การตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ปัญหาระดับโลก 
 องค์การอนามัยโลกให้ข้อมูลว่า ในทุกปีปัญหาการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์
เป็นสาเหตุนำไปสู่การทำแท้งที่ไม่ปลอดภัยของผู้หญิงอย่างน้อยจำนวน 20 ล้านคน 
ซึ่งกว่า 100,000 คนต้องเสียชีวิตลงในที่สุดเพราะเกิดอาการแทรกซ้อนต่างๆ ยิ่งไปกว่านั้น 
ผู้หญิงอีกจำนวนนับล้านต้องประสบปัญหาเรื้อรังทางสุขภาพอันเนื่องมาจากการทำแท้ง
ที่ไม่ปลอดภัยด้วย 
 เฉพาะในประเทศไทย ผลการสำรวจหลายครั้งระบุว่า
ในจำนวนผู้หญิงที่สมรสแล้วและตั้งครรภ์เป็นการตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์
ถึง 1 ใน 3 ของจำนวนทั้งหมด ซึ่งนับว่าเป็นตัวเลขค่อนข้างสูง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าพิจารณาว่านี่เป็นการสำรวจเฉพาะผู้ที่สมรสแล้วเท่านั้น 
ยังไม่รวมผู้หญิงอีกจำนวนมากที่ตั้งครรภ์โดยที่ไม่ได้สมรส 
ซึ่งมีผู้ที่ตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์เป็นจำนวนมากที่ตัดสินใจยุติการตั้งครรภ์ของตนเอง 
 การคุมกำเนิดแบบฉุกเฉินสามารถช่วยลดอัตราการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์
ซึ่งส่งผลให้การทำแท้งมีจำนวนลดลงด้วย และนั่นหมายถึงชีวิตของผู้หญิง
จำนวนไม่น้อยเลยทีเดียวที่ไม่ต้องสูญเสียไปเพราะการทำแท้งที่ไม่ถูกหลักการแพทย์ 
และชีวิตของเด็กจำนวนมากที่ไม่ต้องเกิดมาโดยที่ครอบครัวไม่พร้อมจะเลี้ยงดู 
 
การคุมกำเนิดแบบฉุกเฉินคืออะไร ? 
 การคุมกำเนิดแบบฉุกเฉินก็คือ วิธีการคุมกำเนิดที่ใช้ภายหลังการมีเพศสัมพันธ์ 
เพื่อป้องกันการตั้งครรภ์เฉพาะกรณีฉุกเฉินจริงๆ 
 การคุมกำเนิดแบบฉุกเฉิน จะใช้เพื่อแก้ปัญหาเฉพาะในกรณีที่คุณ "พลาด" 
และเสี่ยงต่อการตั้งครรภ์โดยไม่ต้องการเท่านั้นมันไม่ใช่การคุมกำเนิดตามปกติ 
และไม่ใช่วิธีที่จะนำมาใช้ในการวางแผนครอบครัวด้วย เรามักเรียกยาเม็ด
ที่ใช้เพื่อการคุมกำเนิดฉุกเฉินนี้ว่า "ยาคุมหลังร่วมเพศ" หรือ "ยาคุมชั่วคราว" 
หรือ "morning after"  ซึ่งเป็นชื่อเรียกที่สร้างความเข้าใจผิด
และนำไปสู่การใช้ยาคุมฉุกเฉีนผิดวัตถุประสงค์ 
ซึ่งอาจมีผลต่อร่างกายของผู้หญิงในระยะยาวเพราะ
ยาคุมฉุกเฉินไม่ใช่การคุมกำเนิดแบบธรรมดาที่เราคุ้นเคยกัน 
อย่างเช่น ยาคุม 21 เม็ด หรือยาคุม 28 เม็ด แต่ยาคุมฉุกเฉินเป็นยาที่ผลิตขึ้นมา
โดยมีสูตรเฉพาะเพื่อให้ผู้หญิงใช้ในช่วงที่เกิดปัญหาและไม่ต้องการตั้งครรภ์เท่านั้น 
หากเรานำยาคุมฉุกเฉินมาใช้แทนวิธีคุมกำเนิดแบบธรรมดา
มันจะกลายเป็นวิธีคุมกำเนิดที่มีประสิทธิภาพต่ำไปในทันที นั่นหมายความว่า 
หากคุณมีเพศสัมพันธ์อยู่เป็นประจำและใช้ยาคุมฉุกเฉินบ่อยๆ เพื่อป้องกันการตั้งครรภ์
คุณจะมีโอกาสเสี่ยงต่อการตั้งครรภ์มากขึ้นเมื่อเทียบกับถ้าคุณใช้วิธีคุมกำเนิดแบบธรรมดาวิธีอื่นๆ 
 การคุมกำเนิดฉุกเฉินมิได้เพียงการกินยาเท่านั้น แต่ยังสามารถทำได้
โดยการใส่ "ห่วงอนามัย" หรือที่เรียกว่า IUD (ไอยูดี) ซึ่งวิธีนี้ต้องอาศัยแพทย์
หรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุขที่ผ่านการอบรมเป็นผู้ใส่ให้เป็นวิธีที่ไม่สะดวกจึงไม่เป็นที่นิยมใช้ 
 
 
การกินยาคุมฉุกเฉินล่วงหน้าก่อนมีเพศสัมพันธ์  
จะไม่สามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้เลย 
  | 
|---|
 
 
 
 
ยาคุมฉุกเฉินคืออะไร ? 
 เป็นเวลาหลายสิบปีแล้วที่ผู้หญิงทั่วโลกใช้ยาคุมฉุกเฉินในการป้องกันการตั้งครรภ์
หลังจากมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้ป้องกัน (unprotected sex) องค์การอนามัยโลกให้การรับรองว่า
การกินยาคุมฉุกเฉินเป็นวิธีที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพในการป้องกัน 
การตั้งครรภ์หลังจากมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้ป้องกันการตั้งครรภ์ในระดับหนึ่ง  
 ยาคุมฉุกเฉินมีส่วนผสมเช่นเดียวกับยาคุมธรรมดา แต่มีปริมาณฮอร์โมนต่อเม็ดสูงกว่า 
และต้องกินหลังจากมีเพศสัมพันธ์ภายในเวลาที่กำหนดเท่านั้น 
จึงจะมีประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์ ในขณะที่ยาคุมธรรมดาต้องกินวันละ 1 เม็ด
ทุกๆ วัน (กรณีแผงละ 28 เม็ด) และมีปริมาณฮอร์โมนต่อเม็ดน้อยกว่า 
 
ยาคุมฉุกเฉินมี 2 แบบ 
 ยาคุมฉุกเฉินฮอร์โมนผสม ซึ่งประกอบด้วยฮอร์โมนเอสโตรเจน
และโปรเจสตินผสมกัน (Combined Pill Regimens : Yuzpe Method) 
ปริมาณยาที่กินแต่ละครั้งต้องมีฮอรฺโมนเอธิลเอสตราดิออล (ethinyl estradiol) 
อย่างน้อย 0.1 มิลลิกรัม รวมกับฮอร์โมนเลวอนอร์เจสเตรล (levonorgestrel) 
อย่างน้อย 0.5 มิลลิกรัม 
 
 
 | 
หรือ | 
 
 | 
 
 
 ยาคุมฉุกเฉินฮอร์โมนเดี่ยว ซึ่งมีฮอร์โมนโปรเจสตินเพียงอย่างเดียว 
(Progestin-Only Pill Regimens)  ปริมาณยาที่กินแต่ละครั้งต้องมีฮอร์โมนเลวอนอร์เจสเตรล 
(levonorgestrel)  อย่างน้อย 0.75 มิลลิกรัม 
 
 
 | 
หรือ | 
 
 | 
 
 
 
 
ใครควรกินยาคุมฉุกเฉิน ? 
 ยาคุมฉุกเฉินไม่ใช่ยาคุมธรรมดาซึ่งที่ต้องกินเป็นประจำทุกวัน 
หากแต่ยาคุมฉุกเฉินมีปริมาณฮอร์โมนสุงกว่า เพราะผลิตขึ้นมาเพื่อ 
แก้ปัญหาให้แก่ผูหญิงที่ไม่ต้องการตั้งครรภ์ในกรณีต่อไปนี้เท่านั้น 
- มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ใช้วิธีคุมกำเนิดใดๆ 
 - ใช้ถุงยางแล้ว แต่ไม่แน่ใจว่ารั่ว/แตก/หลุดหรือไม่ 
 - กินยาคุมชนิดธรรมดาอยู่ แต่ลืมเกินไป วันสองวันหรือนานกว่านั้น 
 - ใส่ห่วงคุมกำเนิดแล้ว แต่มันหลุด
 - นับระยะปลอดภัย (หน้าเจ็ดหลังเจ็ด) ผิดพลาด
 - ถูกข่มขืน, มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ตั้งใจ ไม่เต็มใจ 
  
 ในภาวะฉุกเฉินที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ การกินยาคุมฉุกเฉินอย่างถูกวิธี
หลังจากมีเพศสัมพันธ์จะช่วยลดโอกาสเสี่ยงของการตั้งครรภ์ได้ประมาณ 75% 
แต่ถ้าคุณมีเพศสัมพันธ์อยู่เป็นประจำ หรือมีเป็นระยะๆ คุณควรจะใช้วิธีคุมกำเนิดแบบธรรมดา
ซึ่งจะป้องกันการตั้งครรภ์ได้ดีกว่าการกินยาคุมฉุกเฉิน 
 
 
ยาคุมฉุกเฉินที่ขายในบ้านเราขณะนี้มีอยู่ 2 ยี่ห้อ คือ  
โพสตนอร์ (Postinor) และมาดอนนา (Madonna)  
ซึ่งทั้งสองยี่ห้อต่างก็เป็นยาคุมฉุกเฉินฮอร์โมนเดี่ยว 
  | 
|---|
 
 
 
 
วิธีการกินยา 
 ตามข้อมูลทางวิชาการ การกินยาคุมฉุกเฉินทั้งแบบฮอร์โมนผสม 
และแบบที่มีฮอร์โมนเดี่ยว มีวิธีการกินเหมือนกันคือ ต้องกิน 2 ครั้ง 
ครั้งแรกภายในเวลา 72 ชั่วโมงหลังจากมีเพศสัมพันธ์ 
ครั้งที่สอง กินหลังจากที่กินครั้งแรกไปแล้ว 12 ชั่วโมง
 หมายความว่า ถ้ามีเพศสัมพันธ์ตอนสองทุ่ม และกินยาเม็ดแรกตอน 5 ทุ่ม 
จะต้องกินยาเม็ดที่สองตอน 11 โมงเช้าซึ่งก็คือ 12 ชั่วโมงถัดมานั่นเอง 
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้กำลังมีการศึกษาวิจัยว่า จำเป็นต้องกินยาเม็ดที่สองหรือไม่ 
เพราะถ้าประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์ในกรณีที่กินเม็ดเดียว 
กับกรณีที่กินยาสองเม็ดนั้นไม่แตกต่างกัน การกินแค่เม็ดเดียว
น่าจะช่วยลดอาการข้างเคียงของยาลงได้แต่ยังไม่สามารถยืนยันผลใดๆ 
เนื่องจากการศึกษาวิจัยนี้ยังไม่เสร็จสิ้น 
 
ยาคุมธรรมดาก็สามารถใช้เป็นยาคุมฉุกเฉินได้ 
 ยาคุมแบบธรรมดาว่าจะเป็นแผง 21 เม็ด หรือ 28 เม็ด 
ที่มีชนิดและปริมาณของฮอร์โมนตรงตามสูตรของยาคุมฉุกเฉิน 
สามารถนำมาใช้กินเป็นยาคุมในเวลาฉุกเฉินได้ ตารางที่แสดงในหน้าต่อไปจะบอกให้รู้ว่า 
มียาคุมที่ขายในประเทศไทยยี่ห้อใดบ้างที่สามารถนำมาใช้ในกรณีฉุกเฉินได้ 
ข้อควรระวังในการกินยาแต่ละยี่ห้อ ก็คือ การกินแต่ละครั้งจะมีจำนวนเม็ดยา
ที่ต้องกินมากน้อยต่างกันไปตามปริมาณของฮอร์โมนที่มีอยู่ในตัวยาแต่ละยี่ห้อ
และในการกินแต่ละครั้งจะต้องกินยี่ห้อเดียวกันเท่านั้น 
 
 
การกินยาคุมฉุกเฉินยี่ห้อโพสตินอร์ (Postinor) หรือ  
มาดอนนา (Madonna)  ก็ให้ใช้วิธีนี้เช่นกัน คือ  
กินเม็ดแรกภายใน 72 ชั่วโมงหลังจากที่มีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้ป้องกัน  
แล้วกินเม็ดที่สองในอีก 12 ชั่วโมงถัดมา 
  | 
|---|
 
 
 
 
ตารางแสดงชื่อของยาคุมธรรมดาที่มีขายตามร้านขายยาทั่วไป (1)  
และสามารถนำมาใช้ป้องกันการตั้งครรภ์ในภาวะฉุกเฉินได้ 
 
 
	| ชื่อยี่ห้อ | 	
	จำนวนเม็ดที่ต้องกิน ครั้งที่ 1  |   
	จำนวนเม็ดที่ต้องกิน ครั้งที่ 2 |   
	ปริมาณฮอร์โมนที่ได้รับ เมื่อเทียบกับสูตรยาคุมฉุกเฉิน (2) | 
 
	| Engynon  |   2  |    
	2  |   พอดี  | 
 
	| Exlution  |   1 ½  | 	
	1½  |  พอดี  | 
 
	| Nordette  |  3  | 	
	3  | 	ขาดเล็กน้อย  | 
 
	| Microgynon |   3  | 
	3  | 	ขาดเล็กน้อย | 
 
	| Microgest  |   3  | 	
	3  |    ขาดเล็กน้อย  | 
 
	| Anna  | 	3  | 	
	3  | 	ขาดเล็กน้อย | 
 
	| Marvelon |   3  | 
	3  | 	ขาดเล็กน้อย  |  
 
	| Trinordiol  |  4 (เม็ดสีเหลือง)  | 
	4 (เม็ดสีเหลือง) |    เกินเล็กน้อย |  
 
 
 (1) ข้อมูลเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2542
(2) แม้ว่าปริมาณฮอร์โมนจะขาดหรือเกินเล็กน้อย
แต่อนุโลมให้ใช้ป้องกันการตั้งครรภ์ไนภาวะฉุกเฉินได้
ถ้าไม่สามารถหายี่ห้ออื่นได้ทัน  
 ยาคุมฉุกเฉินเท่าที่พบตามร้านขายยาทั่วไปมี 2 ยี่ห้อคือ โพสตินอร์ (Postinor) 
หรือ (Madonna) ซึ่งเป็นชนิดฮอร์โมนเดี่ยว มีปริมาณฮอร์โมนต่อเม็ด 0.75 มิลลิกรัม 
วิธีการกินยาที่เขียนไว้ในใบกำกับยาของทั้งสองยี่ห้อนี้แนะนำให้ผู้ใช้กินยา 1 เม็ด
ภายใน 1 ชั่วโมง อย่างไรก็ตามข้อมูลจากงานวิจัยในหลายประเทศทั่วโลกบ่งชี้ว่า 
ยาคุมฉุกเฉินชนิดฮอร์โมนเดี่ยวจะมีประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์ได้ 85% 
ถ้ากินยา 2 ครั้ง แต่ละครั้งต้องมีปริมาณฮอร์โมน 0.75 มิลลิกรัม โดยกินตั้งที่ 1 
ไปแล้วอีก 12 ชั่วโมงต่อมาให้กินครั้งที่ 2 ตามไปทันที
  
- กินยาครั้งที่ 1 ภายใน 72 ชั่วโมงหลังจากที่มีเพศสัมพันธ์ 
และอยู่ในภาวะฉุกเฉินที่ไม่มั่นใจว่าจะปลอดภัยจากการตั้งครรภ์  
- กินยาครั้งที่ 2 หลังจากกินยาครั้งที่ 1 ผ่านไปแล้ว 12 ชั่วโมง 
- ควรกินยาตามจำนวนเม็ดที่แนะนำไว้ การกินยาจำนวนมาก 
เกินกว่าที่แนะนำไว้ จะไม่ช่วยให้การป้องกันการตั้งครรภ์มีประสิทธิภาพดีขึ้น 
แต่อย่างใด กลับจะยิ่งทำให้รู้สึกคลื่นไส้และอาเจียนมากขึ้น 
  |  
 
 
 
อาการข้างเคียง 
 จากการศึกษาวิจัยพบว่า หลังจากกินยาคุมฉุกเฉินเข้าไปแล้ว 
ผู้หญิง 1 ใน 2 คนจะมีอาการคลื่นไส้และผู้หญิง 1 ใน 5 คนอาเจียน 
หากกินยาพร้อมกับกินอาหารตามเข้าไปด้วยก็จะช่วยลดอาการคลื่นไส้ลงได้บ้าง
แต่ถ้าอาเจียนในช่วง 2 ชั่วโมงแรกหลังจากการกินยาเม็ดแรก
ก็อาจจะต้องกินเม็ดแรกซ้ำอีกครั้ง 
 หลังการกินยานี้แล้ว ประจำเดือนควรจะมาภายใน 2-3 สัปดาห์ 
แต่ถ้าประจำเดือนไม่มาภายในเวลาดังกล่าวและมีอาการต่อไปนี้คือ 
- ปวดท้อง 
 - เจ็บหน้าอก ไอ หรือหายใจขัด
 - ปวดหัวมาก วิงเวียนศีรษะ อ่อนเพลีย มึนงง 
 - มองเห็นไม่ชัด
 - ปวดน่องหรือโคนขาอย่างหนัก 
  
ให้รีบไปพบแพทย์ทันทีเพราะอาจเป็นการบ่งชี้ถึงการตั้งครรภ์ 
หรืออาการแทรกซ้อนที่จำเป็นต้องให้แพทย์วินิจฉัย 
 
ยาคุมฉุกเฉินป้องกันการตั้งครรภ์ได้อย่างไร ? 
 การออกฤทธิ์ของยาเม็ดคุมกำเนิดแบบฉุกเฉินนั้นมีลักษณะเดียวกัน
กับยาเม็ดคุมกำเนิดแบบธรรมดา จากการศึกษาเชิงสถิติพบว่า 
ยาคุมฉุกเฉินมีการทำงานหลายอย่างพร้อมๆ กัน อาทิเช่น ขัดขวางการตกไข่, 
ทำให้การตกไข่ช้าลงกว่าเดิม ขัดขวางการปฏิสนธิโดยสร้างเมือกขึ้นในท่อนำไข่ 
ทำให้อสุจิและไข่เคลื่อนที่เข้าหากันลำบากขึ้น ขัดขวางการฝังตัวของไข่ที่ได้รับการผสมแล้ว 
เป็นต้น กลไกการทำงานหลายทางนี้ทำให้ยาคุมฉุกเฉินมีประสิทธิภาพ
ในการป้องกันการตั้งครรภ์ค่อนข้างสูง ถ้าใช้เฉพาะกรณีฉุกเฉินจริงๆ เท่านั้น
	
 
ประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์ 
 การกินยาคุมฉุกเฉินจะต้องกินหลังจากที่มีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้มีป้องกันการตั้งครรภ์ 
นั่นคือ เพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ใช้วิธีคุมกำเนิดใดๆ เลย หรือใช้แล้วแต่ไม่ได้ผล
หรือไม่แน่ใจ รวมทั้งในกรณีที่ถูกบังคับหรือล่อลวงให้มีเพศสัมพันธ์ 
หรือกรณีที่ถูกข่มขืน 
 หากกินยาอย่างถูกต้อง คือ กินยาครั้งแรกภายใน 72 ชั่วโมง
หลังจากมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้ป้องกันและอีก 12 ชั่วโมงถัดมาก็กินครั้งที่สอง 
ยานี้มีประสิทธิภาพใน การลดโอกาสตั้งครรภ์ได้ 75 เปอร์เซนต์  
 องค์การอนามัยโลกได้ทำการศึกษาและพบว่า ยาคุมฉุกเฉินแบบที่มี
ฮอร์โมนโปรเจสตินชนิดเดียว หรือที่เรียกว่ายาคุมฉุกเฉินฮอร์โมนเดี่ยวนั้น 
มีประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์มากกว่ายาคุมฉุกเฉินฮอร์โมนผสมโดยการ
สามารถลดโอกาสการตั้งครรภ์ลงได้ 85% และยังก่อให้เกิดอาการคลื่นไส้
อาเจียนน้อยกว่าด้วย 
 แต่ถ้ามีการใช้ยาคุมฉุกเฉินเป็นประจำประสิทธิภาพของยาจะลดต่ำ
กว่าการกินยาคุมแบบธรรมดาทันที 
 
ยาคุมฉุกเฉิน ปลอดภัยหรือเป็นอันตราย ? 
 สถาบันสูตินารีแพทย์ประเทศสหรัฐอเมริกา (American Callege of Obstetrics 
and Gynecology-ACOG) ได้ทำการศึกษาวิจัยผลกระทบข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น
จากการใช้ยาคุมฉุกเฉิน พบว่าการใช้ยาคุมฉุกเฉินอย่างถูกวิธี
และใช้เฉพาะในกรณีฉุกเฉินจริงๆ นั้นไม่ก่อให้เกิดผลกระทบข้างเคียงใดๆ 
ที่เป็นอันตรายต่อผู้ใช้ นอกจากนี้ องค์การอนามัยโลก (World Health Organization) 
ยังได้บรรจุยาคุมฉุกเฉินไว้ใยบัญชียาในปี พ.ศ.2539 ด้วย 
 สำหรับผู้ที่มีประวัติเป็นโรคลมชัก, โรคหัวใจ, โลหิตแข็งตัว 
หรือโรคที่เกี่ยวเนื่องกับเส้นเลือดหัวใจอาจจะต้องปรึกษาแพทย์เสียก่อน 
หรืออาจจะใช้ยาคุมฉุกเฉินชนิดฮอร์โมนเดี่ยว ซึ่งปลอดภัยกว่าชนิดฮอร์โมนผสม
อย่างไรก็ตาม ประมาณ  20 ปีที่การผลิตยานี้ขึ้นมาใช้ ยังไม่พบว่ามีรายงานการเสียชีวิต
หรืออาการแทรกซ้อนร้ายแรงที่เกิดขึ้นจากการใช้ยาคุมฉุกเฉิน 
 
การกินยาคุมฉุกเฉินสามารถทำให้เกิดการแท้ง ได้หรือไม่ ? 
 ในทางการแพทย์ถือว่าการตั้งครรภ์เริ่มต้นขึ้นเมื่อไข่ที่ได้รับการผสม
มีการฝังตัวที่มดลูกอย่างสมบูรณ์แล้วซึ่งกระบวนการฝังตัวนี้จะเริ่มต้นหลังจาก
เกิดการผสมระหว่างไข่กับอสุจิแล้วประมาณ 5 วัน และจะใช้เวลาประมาณ 1 อาทิตย์ 
จึงจะฝังตัวเสร็จสมบูรณ์ ตัวยาในยาคุมฉุกเฉินจะไร้ประสิทธิภาพไปในทันที
ที่กระบวนการฝังตัวเกิดขึ้น จึงไม่สามารถทำให้เกิดการแท้งได้อย่างเด็ดขาด 
 
ถ้ากินยาคุมฉุกเฉินแล้วแต่ยังตั้งครรภ์  
เด็กในครรภ์จะพิการหรือไม่ ? 
 การกินยาคุมฉุกเฉินในกรณีฉุกเฉินจริงๆ (ซึ่งไม่น่าจะเป็นกรณีที่เกิดขึ้นบ่อยๆ 
ในชีวิตของผู้หญิงคนหนึ่งๆ ) ไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้ทารกมีความพิการแต่กำเนิด 
ไม่ว่าจะเป็นในกรณีที่ผู้หญิงกินยาโดยไม่รู้ตัวว่ากำลังตั้งครรภ์อยู่ 
หรือกินยานี้เพื่อป้องกันการตั้งครรภ์แต่ไม่ได้ผลก็ตาม เพราะมีการศึกษาพบว่า 
การกินยาคุมในขณะที่กำลังตั้งครรภ์อยู่นั้นไม่ได้เพิ่มความเสี่ยงต่อความพิการของทารก
ที่จะคลอดออกมา 
  
ถ้าคุณมีเพศสัมพันะอยู่เป็นประจำการกินยาคุมแบบธรรมดา 
จะป้องกันการตั้งครรภ์ได้ดีกว่ายาคุมฉุกเฉิน
  | 
|---|
 
 
 
 
ถุงยางอนามัยกับยาคุมฉุกเฉิน อย่างไหนดีกว่ากัน ? 
 ถุงยางเป็นทางเลือกที่ช่วยป้องกันการตั้งครรภ์และการติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
ไปพร้อมๆ กัน ในขณะที่ยาคุมฉุกเฉินเพียงแค่ช่วยลดโอกาสในการตั้งครรภ์
เฉพาะกรณีฉุกเฉินเท่านั้น ไม่สามารถป้องกันการติดโรคได้  
 ถ้าคุณรู้ล่วงหน้าว่าจะมีเพศสัมพันธ์ ถุงยางอนามัยย่อมเป็นทางเลือกที่ดีกว่าแน่นอน 
ยาคุมฉุกเฉินเป็นเพียงทางออกสำรอง เป็นเพียงทางเลือกสุดท้าย 
ของการป้องกันการตั้งครรภ์เท่านั้น 
ยิ่งคุณมีเพศสัมพันธ์ประจำ การใช้ถุงยางจะป้องกันการตั้งครรภ์
ได้ดีกว่าการกินยาคุมฉุกเฉิน แถมยังช่วยป้องกันโรคเอดส์
และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ ได้อีกด้วย 
 
วิธีคุมกำเนิดแบบฉุกเฉินสามารถลดจำนวนการทำแท้ง
ได้จริงหรือ ? 
 วิธีคุมกำเนิดแบบฉุกเฉินจะลดจำนวนการตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์ลง 
นั่นคือช่วยลดความจำเป็นของการทำแท้งลงด้วยเช่นกัน ที่ประเทศเนเธอร์แลนด์
ซึ่งเป็นประเทศที่มีอัตราการทำแท้งต่ำที่สุดในบรรดาประเทศอุตสาหกรรมพบว่า 
ประชาชนวัยหนุ่มสาวมีอัตราการคุมกำเนิดสูงมาก อีกทั้งยังมีบริการเกี่ยวกับ
วิธีคุมกำเนิดแบบฉุกเฉินเพื่อใช้เป็นทางออกสำรองอยู่อย่างแพร่หลาย
มาเป็นเวลากว่าทศวรรษ 
ส่วนที่ประเทศฟินแลนด์ มีหลักฐานชี้ชัดว่าอัตราการทำแท้งในกลุ่มวัยรุ่นได้ลดลง
หลังจากที่มีการเผยแพร่ข้อมูลเรื่องการคุมกำเนิดฉุกเฉินออกไปในวงกว้าง 
 ในประเทศกำลังพัฒนาหลายประเทศที่การทำแท้งเป็นสิ่งผิดกฎหมาย 
พบว่าการเสียชีวิตของผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์มีสาเหตุใหญ่มาจากการทำแท้งที่ไม่ปลอดภัย 
ปัญหาเกี่ยวกับการทำแท้งถือเป็นความล้มเหลวที่สำคัญอันเกิดจาก
ความขาดแคลนทรัพยากรทางการแพทย์ในท่ามกลางเงื่อนไขเช่นนี้ 
ถือได้ว่าวิธีคุมกำเนิดแบบฉุกเฉินจะช่วยลดการตายและการสูญเสียลงได้ 
อาจช่วยลดความต้องการการบริการทางการแพทย์ที่นับวันจะเพิ่มมากขึ้น 
ทั้งเตียงคนไข้ที่ไม่เพียงพอ จำนวนหมอและพยาบาล ปริมาณโลหิตสำรองที่มีผู้บริจาคเอาไว้ 
รวมตลอดจนถึงความจำเป็นที่ต้องให้การรักษาผู้หญิงที่บอบช้ำจากการทำแท้งด้วย 
 
มีผู้หญิงจำนวนมากเท่าไหร่ที่ใช้ยาคุมฉุกเฉิน ? 
 พบว่าอัตราการใช้ยาคุมฉุกเฉินมีสูงมากในประเทศที่มีการจำหน่ายยา
ในรูปแบบที่ง่ายต่อการใช้ มีปริมาณฮอร์โมนต่อเม็ดที่สะดวกต่อการกิน 
และมีใบกำกับยาที่ถูกต้องชัดเจนสำหรับทั้งหมอและผู้ที่ต้องการใช้ 
ซึ่งมักเป็นประเทศในแถบยุโรป 
 ในขณะที่ผู้หญิงที่อยู่ในประเทศพัฒนาแล้วอย่างเช่น สหรัฐอเมริกา 
มักจะเคยได้ยินข้อมูลเรื่อง "ยาคุมหลังร่วมเพศ" มาบ้าง แต่ส่วนใหญ่
จะไม่มีข้อมูลที่ชัดเจนว่า การคุมกำเนิดแบบฉุกเฉินคืออะไร 
และมีวิธีการใช้ที่ถูกต้องอย่างไร 
 ในปี พ.ศ.2537 มีการสำรวจในสหรัฐอเมริกา โดยมูลนิธิตระกูลเฮนรี่ 
เจ ไคเซอร์ (Henry J.Kaiser Family Foundation) พบว่ามีผู้หญิงอเมริกันเพียง 1% 
โดยประมาณเท่านั้นที่เคยใช้ยาคุมฉุกเฉิน และมีสูติแพทย์เพียง 1 ใน 4
ที่สั่งยานี้ให้คนไข้ ขณะนี้หลายหน่วยงานในประเทศสหรัฐอเมริกากำลังรณรงค์
ให้ผู้บริโภคมีความรู้เรื่องยาคุมฉุกเฉินรวมทั้งรณรงค์ให้ร้านขายยา
สามารถจำหน่ายยาคุมฉุกเฉินได้โดยไม่ต้องมีใบสั่งจากแพทย์ด้วย 
 สำหรับประเทศกำลังพัฒนานั้น ผู้เชี่ยวชาญตั้งข้อสันนิษฐานว่า
ระดับความรู้และอัตราการใช้ยาคุมฉุกเฉินน่าจะอยู่ในระดับต่ำมาก 
 
  
อย่าลืมว่า! ยาคุมฉุกเฉินช่วยลดโอกาสในการตั้งครรภ์เท่านั้น  
ไม่ได้ช่วยป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ใดๆ เลย  
สิ่งที่จะช่วยป้องกันการติดโรคจากการมีเพศสัมพันธ์ที่ดีที่สุดคือ ถุงยางอนามัย  
ซึ่งการใช้ถุงยางเปรียบเสมือนใช้กระสุนนัดเดียวยิงนกได้สองตัว 
เพราะสามารถป้องกันการตั้งครรภ์ และป้องกันการติดโรคได้ในขณะเดียวกัน
 | 
|---|
   
 
 โครงการรณรงค์เพื่อสิทธิอนามัยเจริญพันธุ์
  |