มาที่นี่ที่เดียว ได้อ่านบทความทางด้านการแพทย์ ภาษาไทย จากเกือบทุกโฮมเพจที่มีใน INTERNET
http://www.oocities.org/Tokyo/Harbor/2093/
จำสั้นๆ i.am/thaidoc



กระดูกและผู้หญิง


เมื่อวันแม่แห่งชาติ 12 สิงหาคม ทางโรงพยาบาลได้จัดกิจกรรมเทิดพระเกียรติ และหนึ่งในกิจกรรม คือ การบรรยายทางวิชาการปรากฏว่ามีผู้สนใจเข้าฟัง ล้นหลามจนล้นห้องประชุม โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกระดูกซึ่งผิดจากแต่ก่อน ที่คำถามมักจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับความสวยงาม รูปพรรณ

ปัจจุบันคำถามเปลี่ยนไปคุณผู้หญิงสนใจสุขภาพและคุณภาพชีวิตมากขึ้น คุณเธอสนใจถามลึกถึงแก่นของร่างกาย เธอสนใจเรื่องของกระดูกส่อแสดงว่า สตรีไทยพัฒนาก้าวไกล นอกจากคำถามจะเกี่ยวกับกระดูกแล้ว ยังมีอีกหลายคำถามที่ไม่ใช่คำถามพื้นๆ บางคำถามเล่นเอาวิทยากรพลิกตำราตอบแทนไม่ทัน มีท่านผู้ฟังท่านหนึ่งน่ารักมากท่านบอกว่าท่านยังอยู่ในวัยสาว เล่นเอาฮือฮาทั้งห้อง เพราะท่านต้องถูกเรียกว่าย่าแล้วท่านต้องใช้ไม้เท้าช่วยพยุงท่าน แก้ข้อสงสัยของทั้งห้องว่า ท่านรุ่นสาวบันได นี่แหละที่ว่า ขิงแก่ย่อมเผ็ด ทำเอาฮาทั้งห้อง ท่านเกริ่นนำว่า ในอดีตท่านกระดูกกับสามีมาก ท่านทำหน้าที่เมียเก็บมาตลอดคือ เก็บทุกอย่างที่สามีหามาได้เธอใช้กระดูกไปมากเลยทำให้กระดูกบาง หลังเริ่มโค้งงอ มิน่าเพราะเธอมีอารมณ์ขันนี่เองเธอจึงดูอ่อนกว่าวัย

นิสัยคนไทยอย่างไรก็คงเป็นอย่างนั้นต้องรอให้มีคนนำเสียก่อนจึงค่อยกล้าแสดงออก หลังจากคุณยายเขี่ยลูก ก็มีผู้ลุกขึ้นถามมากมายทั้งวัยรุ่นวัยสาวซึ่งสาวจริง ไม่ใช่สาวบันไดและผู้สูงอายุ กระดูกคืออะไร มีความเป็นมาอย่างไร องค์ประกอบอะไรบ้าง มีวัฏจักรอย่างไรสร้างจากอะไร มีปริมาณสูงสุดเมื่อไร เริ่มเสื่อมถอยเมื่อไร เสริมสร้างได้อย่างไรฯ ล้วนเป็นคำถามที่น่าตอบทั้งสิ้น แสดงออกถึงความสนใจใคร่รู้ในสุขภาพ นับเป็นเรื่องที่ควรสนับสนุน

กระดูกในมนุษย์ไม่ว่าหญิงหรือชายมีกำเนิดเหมือนกันคือ เกิดจากเนื้อเยื่อชั้นกลางของร่างกายร่างกายมนุษย์นั้นเมื่อเริ่มกำเนิดเป็นตัวอ่อน หรือที่เรียกว่าคัพพะนั้นจะมีเนื้อเป็นสามชั้น ชั้นนอกสุดจะเจริญไปเป็นผิวหนัง เครื่องห่อหุ้มร่างกายและระบบประสาททั้งหลายรวมถึงสมองตาหูฯ คงเคยเห็นดาราบางคน ที่หน้าตาอัปลักษณ์ ร่างกายไม่มีขน ไม่มีฟัน ศีรษะมีผมน้อย เป็นความผิดปกติของเนื้อเยื่อชั้นนอกสุด เด็กที่มีความผิดปกติมีงวงที่หน้าผากที่เป็นข่าวทางหน้าหนังสือพิมพ์เมื่อไม่นานมานี้ว่า แพทย์รพ.จุฬาฯ สามารถคิดค้นวิธีผ่าตัดได้สำเร็จ และโรคปากแหว่งจมูกโหว่ก็ล้วนแต่เกิด จากความผิดปกติของเนื้อเยื่อชั้นนอก ที่เห็นได้ชัดเจนคือโรคท้าวแสนปม

เนื้อเยื่อชั้นในสุดของตัวอ่อนจะเจริญไปเป็นอวัยวะภายในเช่น ตับไต ไส้พุงฯ หรือระบบทางเดินอาหาร ระบบขับถ่ายและระบบอวัยวะสืบพันธ์ภายในของสตรี ระบบสูบฉีดโลหิต ส่วนเนื้อเยื่อชั้นกลางของคัพพะจะเจริญไปเป็น ระบบโครงร่างของร่างกายคือกล้ามเนื้อ เอ็นข้อต่อ ระบบเม็ดเลือดต่างๆ และกระดูก

กระดูกเป็นอวัยวะที่สำคัญมากของมนุษย์ ลองคิดดูถ้าร่างกายเราไม่มีกระดูก ตัวเราคงเหมือนแมงกะพรุนหรือหอยทาก ร่างกายจะกองเกาะอยู่กับพื้น ไม่มีความสง่างามของมนุษย์หลงเหลือ มนุษย์เป็นสัตว์โลกชนิดเดียวที่ร่างกายยืนตั้งฉากกับพื้นโลก สัตว์โลกแม้จะเป็นสัตว์มีกระดูกสันหลังก็จะมีร่างกายขนานกับพื้นโลก กระดูกในร่างกายมนุษย์มีสองชนิด คือกระดูกอ่อนและกระดูกแข็ง กระดูกอ่อนเช่นกระดูกที่ในใบหู กระดูกปลายจมูก กระดูกตามข้อต่อต่างๆ กระดูกอ่อนจะมีคุณสมบัติยืดหยุ่น บิดโค้งไปมาได้ดังจะเห็นว่าใบหูเราเราจะสามารถบิดพับได้ กระดูกอ่อนที่อยู่ตามข้อต่อต่างๆ จะทำหน้าที่เป็นตัวหล่อลื่นของข้อต่อนั้นๆ ที่มีคุณสมบัติ เช่นนั้นเนื่องจากกระดูกอ่อนไม่มีสารแคลเซียมมาสะสม ในส่วนของกระดูกแข็ง ก็จะมีลักษณะแข็งสมชื่อ เนื่องจากมีแคลเซียมมาสะสม กระดูกแข้งเช่นกระดูกแขนขา กระดูกมือ กระดูกเท้า กะโหลกศีรษะ กระดูกเชิงกราน ฟัน ซี่โครง ที่สำคัญคือ กระดูกสันหลัง ตังนี้นี่เองที่จะทำให้มนุษย์ยืนหลังตรงหรือหลังค่อม

กระดูกในตัวอ่อนหรือคัพพะจะเริ่มสร้างตั้งแต่คัพพะมีอายุ 3-4 สัปดาห์ แต่ในระยะนั้นยังมองเห็นไม่ชัด เนื่องจากแคลเซียมเริ่มจะมาสะสมกระดูกต้นขา ซึ่งเป็นกระดูกอันต้นๆ ที่จะเห็นได้ต่อจากกะโหลก กระดูกสันหลังจะเห็นว่า พื้นฐานการสร้างกระดูกจะเริ่มตั้งแต่ทารกยังอยู่ในครรภ์มารดาโดยทารกจะได้แคลเซียมจากมารดา จึงมีความจำเป็นที่ผู้เป็นแม่ควรจะต้องทานแคลเซียมเสริมให้เพียงพอ เมื่อคลอดออกมาแล้วแหล่งที่มาของแคลเซียมก็จะได้จากอาหาร กระดูกก็จะสะสมแคลเซียมไปเรื่อยๆ แคลเซียมเป็นสารที่มีความสำคัญไม่เฉพาะกระดูกเท่านั้น ยังมีความสำคัญต่อระบบเส้นประสาทต่อการทำงานของเซลล์ของร่างกาย ร่างกายมนุษย์จะมีการจัดสมดุลของแคลเซียม ถ้าร่างกายขาดแคลเซียม แคลเซียมจากกระดูก จะถูกละลายออกมาสู่กระแสโลหิต กระดูกก็จะเสียแคลเซียมไป แคลเซียมที่บริโภคเข้าสู่ร่างกายโดยระบบทางเดินอาหารการดูดซึมเข้าสู่กระแสโลหิต จะถูกควบคุมด้วยความเป็นกรด ไวตามินดีและฮอร์โมนจากต่อมพาราไทรอยด์ ในประเทศไทยเราอุดมไปด้วยอาหารที่มีแคลเซียมและแสงแดดที่เป็นแหล่งกำเนิดไวตามินดี ถ้ารู้จักเลือกรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมปริมาณสูง แล้วก็ไม่ต้องรับประทานแคลเซียมเพิ่มเติม ให้เปลืองเงินเปลืองทองเพราะราคาไม่ใช่ถูกๆ

ปัจจัยข้างต้นยังไม่เพียงพอต่อการเตรียมกระดูกให้เพียงพอ ต่อการดำรงคุณภาพชีวิตที่ดีหลังเกษียณฮอร์โมนแล้ว การทำให้กระดูกมีความเครียด มีแรงกดดัน เช่น การกระโดดโลดเต้น การแบกหามโดยเฉพาะการเล่นกีฬา จะช่วยให้กระดูกมีแคลเซียมมาสะสมมาก จะเป็นต้นทุนที่สำคัญในสตรีเมื่ออายุยี่สิบห้าไปแล้ว ปริมาณแคลเซียมในกระดูกจะมีปริมาณสูงสุด ดังนั้นคุณผู้หญิงต้องพยายามสร้างต้นทุนกระดูก ก่อนอายุยี่สิบห้าหรือเบญจเพสหลังจากนั้นกระดูกก็จะไม่พอกพูนหนาขึ้นอีก

ขึ้นชื่อว่าผู้หญิงแล้ว ทุกอย่างในร่างกายดูเหมือนจะตกอยู่ภายใต้อิทธิพล ของฮอร์โมนเพศที่ชื่อเอสโตรเจนไปหมดไม่เว้นแม้แต่กระดูก โดยฮอร์โมนเอสโตรเจนจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสมกุลกระดูก โดยตัวเอสโตรเจนจะมีส่วนในการควบคุมการดูดซึม สลายแคลเซียมออกจากกระดูก กล่าวคือในเนื้อกระดูกนั้นแคลเซียมจะไปสะสมในเซลล์ของกระดูกซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิต เซลล์ตัวนี้จะทำหน้าที่สมดุลแคลเซียมในร่างกายให้โลหิตมีปริมาณแคลเซียมพอเพียง เพื่อไปใช้ในกจการอื่นๆ เช่น เป็นตัวนำสัญญาณในระบบประสาท เป็นตัวทำให้กล้ามเนื้อต่างๆ มีพลังงานในการที่จะทำงานคือ หดรัดตัว โดยเฉพาะกล้ามเนื้อหัวใจและยังเป็นสารสำคัญในระบบทำงานอื่นๆ อีกมาก

เมื่อรังไข่ในคุณผู้หญิงเริ่มทำงานลดน้อยลงก็จะเกิดผลกระทบต่อการสมดุล ของระดับแคลเซียมในกระดูกในร่างกายตามมาการละลายของแคลเซียมจากกระดูกจะมากขึ้น โดยเฉลี่ยอายุหญิงไทยที่เข้าวัยที่รังไข่จะเสื่อมสภาพการทำงาน คือ 48-52 ปี จนเป็นวัยหมดระดูนั่นเอง ในรายที่หมดระดูก่อนวัยดังกล่าว ก็จะทำให้การเสื่อมบางของกระดูกเป็นไปก่อนวัยอันควร ถ้าต้นทุนไม่ดีมากพอ ก็จะเกิดผลแทรกซ้อนได้ ปัจจุบันพบว่าสภาวะหมดระดูก่อนวัยอันควร หรือรังไข่ไม่ทำงานก่อนวัยอันควรพบมากขึ้น ทั้งจากธรรมชาติเองคืออยู่ๆ ก็รังไข่ฝ่อเหี่ยวไปเองหรือปัจจุบันสาเหตุดังที่จะกล่าวนี้พบมากขึ้นคือ จากหมอทำ หรือจากขบวนการรักษาเพราะคุณสุภาพสตรีสนใจตัวเองมากขึ้น มาดูแลตัวเองมากขึ้น ทำให้พบความผิดปกติในระบบอวัยวะสืบพันธุ์มากขึ้นและพบแต่เนิ่นๆ

โดยเฉพาะโรคที่คุณผู้หญิงเป็นชุกมากคือ เนื้องอกในมดลูก ซึ่งเป็นความผิดปกติที่กล้ามเนื้อมดลูกเจริญเติบโตผิดปกติกลายเป็นก้อนทูมเกิดขึ้น ซึ่งในสุภาพสตรี 4-5 คนจะมีโอกาสเป็น 1 คน แม้จะไม่ใช่มะเร็งแต่ก็ก่อปัญหาต่อสุขภาพได้มาก โดยเฉพาะบางชนิดที่ก้อนทูมไปทำให้ผื่นผิวของเยื่อบุโพรงมดลูกขนาดใหญ่เพิ่มขึ้น จะทำให้มีระดูออกมามากจนบางครั้งกลายเป็นโรคโลหิตจางนานๆ เข้าไปแก้ไขก็จะทำให้อวัยวะอื่นรวนไปด้วย เช่น หัวใจ ไต เป็นต้น

มีคนไข้หนึ่งรายผ่าตัดมดลูกออกพร้อมรังไข่เมื่อเดือนที่ผ่านมา ทั้งๆ ที่อายุเพียง 42 ปี เธอมีโรคโลหิตจางและตามมาด้วยหัวใจโต เพราะหัวใจทำงานหนักมากที่ต้องปั๊มเลือดจางๆ ไปเลี้ยงสมองได้เพียงพออยู่ 5 ปี จนหัวใจล้า ต้นเหตุก็จากเนื้องอกมดลูกที่มีขนาดส้มโอหย่อมๆ ทำให้แต่ละรอบเดือน ที่มีระดูออกมามากใช้ผ้าอนามัยหลายกล่องดี แต่ว่าเธอมีธุรกิจคอนโดให้เช่า เป็นเจ้านายตัวเองถ้าทำงานบริษัทหรือรับราชการคงต้องถูกไล่ออก เพราะทุกเดือนเธอแทบจะไปไหนไม่ได้ ต้องอยู่ดูแลตัวเองประมาณ 10 วัน จากการที่มีเลือดระดูออกมามาก ต้องคอยเปลี่ยนผ้าอนามัย และยังอ่อนเพลียจากการเสียเลือดไปมาก เธอเป็นเช่นนี้อยู่ 5 ปีก็ทนไม่ได้ เพราะเกิดผลกระทบต่อระบบอื่นๆ ในที่สุดก็ต้องแก้ไขให้การรักษาต้นเหตุ คือตัดมดลูกออกพร้อมรังไข่ เธอจึงไม่มีฮอร์โมนเพศเอสโตรเจนอีกต่อไป จำเป็นต้องให้ฮอร์โมนทดแทนเพื่อประโยชน์ในการที่จะชะลอการเสื่อมบางของกระดูกด้วย

คำถามที่มีมาเสมอคือ จะให้นานเท่าใดสำหรับฮอร์โมนเอสโตรเจน ปัจจุบันก็จะให้ทานไปจนเกือบตลอดชีวิต ถ้าไม่มีผลข้างเคียง

แต่ฮอร์โมนเอสโตรเจนเพียงอย่างเดียว ไม่เพียงพอในการที่จะดูแลกระดูกให้เสื่อมสลายช้า การดูแลปัจจัยอื่นๆ ที่มีผลต่อแคลเซียมก็เป็นสิ่งจำเป็น ที่สำคัญคือ อาหารหรือแหล่งของแคลเซียม ซึ่งแม้จะอยู่ในวัยที่มีอายุยิ่งจำเป็นแหล่งอาหาร โดยเฉพาะอาหารไทยๆ เรา แต่ว่าอาหารบางชนิดก็จะมีผลทางลบต่อกระดูก หรือรบกวนแคลเซียมสมดุล เช่น กาแฟ เป็นต้น จะทำให้การดูดซึมแคลเซียม ไปทางเดินอาหารถูกรบกวน เนื้อสัตว์นั้นในตัวของมันเองก็จะมีกลุ่มฟอสเฟต ซึ่งจะมีคุณสมบัติที่จะรวมตัวกับแคลเซียมทำให้ไม่ถูกดูดซึมหรือการดูดซึมเป็นไปได้น้อย ดังนั้นควรจะบริโภคในปริมาณที่จำกัดเมื่อสูงวัยและต้องบริโภคอาหารที่มีแคลเซียมปริมาณสูงๆ แต่ในมื้อที่มีเนื้อสัตว์มากก็ไม่ต้องกังวลมาก เพราะในอาหารไทยๆ เรานั้นยังมีสารอื่นๆ ที่จะไม่จับเกาะกับอนุมูลฟอสเฟตได้มีมาก

แอลกอฮอล์ก็เป็นตัวการสำคัญที่จะทำให้การดูดซึมแคลเซียมลดลง ยาบบางอย่าง เช่น ยาลดกรดซึ่งในประเทศไทยบริโภคกันมาก จนบริษัทที่ผลิตยาเหล่านี้ร่ำรวยจนไม่รู้จะเอาเงินทองไปใช้ทีไหนจนต้องเอามาให้นักมวย จะเห็นโฆษณายาเหล่านี้ทั่วๆ ไปยาน้ำสีขาวขุ่นๆ หรือบ้างทำเป็นเม็ด เมื่อบริโภคเข้าไปจะทำให้การดูดซึมแคลเซียมลดลง

ในอดีตเราจึงพบว่าหญิงสูงอายุชาวชนบทก็ดี ในเขตเมืองก็ดีมักจะหลังโก่งค่อม ยิ่งคนผอมจะพบว่าหลังโก่งค่อมมาก ทั้งนี้เพราะในสตรีนั้นคนผอม จะมีปริมาณฮอร์โมนเอสโตรเจนน้อยก็จะทำให้สมดุลของกระดูกเป็นไปในทางลบ ได้มากกว่าคนอ้วน ทั้งนี้เพราะไขมันสตรีที่สะสมอยู่ตามผิวหนังนั้น จะทำหน้าที่สร้างฮอร์โมนเอสโตรเจนได้ด้วย

ดังนั้นในวัยที่ก่อสร้างโครงสร้างกระดูกในวัยรุ่นควรจะมีไขมันสะสมบ้าง จะช่วยทำให้สมดุลกระดูกดีขึ้น ดังนั้นสาวๆ ควรที่จะดูแลตัวเองให้มีรูปร่างพอสมควร ถ้าผอมไป ไร้ไขมันก็จะมีผลต่อโครงกระดูกในระยะยาวไม่ใช่เชียร์ให้มาอ้วนกันเถอะ

นพ.วีระ สุรเศรณีวงศ์



[ ที่มา... นิตยสารแม่และเด็ก   ปีที่ 22 ฉบับที่ 331 กันยายน 2542 ]

[ BACK TO LIST]
main พบแพทย์ คอมพิวเตอร์ เรื่องบ้าน เรื่องรถ เรื่องกฏหมาย เรื่องของผู้บริโภค เรื่องเบาๆ คลายเครียด

มีปัญหาสุขภาพ ที่นี่มีคำตอบ ห้องสมุดE-LIB[ hey.to/yimyam ][ i.am/thaidoc ]

Best view with [IE3.02][NETSCAPE 4.05][OPERA 3.21] resolution 800x600