มาที่นี่ที่เดียว ได้อ่านบทความทางด้านการแพทย์ ภาษาไทย จากเกือบทุกโฮมเพจที่มีใน INTERNET
http://www.oocities.org/Tokyo/Harbor/2093/
จำสั้นๆ i.am/thaidoc



หวานทั้งหนักและเบา อันตรายต่อการตั้งครรภ์


ได้มีการจัดลำดับประเทศ ที่ไม่น่าไปเกิดในโลกนี้ในแต่ละทวีป ทวีปอาฟริกาก็เช่น อังโกลา อันดับหนึ่งตามมาด้วยชื่อคุ้นๆ เพราะๆ เอธิโอเปีย โซมาเลีย อีกมากขณะที่ในทวีปยุโรป ก็มีเช่นกันก็กลุ่มคอมมิวนิสต์นั่นเอง ทารกยูโกสลาเวีย ในเอเชีย ก็มีอัฟกานิสถาน กัมพูชา อีรัก ขณะที่ทวีปเอเชียโชคดี ไม่มีประเทศไทยติดอยู่เลยในสิบอันดับ ค่อยหายหดหู่ไปได้

การที่จะจัดประเทศใด ไม่น่าไปเกิดนั้น ปัจจัยหนึ่งที่ใช้เป็นดรรชนีวัดคือ
ในคลินิกตั้งครรภ์
ความเสี่ยงสูง จำนวนคนไข้
เพิ่มขึ้นตลอด โดยพบว่า
สาเหตุที่ทำให้ต้องเข้า
มารับการดูแลพิเศษ
ที่เพิ่มขึ้นจนน่าตกใจก็คือ
ระบบการเผาผลาญพลังงาน
ผิดปกติหรือสภาวะเบาหวาน
เบาหวานเป็นพญามัจจุราช
สำคัญของทารก
อุบัติการณ์การตายทารกปริกำเนิด ซึ่งเป็นตัวเลขบอกถึงอัตราการตาย ของทารกแรกเกิดจนถึง 1 สัปดาห์หลังคลอด ซึ่งจะบ่งบอกถึง ระดับของการสาธารณสุขของประเทศ ถ้าตัวเลขยิ่งสูงยิ่งแสดงว่า การสาธารณสุขสวนทางกับตัวเลข คือต่ำกว่ามาตราฐานมาก ซึ่งในประเทศไทยเราในทศวรรษนี้ การสาธารณสุขได้พัฒนาก้าวหน้าไปมาก จนเข้าสู่ระดับมาตราฐานยอมรับได้ ประเทศที่มีตัวเลขการสาธารณสุขดีที่สุด ไม่ใช่อเมริกาหรืออังกฤษ แต่เป็นประเทศในสแกนดิเนเวีย กลุ่มประเทศเบเนลักษณ์ของไทยเรา ก็ถือว่าดีทีเดียวเมื่อเทียบกับประเทศข้างเคียง และมีแนวโน้มจะพัฒนาและดีขึ้นๆ

ในอดีตขณะที่ประเทศไทยยังเป็นประเทศเกษตรกรรม สาเหตุของการเสียชีวิตของทารกปริกำเนิดมักจะมาจากการคลอดก่อนกำหนด การติดเชื้อโรคครรภ์พิษของมารดา ล้วนเป็นโรคที่ดูแลแก้ไขไม่ยุ่งยาก อัตราการตั้งครรภ์ต่ำในสตรีที่อ่อนแอหรือมีโรคประจำตัว แต่เมื่อประเทศพัฒนามากขึ้นเปลี่ยนจากประเทศเกษตรกรรม เข้าสู่ประเทศอุตสาหกรรมเศรษฐกิจดีขึ้น สภาพสังคมเปลี่ยนไป เป็นปัญหาสาธารณสุขก็เปลี่ยนไปด้วย โรคต่างๆ ได้รับการดูแลดีขึ้นมาก จากการพัฒนาทางการแพทย์ อัตราการตั้งครรภ์ได้ในสตรีเพิ่มมากขึ้น และก็เกิดมีปัญหาทางการแพทย์ให้ต้องดูแลยุ่งยากมาขึ้น แพทย์สมัยปัจจุบันจะต้องแก้ไขปัญหาทางสุขภาพยุ่งยากกว่าแต่ก่อนมากขึ้น รูปแบบปัญหาทางการแพทย์ก็แปรเปลี่ยนไป ปัจจุบันโดยเฉพาะสูติ-นรีแพทย์ ทำงานหนักทีเดียว

ในอดีต 40-50 ปีมาแล้ว การทำคลอดมากกว่า 20-30% เกิดโดยหมอตำแยซึ่งก็คือ คนพื้นบ้านธรรมดา ที่ไม่มีความรู้ทางการแพทย์อะไรมาก เคยเห็นเคยช่วยการคลอด ก็มาทำหน้าที่ "สูติกา" ประชากรของประเทศไทยยังไม่ขยายเพิ่มมากจนน่าเป็นห่วง จะเห็นว่าแค่เพียงหมอตำแยก็ดูแลได้ ที่เป็นเช่นนี้ เพราะร้อยละเกือบ 90 การคลอดเป็นการคลอดปกติ คุณแม่ที่ตั้งครรภ์ได้สมัยก่อน ต้องเป็นคุณแม่ที่แข็งแรง สุขภาพดีเลิศพอสมควร สตรีกลุ่มที่มีปัญหาทางสุขภาพ มีโรคประจำตัวโอกาสในการตั้งครรภ์ต่ำมาก เรียกได้ว่าเป็นสมดุลทางธรรมชาติ เมื่อการแพทย์ยังครอบคลุมไม่ทั่วถึง ไม่ดีพอก็ให้แต่คนแข็งแรงตั้งครรภ์

แต่ปัจจุบันการแพทย์เจริญ จนถึงขั้นปลูกถ่ายอวัยวะทดแทนกันได้ แทบจะยกเครื่องได้ทุกอวัยวะ จนเป็นข่าวฮือฮาเรื่องเปลี่ยนถ่ายไต ซึ่งทำท่าจะยืดเยื้อ การแพทย์เจริญจนกระทั่งคนไข้ไตวาย คือไตไม่ทำงาน ยังสามารถมีชีวิตอยู่ได้เป็นเวลาหลายปี บ้างอาจจะสิบๆ ปีก็ได้ คุณภาพชีวิตก็ไม่ได้ตกต่ำกว่ามาตรฐานเท่าใด โรครุนแรงต่างๆ เช่น โรคไต โรคหัวใจ ฯ โรคเรื้อรังกลุ่มอื่นๆ เช่น ทารกแพ้น้ำเหลืองตัวเอง โรคดาราเป็นกันมากคือ SLE จริงๆ แล้วก็น่าเห็นใจดารา เป็นข้อน่าสังเกตว่า ดาราเป็นกันมากเพราะอาจจะเนื่องจากเป็นคนสาธารณะ พอเป็นอะไรทำอะไรก็เป็นข่าว เพียงผายลมในที่สาธารณะ ก็อาจจะขึ้นหน้าหนึ่งได้ และด้วยดาราโดยเฉพาะคุณดาราหญิง เป็นที่สนใจของสาธารณะมากเพราะไอ้โรคร้ายนี้ก็เป็นกันมากในกลุ่มสตรี

ที่สำคัญคือ โรคที่ไม่ต้องโฉลกกับแสง ยิ่งแรงจ้าแบบแสงอาทิตย์ก็ยิ่งกระพือโหมให้โรคนี้รุนแรง ก็อาจจะเป็นได้ที่เนื่องจากโดยอาชีพต้องถูกแสงสว่างมากกว่าอาชีพอื่นๆ และเป็นแสงที่เข้มข้นมาก ก็อาจจะไปกระตุ้นให้เกิดโรค SLE และเมื่อเป็นแล้วก็ไม่เปลี่ยนอาชีพการควบคุมโรคคงจะลำบาก และจะพบเห็นได้ว่าพวกดารามักจะเป็นรุนแรง

โรคนี้ในอดีตแทบจะไม่มีโอกาสตั้งครรภ์ เช่นเดียวกับเบาหวาน โรคต่อมไทรอยด์ ฯ ปัจจุบัน การดูแลแก้ไขโรคเหล่านี้ทำได้ดีมาก คนไข้สามารถตั้งครรภ์ได้ ตอนเริ่มตั้งครรภ์ทั้งคนไข้ทั้งหมอก็เฮ เรียกว่าได้เฮ หลังจากนั้นทั้งคนไข้ทั้งหมอก็จะเหี่ยว เพราะต้องร่วมมือกันดูแลการตั้งครรภ์อย่างพิเศษ ยิ่งบางต้องเข้าโรงพยาบาลตลอดการตั้งครรภ์ อาจจะยาวนานตั้งเกือบปี เรียกว่าเครียดทั้งหมอทั้งคนไข้เลยทีเดียว และปรากฏการณ์ดังกล่าว ก็มากขึ้นๆ จนปัจจุบันแทบทุกโรงพยาบาลต้องมีคลินิกพิเศษสำหรับดูแลขึ้น เรียกว่า คลินิกตั้งครรภ์ความเสี่ยงสูง (HIGH RISK CLINIC)

จำนวนคนไข้ในคลินิกพิเศษนี้จะพบว่า เพิ่มขึ้นตลอดวัย พบว่าจากปัจจัยหลักๆ 3-4 อย่าง หนึ่งสตรีแต่งงานอายุมากขึ้น ถ้าเกิน 36 ปีขึ้นไปก็จัดว่าเป็นครรภ์เสี่ยงแล้ว บ้างพอมีบุตรคนแรก ก็คุมกำเนิดจนลืมปล่อย พอลูกโตเรียนมหาวิทยาลัยต้องเข้าไปอยู่หอพัก จึงนึกได้ว่าเหงาถึงเพิ่งจะปล่อย ก็พอดีอายุเกินเกณฑ์ครรภ์ปลอดภัย บ้างปล่อยให้มีเพราะสามีไปมีบุตรกับภรรยาน้อย เลยฮึดสู้ท้องแข่งซะเลย

ปัจจัยที่ 2 คือ การดูแลบำบัดรักษาของการแพทย์ดีขึ้น ทำให้การเจริญพันธุ์เกิดขึ้นได้ ปัจจัยที่สามที่เพิ่มจนน่าตกใจคือ ระบบการเผาผลาญพลังงานผิดปกติ หรือสภาวะเบาหวานในผู้ตั้งครรภ์ สภาวะโภชนาการที่เปลี่ยนไปของสังคม ลักษณะงานที่เปลี่ยนไป จากสังคมเกษตรกรรมที่ต้องใช้ แรงงาน เป็นสังคม LOW TECH, HI-TOUCH มาสู่สังคม HI-TECH, LOW TOUCH ทำงานด้วยปลายนิ้วและสมอง โดยเฉพาะคุณผู้หญิงเปลี่ยนจากงานกล้างแจ้ง มาสู่งานในออฟฟิศ วันๆ แทบไม่ได้ใช้พลังงานเลย ทำให้มีการคั่งค้างสะสมพลังงานไว้ในรูปไขมันและมากขึ้นๆ ตัวอ่อนก็เลยล้า จะพัฒนาไปเป็นโรคเบาหวานในที่สุด และโรคหรือสภาวะซึ่งหมายถึง ความผิดปกติที่ยังไม่แสดงอาการให้คนไข้เดือดร้อนนี้แต่มีอันตรายอย่างยิ่ง ต่อทารกในครรภ์เป็นพญามัจจุราชระดับเอ้ทีเดียว

สภาวะแบบเบาหวานนี้ ในการตั้งครรภ์นั้นก็เสี่ยงต่อการเกิดเบาหวาน เนื่องด้วยรกซึ่งเป็นเนื้อเยื่อของทารกทำหน้าที่เป็นแหล่งส่งกำลังบำรุง ให้กับทารกในครรภ์ทั้งอาหารและออกซิเจน และยังผลิตฮอร์โมนเพื่อการเจริญเติบโตของทารกด้วย และหนึ่งในฮอร์โมนหรือสารคัดหลั่งที่ถูกสร้างออกมานั้น จะมีฤทธิ์ต้านหรือลดฤทธิ์ของอินซูลินซึ่งเป็นฮอร์โมนที่แม่สร้างจากตับอ่อน เพื่อควบคุมการเผาผลาญสารอาหาร คือ ควบคุมระดับน้ำตาลในกระแสโลหิตนั่นเอง เพื่อไม่ให้เกิดเบาหวาน สารคัดหลั่งหรือฮอร์โมนจากรกนี้จะซึมเข้าสู่กระแสโลหิตแม่ ทำให้อินซูลินที่มีในแม่อ่อนกำลังลง จะทำให้ระดับน้ำตาลในกระแสโลหิตแม่ ง่ายต่อการเพิ่มปริมาณมากขึ้น แต่ร่างกายแม่ก็จะมีกลไกคอย ตรวจสอบระดับน้ำตาลในกระแสโลหิต โดยเป็นระบบควบคุมอัตโนมัติ เมื่อระดับน้ำตาลในกระแสโลหิตโดยเป็นระบบควบคุมอัตโนมัติ เมื่อระดับน้ำตาลมากขึ้นก็จะไปสั่งให้ตับอ่อนทำงานผลิตฮอร์โมนอินซูลิน ออกมามากขึ้น

ในคนตั้งครรภ์ ในขบวนการฝากครรภ์ต้องตรวจหาน้ำตาลในปัสสาวะ เมื่อมาฝากครรภ์ทุกครั้ง เมื่อพบว่ามีน้ำตาลซึ่งปกติจะไม่ออกมาในปัสสาวะ ถ้าปริมาณน้ำตาลไม่สูงเกินปกติ แต่การตรวจพบว่ามีน้ำตาลในปัสสาวะ อาจจะเกิดในคนตั้งครรภ์ที่น้ำตาลในกระแสโลหิตปกติได้เช่นกัน เพราะในคนตั้งครรภ์ไตจะทำงานมากกว่าปกติหลายเท่าตัว ในการที่จะเกิดการแปรปรวนในการทำงานย่อมมีบ้าง แต่เมื่อตรวจพบว่ามีน้ำตาลในปัสสาวะแพทย์จะต้องตรวจทางห้องปฏิบัติการ เพิ่มเติมเพื่อวิเคราะห์โรคว่าเป็นเบาหวานจริงหรือปลอม

สภาวะเบาหวานปลอมพบได้แต่ไม่มากนัก เช่น พวกที่ยืนนานๆ เช่น ทำงานในโรงงาน พวกแม่ค้าขายของในตลาดในกลุ่มที่ทานของหวานจำนวนมาก ถ้ามาตรวจก็จะพบว่ามีน้ำตาลเล็ดลอดออกมาในปัสสาวะให้ตรวจพบได้ หรือโรคไตบางชนิด การตรวจค้นหาเบาหวานในปัจจุบัน จะทำให้เป็นรูทีนหรือการตรวจประจำในคนตั้งครรภ์ ที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเป็นเบาหวาน

สตรีที่มีอายุมากกว่า 32 ปีขึ้นไปในขณะตั้งครรภ์ มีประวัติเบาหวานในพ่อหรือแม่ มีการคลอดทารกน้ำหนักมาก หรือตัวใหญ่ น้ำหนักเกิน 4 กิโลกรัมขึ้นไป มีประวัติทารกพิการในท้องก่อนๆ คุณแม่ที่อ้วนมากๆ การตั้งครรภ์แฝดน้ำคือ มีปริมาณน้ำคร่ำมากกว่าปกติ การเจาะเลือดมาตรวจอาจจะเจาะเพียงครั้งเดียวหรือเจาะหลายครั้ง ห่างกันตามระยะเวลาที่กำหนดแล้วแต่ ดุลพินิจของแพทย์ผู้ดูแล ในรายดังกล่าวถ้าพบผิดปกติ ก็มักจะเป็นเบาหวานซ่อนเร้น คือ ไม่มีอาการตรวจพบแต่ก็มีความผิดปกติในระดับการทำงาน เผาผลาญพลังงานแล้ว ถ้าไม่แก้ไขอาจจะมีผลต่อทารกในครรภ๋ได้ เบาหวานดังที่กล่าวว่า เป็นพญามัจจุราชสำคัญของทารก มักไม่ก่อปัญหารุนแรงกับผู้เป็นแม่ในระยะเฉียบพลัน

ผลร้ายมีเกิดกับทารก แบ่งเป็น 2 ลักษณะคือ ต่อการพัฒนาการ คืออาจจะก่อความพิการให้กับทารกได้ โดยเฉพาะความพิการ ที่เกิดกับระบบหัวใจและหลอดเลือด ต่อการเกิดอวัยวะไต เกิดความพิการในระบบท่อไขสันหลัง อาจจะเป็นกับกะโหลกศีรษะด้วย หรือไขสันหลังก็ได้ ทารกหน้างวงช้าง ก็พบได้จากแม่เป็นเบาหวาน

ลักษณะที่ 2 ของทารกที่เกิดจากแม่เป็นเบาหวาน พบว่าเกิดได้ตลอดการตั้งครรภ์ในการตั้งครรภ์อ่อนๆ โอกาสแท้งบุตรจะสูง ถ้าท่านพ้นไปสู่การตั้งครรภ์ระยะท้ายๆ เพราะมักจะเกิดแผดน้ำ ทำให้ท้องใหญ่มากจนมดลูกรับไม่ไหวก็จะเกิดการปวดท้องคลอก่อนกำหนด และมักจะทำให้แม่มีโอกาสเกิดโรคพิษแห่งครรภ์คือมีความดันโลหิตสูง ตัวบวม อาจจะรุนแรงจนชักเส้นเลือดในตับในสมองแตก กรณีครรภ์พิษก็อาจจำเป็นต้องเอาทารกคลอดออกก่อนกำหนด เพื่อเป็นการรักษาทั้งแม่และทารก ซึ่งโรคครรภ์พิษยังเป็นโรคที่พบบ่อยมาก ในหญิงตั้งครรภ์เป็นโรคที่ป้องกันไม่ได้แต่ควบคุมไม่ให้รุนแรงได้ คุณแม่ที่ตั้งครรภ์และบวมมากผิดปกติควรระมัดระวังให้รีบมาพบแพทย์

เมื่อตั้งครรภ์อายุครรภ์มากขึ้นเบาหวานเกิดในแม่ จะมีผลจ่อทารกในครรภ์จากการที่น้ำตาลในกระแสโลหิตจะไปสู่ตัวทารก จะทำให้ทารกได้ปริมาณสารอาหารประเภทน้ำตาลไปกระตุ้น ให้มีการเจริญสะสมมากขึ้น ตัวทารกจะมีขนาดใหญ่โตผิดธรรมดาไปมาก ขณะเดียวกันน้ำตาลที่เพิ่มขึ้นในทารก จะไปกระตุ้นจนตับอ่อนทารกล้าไป ทารกจะมีสภาวะน้ำตาลในกระแสโลหิตสูงเคยมีทารกน้ำหนักมากถึง 5-6 กิโลกรัม ซึ่งทารกที่มีขนาดใหญ่จากเบาหวานแม่ จะมีอันตรายต่อทารกในขบวนการคลอด ถ้าปล่อยให้การคลอดดำเนินไปโดยธรรมชาติ การคลอดทางช่องคลอด ไร้การควบคุมที่ดี จะทำให้ทารกบาดเจ็บในขบวนการคลอด จนอาจจะเสียชีวิตหรือพิการเช่น แขนขาเป็นอัมพาต จากการฉีกขาดของเส้นประสาทในขบวนการคลอด เพราะทารกตัวใหญ่มักจะคลอดติดไหล่หรือคลอดท่าผิดปกติ

ไม่เท่านั้น ทารกแม่เบาหวานแม้จะมีร่างกายใหญ่โตหน้าตาเปล่งปลั่ง ผิวแดง ผมดก แต่สุขภาพเป็นไปในทิศทางตรงกันข้าม จะอ่อนแอมาก หลังคลอดถ้าไม่ได้รับการดูแลเป็นพิเศษอาจจะมีผลแทรกซ้อน จากการต่ำของน้ำตาลในกระแสโลหิตจนเกิดผลต่อสมอง มีชักและอาจจะถึงเสียชีวิตได้

ในอดีตเมื่อกึ่งทศวรรษ การแพทย์ยังไม่เจริญมาก ในแม่ที่เป็นเบาหวานแพทย์มักจะสิ้นสุดการตั้งครรภ์เมื่อเข้าสู่ 9 เดือน เพราะพบว่า ทารกอาจจะเสียชีวิตไปโดยไม่ทราบสาเหตุ เกิดในอัตราที่สูง แต่ในปัจจุบันวิทยาการก้าวหน้า สามารถจะตรวจติดตามดูสุขภาพทารกในครรภ์ ได้อย่างถูกต้องแม่นยำ ซึ่งแม้ดังนี้ก็ยังพบว่า ทารกแม่เบาหวาน ก็ยังมีอุบัติการณ์เสียชีวิตสูงกว่ากลุ่มอื่นๆ โดยเฉพาะจากโรคทางระบบการหายใจ เพราะปอดทารกจะพัฒนาสมบูรณืช้ากว่าเกณฑ์เฉลี่ย

ด้วยความร้ายกาจของโรคต่อแม่และโดยเฉพาะทารก ทำให้โรคนี้ต้องได้รับการตรวจพิสูจน์และดูแลอย่างเข้มงวด เมื่อตรวจพบความผิดปกติก็จะต้องได้รับการบำบัดดูแลพิเศษ ถ้าเป็นระดับซ่อนเร้นก็จะให้การดูแลเพียงการควบคุมอาหาร ควบคุมน้ำหนักและติดตามการดำเนินของโรค ติดตามดูพัฒนาการของทารกอย่างต่อเนื่อง ถ้าความผิดปกติในระดับที่ต้องให้ยารักษาเบาหวาน ก็จักต้องอยู่ภายใต้การควบคุมพิเศษเข้มงวดเพราะยาที่ใช้ ในการบำบัดรักษาจะเป็นยาฉีด ไม่สามารถใช้ยารับประทานได้ เพราะยากลุ่มดังกล่าวอาจจะมีผลเกิดความพิการต่อทารกได้

ช่วงที่สำคัญของทารกคือ ช่วงเดือนท้ายของการตั้งครรภ์ เพราะอุบัติการณ์ของการเสียชีวิตโดยไม่ทราบสาเหตุยังสูงกว่ากลุ่มปกติ มีไม่น้อยที่ในเดือนท้ายๆ ของการตั้งครรภ์อาจจะต้องเข้าอยู่ในโรงพยาบาล เพื่อให้การดูแลอย่างเข้มงวดโรคเบาหวานในคนตั้งครรภ์นี้ อาจจะเป็นเฉพาะการตั้งครรภ์หรืออาจจะลุกลามกลายเป็นเบาหวานแท้จริงก็ได้ แต่ในกลุ่มที่ตรวจพบสภาวะผิดปกติ มีแนวโน้มของการเป็นเบาหวานในอนาคตจะสูง การดูแลอาหารและน้ำหนักตัวจะเป็นทางเลี่ยงหนีโรคนี้ และทารกที่แม่เป็นเบาหวานถ้าได้รับการดูเจริญเติบโตไปได้ตามปกติ ไม่เป็นโรคติดต่อ ที่จะต้องเป็นเบาหวานเช่นผู้เป็นแม่ แต่เนื่องจากโรคนี้ถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์จึงมีโอกาสที่จะเป็นโรคนี้ เมื่อเติบโตต่อไป จึงต้องระมัดระวังต่อสุขภาพเช่นกัน

เบาหวานเคยเป็นโรคที่น่ากลัวเมื่อกึ่งทศวรรษที่ผ่านมา ปัจจุบันโรคนี้กลายเป็นโรคพื้นๆ สำหรับการแพทย์ ความรุนแรงลดลง แต่ปริมาณคนเป็นโรคนี้กลับมากขึ้น เพราะการบริโภคอาหาร ที่ด้อยคุณค่าทางโภชนาการ และการเปลี่ยนวิถีชีวิต จากการทำงานกลางแจ้ง มาสู่การทำงานในออฟฟิศ และเพราะเจ้า IT. ตัวดี ที่ทำงานแทนมนุษย์แทบหมดทุกอย่าง โลกาภิวัฒน์ก็เลยโรคาภิวัตน์ไปด้วย

นพ.วีระ สุรเศรณีวงศ์



[ ที่มา... นิตยสารแม่และเด็ก   ปีที่ 22 ฉบับที่ 329 สิงหาคม 2542 ]

[ BACK TO LIST]
main พบแพทย์ คอมพิวเตอร์ เรื่องบ้าน เรื่องรถ เรื่องกฏหมาย เรื่องของผู้บริโภค เรื่องเบาๆ คลายเครียด

มีปัญหาสุขภาพ ที่นี่มีคำตอบ ห้องสมุดE-LIB[ hey.to/yimyam ][ i.am/thaidoc ]

Best view with [IE3.02][NETSCAPE 4.05][OPERA 3.21] resolution 800x600