
"หากแม่ทานวิตามินมากเกินไป อาจทำให้เกิดความพิการในทารกได้
นี่เป็นสิ่งที่น่าวิตก เพราะวิตามินซื้อหาได้ง่าย
และมักเชื่อกันว่า วิตามินไม่มีอันตราย "
|
ช่วงชีวิตผู้หญิงที่เปราะบางมาก คือช่วงของการตั้งครรภ์ จริงอยู่การตั้งครรภ์ไม่ใช่สภาวะเจ็บป่วย
แต่ก็เป็นสภาวะที่ร่างกายมีการปรับปรุงเปลี่ยนอย่างมากเพื่อรองรับการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์
ซึ่งจะอยู่อย่างสภาวะตัวพยาธิ คือดูดซึมสารอาหารจำเป็นต่างๆ จากแม่ เป็นตัวดูดอย่างแท้จริง
ไม่เหมือนบรรดาพรรคการเมืองที่ดูดส.ส.แต่จ่ายเงินให้คือมีการตอบแทนทางการเงิน
แต่ตัวแม่ผู้ตั้งครรภ์นั้นเป็นนักร้องที่ร้องแต่เพลง "แม่นั้นมีแต่ให้"บางครั้งร่างกายก็มีสารอาหาร
บางชนิดไม่พอเพียงก็ยังยอมให้ลุกในครรภ์ดูดซับไปใช้ในการเจริญเติบโตตลอดการตั้งครรภ์
ฝ่ายคุณแม่ก็คงเข้าใจในธรรมชาติเช่นนี้จึงพบว่าคุณแม่พยายามที่จะบำรุงครรภ์อย่างเต็มความสามารถ
แต่ก็มีไม่น้อยที่เป็นไปในทางที่ไม่ถูกต้องจนอาจจะก่อให้เกิดปัญหาต่อสุขภาพในระยะยาวที่พบได้มากขณะนี้
คือโรคอ้วนหลังคลอดหรือสภาวะพะโล้
จนมีคำพูดติดปากว่า ปัจจุบันทุกครอบครัวมีพะโล้อยู่ทุกบ้าน พะโล้เลยเป็นอาหารแสลงของคุณผู้หญิงไป
ไม่เพียงเท่านั้นอาหารกลุ่มพะโล้ยังมีผลพวงในระยะยาวเมื่ออายุมากขึ้นๆ การลดน้ำหนักเป็นสิ่งที่ยากเย็นมาก
ก็จะเกิดสภาวะแทรกซ้อนตามมา
โรคกระดูกเป็นโรคที่ปัจจุบันกำลังกลายเป็นปัญหาทางสาธารณสุข โดยเฉพาะคนไทยเราซึ่งยังดื่มนมกันน้อย
นมเป็นแหล่งของแคลเซียมที่สำคัญ แต่ถ้าไม่บริโภคอาหารที่มีแหล่งแคลเซียมมากในอาหารไทยก็มีอยู่พอสมควร
แต่ต้องประกอบเป็นอาหารไม่สะดวกเช่นการดื่มนมแต่ที่สมัยก่อนสตรีไทยไม่ค่อยมีปัญหาทางโรคกระดูก
เพราะในอดีตสตรีไทยทำงานหนัก ทำงานแบกหาม ช่วยครอบครัว แม้เป็นแม่บ้านสมัยโบราณก็ต้องแบกหาม
ตักน้ำ หาบน้ำ ซักผ้า ช่วยทำไร่ทำสวน ทำให้ร่างกายได้สัมผัสแสงแดดที่จะได้ไวตามินดี
ซึ่งจะช่วยในการดูดซับแคลเซียมมาก
และการที่ร่างกายหรือโครงสร้างต้องรับน้ำหนักจากการแบกหาม การเคลื่อนไหวที่มีการกดกระแทก
ของโครงกระดูกช่วยกระตุ้นให้การสะสมแคลเซียมของกระดูกเป็นไปได้อย่างดี
กระดูกมนุษย์นั้นมีช่วงชีวิตการเจริญที่แตกต่างจากอวัยวะอื่นๆ กล่าวคือจะมีการเจริญเต็มที่
หมายถึงมีการสะสมของเนื้อกระดูกเต็มที่เมื่ออายุ 30 ปี ซึ่งกระดูกในช่วงดังกล่าวนั้นมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด
คือมีทั้งการสะสมเนื้อกระดูก การะละลายของเนื้อกระดูกเพื่อเอาแคลเซียมออกไปใช้ในระบบหลอดเลือดประสาท
และการทำงานของเซลล์ของร่างกายเรียกได้ว่า เป็นแหล่งสะสมแคลเซียมที่สำคัญ
แต่ในช่วงก่อนอายุ 30 ปีนั้นอัตราการไหลเข้าของแคลเซียม คือการสะสมมากกว่าอัตราการละลาย
ทำให้มีการสะสมมากกว่าการทำลาย แต่พออายุ 30 ปีไปแล้วก็กลับตรงกันข้ามจะมีการละลายกระดูก
มากกว่าการสะสมทำให้กระดูกบางลงๆ โดยประมาณว่ากระดูกจะบางลงปีละ 5 เปอร์เซ็นต์
ดังนั้นการที่คุณผู้หญิงจะมีเนื้อกระดูกหนาหรือบางเท่าไรเมื่ออายุมากๆ จึงขึ้นอยู่กับต้นทุน
ที่สะสมไว้ในแบงก์กระดูกถ้าต้นทุนสูงก็จะมีสายป่านยาวคือมีเนื้อกระดูกตุนไว้ให้ค่อยๆ ดึงไปใช้ได้นาน
ไม่ล้มละลายหรือกลายเป็นโรคกระดูก NPL หรือโรคกระดูกพรุน ซึ่งร่างกายเสียสภาพกลายเป็นหลังโก่ง
หลังค่อม ขาโก่ง ฯลฯ
ในปัจจุบันวิถีชีวิตเปลี่ยนไปคุณผู้หญิงส่วนใหญ่หันมาใช้ชีวิตแม่บ้านจริงๆ คือยู่แต่ในบ้าน
บ้างเป็นเมียเก็บด้วยคือ เก็บทุกอย่าง เหลือให้ใช้เฉพาะค่าอาหารกลางวัน ค่ารถเมล์ ค่ารถไฟฟ้า
ถือคติ "Keep Husband Poor ไม่ต้องกลัวมีน้อย" และที่ทำงานก็ทำงานในออฟฟิศหรือในโรงงานไม่ถูกแสงแดด
ไม่ต้องแบกหามเป็นงานนั่งๆ ยืนๆ เสียเป็นส่วนใหญ่ไม่เท่านั้นตอนยังวัยรุ่นยังสาวๆ ก็พยายามรักษาน้ำหนัก
เรียกว่ารักษาทรวดทรงตามสังคม หรือภาษาปัจจุบันว่า ตามกระแสกินน้อยแต่งตัวมาก เป็นวัฒนธรรมของยุคนี้
เลยยิ่งทำให้สตรีปัจจุบันมีต้นทุนกระดูกต่ำ
เมื่อแต่งงานและตั้งครรภ์ต้นทุนก็ต่ำอยู่แล้วยังมีทารกน้อยตัวดูดมาดูดแคลเซียมไปอีกเลย
ทำให้ต้นทุนธนาคารกระดูกต่ำลงไปอีก เสี่ยงต่อการเกิดโรคกระดูก NPL หรือโรคกระดูกพรุน
ดังนั้นการตั้งครรภ์จึงเป็นช่วงเวลาที่เรียกได้ว่า เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อของสุขภาพสตรีก็ว่าได้
ยังมีความเข้าใจผิดอีกมากในเรื่องโภชนาการในสตรีตั้งครรภ์ แทบจะทุกเชื้อชาติทุกศาสนา
มีความเชื่อที่ขัดต่อหลักโภชนาการไม่มากก็น้อยในสังคมไทยเราก็มีไม่น้อย ในเรื่องความเชื่อที่ขัดต่อหลักโภชนาการ
เช่น การงดรับประทานอาหารโปรตีนบางชนิด ในสังคมจีนสัตว์ปีกจำพวกห่าน เป็ดบางชนิดห้ามคนตั้งครรภ์รับประทาน
บางชุมชนก็เชื่อว่า คนตั้งครรภ์ควรจะรับประทานอาหารมังสวิรัต ซึ่งในสตรีตั้งครรภ์
ถ้าไม่รู้เรื่องโภชนาการลึกซึ้ง การรับประทานเช่นนั้นอาจจะก่อให้เกิดปัญหาทั้งแม่และทารกในครรภ์ได้
บางชุมชนมีความเชื่อที่ถ่ายทอดกันมาว่าให้บริโภคสามีพิษ เช่น ให้หญิงตั้งครรภ์บริโภคยาดองเหล้า
เพื่อให้เจริญครรภ์ซึ่งเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นที่ไม่ถูกต้องนัก มีความเข้าใจว่าเหล้าหรือแอลกอฮอล์นั้น
จะช่วยกระตุ้นความอยากอาหารทำให้ทานอาหารได้มากแต่เมื่อบริโภคมากเข้านานเข้า
เหล้าก็จะไปทำให้เกิดผลต่อทารกคือติดเหล้าทั้งแม่และเด็กในครรภ์
และตัวแอลกอฮอล์เองก็มีส่วนทำให้ทารกเกิดความผิดปกติทางรูปร่างได้และมีอุบัติการณ์
ที่จะเกิดทารกน้ำหนักน้อยแอลกอฮอล์นั้นมีผลต่อตับมากจึงอาจจะเป็นสาเหตุที่ในสมัยก่อน
หญิงไทยจึงเป็นโรคเนื้องอกตับ หรือมะเร็งตับมาก
ส่วนการแพ้ท้องที่ทานสารอาหารพิสดารนั้นเป็นธรรมชาติของคนตั้งครรภ์ เมื่อร่างกายต้องการสารอาหารอะไร
ก็จะแสดงออกโดยการแพ้ท้อง ต้องการอาหารแปลกๆ ที่มีสารนั้นมาก เช่นพวกที่แพ้ท้องต้องการที่จะกินดินสอพองนั้น
ก็เนื่องจากร่างกายขาดแคลเซียม กลุ่มที่แพ้ท้องต้องการทานผลไม้แปลกๆ เปรี้ยวๆ นั้น
อาจจะเนื่องจากร่างกายต้องการสารโปรแตสเซียม เป็นต้น
มีไม่น้อยที่ขวนขวายเสาะหาอาหารแปลกๆ แพงๆ และเชื่อว่ามีคุณค่ามาก มีไวตามินชนิดต่างๆ สูงมาก
ซึ่งนับว่าเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนในหญิงตั้งครรภ์มีความต้องการปริมาณสารอาหารในปริมาณพลังงาน
เพิ่มขึ้น 300-500 กิโลแคลอรีต่อวัน ซึ่งปกติผู้หญิงที่ไม่ตั้งครรภ์ต้องการ 2,500-3,000 กิโลแคลอรีต่อวัน
ปริมาณที่เพิ่มเทียบได้กับอาหารที่คุ้นเคยคือ ผัดซีอิ้ว 1 จาน (ทานอิ่ม) หรือก๋วยเตี๋ยวน้ำ 2 ชาม
แต่ในชีวิตจริงเมื่อพ้นระยะการแพ้ท้องไปแล้ว คุณแม่ก็มักจะทานเกินกว่าที่ร่างกายต้องการมาก
บางคนหลังเที่ยงคืนดึกดื่นยังปลุกสามีให้ไปซื้ออาหารมารับประทานทำให้อนาคตคุณแม่ท่านนี้
คงจะเป็นนางงามในวรรณคดี
ในคนตั้งครรภ์นั้นน้ำหนักที่จะเพิ่มควรจะประมาณ 12-14 กิโลกรัมตลอดการตั้งครรภ์
โดยเฉลี่ยแล้วใน 3 เดือนแรกน้ำหนักมักจะไม่เพิ่มขึ้นเพราะคุณแม่แพ้ท้อง ระยะนี้น้ำหนักคงที่ก็นับว่าดูแลดีแล้ว
หลังจากนั้นควรจะให้เพิ่มน้ำหนักได้ครึ่งกิโลกรัมต่อสัปดาห์
มีเคล็ดลับที่จะไม่ทำให้คุณแม่กลายเป็นนางในวรรณคดี (ผีเสื้อสมุทร) คือ
การบริโภคอย่างอิสระได้ในไตรมาสสุดท้ายเพราะในระยะนี้สารอาหารจะถูกดูดจากทารกไปมาก
เพื่อไปสร้างน้ำหนักตัวอย่างเต็มที่ ดังนั้นในไตรมาสที่สองเท่านั้นที่คุณแม่ต้องระมัดระวังการบริโภค
หลังจากนั้นก็บริโภคได้เต็มที่ แต่ก็ควรจะทำความเข้าใจความต้องการของสารอาหารในสตรีตั้งครรภ์
ในสตรีตั้งครรภ์แบ่งความต้องการสารอาหารออกได้ 3 ชนิด
1. ความต้องการพลังงานสารอาหารเพิ่มวันละ 300-500 กิโลแคลอรี
2. สารอาหารที่ไม่ต้องการเพิ่ม ได้แก่ ไวตามิน B ไวตามิน A ไวตามิน E
3. สารอาหารที่ต้องการเพิ่มน้อยกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ เช่น ไวตามิน C แมกนีเซียม ซิลิเนียม
4. สารอาหารที่ต้องการเพิ่มมากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ ได้แก่ แคลเซียม และแมกนีเซียม
5. สารอาหารที่ต้องการเพิ่มร้อยเปอร์เซ็นต์ ได้แก่ ธาตุเหล็ก
ไวตามินนั้นส่วนมากถ้าทานอาหารครบห้าหมู่จะไม่จำเป็นต้องเพิ่มเติมจากภายนอก คือการบริโภคยา
ในทางตรงข้ามไวตามินขนาดสูงๆ (Megadose) จะทำให้เกิดความพิการในทารกได้
และไวตามินนั้นเป็นสารที่มีความต้องการในปริมาณน้อยมาก เป็นสิ่งที่น่าวิตกเพราะยาเหล่านี้ซื้อหาได้ง่าย
และด้วยความเชื่อว่าไวตามินไม่มีอันตราย
นอกจากการบริโภคแล้วในเครื่องอุปโภคโดยเฉพาะสารประทินโฉมจะใส่ไวตามินและฮอร์โมนผสม
เช่นครีมรักษาสิว เป็นต้น อาจจะทำให้เกิดความพิการของทารก รวมทั้งฮอร์โมนที่ใส่ผสม
ในครีมประทินโฉมบางชนิดด้วยเช่นกัน
หลักการบริโภคอาหารในสตรีตั้งครรภ์นั้น ให้เน้นที่รับประทานอาหารให้ครบห้าหมู่ เนื้อสัตว์
อาหารแป้ง ผัก ผลไม้ ไขมัน และน้ำ (8-10 แก้ว) ให้คละกันไปไม่เลือกทานอย่างใดอย่างหนึ่งก็จะได้สารอาหาร
ครบทั้งในประเภทสารอาหารที่ 2 และ 3 ส่วนพลังงานอาหารที่ต้องการเพิ่มนั้นให้เพิ่มจากปริมาณอาหารที่บริโภค
โดยแยกย่อยเพิ่มในแต่ละมื้อหรือเพิ่มมื้อโดยคิดตามน้ำหนักตัวอย่างเข้มงวดในไตรมาสที่ 1 และ 2 พอไตรมาสที่ 3
ก็ไม่ต้องเคร่งครัดทำตัวตามใจอยากได้
แต่ในส่วนอาหารประเภทที่ 4 ซึ่งต้องการเพิ่มอีก 50 เปอร์เซ็นต์ ได้แก่ แคลเซียมนั้น
ควรจะได้จากการบริโภคอาหาร นอกจากไม่สามารถปฏิบัติได้จึงให้ได้จากยาที่แพทย์สั่งให้ได้
อาหารไทยๆ เรานั้น ก็มีแหล่งแคลเซียมมากอยู่ไม่น้อยโดยเฉพาะเต้าหู้หรือถั่วต่างๆ ปลาที่บริโภคพร้อมก้าง
ซึ่งมีจำหน่ายหลายรูปแบบในตลาดเป็นแหล่งที่มีแคลเซียมสูงมากและยังได้โปรตีนอีกด้วย
ในผัก เช่น ผักขม คะน้า ใบชะพลู ใบยอ และที่มีมากคืองา โดยเฉพาะงาดำจะให้แคลเซียมสูง
แหล่งแคลเซียมที่มีมากแต่ราคาค่อนข้างสูง เช่น นมและเนย จากการคำนวณนม 1 ลิตร
จะมีปริมาณแคลเซียมพอในหญิงตั้งครรภ์ต่อ 1 วัน ในสารอาหารประเภทที่ห้ามที่ต้องการเพิ่ม 100 เปอร์เซ็นต์คือ
ธาตุเหล็กซึ่งจำเป็นต้องได้จากยา ในอาหารจะไม่เพียงพอ ดังนั้นในสตรีตั้งครรภ์เมื่อเข้าสู่ไตรมาสที่สอง
ก็จะได้ยาเสริมธาตุเหล็กจากแพทย์ตลอดการตั้งครรภ์
จากข้อมูลเบื้องต้นจะเห็นว่า ถ้าเข้าใจหลักการโภชนาการในสตรีตั้งครรภ์แล้ว
ทั้งคุณแม่คุณลูกในครรภ์ก็จะสมบูรณ์ทรวดทรงดีทั้งคู่ สมเจตนาขององค์การอนามัยโลกที่ว่า
"ลูกเกิดรอด แม่คลอดปลอดภัย อย่างมีคุณภาพ"
น.พ.วีระ สุรเศรณีวงศ์
|