"คุณเป็นโรค พี.ซี.โอ.ดี."
"หา...อะไรนะ ไม่น่าเชื่อว่าดินฉันจะเป็นโรค...
" สตรีเกือบทุกคนหากถูกทักว่าเป็นโรค พี.ซี.โอ.ดี. มักจะไม่เชื่อแต่ใจหนึ่ง
ก็อยากจะรู้ว่า โรคที่ว่านี้คืออะไร ไปเกี่ยวข้องด้วยได้อย่างไร
และมีอันตรายหรือไม่
" พี.ซี.โอ.ดี." เป็นโรคที่มีมานานแล้ว ถูกจดบันทึกครั้งแรกเมื่อกว่าร้อยปีก่อน
ในปี ค.ศ.1844 (พ.ศ.2387) และรายงานเป็นทางการจริงๆ ครั้งแรกเมื่อ
ค.ศ.1935 (พ.ศ.2478) โดย Stein & Leventhal ในบันทึกเขียนไว้ว่าคือ
|
|
โรคนี้ชื่อว่าเป็นกรรมพันธุ์
ถ่ายทอดสู่ลูกหลานที่เป็นผู้หญิงได้
ทำให้มีลูกยาก ที่อันตรายคือ
อนาคตมีแนวโน้ม
จะเป็นโรคอ้วนฉุ เบาหวาน
ความดันโลหิตสูง
ไขมันในเส้นเลือดสูง
โรคหลอดเลือดหัวใจ
และมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก
|
"สภาวะที่มีการขาดประจำเดือนร่วมกับรังไข่ทั้งสองข้างมีถุงน้ำเล็กๆ อยู่มากมาย
ในคนไข้สตรีรูปร่างอ้วน 7 คน ซึ่งบางคนยังมีลักษณะขนดกอีกด้วย"
นักวิทยาศาสตร์ได้ให้เกียรติใช้คำ "กลุ่มอาการสไตน์ลีเวนทาล"
(Stein Leventhal Syndrome) ว่า หมายถึงลักษณะเฉพาะของสตรีอ้วนทุกคนที่มีขนดก
ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ และรังไข่ทั้งสองข้างโตพร้อมกับมีถุงน้ำเล็กๆ
ภายในจำนวนมาก ปัจจุบันเรามักนิยมใช้คำว่า พี.ซี.โอ.ดี. หรือ พี.ซี.โอ.เอส. แทน
" พี.ซี.โอ.ดี." (PCOD) ย่อมาจาก Polycystic Ovarian Disease
และ เรียกกลุ่มอาการของโรคนี้ว่า "PCOS" ย่อมาจาก Polycystic Ovarian Syndrome
ซึ่งประกอบด้วยลักษณะอาการแสดงต่างๆ มากมายแต่ไม่ใช่ว่าสตรีที่เป็นโรคนี้
จะต้องมีครบทุกลักษณะ
ลักษณะที่พบบ่อยๆ ในคนไข้สตรีโรคนี้คือ
- ภาวะมีลูกยาก พบร้อยละ 75
- ภาวะขนดก พบร้อยละ 56
- ขาดประจำเดือน พบร้อยละ 47
- อ้วน พบร้อยละ 33
- ประจำเดือนมาสม่ำเสมอ พบร้อยละ 16
- ภาวะขนดกและมีลักษณะหลายอย่างกระเดียดไปทางผู้ชาย พบร้อยละ 17
โรคนี้เกี่ยวข้องกับสตรีและมีอันตรายอย่างไร
โรคนี้เชื่อว่าเป็นกรรมพันธุ์ ถ่ายทอดสู่ลูกหลานที่เป็นผู้หญิงได้
มีผลร้ายคือ ทำให้มีลูกยาก ที่อันตรายคือ อนาคตมีแนวโน้มจะเป็นโรคอ้วนฉุ
โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคไขมันในเส้นเลือดสูง โรคหลอดเลือดหัวใจ
และโรคมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก
จะเห็นว่าแต่ละโรคน่ากลัวทั้งนั้น จึงสมควรที่สตรีทุกคน
ควรศึกษาหาความรู้โรคนี้เอาไว้ ที่ศูนย์การแพทย์มหาวิทยาลัยฮอลแลม
(Hallam Medical Center) ได้ศึกษาคนไข้สตรีที่ส่งมาปรึกษาเพื่อทำ "เด็กหลอดแก้ว"
ในรอบเดือนธรรมชาติ (ทุกคนมีประจำเดือนมาปกติสม่ำเสมอ)
จะพบว่าร้อยละ 43.5 มีรังไข่ชนิด พี.ซี.โอ. (PCO)
โรค พี.ซี.โอ.ดี. เป็นโรคที่มีระบบควบคุมสั่งการระหว่างสมองกับรังไข่ไม่สมดุล
สารที่เป็น "คำสั่งจากสมอง" ซึ่งประกอบด้วยฮอร์โมน LH (Luteinizing Hormone)
และ FSH (Follicular Stimulating Hormone) มีความผิดปกติ
โดยปริมาณของฮอร์โมน LH จะหลั่งออกมาอยู่ในกระแสเลือดมากกว่า FSH
ถึง 2-3 เท่า
นักวิทยาศาสตร์การแพทย์บางคนเชื่อว่า ความผิดปกติของโรคนี้
มีจุดกำเนิดอยู่ที่ระบบควบคุมสั่งการ แต่ปรากฏว่า มีผู้คัดค้านเป็นจำนวนมาก
โดยส่วนใหญ่เชื่อว่าน่าจะเกิดจากการตอบสนองของสมอง
ต่อการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนในส่วนต่างๆ ของร่างกายมากกว่า
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นกาตอบสนองต่อภาวะฮอร์โมนเพศชายเกิน
และฮอร์โมนเอสโตรเจนเกิน
ภาวะฮอร์โมนเพศชายเกินเชื่อว่าเกิดจากรังไข่ขาดเอนไซม์
ที่ใช้เปลี่ยนฮอร์โมนเพศชายให้เป็นฮอร์โมนเอสโตรเจน
ทำให้ฮอร์โมนเพศชายสะสมในน้ำหล่อเลี้ยงไข่และหลั่งไหลเข้าสู่กระแสเลือดอยู่ตลอดเวลา
ซึ่งต่อมาจะถูกเปลี่ยนแปลงที่บริเวณไขมันตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย
ให้กลายเป็นฮอร์โมนเอสโตรเจนอีกชนิดหนึ่ง ในที่สุดจะส่งผลให้เกิด
ภาวะฮอร์โมนเอสโตรเจนเกิน
ฮอร์โมนเอสโตรเจนที่เกิดขึ้นนี้ มีผลต่อสมองแตกต่างจากฮอร์โมนเอสโตรเจน
ที่สร้างจากรังไข่ คือสมองตอบสนองออกมาในลักษณะที่หลั่ง LH
ปริมาณสูงแต่หลั่ง FSH ปริมาณต่ำ
LH ทำหน้าที่เป็น "สัญญาณจากสมอง" ไปกระตุ้นรังไข่ในส่วนเนื้อเยื่อ
ที่นอกเหนือจากเซลล์สร้างไข่ให้สร้างฮอร์โมนเพศชาย เพื่อเป็นแหล่งวัตถุดิบ
ในการสร้างฮอร์โมนเอสโตรเจนอีกที โดยอาศัยเอนไซม์ตัวหนึ่ง
ซึ่งขาดแคลนในคนไข้ พี.ซี.โอ.ดี. ทำหน้าที่เปลี่ยนแปลง
FSH ทำหน้าที่เป็น "คำสั่งหรือสัญญาณจากสมอง"
คอยกระตุ้นเซลล์สืบพันธุ์ "ไข่" ให้เจริญเติบโตเป็นขั้นๆ ไป
พร้อมกันนั้น "ไข่" จะสร้างฮอร์โมนเอสโตรเจนไปด้วยโดยอาศัยวัตถุดิบ
(ฮอร์โมนเพศชาย) ที่สร้างจากเซลล์เนื้อเยื่อที่นอกเหนือจากเซลล์สร้างไข่
ในสตรีที่เป็น พี.ซี.โอ.ดี. เซลล์ "ไข่" จะหยุดเจริญเติบโตในระยะต่างๆ
และบางใบก็ฝ่อไป สำหรับผลต่อร่างกายคือ มีสิวและขนดกเกิดขึ้น
ในบริเวณที่ไม่ต้องการ เช่น ใบหน้า หน้าอก แผ่นหลัง และแขนขา เป็นต้น
แต่เดิมมาเชื่อว่า ภาวะอ้วนเป็นตัวการก่อให้เกิด พี.ซี.โอ.ดี.
ที่สำคัญอันหนึ่ง แต่ปัจจุบันพบว่าสตรีที่เป็น พี.ซี.โอ.ดี.
จำนวนมากมีรูปร่างปกติ ไม่อ้วน
ภาวะอ้วนมีส่วนสัมพันธ์กับโรคนี้ คือ ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนเพศชาย
ที่บริเวณไขมันตามส่วนต่างๆ ของร่างกายให้กลายเป็นฮอร์โมนเอสโตรเจนอีกชนิดหนึ่ง
ซึ่งต่างจากในรังไข่ นอกจากนี้ยังมีส่วนส่งเสริมให้เกิดภาวะฮอร์โมนอินซูลินสูง
ในกระแสเลือดอีกด้วย
สตรีที่เป็น พี.ซี.โอ.ดี. ร้อยละ 25 จะมีฮอร์โมนโปรแลคตินสูงในกระแสเลือดด้วย
ซึ่งมีผลคือ ทำให้ไม่มีประจำเดือนและกระตุ้นต่อมหมวกไตให้สร้างฮอร์โมนเพศชายมากขึ้น
นอกจากนั้นยังรบกวนระบบควบคุมสั่งการ (Ovarian Axis) อีกด้วยถือว่า
เป็นการช่วยส่งเสริมวงจรอุบาทว์ของการเกิดโรคนี้อีกทางหนึ่ง
- พี.ซี.โอ.ดี. กับภาวะมีลูกยาก
จากการศึกษา Hull และคณะเมื่อปี ค.ศ.1988 (พ.ศ.2531)
จะพบภาวะ พี.ซี.โอ.ดี. ในสตรีมีลูกยากประมาณร้อยละ 15
ปัญหาสำคัญที่สุดในการรักษาคือ การกระตุ้น "ไข่" ไม่สำเร็จ
หมายถึง "ไข่" ซึ่งปกติมีอยู่มากมายไม่ตอบสนองต่อยากระตุ้น
ทำให้ไม่สามารถนำเอา "ไข่" ที่มีคุณภาพจากรังไข่ออกมาใช้ได้
อย่างไรก็ตาม ความล้มเหลวจากการกระตุ้น "ไข่" และการตั้งครรภ์
ไม่ใช้เหตุผลเดียวที่สตรีเหล่านี้ไม่มีลูกเพราะถึงแม้จะตั้งครรภ์ขึ้นมาจริงๆ
ก็มีโอกาสแท้งบุตรสูง
การรักษา
ปัญหาส่วนใหญ่สตรีที่เป็น พี.ซี.โอ.ดี. มาหาหมอ คือไม่มีประจำเดือน
และเลือดออกจากโพรงมดลูกผิดปกติทั้งสองปัญหาต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่า
ไม่ใช่การตั้งครรภ์ บางทีอาจจำเป็นต้องขูดมดลูกเพื่อแยกโรคมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก
ออกไปหลังจากนั้น
จึงค่อยทำการรักษา
ในรายที่ยังไม่ต้องการมีบุตรจะได้รับการรักษาด้วยฮอร์โมนเป็นเวลา 6-9 เดือน
เพื่อควบคุมการเปลี่ยนแปลงของเยื่อบุโพรงมดลูกให้ลอกหลุดในแต่ละรอบเดือน
ซึ่งเป็นการป้องกันภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกหนาและมะเร็งด้วย
หลังจากนั้นร่างกายจะปรับสภาพของตัวมันเอง ส่วนในรายที่ต้องการมีบุตร
หลักสำคัญของการรักษา คือ การกระตุ้นและชักนำให้ "ไข่" ตก
เทคโนโลยีที่นำมาช่วยเหลือเพื่อให้เกิดการตั้งครรภ์ คือ
1. การฉีดเชื้อเข้าโพรงมดลูกต้องกระทำร่วมกับการกระตุ้น
และชักนำให้ "ไข่" ตกเสมอ สำหรับผลสำรวจพบว่า
มีอัตราการตั้งครรภ์ประมาณร้อยละ 15-20 ต่อรอบเดือน
2. การทำ "กิฟ" ในสตรีที่เป็น พี.ซี.โอ.ดี. ไม่ค่อยมีใครรายงานไว้
และผลสำเร็จที่ได้ก็ไมค่อยดีนักแต่หากตั้งครรภ์ขึ้นมาจะมีโอกาสเกิดภาวะรังไข่
ถูกกระตุ้นมากเกินไปสูง ซึ่งเป็นอันตรายต่อชีวิตอย่างมาก
ปัจจุบันไม่ค่อยมีใครนำเอาวิธีนี้มาใช้ในการรักษา
3. การทำ "เด็กหลอดแก้ว" วิธีมาตรฐานและหยอด "ตัวอ่อน"
ทางช่องคลอด (IVF-ET) หรือทางปีกมดลูก (ZIFT) เป็นวิธีการที่มีการศึกษากันอย่างมาก
ถือว่าเป็นแนวทางเลือกอีกแนวทางหนึ่งซึ่งเหมาะสมสำหรับโรคนี้
สำหรับอัตราการตั้งครรภ์ จากการหยอด "ตัวอ่อน" ทางปีกมดลูก
(ประมาณ 30-40%) จะสูงกว่าทางปากมดลูก (ประมาณ 15-20%) อย่างชัดเจน
ค.ศ.1993 (พ.ศ.2536) D.Bider และคณะได้ทบทวน 14
รายงานวิจัยจากหลายสถาบัน พบว่า มีอัตราการตั้งครรภ์ประมาณ 33%
ต่อรอบเดือนแต่อัตราการแท้งบุตรสูงถึง 46% ทำให้โอกาสที่จะได้ทารกกลับบ้าน
เหลือเพียง 20% เท่านั้น
ค.ศ.1995 (พ.ศ.2538) Hideya Kodama และคณะ ได้รายงาน
อันเป็นการเสริมเพิ่มเติมว่า สตรีที่เป็น พี.ซี.โอ.ดี. มีอัตราการยกเลิกหยอด
"ตัวอ่อน" สูงถึง 22% เนื่องจากเจาะได้ "ไข่" ไม่สมบูรณ์ออกมาหรือ "ไข่"
ที่ได้ไม่มีการปฏิสนธิซึ่งแสดงถึงว่าคุณภาพของ "ไข่" ในสตรีเหล่านี้แย่มาก
4. การทำ "อิ๊กซี่" เป็นกรรมวิธีที่มีประโยชน์ต่อสตรีที่เป็นโรคนี้มาก
ใช้ในกรณีที่ฝ่ายชายมีปัญหา "เชื้ออ่อน" ร่วมด้วยหรือล้มเหลวจากการทำ
"เด็กหลอดแก้ว" วิธีมาตรฐานโดยจะมีผลให้อัตราการปฏิสนธิสูงขึ้นอย่างชัดเจน
5. การเจาะท้องส่องกล้องใช้ความร้อน, ไฟฟ้าหรือเลเซอร์
เจาะผิวรังไข่เพื่อทำลายเนื้อรังไข่บางส่วน เป็นวิธีการผ่าตัดชนิดใหม่ผ่านทางกล้อง
Laparoscope ซึ่งทำให้ร่างกายบาดเจ็บน้อยลงและสามารถใช้
ทดแทนวิธีการผ่าตัดรูปลิ่มแบบเก่า ผลที่ได้รับคือ
เกิดการปรับสภาพฮอร์โมนที่ผิดปกติให้ดีขึ้นและเกิดการตกไข่ตามปกติ
S.M.Heylen และคณะได้รายงานไว้ในปี ค.ศ.1994 (พ.ศ.2537)
อย่างน่าสนใจว่าภายหลังผ่าตัดด้วยวิธีดังกล่าว จะมีการตกไข่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ
ได้ถึงร้อยละ 80 และมีอัตราการตั้งครรภ์เองร้อยละ 55 ส่วนสตรีที่เดิม
ไม่ตอบสนองต่อยา Clomiphene Citrate สามารถกลับมาตอบสนองต่อยานี้
และตั้งครรภ์ได้สำเร็จร้อยละ 18 สรุปรวมความว่าการตั้งครรภ์ภายหลังผ่าตัด
และดูแลรักษาอย่างเหมาะสมภายในระยะเวลา 18 เดือน จะมีอัตราสูงถึงร้อยละ 73 ทีเดียว
สำหรับปัญหาอื่นๆ ที่สำคัญได้แก่ ปัญหาทางด้านผิวหนัง
อันเนื่องมาจากการมีสิวและขนดกเกิดขึ้นในบริเวณที่ไม่ต้องการ เช่น
แขน ขา ใบหน้า หน้าอกนั้น รักษาได้โดยการใช้ยาร่วมกันระหว่างฮอร์โมนเอสโตรเจน
(ในยาเม็ดคุมกำเนิด) และฮอร์โมนที่ต้านฮอร์โมนเพศชาย
พี.ซี.โอ.ดี. เป็นโรคที่พบบ่อยในสตรีมีลูกยาก พบมากถึงร้อยละ 15
ของผู้ที่มารักษาในคลินิกมีบุตรยากส่วนใหญ่มีอาการไม่มากนัก
จนอาจไม่คิดว่าผิดปกติ เช่น ระดูห่าง ขนดก อ้วน เป็นต้น
สตรีที่เป็นโรคนี้สามารถมีลูกได้เอง หากโชคดีมีไข่ตกในจังหวะที่พอดี
แต่ส่วนมากควรจะได้รับการรักษาเพื่อหาวิธีที่เหมาะสมมาช่วยเหลือ
การรักษามีตั้งแต่การกระตุ้นและชักนำให้ไข่ตก การฉีดเชื้อเข้าไปในโพรงมดลูก
การทำเด็กหลอดแก้ว จนถึงการทำ "อิ๊กซี่" ซึ่งแต่ละวิธีมีข้อดี
ข้อเสียแตกต่างกันเพราะฉะนั้นควรจะให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญในด้านนี้
เป็นผู้วินิจฉัยตัดสินใจจึงจะได้ประโยชน์สูงสุด
พ.ต.ท. น.พ.เสรี ธีรพงษ์
|