เมื่อวันแม่แห่งชาติ 12 สิงหาคม ทางโรงพยาบาลได้จัดกิจกรรมเทิดพระเกียรติ
และหนึ่งในกิจกรรม คือ การบรรยายทางวิชาการปรากฏว่ามีผู้สนใจเข้าฟัง
ล้นหลามจนล้นห้องประชุม โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกระดูกซึ่งผิดจากแต่ก่อน
ที่คำถามมักจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับความสวยงาม รูปพรรณ
ปัจจุบันคำถามเปลี่ยนไปคุณผู้หญิงสนใจสุขภาพและคุณภาพชีวิตมากขึ้น
คุณเธอสนใจถามลึกถึงแก่นของร่างกาย เธอสนใจเรื่องของกระดูกส่อแสดงว่า
สตรีไทยพัฒนาก้าวไกล นอกจากคำถามจะเกี่ยวกับกระดูกแล้ว
ยังมีอีกหลายคำถามที่ไม่ใช่คำถามพื้นๆ บางคำถามเล่นเอาวิทยากรพลิกตำราตอบแทนไม่ทัน
มีท่านผู้ฟังท่านหนึ่งน่ารักมากท่านบอกว่าท่านยังอยู่ในวัยสาว เล่นเอาฮือฮาทั้งห้อง
เพราะท่านต้องถูกเรียกว่าย่าแล้วท่านต้องใช้ไม้เท้าช่วยพยุงท่าน แก้ข้อสงสัยของทั้งห้องว่า
ท่านรุ่นสาวบันได นี่แหละที่ว่า ขิงแก่ย่อมเผ็ด ทำเอาฮาทั้งห้อง ท่านเกริ่นนำว่า
ในอดีตท่านกระดูกกับสามีมาก ท่านทำหน้าที่เมียเก็บมาตลอดคือ
เก็บทุกอย่างที่สามีหามาได้เธอใช้กระดูกไปมากเลยทำให้กระดูกบาง
หลังเริ่มโค้งงอ มิน่าเพราะเธอมีอารมณ์ขันนี่เองเธอจึงดูอ่อนกว่าวัย
นิสัยคนไทยอย่างไรก็คงเป็นอย่างนั้นต้องรอให้มีคนนำเสียก่อนจึงค่อยกล้าแสดงออก
หลังจากคุณยายเขี่ยลูก ก็มีผู้ลุกขึ้นถามมากมายทั้งวัยรุ่นวัยสาวซึ่งสาวจริง
ไม่ใช่สาวบันไดและผู้สูงอายุ กระดูกคืออะไร มีความเป็นมาอย่างไร
องค์ประกอบอะไรบ้าง มีวัฏจักรอย่างไรสร้างจากอะไร มีปริมาณสูงสุดเมื่อไร
เริ่มเสื่อมถอยเมื่อไร เสริมสร้างได้อย่างไรฯ ล้วนเป็นคำถามที่น่าตอบทั้งสิ้น
แสดงออกถึงความสนใจใคร่รู้ในสุขภาพ นับเป็นเรื่องที่ควรสนับสนุน
กระดูกในมนุษย์ไม่ว่าหญิงหรือชายมีกำเนิดเหมือนกันคือ
เกิดจากเนื้อเยื่อชั้นกลางของร่างกายร่างกายมนุษย์นั้นเมื่อเริ่มกำเนิดเป็นตัวอ่อน
หรือที่เรียกว่าคัพพะนั้นจะมีเนื้อเป็นสามชั้น ชั้นนอกสุดจะเจริญไปเป็นผิวหนัง
เครื่องห่อหุ้มร่างกายและระบบประสาททั้งหลายรวมถึงสมองตาหูฯ คงเคยเห็นดาราบางคน
ที่หน้าตาอัปลักษณ์ ร่างกายไม่มีขน ไม่มีฟัน ศีรษะมีผมน้อย เป็นความผิดปกติของเนื้อเยื่อชั้นนอกสุด
เด็กที่มีความผิดปกติมีงวงที่หน้าผากที่เป็นข่าวทางหน้าหนังสือพิมพ์เมื่อไม่นานมานี้ว่า
แพทย์รพ.จุฬาฯ สามารถคิดค้นวิธีผ่าตัดได้สำเร็จ และโรคปากแหว่งจมูกโหว่ก็ล้วนแต่เกิด
จากความผิดปกติของเนื้อเยื่อชั้นนอก ที่เห็นได้ชัดเจนคือโรคท้าวแสนปม
เนื้อเยื่อชั้นในสุดของตัวอ่อนจะเจริญไปเป็นอวัยวะภายในเช่น ตับไต ไส้พุงฯ
หรือระบบทางเดินอาหาร ระบบขับถ่ายและระบบอวัยวะสืบพันธ์ภายในของสตรี
ระบบสูบฉีดโลหิต ส่วนเนื้อเยื่อชั้นกลางของคัพพะจะเจริญไปเป็น
ระบบโครงร่างของร่างกายคือกล้ามเนื้อ เอ็นข้อต่อ ระบบเม็ดเลือดต่างๆ และกระดูก
กระดูกเป็นอวัยวะที่สำคัญมากของมนุษย์ ลองคิดดูถ้าร่างกายเราไม่มีกระดูก
ตัวเราคงเหมือนแมงกะพรุนหรือหอยทาก ร่างกายจะกองเกาะอยู่กับพื้น
ไม่มีความสง่างามของมนุษย์หลงเหลือ มนุษย์เป็นสัตว์โลกชนิดเดียวที่ร่างกายยืนตั้งฉากกับพื้นโลก
สัตว์โลกแม้จะเป็นสัตว์มีกระดูกสันหลังก็จะมีร่างกายขนานกับพื้นโลก
กระดูกในร่างกายมนุษย์มีสองชนิด คือกระดูกอ่อนและกระดูกแข็ง
กระดูกอ่อนเช่นกระดูกที่ในใบหู กระดูกปลายจมูก กระดูกตามข้อต่อต่างๆ
กระดูกอ่อนจะมีคุณสมบัติยืดหยุ่น บิดโค้งไปมาได้ดังจะเห็นว่าใบหูเราเราจะสามารถบิดพับได้
กระดูกอ่อนที่อยู่ตามข้อต่อต่างๆ จะทำหน้าที่เป็นตัวหล่อลื่นของข้อต่อนั้นๆ ที่มีคุณสมบัติ
เช่นนั้นเนื่องจากกระดูกอ่อนไม่มีสารแคลเซียมมาสะสม ในส่วนของกระดูกแข็ง
ก็จะมีลักษณะแข็งสมชื่อ เนื่องจากมีแคลเซียมมาสะสม กระดูกแข้งเช่นกระดูกแขนขา
กระดูกมือ กระดูกเท้า กะโหลกศีรษะ กระดูกเชิงกราน ฟัน ซี่โครง ที่สำคัญคือ
กระดูกสันหลัง ตังนี้นี่เองที่จะทำให้มนุษย์ยืนหลังตรงหรือหลังค่อม
กระดูกในตัวอ่อนหรือคัพพะจะเริ่มสร้างตั้งแต่คัพพะมีอายุ 3-4 สัปดาห์
แต่ในระยะนั้นยังมองเห็นไม่ชัด เนื่องจากแคลเซียมเริ่มจะมาสะสมกระดูกต้นขา
ซึ่งเป็นกระดูกอันต้นๆ ที่จะเห็นได้ต่อจากกะโหลก กระดูกสันหลังจะเห็นว่า
พื้นฐานการสร้างกระดูกจะเริ่มตั้งแต่ทารกยังอยู่ในครรภ์มารดาโดยทารกจะได้แคลเซียมจากมารดา
จึงมีความจำเป็นที่ผู้เป็นแม่ควรจะต้องทานแคลเซียมเสริมให้เพียงพอ
เมื่อคลอดออกมาแล้วแหล่งที่มาของแคลเซียมก็จะได้จากอาหาร
กระดูกก็จะสะสมแคลเซียมไปเรื่อยๆ แคลเซียมเป็นสารที่มีความสำคัญไม่เฉพาะกระดูกเท่านั้น
ยังมีความสำคัญต่อระบบเส้นประสาทต่อการทำงานของเซลล์ของร่างกาย
ร่างกายมนุษย์จะมีการจัดสมดุลของแคลเซียม ถ้าร่างกายขาดแคลเซียม
แคลเซียมจากกระดูก จะถูกละลายออกมาสู่กระแสโลหิต กระดูกก็จะเสียแคลเซียมไป
แคลเซียมที่บริโภคเข้าสู่ร่างกายโดยระบบทางเดินอาหารการดูดซึมเข้าสู่กระแสโลหิต
จะถูกควบคุมด้วยความเป็นกรด ไวตามินดีและฮอร์โมนจากต่อมพาราไทรอยด์
ในประเทศไทยเราอุดมไปด้วยอาหารที่มีแคลเซียมและแสงแดดที่เป็นแหล่งกำเนิดไวตามินดี
ถ้ารู้จักเลือกรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมปริมาณสูง แล้วก็ไม่ต้องรับประทานแคลเซียมเพิ่มเติม
ให้เปลืองเงินเปลืองทองเพราะราคาไม่ใช่ถูกๆ
ปัจจัยข้างต้นยังไม่เพียงพอต่อการเตรียมกระดูกให้เพียงพอ
ต่อการดำรงคุณภาพชีวิตที่ดีหลังเกษียณฮอร์โมนแล้ว การทำให้กระดูกมีความเครียด
มีแรงกดดัน เช่น การกระโดดโลดเต้น การแบกหามโดยเฉพาะการเล่นกีฬา
จะช่วยให้กระดูกมีแคลเซียมมาสะสมมาก จะเป็นต้นทุนที่สำคัญในสตรีเมื่ออายุยี่สิบห้าไปแล้ว
ปริมาณแคลเซียมในกระดูกจะมีปริมาณสูงสุด ดังนั้นคุณผู้หญิงต้องพยายามสร้างต้นทุนกระดูก
ก่อนอายุยี่สิบห้าหรือเบญจเพสหลังจากนั้นกระดูกก็จะไม่พอกพูนหนาขึ้นอีก
ขึ้นชื่อว่าผู้หญิงแล้ว ทุกอย่างในร่างกายดูเหมือนจะตกอยู่ภายใต้อิทธิพล
ของฮอร์โมนเพศที่ชื่อเอสโตรเจนไปหมดไม่เว้นแม้แต่กระดูก
โดยฮอร์โมนเอสโตรเจนจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสมกุลกระดูก
โดยตัวเอสโตรเจนจะมีส่วนในการควบคุมการดูดซึม สลายแคลเซียมออกจากกระดูก
กล่าวคือในเนื้อกระดูกนั้นแคลเซียมจะไปสะสมในเซลล์ของกระดูกซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิต
เซลล์ตัวนี้จะทำหน้าที่สมดุลแคลเซียมในร่างกายให้โลหิตมีปริมาณแคลเซียมพอเพียง
เพื่อไปใช้ในกจการอื่นๆ เช่น เป็นตัวนำสัญญาณในระบบประสาท
เป็นตัวทำให้กล้ามเนื้อต่างๆ มีพลังงานในการที่จะทำงานคือ หดรัดตัว
โดยเฉพาะกล้ามเนื้อหัวใจและยังเป็นสารสำคัญในระบบทำงานอื่นๆ อีกมาก
เมื่อรังไข่ในคุณผู้หญิงเริ่มทำงานลดน้อยลงก็จะเกิดผลกระทบต่อการสมดุล
ของระดับแคลเซียมในกระดูกในร่างกายตามมาการละลายของแคลเซียมจากกระดูกจะมากขึ้น
โดยเฉลี่ยอายุหญิงไทยที่เข้าวัยที่รังไข่จะเสื่อมสภาพการทำงาน คือ 48-52 ปี
จนเป็นวัยหมดระดูนั่นเอง ในรายที่หมดระดูก่อนวัยดังกล่าว
ก็จะทำให้การเสื่อมบางของกระดูกเป็นไปก่อนวัยอันควร ถ้าต้นทุนไม่ดีมากพอ
ก็จะเกิดผลแทรกซ้อนได้ ปัจจุบันพบว่าสภาวะหมดระดูก่อนวัยอันควร
หรือรังไข่ไม่ทำงานก่อนวัยอันควรพบมากขึ้น ทั้งจากธรรมชาติเองคืออยู่ๆ
ก็รังไข่ฝ่อเหี่ยวไปเองหรือปัจจุบันสาเหตุดังที่จะกล่าวนี้พบมากขึ้นคือ จากหมอทำ
หรือจากขบวนการรักษาเพราะคุณสุภาพสตรีสนใจตัวเองมากขึ้น มาดูแลตัวเองมากขึ้น
ทำให้พบความผิดปกติในระบบอวัยวะสืบพันธุ์มากขึ้นและพบแต่เนิ่นๆ
โดยเฉพาะโรคที่คุณผู้หญิงเป็นชุกมากคือ เนื้องอกในมดลูก
ซึ่งเป็นความผิดปกติที่กล้ามเนื้อมดลูกเจริญเติบโตผิดปกติกลายเป็นก้อนทูมเกิดขึ้น
ซึ่งในสุภาพสตรี 4-5 คนจะมีโอกาสเป็น 1 คน แม้จะไม่ใช่มะเร็งแต่ก็ก่อปัญหาต่อสุขภาพได้มาก
โดยเฉพาะบางชนิดที่ก้อนทูมไปทำให้ผื่นผิวของเยื่อบุโพรงมดลูกขนาดใหญ่เพิ่มขึ้น
จะทำให้มีระดูออกมามากจนบางครั้งกลายเป็นโรคโลหิตจางนานๆ
เข้าไปแก้ไขก็จะทำให้อวัยวะอื่นรวนไปด้วย เช่น หัวใจ ไต เป็นต้น
มีคนไข้หนึ่งรายผ่าตัดมดลูกออกพร้อมรังไข่เมื่อเดือนที่ผ่านมา
ทั้งๆ ที่อายุเพียง 42 ปี เธอมีโรคโลหิตจางและตามมาด้วยหัวใจโต
เพราะหัวใจทำงานหนักมากที่ต้องปั๊มเลือดจางๆ ไปเลี้ยงสมองได้เพียงพออยู่ 5 ปี
จนหัวใจล้า ต้นเหตุก็จากเนื้องอกมดลูกที่มีขนาดส้มโอหย่อมๆ ทำให้แต่ละรอบเดือน
ที่มีระดูออกมามากใช้ผ้าอนามัยหลายกล่องดี แต่ว่าเธอมีธุรกิจคอนโดให้เช่า
เป็นเจ้านายตัวเองถ้าทำงานบริษัทหรือรับราชการคงต้องถูกไล่ออก
เพราะทุกเดือนเธอแทบจะไปไหนไม่ได้ ต้องอยู่ดูแลตัวเองประมาณ 10 วัน
จากการที่มีเลือดระดูออกมามาก ต้องคอยเปลี่ยนผ้าอนามัย
และยังอ่อนเพลียจากการเสียเลือดไปมาก เธอเป็นเช่นนี้อยู่ 5 ปีก็ทนไม่ได้
เพราะเกิดผลกระทบต่อระบบอื่นๆ ในที่สุดก็ต้องแก้ไขให้การรักษาต้นเหตุ
คือตัดมดลูกออกพร้อมรังไข่ เธอจึงไม่มีฮอร์โมนเพศเอสโตรเจนอีกต่อไป
จำเป็นต้องให้ฮอร์โมนทดแทนเพื่อประโยชน์ในการที่จะชะลอการเสื่อมบางของกระดูกด้วย
คำถามที่มีมาเสมอคือ จะให้นานเท่าใดสำหรับฮอร์โมนเอสโตรเจน
ปัจจุบันก็จะให้ทานไปจนเกือบตลอดชีวิต ถ้าไม่มีผลข้างเคียง
แต่ฮอร์โมนเอสโตรเจนเพียงอย่างเดียว ไม่เพียงพอในการที่จะดูแลกระดูกให้เสื่อมสลายช้า
การดูแลปัจจัยอื่นๆ ที่มีผลต่อแคลเซียมก็เป็นสิ่งจำเป็น ที่สำคัญคือ
อาหารหรือแหล่งของแคลเซียม ซึ่งแม้จะอยู่ในวัยที่มีอายุยิ่งจำเป็นแหล่งอาหาร
โดยเฉพาะอาหารไทยๆ เรา แต่ว่าอาหารบางชนิดก็จะมีผลทางลบต่อกระดูก
หรือรบกวนแคลเซียมสมดุล เช่น กาแฟ เป็นต้น จะทำให้การดูดซึมแคลเซียม
ไปทางเดินอาหารถูกรบกวน เนื้อสัตว์นั้นในตัวของมันเองก็จะมีกลุ่มฟอสเฟต
ซึ่งจะมีคุณสมบัติที่จะรวมตัวกับแคลเซียมทำให้ไม่ถูกดูดซึมหรือการดูดซึมเป็นไปได้น้อย
ดังนั้นควรจะบริโภคในปริมาณที่จำกัดเมื่อสูงวัยและต้องบริโภคอาหารที่มีแคลเซียมปริมาณสูงๆ
แต่ในมื้อที่มีเนื้อสัตว์มากก็ไม่ต้องกังวลมาก เพราะในอาหารไทยๆ
เรานั้นยังมีสารอื่นๆ ที่จะไม่จับเกาะกับอนุมูลฟอสเฟตได้มีมาก
แอลกอฮอล์ก็เป็นตัวการสำคัญที่จะทำให้การดูดซึมแคลเซียมลดลง
ยาบบางอย่าง เช่น ยาลดกรดซึ่งในประเทศไทยบริโภคกันมาก
จนบริษัทที่ผลิตยาเหล่านี้ร่ำรวยจนไม่รู้จะเอาเงินทองไปใช้ทีไหนจนต้องเอามาให้นักมวย
จะเห็นโฆษณายาเหล่านี้ทั่วๆ ไปยาน้ำสีขาวขุ่นๆ หรือบ้างทำเป็นเม็ด
เมื่อบริโภคเข้าไปจะทำให้การดูดซึมแคลเซียมลดลง
ในอดีตเราจึงพบว่าหญิงสูงอายุชาวชนบทก็ดี ในเขตเมืองก็ดีมักจะหลังโก่งค่อม
ยิ่งคนผอมจะพบว่าหลังโก่งค่อมมาก ทั้งนี้เพราะในสตรีนั้นคนผอม
จะมีปริมาณฮอร์โมนเอสโตรเจนน้อยก็จะทำให้สมดุลของกระดูกเป็นไปในทางลบ
ได้มากกว่าคนอ้วน ทั้งนี้เพราะไขมันสตรีที่สะสมอยู่ตามผิวหนังนั้น
จะทำหน้าที่สร้างฮอร์โมนเอสโตรเจนได้ด้วย
ดังนั้นในวัยที่ก่อสร้างโครงสร้างกระดูกในวัยรุ่นควรจะมีไขมันสะสมบ้าง
จะช่วยทำให้สมดุลกระดูกดีขึ้น ดังนั้นสาวๆ ควรที่จะดูแลตัวเองให้มีรูปร่างพอสมควร
ถ้าผอมไป ไร้ไขมันก็จะมีผลต่อโครงกระดูกในระยะยาวไม่ใช่เชียร์ให้มาอ้วนกันเถอะ
นพ.วีระ สุรเศรณีวงศ์
|