คุณอาจจะเป็นท้องนอกมดลูก
ถ้าเดินทางไกลแล้ว
ท้องนอกมดลูกเกิดแตกขึ้นมา
คุณอาจเสียชีวิตได้ เพราะภาวะนี้
ทำให้ตกเลือดในช่องท้อง
จนถึงช็อกได้ภายในเวลา
ไม่ถึง 2 ชั่วโมง
|
การเดินทางไกล
ควรเตรียมใจและเตรียมการให้พร้อมสำรวจดูว่า
เครื่องยนต์และล้อสำรองสมบูรณ์พร้อมหรือไม่
หากเดินทางโดยเครื่องบินควรแน่ใจว่า
ร่างกายไม่เจ็บป่วยและสภาพจิตใจ
พร้อมรับสถานการณ์ที่ไม่ดีมีเรื่องเล่าว่า
เครื่องบินโดยสารลำหนึ่ง
เครื่องยนต์เกิดขัดข้องและบินอยู่ท่ามกลาง
สภาพอากาศที่เลวร้าย เจ้าหน้าที่บนเครื่อง
ประกาศให้ผู้โดยสารเตรียมพร้อม
|
เพื่อรับสถานการณ์เลวร้ายที่อาจจะเกิดตามมา
เป็นธรรมดาที่ผู้โดยสารเกือบทั้งลำพากันตื่นตระหนก
แต่ยังมีชายคนหนึ่งอายุประมาณ 50 ปีเศษ
กลับมีท่าทางสบายใจไม่วิตกทุกข์ร้อน
บาทหลวงที่อยู่ข้างๆชายผู้นั้น จึงถามขึ้นว่า
"เครื่องบินลำนี้ประสบปัญหา ยังไม่รู้ว่าจะเดินทางถึงที่หมายหรือไม่
ทำไมคุณจึงยังมีท่าทางเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น"
ชายผู้นั้นกล่าวว่า "จะต้องไปวิตกทุกข์ร้อนไปทำไม
ยังไงๆ ฉันก็ต้องได้พบลูกสาวตามที่ตั้งใจไว้อย่างแน่นอน
หากเครื่องบินสามารถบินต่อไปจนถึงนิวยอร์กได้อย่างปลอดภัย
ฉันก็จะไปเยี่ยมลูกสาวคนรองที่เรียนอยู่ที่นั่น
หากเครื่องบินตก ฉันก็จะไปเยี่ยมลูกสาวคนโตที่อยู่บนสวรรค์
ปีที่แล้วลูกสาวคนโตได้เสียชีวิตไปเนื่องจากอุบัติเหตุทางรถยนต์
ฉันไม่มีโอกาสเจอเธอตั้งแต่นั้น ฉันนั่งเครื่องบินลำนี้ถือว่า
มีโอกาสดีที่จะไปเยี่ยมลูกสาวทั้งสอง รอดหรือตายฉันก็ไม่เสียใจ
เพราะฉันจะได้พบลูกสาวของฉันอยู่ดี ไม่คนใดก็คนหนึ่ง"
นี่เป็นเรื่องเล่าเล่นๆ เพื่อให้เราเตรียมใจให้พร้อมในทุกสถานการณ์ขณะเดินทางไกล
แต่ถ้าเราเจ็บป่วยหรืออยู่ในภาวะอันตรายจากโรค ก็ไม่ควรเดินทางไกล
ด้วยเครื่องบินอย่างที่ว่า มิฉะนั้นโรคร้ายที่ป้องกันได้อาจทำให้ต้องจบชีวิตลงบนเครื่องบินลำนั้น
วันพุธที่ผ่านมา มีคนไข้สตรีคนหนึ่งมาตรวจด้วยเรื่องปวดท้องน้อยด้านขวาส่วนล่าง
ข้าพเจ้าถามคนไข้ว่า "ปวดท้องน้อยมาตั้งแต่เมื่อไหร่"
คนไข้ตอบว่า "ปวดตั้งแต่เมื่อวาน ปวดมากจนทนไม่ไหว
จึงมาโรงพยาบาลตอนดึก หมอเวรคนที่ตรวจบอกว่าสงสัยจะเป็นจากท้องนอกมดลูก
หรือแท้งบุตร เพราะดิฉันตกเลือดเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา
จากนั้นหมอได้ให้พักรอที่ห้องฉุกเฉินชั่วคราวและส่งตัวให้มาตรวจ
กับหมอผู้เชี่ยวชาญแผนกสูติในตอนเช้าอีกที"
ข้าพเจ้าถามว่า "ตอนนี้อาการปวดเป็นอย่างไร และประจำเดือนครั้งสุดท้ายมาเมื่อใด"
เธอตอบว่า "อาการปวดดีขึ้น สำหรับประจำเดือนดิฉันขาดประจำเดือน
ได้ประมาณ 2 เดือน แต่ 4 วันมานี้ ดิฉันตกเลือดและมีก้อนชิ้นเนื้อคล้ายพุงปลา
หลุดออกมาจากช่องคลอด สงสัยว่าอาจเป็นการแท้งบุตร
ที่ผ่านมาดิฉันไม่มีอาการแพ้ท้องหรืออาการใดๆ ที่บอกว่าดิฉันท้องเลย
นอกจากขาดประจำเดือนไป 2 เดือน"
ข้าพเจ้าพลิกดูรายงานการตรวจของแพทย์ห้องฉุกเฉินในช่วงดึกที่ผ่านมาพบว่า
ได้ทำการตรวจปัสสาวะทดสอบการตั้งครรภ์ ผลออกมาเป็น "weekly positive"
หมายความถึงให้ผลบวกอ่อนๆ ข้าพเจ้าได้ตรวจภายในและดูอัลตราซาวด์
ผ่านทางช่องคลอดพบว่า มดลูกขนาดปกติไม่มีถุงน้ำที่แสดงถึงการตั้งครรภ์อยู่ภายในโพรงมดลูก
ด้านข้างของมดลูกไม่พบก้อนผิดปกติและไม่มีน้ำในอุ้งเชิงกราน
ข้าพเจ้าสรุปให้คนไข้ฟังว่า
"ยังบอกไม่ได้ว่าเป็นท้องนอกมดลูก หรือแท้งบุตรธรรมดา
อย่างไรก็ตามจะให้เจาะเลือดตรวจสอบการตั้งครรภ์
ซึ่งให้ผลแน่นอนกว่าการทดสอบด้วยปัสสาวะ และหมอขอให้คุณมาตรวจซ้ำในวันศุกร์
จะมีปัญหาอะไรไหม?"
คนไข้ตอบว่า "หนูกำลังจะเดินทางกับสามี ไปเยอรมันพรุ่งนี้"
ข้าพเจ้าเตือนว่า "คุณอาจจะเป็นท้องนอกมดลูกถ้าเดินทางไกลแล้ว
ท้องนอกมดลูกเกิดแตกขึ้นมา คุณอาจเสียชีวิตบนเครื่องบินได้
เพราะภาวะนี้ทำให้ตกเลือดในช่องท้องจนถึงช็อกได้ภายในเวลาไม่ถึง 2 ชั่วโมง"
คนไข้ขออนุญาตไปปรึกษาสามีชาวเยอรมันแล้วกลับมาบอกว่า
จะเลื่อนเที่ยวบินออกไป และจะมาพบแพทย์ในวันศุกร์
วันศุกร์ตอนเช้า คนไข้รายนี้ปรากฏตัวขึ้นที่ห้องตรวจ ข้าพเจ้าเกือบลืมไปเสียแล้ว
แต่พอดูผลเลือดทดสอบการตั้งครรภ์ (Serum BHCG) ซึ่งมีค่าเท่ากับ 940 หน่วย
ข้าพเจ้าจึงนึกขึ้นได้และรู้สึกตกใจ อุทานออกมาเบาๆ ว่า
"ตายแล้ว!...สิ่งที่สงสัยวันก่อน (ท้องนอกมดลูก) น่าจะเป็นจริง
วันนี้มีอาการปวดท้องมากขึ้นหรือไม่"
คนไข้ตอบว่า "อาการปวดท้องยังคงอยู่ทางด้านขวาเหมือนเดิน แต่พอทนได้"
ข้าพเจ้าบอกกับคนไข้ว่า "เดี๋ยวเจาะเลือดตรวจอีกที
แล้วตอนบ่ายตรวจร่างกายพร้อมกับฟังผลเลือด"
คนไข้ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี พร้อมกับบอกว่า "หนูเปลี่ยนเที่ยวบินเป็นวันพรุ่งนี้
หมอคิดว่าจะมีปัญหาไหมเกี่ยวกับการเดินทางไกล? ข้าพเจ้าไม่ตอบ
เพียงแต่เน้นให้คนไข้มาฟังผลเลือดในตอนบ่าย
ตอนบ่ายของวันศุกร์นั้น คนไข้รายนี้ถูกส่งตัวมาจากห้องฉุกเฉินด้วยเรื่อง
"เป็นลมขณะกำลังจะรับประทานอาหาร" พยาบาลห้องตรวจนรีเวช
ได้ตามข้าพเจ้าไปดูคนไข้เป็นการด่วน เธอเล่าว่าคนไข้รายนี้
คือคนไข้ที่สงสัยท้องนอกมดลูกซึ่งมาตรวจในตอนเช้า
ตอนเที่ยงคนไข้ไปรับประทานอาหารกับสามีที่อาคารเวิลด์เทรด
ยังไม่ทันรับประทาน คนไข้มีอาการหน้ามืดเป็นลมเสียก่อน
สามีจึงรีบนำตัวส่งห้องฉุกเฉินโรงพยาบาลตำรวจทันที
พยาบาลห้องฉุกเฉินได้ติดต่อมาที่แผนกเนื่องจากคนไข้มีนัดจะตรวจและฟังผลเลือด
ข้าพเจ้าบอกกับเจ้าหน้าที่พยาบาลว่า "ช่วยตามผลเลือดให้ที"
และส่งคนไข้เข้าห้องตรวจเพื่อตรวจภายใน และดูอัลตราซาวด์ผ่านทางช่องคลอด"
จากการตรวจภายในดู พบว่ามดลูกขนาดปกติไม่มีอาการเจ็บปวดที่ตัวมดลูก
แต่เวลาโยกปากมดลูก คนไข้มีอาการปวดท้องน้อยทางด้านขวามาก
เมื่อตรวจดูด้วยอัลตราซาวด์พบว่าภายในโพรงมดลูกไม่พบถุงน้ำ
อันแสดงถึงการตั้งครรภ์ด้านนอกของมดลูก มองไม่เห็นก้อนเนื้องอก
หรือการตั้งครรภ์ใดๆ แต่สิ่งสำคัญที่ตรวจพบเพิ่มขึ้นจากการตรวจเมื่อวันพุธคือ
มีของเหลวในอุ้งเชิงกรานปริมาณมากพอสมควร ซึ่งน่าจะเป็นเลือดมากที่สุด
ข้าพเจ้าบอกกับคนไข้และสามีว่า "สงสัยท้องนอกมดลูก แต่ไม่ถึงกับแน่ใจ 100 เปอร์เซ็นต์
คงต้องรอผลเลือดอีกที" เมื่อผลเลือดทดสอบการตั้งครรภ์มาถึง
พบว่ามีค่าเท่ากับ 1065 หน่วย ข้าพเจ้าจึงบอกกับคนไข้ว่า
"น่าจะเข้าได้กับภาวะท้องนอกมดลูก คุณต้องได้รับการผ่าตัดเป็นการด่วน
และสามีควรจะเลื่อนเที่ยวบินออกไปอีก"
คนไข้ถูกส่งตัวเข้าห้องผ่าตัดเป็นการด่วน เมื่อผ่าตัดเปิดเข้าช่องท้อง
ก็ปรากฏมีเลือดอยู่ภายในประมาณ 500 มิลลิลิตร และพบก้อนเนื้อ (ท้องนอกมดลูก)
บริเวณที่เป็นท่อนำไข่ด้านขวาขนาด 2x3x4 ลูกบาศก์เซนติเมตร
พร้อมกับเลือดหยดออกมาจากปลายท่อนำไข่
ข้าพเจ้าบอกกับพยาบาลห้องผ่าตัดว่า "นี่ขนาด (ท้องนอกมดลูก)
ท่อนำไข่ยังไม่แตกนะ ยังมีเลือดออกจากปลายท่อนำไข่มากอย่างนี้
ถ้าท่อนำไข่แตกละก็เลือดเต็มท้องแน่นอน และถ้าคนไข้ขืนดื้อดึง
เดินทางโดยสารเครื่องบิน มีหวังไปไม่ถึงเยอรมันดีไม่ดีอาจตายบนเครื่องบิน"
ข้าพเจ้าได้ทำการผ่าตัดเอาท่อนำไข่ด้านขวาที่มีท้องนอกมดลูกออกไป
หลังผ่าตัดคนไข้สบายดี สามีของคนไข้รายนี้ได้เลื่อนเที่ยวบินออกไปอีก 1 เดือน
และถามว่า "อีก 1 เดือน ภรรยาผมจะสามารถขึ้นเครื่องบินเดินทางไกลได้ไหม?"
ข้าพเจ้าตอบว่า "ได้อย่างแน่นอน"
ข้าพเจ้ายังได้บอกสามีคนไข้เกี่ยวกับสาเหตุว่า
เกิดจากคนไข้เคยมีการติดเชื้อในอุ้งเชิงกรานมาก่อนทำให้ผิวภายในท่อนำไข่ขรุขระ
ไม่เรียบ ตัวอ่อนซึ่งเกิดขึ้นครั้งแรกในท่อนำไข่ผ่านไปไม่สะดวก
จึงฝังตัวภายในท่อนำไข่นั้นและเกิดท้องนอกมดลูกตามมา
การตั้งครรภ์ในท่อนำไข่ (ท้องนอกมดลูก) จะดำรงอยู่ได้เพียง 6-8 สัปดาห์
หลังจากนั้นท่อนำไข่ก็ไม่สามารถรองรับการตั้งครรภ์ได้แล้ว
ท่อนำไข่จะแตกที่ตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่ง และมีเลือดออกมาภายในช่องท้อง
ส่วนใหญ่เลือดจะไหลค่อนข้างเร็ว เนื่องจากเส้นเลือดแดงบริเวณมักจะฉีกขาด
ทำให้คนไข้เสียเลือดจำนวนมากในเวลาไม่นานนัก
หากไม่ได้รับการรักษาทันท่วงที คนไข้ต้องเสียชีวิตจากภาวะช็อกอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตามพยาธิสภาพของท่อนำไข่ทางด้านซ้ายมีความรุนแรงมากกว่าทางด้านขวา
จนทำให้ปลายท่อนำไข่เสียหายและมีพังผืดมาห่อหุ้มจนปิดมิดชิด
ไม่สามารถตั้งครรภ์ได้อีก ข้าพเจ้าได้บอกกับคนไข้และสามีเธอว่า
"ต่อไปคงมีบุตรเองตามธรรมชาติไม่ได้ แต่หากอยากเดินทางไกลไปที่ไหน
คงไม่มีปัญหาแบบนี้ให้เป็นห่วงอีกแล้ว..."
พ.ต.ท.น.พ.เสรี ธีรพงษ์
|