มาที่นี่ที่เดียว ได้อ่านบทความทางด้านการแพทย์ ภาษาไทย จากเกือบทุกโฮมเพจที่มีใน INTERNET
http://www.oocities.org/Tokyo/Harbor/2093/
จำสั้นๆ i.am/thaidoc



 Pill of Choice  เลือกยาคุมกำเนิด


โดยปกติควรเลือกยาเม็ด
คุมกำเนิดสูตรที่เอสโตรเจน
และโปรเจสเตอโรนอยุ่น้อยที่สุด
เพื่อควบคุมรอบเดือนให้เป็นปกติ
ร่างกายทนต่อยาได้ดี
ไม่ทำให้อ้วนหรือกินจุขึ้น
และไม่มีผลต่อปัจจัยต่างๆ ใน
การแข็งตัวของเลือด
คำว่า Pill (พิล) ที่กล่าวถึงในวันนี้ไม่ได้หมายถึงเม็ดยาทั่วไป แต่เป็นที่รู้จักกันเป็นสากลว่า หมายถึง "ยาเม็ดคุมกำเนิด" ซึ่งเป็นวิธีคุมกำเนิดที่นิยมใช้กันมากที่สุด ในปัจจุบัน กล่าวคือ จากสถิติปี 2541 ประมาณกันว่า ผู้หญิงจำนวนถึง 65 ล้านคนจากทั่วโลก เลือกยาคุมกำเนิด โดยการรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิด

สูตรยาเม็ดคุมกำเนิดโดยหลักๆ จะประกอบไปด้วยฮอร์โมนกลุ่มเอสโตรเจน (Estrogen) กับฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน (Progesterone) โดยเริ่มมี

การใช้กันมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2499 และมีการคิดค้น พัฒนาสูงขึ้นมาเรื่อยๆ เพราะฮอร์โมนทั้ง 2 ประเภท ที่กล่าวไว้มีผลต่อความผิดปกติต่างๆ ของผู้หญิงอย่างมาก แม้ว่าท่านจะไม่ได้รับฮอร์โมนเพิ่มเข้าไปในร่างกายของท่านปกติ ก็ได้รับอิทธิพลจากฮอร์โมนทั้ง 2 ชนิดอยู่แล้ว ได้แก่ อาการมีรอบเดือน การคัดหน้าอก สิวบนใบหน้า การตกไข่และมีบุตร ริ้วรอยเหี่ยวย่นตามวัย อันเนื่องมาจากการลดลงของฮอร์โมนในร่างกายของสตรี ตลอดจนโรคกระดูกพรุนของสตรีวัยทองอันเนื่องมาจากระดับฮอร์โมนเพศ ทั้ง 2 ชนิดลดลง และอื่นๆ ที่ท่านไม่ได้นึกถึง เช่น ฮอร์โมนมีผลต่อกระบวนการชีวเคมีของสารอาหารประเภทคาร์โบไฮเดตร และไขมันในร่างกายอันมีผลต่อน้ำหนักตัวโดยตรง เป็นต้น

เนื่องจากยาเม็ดคุมกำเนิดส่วนใหญ่ประกอบด้วยฮอร์โมนเพศหญิง ทั้งโปรเจสเตอโรนกับเอสโตรเจนในสัดส่วนต่างๆ ทำให้ผู้รับประทาน ได้รับผลข้างเคียงของยาต่างๆ อันขึ้นกับชนิดของยาเม็ดที่เลือกใช้กับสภาพร่างกาย ของแต่ละบุคคล ได้แก่ ประจำเดือนมาไม่ปกติ กะปริดกะปรอย หิวเก่ง รับประทานฉุ น้ำหนักขึ้น เป็นสิว-หน้ามัน ฯลฯ และจากสถิติพบว่าผู้ที่ได้รับยาเม็ดคุมกำเนิด ที่มีปริมาณฮอร์โมนสูงมีอัตราเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งมากกว่า ผู้ที่ไม่ได้รับยาเม็ดคุมกำเนิด

ดังนั้นสูตรยาเม็ดคุมกำเนิดในปัจจุบันได้ลดขนาดยา Estrogen กับ Progesterone ลงมากกว่า 80-90% ทำให้ผลข้างเคียงลดลงไปมาก ผู้รับประทานทนต่อยาได้ดีขึ้น และปลอดภัยขึ้นเมื่อต้องใช้ติดต่อกันนานๆ แต่การลดขนาดยาดังกล่าว อาจทำให้มีบางสูตรมียาไม่เพียงพอ บางคนจึงมีอาการเลือดออกกะปริดกะปรอย เนื่องจากปริมาณฮอร์โมนไม่เพียงพอที่จะควบคุมให้รอบระดูเป็นปกติ ยิ่งถ้าไม่รับประทานให้สม่ำเสมอยิ่งทำให้การควบคุมรอบระดูไม่ปกติมากขึ้น

การเลือกยาเม็ดคุมกำเนิด "Pill of Choic" ให้เหมาะสมสำหรับแต่ละคน จึงเป็นเรื่องค่อนข้างยาก สำหรับแต่ละท่านควรเป็นสูตรที่มีเอสโตรเจน และโปรเจสเตอโรนอยู่น้อยที่สุดที่เพียงพอจะควบคุมรอบเดือนให้เป็นปกติ และท่านสามารถทนต่อยาได้ดี (หมายถึงใช้แล้วไม่ทำให้เกิดอาการไม่พึงประสงค์ ที่ทำให้ผู้ใช้ทนไม่ได้) เลือกยาคุมที่มีผลต่อกระบวนการชีวเคมีของคาร์โบไฮเดตร และไขมันในร่างกายน้อย (ไม่ทำให้อ้วนขึ้น หรือรับประทานจุขึ้น) และไม่มีผลต่อปัจจัยต่างๆ ในการแข็งตัวของเลือด เพื่อให้ได้สูตรที่ได้ดั่งใจต้องเริ่มด้วยสูตรที่มีฮอร์โมนต่ำไว้ก่อน แล้วค่อยปรับสูงขึ้นเมื่อไม่พอ

ถ้าท่านมีโรคอื่นที่ต้องใช้ยาอาจมียาบางชนิดที่มีผลเพิ่มการกำจัดยาคุมกำเนิดเช่น ยากันชักต่างๆ ยารักษาวัณโรค Rifampicin กรณีเช่นนี้ควรเลือกยาเม็ดคุมกำเนิด ที่มีเอสโตรเจนปริมาณสูงขึ้น ส่วนท่านที่ใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดสูตรธรรมดา แล้วยังมีอาการคลื่นไส้ให้ลองใช้สูตรที่มีเอสโตรเจนต่ำลงเช่นใช้ Ethinyles Tadiol 20 mg อาการคลื่นไส้จะน้อยลงหรือหายไป ส่วนท่านที่รับประทานยาคุมแล้วเป็นสิวมากขึ้น ให้เลือกใช้สูตรที่มีโปรเจสเตอโรนเป็นดีโซเจสเตล (Desogestrel) หรือเป็นไซโปรเตอโรน (Cyproterone) ดังนั้นผู้เขียนจึงขออนุญาตยกตัวอย่างชื่อการค้า และส่วนประกอบเพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจง่ายขึ้นดังนี้

ชื่อการค้า ส่วนประกอบที่เป็นเอสโตรเจน ส่วนประกอบที่เป็นโปรเจสเตอโรน
Mercilon
Marvelon
Gynera, Mimelet
Microgynon, Anna
Nordette, Rigeoidon
Diane-35, Tina, Preme
Nordiol, Eugynon 250
Ethinylestradiol 20 mg.
Ethinylestradiol 30 mg.
Ethinylestradiol 30 mg.
Ethinylestradiol 30 mg.
-
Ethinylestradiol 35 mg.
Ethinylestradiol 50 mg.
Desogestrel 150 mg.
Desogestrel 150 mg.
Gestodare 75 mg.
Levonorgestrel 150 mg.
-
Cyproterone acetate 2 mg.
Levonorgestrel 250 mg.

มีปัจจัยเสี่ยงหลายอย่างที่ทำให้ไม่ควรใช้ยาคุมกำเนิดได้แก่ การสูบบุหรี่ ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับการการแข็งตัวของหลอดเลือดผู้ที่เป็นความดันโลหิตสูง แบบควบคุมไม่ได้ ผู้ที่เป็นโรคตับ เป็นมะเร็งเต้านม เป็นมะเร็งบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ ท่านที่มีปัจจัยเสี่ยงดังกล่าว หากต้องการใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดควรปรึกษาแพทย์ก่อน

สำหรับท่านที่มีอายุ 35 ปีขึ้นไป ไม่เป็นโรคเกี่ยวกับหลอดเลือดและหัวใจ สามารถใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดไปได้จนถึงวัยหมดประจำเดือน โดยยาจะช่วยลดปัญหาการมีเลือดออกผิดปกติจากมดลูกที่มักเกิดขึ้น เมื่อท่านอายุเกิน 40 ปี พร้อมกับช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งของเยื่อบุโพรงมดลูก แต่อาจจะเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งปากมดลูกเพิ่มขึ้นเล็กน้อย จึงขอแนะนำให้ท่านที่ใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดติดต่อกันนานๆ ควรทำการตรวจภายใน (Pap Smear) ทุกๆ ปี

เมื่อท่านผู้อ่านเลือกยาเม็ดคุมกำเนิดได้ถูกต้อง สิ่งที่ควรจะทราบต่อไปก็คือ การรับประทานให้ถูกวิธีเพื่อให้การคุมกำเนิดได้ผลสูงสุด การรับประทานยาแต่ละเม็ดประจำวันไม่ควรห่างกันเกินกว่า 24 ชั่วโมง แนะนำให้รับประทานยาเดียวกันทุกวันเวลาที่เหมาะสมที่สุดก็คือ หลังอาหารเย็นหรือก่อนนอน

สำหรับยาเม็ดคุมกำเนิดชนิด 21 เม็ด ในการรับประทานครั้งแรก ควรรับประทานครั้งละ 1 เม็ดทุกวันติดต่อกัน 21 วัน (จนยาหมด) เริ่มตั้งแต่วันแรกของประจำเดือน (วันแรกที่มีเลือดออก) เมื่อหมดแผงให้หยุดยา หลังจากนั้น 7 วัน โดยปกติจะมีเลือดประจำเดือนมาภายใน 2-4 วัน หลังจากรับประทานยาเม็ดสุดท้าย ยาชุดใหม่แผงต่อไปเริ่มรับประทานวันที่ 8 หลังจากหยุดยาชุดก่อนไป 7 วันแล้ว แม้ว่าประจำเดือนยังมีอยู่ก็เริ่มรับประทานได้ แต่ถ้าเป็นยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดแผงละ 28 เม็ด ท่านสามารถรับประทานยาได้ทุกวัน โดยไม่ต้องหยุด ส่วนใหญ่จะมียาเม็ด 7 เม็ดที่ไม่มีส่วนผสมของฮอร์โมนซึ่ง ใช้รับประทานในช่วงที่ประจำเดือนมาและสามารถใช้ยาแผงใหม่ เริ่มติดต่อไปหลังจากแผงเก่าหมดทันที

ในกรณีที่ใช้แล้วมีเลือดเปื้อนเป็นจุดๆ หรือมีเลือดออกเกิดขึ้นเป็นครั้งคราว ในระหว่างที่รับประทานยาแนะนำให้รับประทานต่อไปตามปกติ เพราะต่อไปร่างกายจะค่อยๆ ปรับตัวได้ ยกเว้นถ้ามีเลือดออกบ่อยๆ หรือเป็นเวลานานควรปรึกษาแพทย์

จะทำอย่างไรดีเมื่อท่านลืมรับประทานคำแนะนำก็คือ ให้รับประทานทันทีที่นึกได้ ถ้าลืม 2 เม็ดติดต่อกันจะต้องรับประทาน 2 เม็ด นั้นทันทีที่นึกได้และต้องรับประทานยาเม็ดต่อไปตามกำหนดเดิม และอาจป้องกันให้มั่นใจโดยการใช้ถุงยางอนามัยขณะร่วมเพศด้วย แต่ถ้าท่านลืม 3 เม็ดติดต่อกันเลยควรยกเลิกรับประทานต่อ แล้วใช้วิธีอื่นในการคุมกำเนิดไปก่อนและเริ่มแผงใหม่ในวันที่ 8 หลังจากรับประทานยาเม็ดสุดท้ายและควรคุมกำเนิดโดยวิธีอื่น เช่น สวมถุงยางอนามัยต่อไปอีก 1 สัปดาห์ที่เริ่มแผงใหม่

เนื่องจากยาเม็ดคุมกำเนิดในปัจจุบันมีปริมาณฮอร์โมนค่อนข้างต่ำ ทำให้มีแนวโน้มจะเกิดเลือดออกกะปริดกะปรอยใน 1-2 เดือนแรก ซึ่งมักจะหายภายใน 3 เดือนโดยไม่ต้องเปลี่ยนสูตรยาแต่ถ้าท่านผู้อ่านยังพบอาการอยู่ อาจจะเปลี่ยนเป็นสูตรที่ใช้โปรเจสเตอโรนชนิดอื่นโดยลองประมาณ 3 เดือน ถ้ายังควบคุมระบบรอบเดือนไม่ได้จำเป็นต้องใช้สูตรที่มีเอสโตรเจนสูงขึ้น โดยทั่วไปแล้วปัญหาเลือดออกกะปริดกะปรอยจะลดลงเรื่อยๆ ใน 5-6 เดือน ไม่ว่าท่านจะใช้สูตรไหน สิ่งที่สำคัญกว่าก็คือการรับประทานยาสม่ำเสมอติดต่อกันทุกๆ วัน

นอกจากนี้ยังไม่เคยมีรายงานถึงผลเสียหรืออาการที่ร้ายแรง ที่เกิดจากรับประทานยาเกินขนาด มีก็เพียงอาการคลื่นไส้และเลือดออกหลังหยุดยา

คราวนี้ขอให้ท่านลองพิจารณาดูว่า ยาคุมที่ท่านใช้อยู่เหมาะสมเป็น Pill of Choice แล้วหรือไม่ถ้ายังท่านคงมีแนวทางในการเลือกอย่างถูกต้องแล้วจากที่บอกเล่ามานี้นะคะ

ภญ.ยุวดี หงส์รัตนาวรกิจ



[ ที่มา... นิตยสารแม่และเด็ก   ปีที่ 22 ฉบับที่ 334 ธันวาคม 2542 ]

[ BACK TO LIST]
main พบแพทย์ คอมพิวเตอร์ เรื่องบ้าน เรื่องรถ เรื่องกฏหมาย เรื่องของผู้บริโภค เรื่องเบาๆ คลายเครียด

มีปัญหาสุขภาพ ที่นี่มีคำตอบ ห้องสมุดE-LIB[ hey.to/yimyam ][ i.am/thaidoc ]

Best view with [IE3.02][NETSCAPE 4.05][OPERA 3.21] resolution 800x600