ในขณะที่บ้านเมืองเรากำลังเริ่มตื่นตัวและใส่ใจกับเรื่องสุขภาพ
ผู้คนหลากหลายต่างมุ่งเข้าสู่ความเป็นธรรมชาติ กลับไปใช้ชีวิตในวิถีทางที่เรียบง่าย
ซึ่งการปรับตัวสู่วิถีชีวิตแบบนี้ โภชนาการก็เป็นส่วนหนึ่ง
ที่จะเข้ามาเสริมสร้างพลานามัยด้วยเหมือนกัน
ผลิตภัณฑ์อาหารธรรมชาติจากธรรมชาติเพื่อสุขภาพ
จึงได้ผลิดอกออกผลออกมาสู่ตลาดเป็นจำนวนมาก
ไม่ว่าจะเป็นในรูปของอาหารกึ่งสำเร็จ ปรุงสำเร็จ
หรือที่มีส่วนผสมจากสารอาหารที่เป็นธรรมชาติ
นมแม่ อาหารธรรมชาติที่มีคุณประโยชน์มหาศาล
ในการสร้างเสริมการเจริญเติบโตให้กับทารกอย่างมีคุณภาพ
อีกทั้งยังเป็นการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันให้กับลูกน้อย อันรวมไปถึง
การเสริมสร้างสายสัมพันธ์ระหว่างแม่ไปถึงลูกและที่สำคัญหาซื้อขายกันไม่ได้เลย
แต่ในขณะเดียวกัน ในวงการแพทย์ได้มีการค้นคว้า วิจัย
ถึงประสิทธิภาพของนมแม่ที่มีอยู่มากมายแต่แล้วยังมีเด็กอีกจำนวนหนึ่ง
ที่ต้องประสบกับปัญหาการดื่มนมแม่ไม่ได้หรือแม่ไม่มีน้ำนมให้ลูกกิน
และตรงนี้เองจะมีใครรู้บ้างมั้ยว่า เด็กเหล่านี้ที่ไม่มีภูมิต้านทาน
ก็สืบเนื่องมาจากการที่ไม่ได้รับนมแม่ ส่งผลให้ปัญหาระดับต้นๆ
ที่ตามมานั่นก็คือ ปัญหาอุจจาระร่วง
ปัญหาโรคอุจจาระร่วงในเด็ก จึงเป็นปัญหาที่ควรจะล้อมคอกก่อนที่วัวจะหายซะทีได้แล้ว
เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ลูกน้อยต้องมาประสบภาวะโรคทางเดินอาหาร
เห็นทีเราจะต้องมาผนึกกำลังร่วมด้วยช่วยกันแก้ปัญหาอุจจาระร่วงในเด็ก
ซึ่งหนทางในการรักษาเยียวยาในคราวนี้ทำให้เราได้มีโอกาส
เข้าไปพูดคุยกับกุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านโรคทางเดินอาหารท่านหนึ่ง
ที่งานของเธอคลุกคลีอยู่กับผู้ป่วยโรคทางเดินอาหารมาแล้วกว่าค่อนชีวิต
ศ.พ.ญ.วันดี วราวิทย์ กุมารแพทย์หัวหน้าหน่วยทางเดินอาหาร
และฟูอิตอีเล็คโทรลัยด์ จากคณะแพทย์ศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี
ผู้มีประสบการณ์ทางด้านโรคอุจจาระร่วงในเด็กอีก ทั้งยังมีผลงานการวิจัยมากมาย
ที่เกี่ยวกับการดูแลรักษาและป้องกันโรคติดเชื้อจากทางเดินอาหาร
ถึงตอนนี้ไปเข้าเรื่องเข้าราวเก่ยวกับปัญหาทางด้านโรคอุจจาระร่วง
ที่เกิดขึ้นกับเด็กกันเลยดีกว่า ว่าจริงๆ แล้วสาเหตุและปัญหามันมีความเป็นมาเป็นไป
อย่างไรกันแน่
และจากการสืบเรื่องราวของคุณหมอ วันดี ก็ทำให้ทราบว่า
หลังจากคุณหมอวันดีกลับมาจากสหรัฐอเมริกาก็เข้ามาทำงานในฐานะกุมารแพทย์
ในส่วนของโรคอุจจาระร่วง ต่อมาก็เข้าร่วมประสานงานกับกระทรวงสาธารณสุข
เรื่องการควบคุมโรคอุจจาระร่วง ซึ่งในช่วงแรกๆ นั้นยังคงทำการรักษาด้วยเกลือแร่ ORS
และการป้องกันโดยเน้นให้มีการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ กับการให้อาหารเสริมที่มีความสะอาด
แต่ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะทำให้อัตราการเกิดของโรคนั้นลดลงเลย
"จากจุดนี้ทำให้หมอต้องมาดูในเรื่องของปัจจัยที่ทำให้เด็กป่วย
ซึ่งสาเหตุของโรคอุจจาระร่วงในเด็กที่มีอายุน้อยกว่า 5 ปี มาจากเชื้อไวรัสเสียเป็นส่วนใหญ่
และพบได้บ่อยในช่วงอากาศเย็นแห้ง อีกทั้งการเลี้ยงดูเด็กด้วยนมแม่นั้นมีอัตราลดน้อยลง
จึงจำเป็นต้องมีการรณรงค์ให้มีการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่มากขึ้น นอกจากนี้ยังพบว่า
บ้านเราจะมีปัญหาที่เกี่ยวกับพฤติกรรมอนามัยความสะอาดร่วมด้วย
ในเรื่องความสะอาดยังคงเป็นปัญหาอยู่ ซึ่งก็มีการให้ความรู้เรื่องการป้องกัน
ด้วยการสอนให้พ่อแม่รู้จักการเตรียมตัวที่ดี เช่นก่อนทำอาหารเด็กต้องล้างมือให้สะอาด
เวลาเตรียมอาหารเด็กก็ต้องให้สุกแล้วก็ร้อนหรือถ้าหากไม่รับประทานทันที
ก็จะต้องมีฝาชีครอบ และหลังจากเข้าห้องน้ำแล้วควรจะต้องล้างมือทุกครั้ง
แต่ที่ผ่านมาการสอนแม่ล้างมือให้สะอาดกลับทำได้ยากกว่า
เพราะขาดอุปกรณ์และน้ำสะอาด ที่มีอยู่อย่างไม่เพียงพอจะให้แม่ที่อยู่ในถิ่นทุรกันดาร
ซึ่งน้ำจะหายากในฤดูแล้งหรือในชุมชนแรงงานก่อสร้างมาล้างมือหลังเข้าส้วม
หรือก่อนอาหาร คงจะเป็นเรื่องลำบาก เพราะน้ำสะอาดมีไม่มากพอที่จะเอามาล้างมือ
ซึ่งหมอเชื่อว่าตัวของเขาเองก็อยากทำเหมือนกันแต่มันขาดปัจจัยสนับสนุน
ส่วนวัคซีนตอนนั้นก็ยังไม่ออกมาซะที ฉะนั้นถ้าหากปรับปรุงในเรื่องความสะอาด
และสิ่งแวดล้อม ก็ยังพอช่วยได้แต่คงไม่ทั้งหมด"
พอศึกษาไปเรื่อยๆ คุณหมอวันดีก็ได้ค้นพบเรื่องราวของเชื้อจุลินทรีย์สุขภาพ
ที่มีชื่อว่า "โพรไบโอติก" ขึ้นจนกลายเป็นหนทางแห่งการป้องกันโรคอุจจาระร่วง
อีกรูปแบบหนึ่งที่เป็นความหวังใหม่ในการรักษา
"พอมาติดตามการรักษาโรคอุจจาระในเด็กมาเรื่อยๆ
ก็พบรายงานการวิจัยในต่างประเทศถึงเชื้อโพรไบโอติก
เพื่อนำมารักษาโรคอุจจาระร่วงอย่างพวกจุลินทรีย์แลคโตบาซิไล ซึ่งปรากฏว่า
สามารถทำการรักษาได้ผลเป็นที่พอใจ และการใช้จุลินทรีย์สุขภาพนี้
ยังเป็นวิธีการทางธรรมชาติอีกด้วย
เชื้อจุลินทรีย์โพรไบโอติกนั้น เป็นเชื้อที่มาจากแม่
โดยเด็กจะต้องได้รับจากนมแม่เป็นสำคัญ นอกจากนี้นมแม่ก็ยังมีโอลิโกแซคาไรด์
ที่เป็นอาหารของจุลินทรีย์โพรไบโอติกจุลินทรีย์สุขภาพเพื่อให้เจริญเติบโตเพียงพอ
ที่จะปกป้องทางเดินอาหารของลูกในยามปกติด้วย
ในต่างประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกาเขาให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม
ในร่างกายของทารกมาก โดยให้แม่รับประทานอาหารที่มีเชื้อโพรไบโอติกอย่างพวก
โยเกิร์ตหรือนมเปรี้ยวขณะตั้งครรภ์ สำหรับครอบครัวที่มีรายได้น้อย
ก็จะมีคูปองให้ไปรับโยเกิร์ตฟรี ตลอดระยะเวลาที่ตั้งครรภ์เพื่อที่ว่า
ลูกที่เกิดมาจะได้รับจุลินทรีย์เพื่อสุขภาพ ตั้งแต่ระยะหลังคลอด
สำหรับการรักษาโรคอุจจาระร่วงด้วยโพรไบโอติก
ปกติแล้วอย่างที่บอกจะให้ผู้ป่วยดื่มเกลือแร่ ORS ก็สามารถบรรเทาอาการ
ให้หายได้ภายในระยะเวลา 2-3 วัน แต่ถ้ารับประทานเชื้อโพรไบโอติกร่วมด้วย
ก็จะทำให้หายได้ภายใน 1-2 วัน ซึ่งเรามีประสบการณ์ในการให้เชื้อโพรไบโอติก
เพื่อป้องกันการเกิดโรคอุจจาระร่วงในกลุ่มเด็กที่มีความเสี่ยงสูง ซึ่งก็พบว่า
เชื้อเหล่านี้สามารถลดการเกิดโรคอุจจาระร่วงจากเชื้อไวรัสได้
ขณะนี้เรากำลังมองในกลุ่มเด็กที่ถ้าหากดื่มนมแม่มาแล้วจนอายุครบ 1 ปี
และถ้าเผื่อไม่ได้รับสารอาหารในการส่งเสริมให้จุลินทรีย์โพรไบโอติกให้เจริญเติบต่อไป
เชื้อเหล่านี้ก็จะน้อยลง ส่งผลให้ความต้านทานของร่างกายไม่ถาวร"
คุณหมอวันดี ได้อธิบายต่ออีกว่า แท้ที่จริงแล้วเราสามารถแบ่งจุลินทรีย์
ออกได้เป็น 3 ชนิด
"จุลินทรีย์แบ่งออกได้เป็น 3 กลุ่ม คือ
1. กลุ่มที่อยู่กับเราได้อย่างเป็นปกติ (normal flora) หรือจุลินทรีย์สุขภาพ
2. กลุ่มที่อาจฉวยโอกาสก่อโรค
3. กลุ่มที่ปกติแล้วไม่ค่อยอยู่ในลำไส้ เข้ามาเมื่อไหร่จะเกิดโรค
จะเป็นเชื้อก่อโรคในลำไส้ จึงควรจะต้องมีเชื้อจุลินทรีย์สุขภาพ (normal flora) เป็นส่วนใหญ่
เหมือนกับประชากร จุลินทรีย์ในลำไส้ของเด็กที่กินนมแม่ซึ่งได้แก่จุลินทรีย์โพรไบโอติก
อันได้แก่ แลคโตบาซิไลกับไบฟิโดแบคทีเรีย และให้มีเชื้อที่ฉวยโอกาสก่อโรคน้อยลง
ถ้าหากมีภาวะเช่นนี้แล้ว นับว่ามีสิ่งแวดล้อมหรือภาวะนิเวศของจุลินทรีย์ในลำไส้
อยู่ในภาวะสมดุล บางช่วงในลำไส้ของเราอาจจะมีเชื้อโพรไบโอติกน้อยลง
เช่นหลังจากรับประทานยาฆ่าเชื้อหรือยาปฏิชีวนะ หรือดื่มน้ำที่มีคลอรีนเข้มข้น
ก็จะพบว่าเชื้อโพรไบโอติกนี้ลดจำนวนลง เพราะเป็นเชื้อที่ค่อนข้างจะไวต่อยา
ขณะที่เชื้อก่อโรคพวกนี้เป็นพวกที่ดื้อยาเก่ง เพราะฉะนั้นเชื้อเหล่านี้
จึงฉวยโอกาสเติบโตและก่อโรคได้"
อย่างไรก็ตามอัตราการเกิดโรคอุจจาระร่วงยังไม่มีท่าทีว่าจะลดลง
ปัญหาที่สำคัญคือ การที่เด็กไม่ได้ดื่มนมแม่ ทำให้ขาดภูมิต้านทาน
และภายหลังจากที่หย่านมแม่แล้วเด็กเหล่านี้จะมีประชากรจุลินทรีย์สุขภาพลดลงหรือหมดไป
ซึ่งปัจจุบันมีการค้นพบว่าอาหารของเชื้อจุลินทรีย์สุขภาพ เมื่อเด็กได้รับอย่างต่อเนื่อง
หลังจากหย่านมแม่แล้ว ก็สามารถที่จะหล่อเลี้ยงการเจริญเติบโตให้คงอยู่ต่อไป
เมื่อเป็นเช่นนั้นพอหลังจากหย่านมแม่แล้วก็จำเป็นจะต้องมาให้อาหารสำหรับจุลินทรีย์
เพื่อให้เชื้อจุลินทรีย์สุขภาพที่อยู่ในลำไส้ได้เจริญเติบโตตามธรรมชาติ
ช่วยปกป้องให้ลำไส้เด็กต่อไป
แล้วอาหารเพื่อจุลินทรีย์ที่เรียกว่า พรีไบโอติกก็เกิดขึ้น
แต่ก็อดสงสัยอยู่ไม่ได้ว่าจริงๆ แล้วเป็นอย่างไร จะสลักสำคัญแค่ไหน
ซึ่งตรงนี้คุณหมอได้บอกให้ฟังว่า
"พรีไบโอติกเป็นใยอาหารจากธรรมชาติสำหรับจุลินทรีย์ และที่น่าสนใจตรงที่ว่า
พรีไบโอติกเป็นอาหารสำหรับจุลิทรีย์ ซึ่งเลือกเฉพาะเจาะจงที่จะส่งเสริมการเจริเติบโต
ของเชื้อที่เป็นจุลินทรีย์สุขภาพทั้งสองตัว คือ แลคโตบาซิไล กับไบฟิโดแบคทีเรีย
ประโยชน์ของพรีไบโอติกทางตรงเลยก็คือ สร้างภาวะสมดุลของจุลินทรีย์
โดยกระตุ้นการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์สุขภาพ และลดปริมาณของจุลินทรีย์
ที่ฉวยโอกาสก่อโรค เป็นการให้ร่างกายมีภูมิต้านทานตามธรรมชาติ
ช่วยให้ร่างกายดูดซึมธาตุเหล็กและแคลเซียมได้ดีขึ้น
ร่างกายจึงได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์อย่างเต็มที่ผลพลอยได้ก็คือ พรีไบโอติก
เวลาถ่ายอุจจาระก็ไม่ต้องเบ่งมาก ท้องไม่ผูก แต่อย่างไรก็ตาม
เด็กจะต้องกินอาหารเสริมอย่างอื่นตามวัยที่เหมาะสมด้วยเพื่อจะให้ถ่ายสะดวก
และทำให้ร่างกายแข็งแรง
เด็กถ้าหากมีเชื้อโพรไบโอติก หรือเชื้อจุลินทรีย์สุขภาพ
และได้รับอาหารสำหรับจุลินทรีย์ (พรีไบโอติก) ร่วมด้วยจะทำให้เชื้อในลำไส้ส่วนใหญ่
อยู่ในภาวะสมดุล และจะปกป้องไม่ให้เชื้อร้ายเข้าไปก่อโรคได้
ซึ่งเชื้อจุลินทรีย์สุขภาพจะเข้าไปช่วยกระตุ้นความต้านทานในร่างกาย
โดยให้หลั่งสารที่เพิ่มภูมิคุ้มกันออกมา เวลามีเชื้อก่อโรคเข้ามา
ร่างกายจะหลั่งสารภูมิคุ้มกันที่ฆ่าเชื้อโรคออกมาและจุลินทรีย์ก็หลั่งสารฆ่าเชื้อโรคออกมาด้วย
ทำให้เชื้อก่อโรคไม่สามารถเติบโตมากพอที่จะก่อโรคได้
นอกจากนี้ก็ยังพบว่า ถ้ารับประทานเชื้อพรีไบโอติกร่วมกับวัคซีนชนิดรับประทาน
จะทำให้ระดับภูมิคุ้มกันเพิ่มขึ้นจนอยู่ในระดับสูงกว่าการรับประทานวัคซีนอย่างเดียว
เช่นถ้ารับประทานวัคซีนโรคโปลิโอ ภูมิต้านโรคโปลิโอก็จะเพิ่มขึ้นมาก
ร่างกายสามารถต่อต้านโปลิโอได้ดีขึ้น
จริงๆ แล้วพรีไบโอติกนั้นมีอยู่แล้วตามธรรมชาติ อยู่ในอาหารจำพวกข้าวซ้อมมือ
กล้วยน้ำว้า แล้วก็พวกถั่วต่างๆ หัวหอม กระเทียม หรือพวกหัวผักกาดบางชนิด
นักวิจัยทางโภชนาการจังสกัดสารพรีไบโอติกออกมา เรียกว่าโอลิโกฟรุกโตส
ซึงพบว่าเป็นอาหารที่ดีของเชื้อจุลินทรีย์สุขภาพโดยเสริมเข้าไปในนมผง
เพื่อช่วยให้เด็กมีโอกาสได้รับอาหารตามธรรมชาติอีกด้วย"
แล้วสำหรับผู้ใหญ่ล่ะ ท่านจะได้รับประโยชน์อะไรบ้างหรือเปล่าเอ่ย
"ได้ค่ะ พรีไบโอติก โอลิโกฟรุกโตส สามารถรับประทานได้ทุกวัยตั้งแต่วัยเด็ก
ไปจนถึงอายุมากๆ เลย จากการศึกษาพบว่าผู้ใหญ่ได้รับพรีไบโอติกจากอาหารที่รับประทานเป็นประจำ
ในแต่ละวันนั้นประมาณ 0.8 กรัมต่อวัน แจ่เชื้อโพรไบโอติกในร่างกายของเราต้องการพรีไบโอติก
เป็นอาหารประมาณ 2-3 กรัมต่อวัน เชื้อโพรไอติกจึงจะสามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
ส่วนเรื่องที่จะทำให้เด็กอ้วนหรือติดรสหวานนั้นคงไม่น่าจะเกิดขึ้นหรอก
ถ้าหากรับประทานในปริมาณ 1 กรัมก็จะให้พลังงาน 1.5 กิโลแคลอรี
ไม่เหมือนกับน้ำตาลกลูโคส ที่ 1 กรัมให้พลังงานถึง 4 กิโลแคลอรี
และการเติมโอลิโกฟรุกโตสเข้าไปในอาหารเนื้องจากไม่มีรสหวานจัด
ไม่ทำให้รสชาติของอาหารเปลี่ยนไป สีสันของอาหารก็จะไม่มีการเปลี่ยนด้วย
และภาวะโภชนาการก็น่าจะดีขึ้น เพราะทำให้แคลเซียมและธาตุเหล็กดูดซึมได้ดี
แต่ถึงอย่างไร แม้ว่าจะรับประทานโอลโกฟรุกโตสเข้าไปแล้ว
ก็จำเป็นที่จะต้องรับประทานอาหารที่มีกากมีเส้นใยควบคู่ไปด้วย
ซึ่งตรงนี้เป็นเพียงแค่ทางออกทางหนึ่งที่ช่วยเสริม ไม่ใช่เป็นส่วนช่วยทั้งหมด
เพราะว่าท้องผูกก็เนื่องมากจากการบริโภคอาหารที่ไม่มีกาก ซึ่งกากที่เราเสริมเข้าในนม
สำหรับบางคนก็ไม่พอ
ท้ายที่สุดนี้คุณหมอวันดี ได้ฝากบอกมาว่า การช่วยให้เด็กข็งแรง มีภูมิคุ้มกนที่ดี
เด็กก็ควรจะได้รับสารอาหารที่ดีด้วย แต่แท้ที่จริงแล้ว อย่าลืมในเรื่องสายสัมพันธ์
ของความเป็นแม่ลูกที่เป็นสิ่งสำคัญยากยิ่งที่สารอาหารอื่นใดจะมาแทนนมจากแม่
"การช่วยให้เด็กมีภูมิต้านทานที่ดีอย่างการดื่มนมแม่จะช่วยให้เด็กมีภูมิต้านทานสูงได้
แต่ถ้าหากไม่ได้รับประทานนมแม่ก็ควรที่จะเลือกนมที่มีอาหารครบส่วน
เหมาะสมตามวัยและมีสารช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันที่ช่วยปกป้องลูกอย่างต่อเนื่อง
นอกจากอาหารประเภทนมแล้ว เด็กควรจะได้รับอาหารตามวัย ซึ่งอาหารที่ได้รับก็ควรจะมีข้าว
มีเนื้อสัตว์ โดยทั่วไปแล้วควรจะมีข้าว 3 ส่วน เนื้อสัตว์ 1 ส่วน และผักต่างๆ
นอกจากนี้เด็กจะต้องได้รับวัคซีนป้องกันโรคตามเกณฑ์ มีการพักผ่อนที่ดีและได้รับความรัก
ความอบอุ่นตลอดจนการกระตุ้นพัฒนาการและการดูแลสุขภาพที่ดีด้วย
เมื่อมีอาการเจ็บป่วยก็ต้องรีบไปหาหมอเพื่อทำการวินิจฉัยและรักษาเสียแต่เนิ่นๆ นะคะ"
แม่ให้สิ่งที่ดีที่สุดแก่ลูกผ่านทางน้ำนมซึ่งนอกจากจะเป็นการถ่ายทอดสายสัมพันธ์
จากแม่ไปสู่ลูกแล้ว ยังเป็นการเสริมสร้างภูมิต้านทาน โดยเฉพาะโรคอุจจาระร่วงอีกด้วย
ยิ่งไปกว่านั้น สารอาหารที่ได้จากน้ำนมแม่ยังเป็นยาที่พร้อมจะปกป้องคุณภาพชีวิตของลูกน้อย
แต่เมื่อครั้นหย่านมแม่แล้วซิพัฒนาการทางด้านอาหารในปัจจุบันก็สามารถที่จะเสริมสร้างสิ่งแวดล้อม
ภายในร่างกายแบบธรรมชาติให้คุณแม่เป็นทางเลือก เพื่อสืบสานการปกป้องลูกของคุณได้อย่างปลอดภัย
หมอนี่
|