง มันคงไม่ใช่ปัญหาของ "เรา" อีกต่อไป ฉันเล่าให้เพื่อนร่วมหอพักฟัง เพื่อนๆ หลายคนในกลุ่มเคยประสบปัญหานี้มาก่อน แต่ละคนก็หาทางออกด้วยวิธีต่างๆ กัน ฉันทดลองหมดทุกวิธีที่เพื่อนๆ แนะนำ แต่ไม่สำเร็จสักอย่าง ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย จนล่วงเข้าเดือนที่หก ฉันตัดสินใจเพจไปหาแฟนเป็นครั้งสุดท้าย หวังไว้สุดใจว่า เขาจะโทรกลับมา แต่เขาก็เงียบไป ฉันรู้สึกเจ็บใจที่ฝากความหวังไว้กับคนที่ไม่มีความรับผิดชอบอย่างนี้

ฉันไปหาหมอที่คลินิกอีกสามแห่งด้วยกัน สองที่แรกปฏิเสธไม่ทำให้เพราะท้องใหญ่มากแล้ว แต่ที่หลังทำให้ โดยไม่รับรองผล ฉันกำเงินเกือบสองพันบาทไว้ในมือจนเหงื่อชื้น มันเป็นทางสุดท้ายในตอนนี้แล้วนี่นะ ยังไงก็ต้องลองเสี่ยงดู หมอให้น้ำเกลือเร่งคลอดหนึ่งกระปุก แต่ฉันไม่รู้สึกมั่นใจเลยว่ามันได้ผล

พอกลับมาที่หอพัก เพื่อนอีกคนหนึ่งมาหา บอกว่ามียาดีอีกตัวหนึ่ง ฉันจึงตัดสินใจลองอีกครั้ง ฉันปวดท้องมาก คิดว่าต้องออกแน่ ฉันปวดมากเสียจนเพื่อนใจเสีย รีบพาฉันไปโรงพยาบาล พอไปถึงกลับหายเป็นปลิดทิ้ง หมอตรวจดูแล้วบอกว่า เด็กยังปกติดีทุกอย่าง พี่พยาบาลคนหนึ่งเข้ามาคุยกับฉัน เขาพูดจาดีมาก ไม่ดุไม่ด่าเลยสักคำ เขาให้ฉันเล่าปัญหาทุกอย่างให้ฟัง ฉันว่าฉันระบายออกไปเยอะมาก แต่พี่คนนี้ก็อดทนนั่งฟังอย่างเข้าใจ เขาบอกว่า ทางออกอื่นๆ ยังมีอีก ไม่จำเป็นต้องเอาออกก็ได้ ที่กรุงเทพฯ มีบ้านพักชั่วคราวสำหรับคนท้อง ถ้าฉันอยากไปพักพี่เขาจะติดต่อให้ คลอดแล้วถ้าไม่พร้อมที่จะเลี้ยง จะยกให้คนที่เขาอยากเลี้ยงไปก็ได้ ฉันไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าประเทศเรามีสถานที่แบบนี้ด้วย ฉันโล่งใจมาก คิดว่าตัวเองเจอทางออกที่ดีที่สุดแล้ว

กลับมาถึงหอพัก ฉันยังคุยกับเพื่อนว่า ลูกจะหน้าเหมือนฉันไหมนะ และนัดกันว่าพรุ่งนี้ จะไปหาซื้อชุมคลุมท้องกับเสื้อผ้าเด็กอ่อนกัน

แต่แล้วพอรุ่งเช้า ฉันก็ปวดท้องมาก คราวนี้ปวดหนักกว่าเดิม เพื่อนรีบโทรไปตามพี่สาว ซึ่งมีรถให้มารับฉันไปส่งโรงพยาบาล แต่ไม่ทันที่พี่สาวจะมาถึง ฉันก็คลอดออกมา หลังจากนั้นเรารีบไปที่โรงพยาบาล แต่มันสายไปเสียแล้ว

ลูกที่ฉันเปลี่ยนใจจะเก็บเขาไว้เขาตายแล้ว เป็นความเสียใจมากที่สุดในชีวิต ถ้าเพียงแต่ฉันจะได้คุยกับพี่พยาบาลคนนั้นเร็วกกว่านี้ เร็วก่อนหน้าที่ฉันจะทำอะไรต่อมิอะไรลงไป ถ้าเพียงแต่ฉันได้รู้ว่ามีทางออกอื่นที่เปิดให้ฉันนอกเหนือจากทางนี้


มยุรา
มยุราอายุสี่สิบสี่ปี จบการศึกษาชั้น ป.4 มีลูกรวมสี่คน และเคยตั้งท้องทั้งหมดสิบเอ็ดครั้ง

มยุราไม่ใช่คนกรุงเทพ เธอเกิดและเติบโตที่จังหวัดเล็กๆ ทางภาค
อีสาน พอเป็นสาวมีครอบครัวก็อพยพมาทำมาหากินที่กรุงเทพ ดิ้นรนทำมาค้าขายทุกอย่างเท่าที่จะมีโอกาสทำได้ สามีของเธอทำงานมีเงินเดือนแต่ไม่เคยรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในบ้าน เขาติดการพนันอย่างหนัก ตั้งแต่สมัยยังหนุ่มจนถึงทุกวันนี้ ชีวิตในแต่ละวันจึงเป็นเรื่องปากกัดตีนถีบ เพื่อให้ตัวเองและลูกๆ อยู่รอด ให้ลูกได้เรียนหนังสือจนจบ ม.3

นับตั้งแต่ย้ายมาอยู่กรุงเทพฯ มยุราต้องหาเวลาและหาเงินเพื่อเดินทางกลับบ้านเกิดทุกสามเดือน เพื่อไปฉีดยาคุม บางช่วงที่เงินขาดมือหรือยุ่งมาก จนไม่สามารถปลีกตัวไปได้ เธอจะไปหาวื้อยาเม็ดคุมกำเนิดมากิน จนกว่าจะมีเวลาไปบ้านนอก

"เราไม่เคยรู้ว่าแถวในกรุงเทพฯ นี่เราต้องไปฉีดยาคุมที่ไหน อยู่มานี่ไม่เคยไปเที่ยวไหนเลย แล้วไอ้ร้านขายยามันก็ขายยาคุมอะไรไม่รู้ ยี่ห้อไม่เหมือนที่ขายกันแถวบ้านนอก ที่นี่มันมีแต่ยาใหม่ๆ เราก็ไม่กล้ากินนาน"

มยุราเคยแท้งลูกเองหนึ่งครั้ง ไปบีบออกสามครั้ง กินยาขับอีกสองครั้ง และครั้งสุดท้ายนี้ เธอขอให้โรงพยาบาลทำให้ พร้อมกับทำหมันไปเลย มยุราเล่าให้ฟังถึงเรื่องการให้หมอนวดบีบออกว่า "ก็ตั้งแต่สมัยก่อน ปู่ย่าตายายเค้าก็ทำแบบนี้กันทั้งนั้น เมื่อก่อนมันไม่มียาคุม ก็ทำแบบนี้ คนบ้านนอกเขาไม่ต้องไปปรึกษาใคร ถ้ามีท้องเขาก็ไปหาคน…เขาเรียกว่าไปบีบเส้น คนอื่นถามก็จะพูดกันว่าไปบีบเส้น แค่นั้นเอง เราก็เข้าใจกันดี ในตำบลนั้นมีหมอบีบเส้นอยู่คนเดียว"

ครั้งแรกที่มยุราไปบีบเส้น ร่างกายของเธอเป็นปกติดีทุกอย่าง แต่สองครั้งหลังเธอตกเลือด และต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลคราวละสองสามคืน เธอเลือกที่จะไปบีบเพราะแม้ว่าจะเสียค่าเดินทาง และเสียเวลาแต่รวมกันแล้วถือว่าค่าใช้จ่ายถูกมากค่าหมอแต่ละครั้งแค่สองร้อยบาท

ช่วงที่ไม่สามารถหาเวลาไปได้ มยุราจะใช้วิธีกินยาขับโดยไปซื้อจากร้านขายยามาผสมเหล้ากิน ทุกครั้งที่เป็นตอนไม่พร้อมเธอจะรีบแก้ปัญหาตั้งแต่ท้องได้เดือนกว่าๆ

"เรื่องทำแท้งมันเป็นเรื่องธรรมดาของผู้หญิงธรรมดา ทุกคนมีโอกาสทำแท้ง บางคนพอมีลูกสามีหนีไปมีเมียใหม่ จะทำยังไง จะเลี้ยงลูกคนเดียวก็ไม่ได้เพราะหากินคนเดียว ไหนจะค่าที่พัก ค่าอะไรต่อมิอะไร แล้วลูกมันยังไม่โต มันยังอยู่ในท้อง แค่เดือนสองเดือน ตัดสินใจเอาออกดีกว่า เรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นได้ทุกเวลา"

เมื่อถามว่า พอรู้ว่าตั้งท้องแต่ละครั้งเธอคิดอย่างไรบ้าง มยุราตอบว่า "ก็คิดว่าคนนี้เราจะเลี้ยงไหวไหม ถ้าไม่ไหว ก็ต้องไปเอาออก จะไปกินยาหรือไปทำอะไร ไอ้คนที่มันเป็นคนน่ะ เราต้องให้คนนั้นก่อน เลี้ยงคนนั้นก่อน ส่วนไอ้ที่มันยังเป็นก้อนเลือดอยู่ ปล่อยมันทิ้งไปก่อน"

กับคำถามว่ามีใครรู้เรื่องที่เธอไปทำแท้งบ้างหรือไม่ เธอตอบว่า "แถวบ้าน ใครไปทำแท้งเขาก็รู้กันหมด ก็ไม่เห็นเขาว่าอะไรกัน แถวบ้านนอกเขาเป็นอย่างนี้กันนะ ไปหาหมอนี่ไม่ต้องปิดกัน แต่ในเมืองในกรุงเทพฯนี่ปิดนะ เขาปิดกัน ไม่รู้ทำไม"



หฤทัย

ฉันยังจำความรู้สึกหวาดหวั่นที่ทำให้ฉันอยากหายตัวไป จากโลกนี้ได้
ตอนนั้นยายกำลังพาฉันไปที่คลินิก
เพื่อให้หมอตรวจดูว่าฉันท้องจริงอย่างที่ยายสงสัยหรือเปล่า

ฉันท้องจริง ฉันรู้ว่าฉันท้อง เพราะประจำเดือนขาดไปสองเดือนแล้ว ตอนนี้ฉันเพิ่งอายุสิบห้า และกำลังเรียนอยู่ชั้น ม.3 เทอมสุดท้าย ยายเลี้ยงฉันมาตั้งแต่เล็กๆ ฉันรู้ว่ายายต้องเสียใจมาก และยิ่งต้องอับอายชาวบ้านมากขึ้นไปอีก ถ้ารู้ว่าพ่อของเด็กก็คือลูกชายคนเล็กของยายนั่นเอง

พ่อแม่ของฉันแยกทางกันไปตั้งแต่ฉันยังเล็ก พ่อได้เมียใหม่ และแม่ใหม่นี่เองที่พาฉันมาให้ยาย ซึ่งเป็นแม่ของเขาเลี้ยง น้าชายคนนี้จึงไม่ใช่น้าชายร่วมสายเลือด แต่ก็เลี้ยงฉันมาตั้งแต่เด็ก เหตุการณ์มันเกิดขึ้นในวันที่ตากับยายไปวัด น้าชายเมาเข้าบ้านมาและข่มขืนฉัน หลังจากนั้นอีกอาทิตย์สองอาทิตย์ เขาขืนใจฉันอีกสองครั้ง ฉันไม่กล้าบอกใครเลย ฉันกลัวมาก

พอประจำเดือนเริ่มหายไปได้เดือนกว่า ฉันบอกกับน้า เขาว่าเขายังไม่พร้อม ถ้าเอาออกได้ก็ดี แต่ถ้าจะเอาไว้ก็ได้ ไม่ว่าอะไร ฉันฟังแล้วไม่เข้าใจว่าเขาหมายความว่าอย่างไรแน่ ส่วนยายเองเริ่มมีท่าทีสงสัย เพราะฉันไม่ขอเงินไปซื้อผ้าอนามัย ยายเอายาขับเลือดผสมน้ำร้อนให้ฉันกิน ตอนแรกฉันกินเพราะไม่รู้ แต่พออ่านดูที่ซองรู้ว่ากินแล้วประจำเดือนจะมาเป็นปกติ ฉันเลยเลิกกิน เพราะฉันไม่อยากไปทำเขา เขาไม่รู้เรื่อง แต่ถ้าถามว่าฉันอยากมีลูกเหรอ ก็ไม่ใช่อีก ฉันไม่เคยคิดว่าจะมีลูกในตอนนี้ ถ้าถามว่าแล้วฉันตัดสินใจยังไง คำตอบก็คือ ไม่รู้ ฉันคิดไม่ออก ฉันอยากให้คนที่รู้อะไรมากกว่ามาช่วยฉันคิด ช่วยฉันตัดสินใจ

หลังจากที่หมอบอกว่าฉันท้องได้สองเดือน ยายไปคุยกับพ่อและแม่เลี้ยง และญาติๆ ในบ้าน ทุกไม่อยากให้ฉันไปเอาออก แต่ยายอายชาวบ้าน ยายยอมให้ฉันท้องไม่ได้ เพราะยายเป็นผู้ใหญ่ ที่คนทั้งหมู่บ้านนับหน้าถือตา ตลอดเวลาที่เขาปรึกษาหารือเรื่องของฉัน ฉันได้แต่นั่งก้มหน้าไม่มีใครถามฉันเลยว่า ฉันจะเอาอย่างไร

ยายและทุกคนในบ้านช่วยกันหาข้อมูลกันใหญ่ว่า คลินิกที่ไหนรับทำบ้าง ยายพาฉันไปฉีดยาที่คลินิก แห่งหนึ่งในอำเภอ หมอบอกว่าภายในหนึ่งอาทิตย์ถ้ามีประจำเดือนมาแสดงว่าได้ผล แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น อีกอาทิตย์ต่อมายายพาฉันไปหาหมออีกคนหนึ่ง ฉันฉีดยาอีกเป็นเข็มที่สอง รออยู่อีกหนึ่งอาทิตย์ ประจำเดือนก็ยังไม่มา

หลังจากนั้นแม่เลี้ยงพาฉันเข้ากรุงเทพ คนที่คลินิกในกรุงเทพฯพูดไม่ดีเลย จะเอาแต่เงิน และบอกราคาเกือบหมื่น ต่อรองไม่ได้เลย แม่เลี้ยงพาฉันกลับมาด้วยความผิดหวังปนดีใจนิดๆ เพราะจริงๆ แล้ว คนที่อยากให้ฉันเอาออกมีคนเดียวคือ ยาย

วันต่อมาฉันไปโรงเรียนตามปกติ ครูประจำชั้นเรียกฉันไปคุยด้วย ครูถามตรงๆ ว่าฉันกำลังตั้งท้องหรือเปล่า ฉันไม่รู้จะโกหกอย่างไรเพราะใจหนึ่งคิดว่าผู้ใหญ่เขาคงดูออก ฉันเลยยอมรับ ครูถามว่าผู้ใหญ่ที่บ้านรู้เรื่องไหม ฉันเลยบอกว่ารู้และเขากำลังหาทางให้ฉันเอาออก ครูบอกให้ฉันทำใจให้สบาย ครูจะหาทางช่วย

อีกสองสามวันต่อมา ครูใหญ่ก็มาที่บ้านพร้อมกับครูอีกสองคน ครูมาคุยกับพ่อแม่และยายว่า อย่าไปเอาออกเลย ไม่ต้องกลัวว่าเด็กจะเรียนไม่จบ เพราะนี่ก็ใกล้จะปิดเทอมแล้ว ครูจะช่วยเอง ถ้าวันไหนแพ้ท้องมากไปโรงเรียนไม่ไหว ก็จะไม่เช็คว่าขาดเรียน ครูบอกว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ไม่ไล่ออกแน่นอน

คำพูดของครูช่วยเพิ่มความมั่นใจให้ทุกคนในบ้านมากขึ้น ยายเลยเริ่มจะเสียงอ่อนลง สุดท้ายก็ตกลงตามที่ทุกคนในบ้านต้องการ ฉันรู้สึกโล่งใจที่ตัวเองไม่ต้องทำไม่ดีอีกแล้ว ถึงวินาทีนี้ แม้ฉันจะอายุน้อยมาก แต่ฉันก็ตั้งใจว่าจะเลี้ยงเขาให้ดีที่สุด ส่วนน้าบุญธรรมนั้น หลังจากที่ยายรู้เรื่อง ยายก็ให้เขาไปบวชอยู่อีกจังหวัดหนึ่ง รอให้ฉันคลอดแล้วทบทวนกันใหม่ว่าจะตัดสินใจอยู่กินกันหรือเปล่า


ต่าย

ต่ายมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกเมื่ออายุสิบหกปีกับแฟนที่คบกันมาปีหนึ่ง ต่ายไม่ได้คุมกำเนิด เพราะเหตุการณ์ครั้งนั้นเกิดขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ ต่อมาต่ายสงสัยว่าตนเองจะท้อง เพราะสังเกตว่าอ้วนขึ้น และประจำเดือนไม่มาเกือบสองเดือนแล้ว

พอเริ่มสงสัยก็ให้แฟนไปซื้อแผ่นทดสอบการตั้งครรภ์มาตรวจ เมื่อรู้ผลว่าท้องแน่นอน แฟนบอกว่าแล้วแต่ต่ายจะตัดสินใจ แต่เมื่อมาทบทวนกันแล้ว ตัวต่ายเองเห็นว่าเราทั้งคู่ไม่พร้อม จึงปรึกษากับแฟนว่าจะไปเอาออก เหตุผลหลักคือ กลัวแม่รู้และผิดหวัง และคิดว่าอนาคตของตนเองและแฟนยังอีกไกล ถ้ามีลูกตอนนี้ก็จบสิ้นทุกอย่าง

เมื่อตัดสินใจได้ ต่ายกับแฟนต่างก็ไปปรึกษาเพื่อนของตนเองเพื่อหาข้อมูลเรื่องสถานที่รับทำแท้ง ต่ายกินยาขับที่แฟนไปซื้อมาให้ตามคำแนะนำของเพื่อน แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพื่อนอีกคนที่เคยมีประสบการณ์มาก่อน ก็แนะนำให้ไปคลินิกพอไปถึงหมอบอกว่า ต้องเสียค่าใช้จ่ายสี่พันห้าร้อยบาท แฟนจัดการหาเงินมาจ่ายให้ หลังจากนั้นเรื่องก็จบสิ้นลง ต่ายรู้สึกโล่งใจว่าหมดปัญหาเสียที รู้สึกบาป แต่ก็รู้ว่าตนเองไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากทางนี้ และคิดว่าตัวเองและแฟนได้ตัดสินใจอย่างรอบคอบที่สุดแล้ว

ในช่วงที่ต่ายเริ่มตั้งท้อง อาจารย์คนหนึ่งเรียกเข้าไปถามว่ามีแฟนหรือเปล่า ต่ายปฏิเสธบอกว่าไม่มี หลังจากนั้นหนึ่งเดือน อาจารย์คนเดิมเรียกต่ายเข้าไปถามอีกว่าไปทำแท้งมาหรือเปล่า ต่ายปฏิเสธแต่อาจารย์ไม่เชื่อ สั่งให้ต่ายไปตรวจที่โรงพยาบาลเพื่อเป็นการพิสูจน์ตัวเอง อาจารย์โทรศัพท์มาบอกญาติที่ทำงาน อยู่ห้องบัตรไว้ก่อนแล้วว่าจะส่งต่ายมาตรวจว่าท้องหรือไม่

เมื่อต่ายไปถึงเจ้าหน้าที่ที่ห้องบัตรก็ถามว่ามาจากวิทยาลัยนี้ใช่ไหม แล้วพาต่ายไปตรวจปัสสาวะ ผลออกมาว่าตั้งครรภ์ ต่ายจึงปรึกษากับหมอว่าตนเองมีปัญหาที่โรงเรียนถ้าหมอเขียนใบรับรองว่าตั้งครรภ์ และเล่าความจริงให้หมอทราบว่าตนเองไปทำแท้งมาเรียบร้อยแล้วเมื่ออาทิตย์ก่อนหมอเข้าใจถึงสิ่งที่เกิดขึ้น และสัญญาว่าจะเก็บเรื่องทุกอย่างเป็นความลับแต่ขอให้ต่ายไปอัลตราซาวนด์เพื่อตรวจดูว่าที่ไปทำมานั้น เรียบร้อยดีหรือไม่ผลการตรวจพบว่าต่ายเป็นปกติทุกอย่าง ไม่ได้ตั้งท้องแล้ว ทางโรงพยาบาลจึงเขียนใบรับรองแพทย์ให้ต่าย ตามผลการอัตราซาวนด์

ต่ายนำใบรังรองแพทย์ไปวางไว้ที่โต๊ะอาจารย์ อาจารย์เรียกต่ายไปพบอีกครั้งและบอกว่าต่ายโกหก สมคบกับหมอหลอกอาจารย์ และเอาเรื่องของต่ายไปพูดถากถางในห้องเรียนอยู่บ่อยๆ อาจารย์ยังขู่ว่า ถ้าจับได้ว่ามีแฟน จะไม่ให้ต่ายเรียนต่อถ้าไม่ได้จัดพิธีให้ถูกต้อง ในช่วงนั้นต่ายรู้สึกแย่มาก ไม่อยากไปเรียน โกธรที่อาจารย์มาก้าวก่ายเรื่องส่วนตัว แต่เพื่อนทุกคนในห้องก็เข้าใจและไม่ซ้ำเติม "เข้าใจนะว่าครูเขาคงเป็นห่วง 0แต่มันมากเกินไป อย่างนี้เหมือนมาละเมิดกันมากกว่าจะเป็นห่วงเป็นใยจริงๆ"



อรพิน

อรพิน อายุสี่สิบห้าปี
ถูกพี่สาวส่งเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง
ด้วยอาการปวดท้องอย่างหนัก และมีเลือดไหลจากช่องคลอด
เธอกำลังท้องได้สี่เดือน

อรพินบอกหมอไปตามตรงว่า เธอท้องได้สี่เดือน เคยกินยาขับแต่ไม่ออก จนกระทั่งหกล้มอย่างแรง เมื่อสองสามวันก่อนทำให้ปวดท้องมาก เธอพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ด้วยน้ำตาซึมออกมาเป็นระยะๆ เพราะความสะเทือนใจว่า

"หมอเขาโกรธ คล้ายๆ ว่าคนไปทำแท้งมา เขาไม่เข้าใจ ก็ไม่ว่าอะไรเขาหรอก ก็คิดว่าถ้าเกิดกับคนรวยกับคนจนนี่ มันไม่เหมือนกันหรอก เขาทำงานข้าราชการใช่ไหมคะ เขาจะพูดยังไงก็ได้ แต่คนจนสิ มันพูดยาก ถ้าเกิดมีความรู้อย่างใครเขามันคงจะไม่ลำบาก"

อรพินเรียนหนังสือแค่ ป.4 เธอเคยมีครอบครัวแต่แยกทางกันไปนานกว่าสิบปีแล้ว โดยสามีคนแรกเป็นคนเลี้ยงดูลูกชายคนเดียว เมื่อไม่นานมานี้เธอพบกับผู้ชายคนหนึ่งและอยู่กินกัน ทั้งคู่ทำงานก่อสร้างด้วยกันที่กรุงเทพฯ จนกระทั่งเธอตั้งท้องลูกชายคนที่สองเนื่องจากลืมไปฉีดยาคุม หลังจากลูกชายคนนี้คลอดได้เพียงสามเดือน อรพินตัดสินใจพาลูกหนีสามีมาอาศัยอยู่กับเพื่อนที่จังหวัดหนึ่ง เธอต้องหนีเพราะไม่สามารถทนเป็นกระสอบทรายให้สามีเตะต่อยได้อีกต่อไป หลังจากนั้นเธอเริ่มต้นชีวิตใหม่ กับลูกชายด้วยการเช่าห้องเล็กๆ และออกไปรับจ้างล้างจานในร้านอาหารโดยได้รับค่าแรงวันละหนึ่งร้อยบาท ต้องจ่ายค่าเช่าบ้าน ค่าน้ำ ไฟ และค่ากิน รวมถึงค่านมและค่าจ้างคนเลี้ยงลูกชายตอนที่เธอออกไปทำงาน

หลังจากหอบลูกหนีมาแล้วอรพินพบว่าตัวเองตั้งท้องอ่อนๆ เธอดิ้นรนหาทางเอาออก เพราะการตั้งท้องหมายความว่าเธอจะไปทำงานไม่ได้ แล้วจะเอาอะไรกินอรพินกินยาขับไปหลายขนาน กินทุกอย่างที่ร้านขายยาบอกว่าได้ผล แต่ไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น อรพินเล่าว่า แต่ละวันผ่านไปอย่างเหน็ดเหนื่อยมาก หลังจากเลิกงานในช่วงค่ำเธอต้องเลี้ยงลูกต่อในช่วงกลางคืนความที่กำลังตั้งท้องทำให้ร่างกาย อ่อนเพลียกว่าปกติเมื่อเวลาผ่านไปราวสี่เดือน เธอเริ่มคิดว่าถ้าจะเอาให้ออกก็ต้องหาเงินเพื่อไปทำที่คลินิก

"เหตุผลคือว่าไหนจะลูกคนที่ได้เจ็ดเดือนนี่ ต้องเลี้ยงเขาทุกวัน เขาต้องโตขึ้นมาใช่ไหมคะ และจะมีอีกคนในท้องที่ตอนนี้ท้องได้สี่เดือน ถ้าคลอดออกมาแล้วลองคิดดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น เคยคิดฆ่าตัวตายนะคะ แต่สงสารลูกคนนี้ ใครจะเลี้ยง ก็เลยต้องตัดสินใจใช่ไหมคะ ตัดสินใจเอาคนใดคนหนึ่งไว้…(ร้องไห้)"

เธอวางแผนว่า จะไปลางาน แล้วเอาลูกไปฝากเพื่อนเลี้ยงสักสองสามวัน จากนั้นจะไปหาพี่สาวที่อยู่อีกจังหวัดหนึ่ งเพื่อขอความช่วยเหลือ อรพินกลับเข้าบ้านในคืนนั้นและลื่นหกล้มอย่างแรงตรงถนนหน้าบ้านนั่นเอง เธอไม่คิดว่าการล้มจะส่งผลอะไรต่อท้องของเธอเพราะร่างกายเพียงแค่ฟกช้ำดำเขียวเท่านั้น

วันต่อมาอรพินเอาลูกไปฝากเพื่อนแล้วเดินทางต่อไปหาพี่สาวที่อยู่อีกจังหวัดหนึ่ง เมื่อเจอหน้าพี่สาวยังไม่ทันจะได้พูดจากันให้รู้เรื่อง อรพินเกิดปวดท้องขึ้นมาอย่างหนัก เธอบอกพี่สาวได้เพียงสั้นๆ ว่ากำลังท้องอ่อนๆ แล้วเพิ่งหกล้มได้สามวันก่อนหน้าที่จะมาหา พี่สาวจึงรีบพาส่งโรงพยาบาล แม้ว่าหมอจะรักษาให้ แต่คำพูดและการปฏิบัติที่อรพินได้รับตลอดเวลา ที่รักษาตัวอยู่นั้น กลับทำให้บาดแผลในใจบอบช้ำกว่าเดิม

"ต้องเอาใจเขามาใส่ใจเราบ้างว่ามันเป็นเพราะอะไร คนบางคนเกิดมาร่ำรวย ตั้งแต่เล็กจนโต ไม่รู้ว่าความลำบากมันเป็นยังไง บางคนจนตั้งแต่เด็ก ลำบากมาเขาต้องรู้ ประสบการณ์มันต้องมี"


ก้อย

ก้อยแทบไม่เชื่อสายตาตัวเองว่าสถานที่นี้คือคลินิกทำแท้ง สภาพบ้านไม้เก่าโทรมตั้งอยู่ในตรอกเล็กๆกลางตลาดประตูหน้าต่างปิดทึบหมด อากาศภายในบ้านอับชื้นทั้งบ้านโล่งไปหมดแทบไม่มีเฟอร์นิเจอร์อะไร นอกจากเก้าอี้พลาสติกเก่าสองสามตัว

ผู้หญิงวัยกลางคนนั่งอยู่ในมุมที่มืดสลัว เธอแนะนำตัวว่าเคยเป็นพยาบาลมาก่อน แต่ประสบอุบัติเหตุเลยออกมาเปิดคลินิกช่วยเหลือผู้หญิงที่มีที่มีปัญหา ตลอดเวลาที่คุยกันผู้หญิงคนนี้ เรียกแทนตัวว่าหมอ และชอบเล่าว่าเคยช่วยผู้หญิงมาแล้วหลายราย ท้องใหญ่เกือบเจ็ดเดือนก็ช่วยให้รอดมาแล้ว ก้อยไม่อยากจะเชื่อว่าสถานที่และบุคลากรที่เห็นอยู่นี้ จะช่วยให้ตัวเองพ้นจากปัญหาที่มีอยู่ได้ แต่นี่เป็นทางออกเดียวที่มีอยู่ในตอนนี้

ก้อยเพิ่งตั้งท้องเดือนแรก ความสัมพันธ์ระหว่างก้อยกับแฟนนั้น ครอบครัวของแฟนรับรู้และต้อนรับเธอย่างดี แต่ก้อยยังไม่ต้องการแต่งงานในตอนนี้ เธอเพิ่งทำงานมีเงินเดือนเป็นของตัวเองได้ไม่ถึงสามปี ยังสนุกกับงาน สนุกกับชีวิต เพราะไม่มีภาระทางบ้าน พี่น้องทุกคนเรียนจบมีการมีงานทำกันหมดแล้ว

เมื่อรู้ว่าตั้งท้อง แฟนดีใจมาก อยากให้ก้อยเอาไว้แต่เมื่อเธอยืนยันหนักแน่นว่า ไม่พร้อมจะมีเลี้ยงลูกในตอนนี้เขาก็ตามใจ ทั้งก้อยและแฟนช่วยกันหาข้อมูลจากเพื่อนและคนรู้จัก ในที่สุดก็ไปได้เบอร์โทรศัพท์ของพยาบาลคนนี่มาเมื่อเพื่อนซึ่งเคยทำที่นี่มาก่อนช่วยนัดแนะได้แล้ว ก้อยจึงไปกับแฟน หมอเรียกเงินหกพันบาทแต่แฟนก้อยมีไปเพียงสี่พันห้า ในที่สุดก็ต่อรองจนหมด ลดให้เหลือสี่พันห้า ก้อยจึงได้ทำวันนั้นเลย

หมอพาก้อยขึ้นไปบนชั้นสอง ห้องที่ใช้ทำเป็นห้องเล็กๆ ปิดทึบแทบไม่มีแสงจากภายนอกเข้ามา ทั้งห้องว่างเปล่า ไม่มีเครื่องไม้เครื่องมือใดๆ หรือแม้แต่เตียง หมอให้ก้อยนอนบนพื้นปูเสื่อน้ำมันเก่าๆ พื้นบ้านเหนียวเหนอะหนะ ก้อยเปลี่ยนจากกางเกงเป็นผ้าถุงแล้วนอนลงไป หมอเปิดกล่องเหล็กสีดำ ข้างในมีอุปกรณ์เต็มไปหมด บอกว่าจะใช้ยาใส่เข้าไปในช่องคลอด และต้องกดท้องก้อยด้วย ก้อยเจ็บมากตอนที่ถูกกดท้อง เธอพยายามกัดฟันไม่ร้องออกมา หมอทำอยู่ประมาณครึ่งชั่วโมงจึงเสร็จ หมอบอกว่าถ้ามีเลือดออกมาในช่วงสองสามวันนี้ก็ไม่ต้องตกใจ แปลว่าออกมาเรียบร้อยแล้ว

แฟนมาส่งก้อยที่สำนักงาน แต่ก้อยทำงานต่อไม่ไหว หลังจากนั้นอีกสองสามวัน มีเลือดไหลออกมาจากช่องคลอดจริงๆ แต่ออกไม่มากเท่าไร ก้อยสบายใจขึ้นมากเพราะคิดทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว แต่เวลาผ่านไปอีกเกือบเดือน ก้อยเริ่มสงสัยว่าทำไมตัวเองยังมีอาการเหมือนคนท้องอยู่อีก นมยังตึงคัด ท้องยังยื่นออก ก้อยโทรศัพท์ไปคุยกับหมอ หมอบอกให้มาหาโดยด่วน ก้อยไปพบหมออีกครั้ง หมอคลำดูแล้วบอกว่าต้องใส่ยาอีก จริงๆ ต้องคิดเงินอีกสามร้อย แต่จะไม่เก็บเพราะถือว่าได้จ่ายไปแล้ว ก้อยเตรียมใจรับกับความเจ็บปวดในระหว่างที่โดนกดท้องอีกครั้ง คราวนี้หมอกดหนักกว่าเดิม และใส่ยาให้อีกไม่รู้ว่ากี่เม็ด

คืนนั้นก้อยนอนอยู่ที่บ้านด้วยความรู้สึกปวดท้อง ปวดหัว และมีไข้ขึ้นสูจนหนาวสั่น แม่ลุกขึ้นมาดูก้อยบ่อยครั้งเพราะคิดว่าเป็นไข้ทับระดู จนดึกไข้จึงเริ่มลดลง ก้อยลุกไปเข้าห้องน้ำ พอลุกขึ้นเท่านั้นเอง ก้อนเลือดอุ่นๆ ไหลทะลักออกมาเต็มไปหมด แม่เข้ามาช่วยเปลี่ยนผ้าให้ก้อย แล้วกลับไปนอนต่อเพราะก้อยหายปวดท้องแล้ว จนใกล้สว่างก้อยรู้สึกปวดท้องฉี่ เธอลุกขึ้นเพื่อไปเข้าห้องน้ำ คราวนี้ก้อนเลือดทะลักออกมาอีกครั้ง ก้อยเป็นลมล้มฟาดลงกับพื้น พ่อกับแม่รีบพาส่งโรงพยาบาลเอกชนในตัวเมือง

พอไปถึงโรงพยาบาล หมอก็ให้พยาบาลเข้ามาถามอาการ พยาบาลขอให้ก้อยเล่าตามความจริง หมอจะได้รักษาได้ถูกจุด พยาบาลสัญญาว่าจะไม่บอกใคร ก้อยจึงเล่าให้ฟังทั้งหมด วันนั้นหมอสั่งให้น้ำเกลือ จนก้อยรู้สึกมีแรงขึ้นมาบ้างแล้วหมอจึงขูดมดลูกให้ ก้อยรักษาตัวอยู่สองคืน หมดเงินไปเกือบหนึ่งหมื่นบาท ตอนนี้ก้อยกลับมาอยู่ที่บ้านแล้ว และสามารถไปทำงานได้ตามปกติ แต่ในใจยังคงหวาดระแวงว่าตัวเองอาจเป็นมะเร็ง หรือมดลูกอาจไม่ดี มีลูกอีกไม่ได้


กุสุมา

บางครั้งชีวิตก็เป็นยิ่งกว่านิยายชีวิตของกุสุมาเริ่มต้นระหกระเหิน ไปตามเส้นทางที่เด็กสาวส่วนใหญ่ไม่อยากเดินเธอเรียบจบ ม.3 ถูกข่มขืนโดยผู้ชายที่ครอบครัวของเธอไว้ใจกุสุมาพาหัวใจบอบช้ำที่คิดว่า ตัวเองไร้ค่าผ่านวันเวลาไปกับผู้ชายอีกหลายคน เธอมีลูกชายคนโต กับผู้ชายคนหนึ่งและมีลูกชายคนเล็กกับผู้ชายอีกคนหนึ่ง

เมื่อประมาณหกปีที่แล้วตอนเธอผ่าคลอดลูกชายคนที่สอง หมอตรวจพบว่า กุสุมาติดเชื้อเอชไอวี และขอให้เธอทำหมันหลังคลอด กุสุมารับรู้ความจริงนี้ด้วยจิตใจที่เข้มแข็ง เธอพาลูกกลับบ้าน ดูแลลูกอย่างดี พามาตรวจร่างกายอย่างสม่ำเสมอ ต่อมาเธอได้งานทำ ลูกชายจึงไปอยู่ในความดูแลของแม่สามี ชีวิตของกุสุมาดำเนินมาเรื่อยๆ จนถึงวันหนึ่งสามีซึ่งติดเชื้อเอชไอวีได้เสียชีวิตลงด้วยโรคเอดส์ กุสุมาจึงใช้ชีวิตอยู่กับเพื่อนๆ ของเธอโดยเก็บเรื่องที่ป่วยนี้ไว้กับตัวเองเพียงคนเดียว

วันหนึ่งเธอไปหาเพื่อนสนิทที่บ้าน วันนั้นเธอเจอแต่สามีของเพื่อนเพราะเพื่อนออกไปทำธุระข้างนอก สามีของเพื่อนเชื้อเชิญให้เธออยู่รอได้ตามสบาย แต่หลังจากนั้นเขาก็ทำร้ายร่างกายและข่มขืนเธอจนสำเร็จ กุสุมารับรู้ในเวลาต่อมาว่าเธอตั้งท้อง หลังจากไปตรวจจนมั่นใจว่าท้องอย่างแน่นอนทั้งๆ ที่ทำหมันมาเกือบหกปีแล้ว หมอที่คลินิกแนะนำให้เธอกลับไปที่โรงพยาบาลที่เป็นผู้ทำหมันให้ เพื่อขอให้ทางโรงยาบาลรับผิดชอบ

กุสุมาติดต่อโรงพยาบาลเดิมด้วยความหวังว่าเมื่อหมอรู้เรื่องแล้วจะต้องรีบแก้ปัญหาให้เธอย่างรวดเร็วที่สุด เพราะเธอคลอดลูก ทำหมัน และตรวจพบว่าติดเชื้อเอชไอวีที่นี่ แต่เหตุการณ์กลับเป็นตรงกันข้าม

"พอยื่นเรื่องทำบัตรแล้วเขาก็เรียกไปเจอหมอ ไม่ใช่เป็นหมอด้วยนะ เหมือนหมอฝึก เค้าก็เรียกเข้าไปห้องหนึ่ง เป็นห้องที่ว่างอยู่ เหมือนสำหรับให้หมอพักมากกว่า เค้าก็ถามว่าเป็นยังไงครับ เราก็บอกว่าท้อง เคยทำหมันที่นี่ อะไรอย่างนี้ เค้าก็คุยไปนะ เราก็บอกหมดล่ะ แล้วเค้าก็ถามว่า แล้วแฟนรู้ไหม พอเค้าถามตรงนี้มา เราก็อึดอัดใจเหมือนกัน เพราะเราเจอเหตุการณ์ตรงนั้นมา เราไม่ได้มีอะไรกับแฟนเรา ก็เลยรู้สึกว่า โอ๊ย ทำไมฉันต้องตอบคำถามที่มันลำบากใจกับฉันนัก แต่ก็ต้องตอบ ซักพักหนึ่งเค้าก็บอกว่า เดี๋ยวต้องไปตรวจภายในนะ พอซักพักหนึ่งเค้าก็เรียกไปตรวจภายใน จำได้ว่า ไม่รู้มือใครต่อมือใครน่ะ เยอะมาก หมอหลายคนมาก ทรมานมาก เค้าก็เชื่อแล้วนะว่าเราท้องจริงๆ เพราะว่ามดลูกเรามันใหญ่ ได้ยินเค้าพูดกันว่าวัดซิมันกี่เซ็นต์

เสร็จแล้วเค้าก็ให้เรารอคุยกับหมอ คนก็เยอะมาก ก็รอประมาณซักชั่วโมงมั๊ง ทีนี้พอเค้าเรียกไปคุยเนี่ย จำได้ว่าเป็นอาจารย์หมอละ เพราะว่าพวกฝึกอะไรพวกนี้เยอะเลยมานั่งอยู่ด้วย ทีนี้เค้าก็ถามเราว่า เกิดอะไรขึ้นทำไมถึงกลับมาท้อง จริงๆ เราน่าจะเป็นคนถามนะ ทำไมเรากลับมาท้อง ถูกไหมคำถามนี้ เราก็บอกว่าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงกลับมาท้อง เค้าบอกว่า มีลูกแล้วสองคน ผู้หญิงหรือผู้ชาย เราก็บอกว่าผู้ชาย เค้าก็บอกว่าท้องนี้อาจจะเป็นผู้หญิงก็ได้ ไม่เอาไว้เหรอ…ตลกไหมล่ะ เราเป็นอะไรอยู่ เราตลกไม่ออกแล้ว แล้วอีกอย่างหมอก็อยู่กันเยอะด้วย มันก็ลำบากน่ะ ถ้าคุยกันสองต่อสองจะพูดอะไรก็ได้ แล้วประตูมันเปิดอยู่คนก็นั่งข้างนอกกันเต็ม ความรู้สึกคือ ไม่ใช่นะ ก็เลยไปคุยกับสังคมสงเคราะห์ ตอนนั้นเค้าเรียกคุยทีละคน เค้าก็บอกว่าโอเค จะรับเรื่องไว้ให้ แล้วจะนัดให้มาใหม่"

กุสุมาไม่ได้รับคำตอบในวันนั้นว่าทางโรงพยาบาลจะแก้ไขปัญหานี้อย่างไร เธอถูกนัดให้มาตรวจ มาซักถามอีกหลายรอบ เธอต้องรออีกเป็นเดือนทั้งๆ ที่ขณะนั้นเธอท้องเกือบสามเดือนแล้ว จนท้ายที่สุด เจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลก็โทรมานัดหมายวันที่จะทำ เมื่อเธอไปถึงโรงพยาบาล เจ้าหน้าที่ถือใบประวัติคนไข้ของเธอ และนำทางไปที่แผนกสูติกรรม ภายในลิฟท์ที่มีคนไข้ที่มาฝากท้องยืนกันอยู่เต็ม เจ้าหน้าที่อ่านข้อมูลของเธอ แล้วถามด้วยน้ำเสียงห้วนๆ ว่าทำไมถึงเอาออก กุสุมารู้สึกอยากจะแทรกแผ่นดีหนี แต่เธอพยายามอดทน เพื่อที่จะทำให้เสร็จๆ ไป กุสุมาต้องนอนอยู่ที่โรงพยาบาลในคืนนั้นเพื่อรอให้ยาทำปฏิกิริยาแล้วขับสิ่งที่อยู่ภายในออกมา เธอเริ่มปวดท้องตั้งแต่หัวค่ำไปจนกระทั่งเกือบรุ่งเช้า มดลูกจึงเริ่มบีบตัว ขับก้อนเลือดออกมา ความที่โรงพยาบาลใช้เวลานานนับเดือนกว่าจะลงมือแก้ปัญหาให้เธอ กุสุมาจึงต้องเจอสิ่งที่เจ็บปวดหัวใจที่สุด เธอสะเทือนใจมากที่ต้องทนดูสิ่งที่ถูกขับออกมา เพราะหมอและพยาบาลปล่อยให้เธอนอนอยู่ท่ามกลางกองเลือด ที่ถูกขับออกมานานเกือบหกชั่วโมงเป็นหกชั่วโมงที่กุสุมาไม่กล้าขยับตัวเลยแม้ว่าจะเจ็บปวด และเมื่อยขบสักเพียงไหนเธอไม่อยากไปทับก้อนนั้น และนี่คือความในใจของเธอ

"พอเห็นมันมีความรู้สึกว่านี่ก็ลูกเรานะ อะไรอย่างเนี้ย มันอาจจะเกิดจากใครก็ไม่รู้ แต่เค้ามาเกิดกับเรา ความรู้สึกช่วงนั้นมันสะเทือนใจที่สุดเลย บางครั้งก็ยังคิดว่า ทำไมดวงเรามันเป็นอย่างนี้นะ อะไรที่มันไม่ควรเกิด ทำไมมันชอบมาเกิดกับเรา เคยพยายามพูดว่า คนที่เค้าอยากมีลูกน่ะ ทำไมไม่ไปเกิดกับเค้าล่ะ แล้วแม่เป็นแบบนี้นะ ทำไมมาเกิดกับแม่ ทำไมอยากเกิดจังเลย เราจะนอนคิดตลอดนะในหัวใจเรา ไม่ใช่แบบว่า เออออกมาแล้วหลุดแล้ว สิ้นเรื่อง (ร้องไห้) แต่หัวเราจะคิดตลอดว่า อภัยให้เรานะ เราไม่ได้ตั้งใจจะทำอย่างนี้แต่ต้องเข้าใจนะว่า ถ้าเกิดมา แล้วหนูจะมีชีวิตได้แค่ไหน มันจะเป็นบาปกว่าไหม ชาติหน้ามาเกิดกับเราตอนที่สุขภาพดีนะ ไม่ต้องมาเป็นแบบนี้ (ร้องไห้)"




นันทา

ผู้หญิงที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่ตรงหน้าฉันมีชื่อว่า นันทา
เกือบชั่วโมงที่ฉันนั่งอยู่กับเธอตรงนั้น เราสนทนากันผ่านตัวหนังสือ
ฉันเขียนคำถาม เธอเขียนคำตอบ เราร้องไห้ด้วยกัน ยิ้มให้กัน
ในความเงียบตลอดชั่วโมงนั้น

นันทาอายุสามสิบเอ็ดปี เธอแยกทางกับสามีคนแรกและเลี้ยงดูลูกชายอายุเจ็ดขวบเพียงลำพัง

เมื่อปีที่แล้ว เธอตกลงใจใช้ชีวิตคู่อีกครั้งกับชายหนุ่มคนหนึ่งในหมู่บ้าน ทั้งคู่ยังไม่ทันจะตั้งต้นวางแผนอนาคตด้วยกัน นันทาเริ่มมีอาการไม่สบายเธอเจ็บคอมาก หายใจไม่ออก เสียงแหบลงเรื่อยๆ เธอไปตรวจที่โรงพยาบาลหลายครั้ง ไม่พบสาเหตุ จนกระทั่งหมอตัดชิ้นเนื้อบริเวณคอไปตรวจ และพบว่าเธอเป็นมะเร็งที่กล่องเสียง

เธอถูกส่งตัวไปรักษาที่ศูนย์มะเร็งในจังหวัดหนึ่งที่นั่นเธอเริ่มต้นรับการรักษาด้วยวิธีฉายแสง แต่ในช่วงเวลาที่กำลังรักษาตัวอยู่นั้นเอง เธอพบว่าประจำเดือนมาช้าไปสองอาทิตย์แล้วจึงขอให้หมอตรวจให้ ผลออกมาว่าเธอกำลังตั้งท้องอ่อนๆ นันทาปรึกษาหมออยู่สองสามวัน ตัดสินใจว่าต้องเอาออกเพราะถ้าท้อง ก็จะไม่สามารถฉายแสงต่อได้ เด็กอาจพิการหรือปัญญาอ่อน หมอแนะนำให้รอ อีกสามเดือนแล้วค่อยเอาเด็กออก แต่ในระหว่างที่รอนี้ เธอต้องหยุดรับการฉายแสงก่อน

"ไม่รู้จะทำยังไงก็เลยหยุดหมดทุกอย่าง กลับมาอยู่บ้าน ก็ช่วยกันคิดกับแฟน เขาอยากให้เราเอาออก เพราะไม่รู้ว่าจะออกมาพิการขนาดไหน เพราะช่วงแรกที่เราไม่รู้เราก็ฉายแสงไปเยอะแล้ว แต่พอครบสามเดือนกลับไปหาหมอที่ศูนย์มะเร็งอีกที เขายอกทำให้ไม่ได้ ไม่มีเครื่องมือที่จะทำแท้ง พี่เลยตัดสินใจบอกเขาถ้าอย่างนั้นจะผ่าตัดเอามะเร็งออก เขาก็เลยส่งกลับมาที่โรงพยาบาลแรก พอมาถึงหมอบอกว่าจะผ่าคอได้ยังไง เธอต้องเอาออก เธอรู้ไหมว่า เธอเป็นโรคร้ายแรง เธอจะมีโอกาสได้เลี้ยงเขาเหรอ เขาก็ให้ไปศูนย์ทำแท้งที่กรุงเทพฯ พี่ก็ไปแต่ไม่ได้ทำ เพราะเขาคิดเงินเดือนละพัน เราท้องสามเดือนก็ต้องจ่ายสามพัน ไม่มีเงินขนาดนั้นหรอก"

เมื่อถามว่าใช้เวลาคิดอยู่นานเท่าไรก่อนจะตัดสินใจว่าจะเอาออก

"นาน เดือนกว่าๆ เราไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้เลี้ยงเขาหรือเปล่า หรือถ้าให้เขาเกิดมาแล้วเขาพิการ เขาจะมีปมด้อยเปล่าๆ ตอนนั้นเราคิดทุกวันทุกเวลาที่อยู่คนเดียว ว่าลูกจะเกิดมาครบสามสิบสองเหมือนคนอื่นไหม หมออัลตราซาวนด์ดูแล้วก็ยังรับรองให้เราไม่ได้ ตอนแรกไม่ได้คิดเรื่องการทำแท้งแต่พอรู้ว่าเด็กอาจพิการเลยเริ่มคิด ตอนที่ตัดสินใจได้แล้ว ใจหนึ่งดีใจว่าเราจะได้รักษาตัวซะที แต่อีกใจหนึ่งรู้สึกเหมือนเรากำลังทำผิด แต่หมอและทุกคนที่บ้านก็อยากให้เอาออก"

ตอนนี้เธอเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลในกรุงเทพและกำลังรอความหวังจาหมอว่า จะสามารถผ่าตัดเอามะเร็งออก พร้อมๆ ไปกับดูแลให้เธอคลอดลูกอย่างปลอดภัยได้หรือไม่ เพราะแม้ว่าเธออยากจะเอาออกมากเพียงไหน ก็ไม่สามารถทำได้แล้ว

"ถ้าหมอไม่เกี่ยงโยนกันไปกันมาก็คงไม่เป็นแบบนี้ ถ้าทำจริงๆ ก็ทำได้แต่หมอไม่ยอมทำ ไม่เข้าใจว่าเพราะอะไร"

กว่าโรงพยาบาลที่จังหวัดบ้านเกิดจะทำเรื่องส่งตัวเธอมารักษาที่โรงพยาบาลในกรุงเทพก็ใช้เวลาถึงสามเดือน ณ วันที่สัมภาษณ์อยู่นี้ นันทาท้องได้เจ็ดเดือนแล้ว ถึงตอนนี้ สิ่งที่เธอหวาดกลัวที่สุดไม่ใช่เรื่องความพิการของลูก แต่ห่วงว่าเธอจะมีโอกาสเลี้ยงลูกจนกว่าเขาจะช่วยตัวเองได้หรือไม่ทั้งลูกชายคนโตและคนที่กำลัง จะออกมาดูโลกในเดือนหน้านี้

"แค้นใจที่ไม่มีใครช่วยเราได้ ไม่ว่าจะให้การรักษาหรือว่าทำแท้ง"

เธอสะท้อนความรู้สึกที่มีต่อบริการที่ได้รับที่โรงพยาบาลในกรุงเทพว่า

"คิดว่าหมอเขาก็คงอยากรู้เหมือนกันว่าถ้าเจอกรณีคนไข้แบบนี้ รักษาไปขนาดนี้มันจะมีผลออกมาแบบไหน คิดว่าเขาก็คงอยากเอาเราเป็นหนูทดลอง เพราะเราฉายแสงไปบ้างแล้วและก็ผ่าตัดด้วย เจอยาไปหลายขนาน ไหนจะท้องอีก พวกเขาคงอยากรู้ว่าผลจะออกมาอย่างไร พี่รู้สึกไม่มั่นใจเลยว่าเขาจะดูแลเราแบบคนไข้ หมอเคยนัดให้พี่มาตรวจแต่เช้า เจ็ดโมงครึ่ง พอมาถึงให้เราเข้าที่ประชุมกับพวกนักเรียนหมอ บอกให้ดูว่าพี่เป็นมะเร็งแล้วยังท้องอีก เขาก็คุยกันภาษาหมอเราไม่รู้เรื่อง"


บทส่งท้าย


เรื่องราวอันหลากหลายของผู้หญิงที่ประสบปัญหาตั้งท้องเมื่อไม่พร้อม
ทำให้เราได้เรียนรู้ความจริงว่า
รายละเอียดชีวิตของคนแต่ละคนและโอกาสที่แต่ละคนมีอยู่
ทำให้ปัญหาเดียวกัน ไม่ได้จบลงด้วยทางเลือกแบบเดียวกัน
หากแต่ล้วนเป็นทางเลือกที่แตกต่างกันออกไป ตามแต่เงื่อนไขของชีวิตจะกำหนด
เราอาจมีทางออกให้กับตัวเองอย่างหนึ่ง
เขาไม่อาจนำความคิดของเขา เงื่อนไขชีวิตของเขา มาตัดสินปัญหาชีวิตของเราได้
เช่นเดียวกัน…
เราไม่อาจนำความคิดชองเรา เงื่อนไขชีวิตของเรา
ไปตัดสินปัญหาชีวิตของเขาได้
เพราะชีวิตของคนเราย่อมมีทางเดินที่แตกต่างกันออกไป



ที่มา..เอกสารประกอบการประชุมเรื่อง ทางเลือกของผู้หญิงที่ตั้งท้องเมื่อไม่พร้อม
จัดโดย กองวางแผนครอบครัว กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข, สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล,
สถาบันกฎหมายอาญา สำนักงานอัยการสูงสุด, สมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรี, ศูนย์คุ้มครองสิทธิด้านเอดส์
และ The Population Council วันที่ 6 กรกฎาคม 2543 ณ โรงแรมอมารีวอเตอร์ กรุงเทพมหานคร.

[ BACK TO LIST]
main พบแพทย์ คอมพิวเตอร์ เรื่องบ้าน เรื่องรถ เรื่องกฏหมาย เรื่องของผู้บริโภค เรื่องเบาๆ คลายเครียด

มีปัญหาสุขภาพ ที่นี่มีคำตอบ ห้องสมุดE-LIB[ hey.to/yimyam ][ i.am/thaidoc ]

Best view with [IE3.02][NETSCAPE 4.05][OPERA 3.21] resolution 800x600