หมอพัตร
ทราบหรือไม่ว่า โลกเราทุกวันนี้แม้ความเจริญทางด้านวัตถุจะก้าวหน้าไปอย่างมากมาย
แต่ในด้านศีลธรรมความป่าเถื่อน ในการประพฤติปฏิบัติของมนุษย์ผู้ชาย (บางคน)
ต่อมนุษย์หญิงมิได้ผิดแผกไปจากสมัยหินเท่าใดนัก สตรีเพศยังคงต้องอดทนกล้ำกลืน
ต่อความจ้วงจาบหยาบช้าทารุณอย่างไม่มีที่สิ้นสุด แม้ตามกฎหมายสากลสตรี
จะมีสิทธิเสรีภาพเท่าเทียมบุรุษ แต่สภาพความแข็งแรงของร่างกายเท่าเทียมบุรุษ
แต่สภาพความแข็งแรงของร่างกายยังเทียบกันไม่ได้ สตรีจำนวนมาก
จึงต้องทนความอมขมกลืนต่อไป
เมื่อไม่นานมานี้ได้อ่านพบการรวบรวมสถิติบางเรื่องในรอบสองปีที่ผ่านมา
ได้พบสถิติที่น่าสนใจเกี่ยวกับสตรี จึงขอนำเสนอท่านผู้อ่านต่อไป
- สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ไม่ได้บอกว่า เป็นของประเทศใด) เก็บรวบรวมสถิติ
ในปี 1997 พบว่า สตรีถูกข่มขืนกระทำชำเราเฉลี่ยประมาณ 10 รายทุกวัน
ในจำนวนนี้มีการฆาตกรรมร่วมด้วยเดือนละ 2 ราย เหยื่อที่อายุน้อยที่สุด
เป็นเด็กทารกอายุเพียง 8 เดือน
- องค์การอนามัยโลกรายงานว่า สตรีประมาณร้อยละ 20 ถึง 50
ถูกทำร้ายร่างกายโดยสามีหรือคู่ควง (ไม่อยากเรียกว่าคู่รักเพราะคงไม่รักกันเท่าใดนัก)
หลายรายถูกข่มขืนอย่างทารุณด้วย
- จากการสอบสวนอย่างละเอียด การกระทำอัตวินิบาตกรรมเกิดขึ้น
ในสตรีที่มีภูมิหลังถูกทำร้ายทางเพศสูงเป็น 12 เท่าของรายเฉลี่ยการฆ่าตัวตายจากสาเหตุอื่น
- ประมาณร้อยละ 15 ถึง 18 ของสตรีที่ถูกข่มขืนจะมีการตั้งครรภ์
สตรีเหล่านี้มีโอกาสเป็นโรคติดเชื้อ อันเป็นสาเหตุของโรคแทรกซ้อนระหว่างตั้งครรภ์
เป็นผลให้เด็กที่คลอดออกมามีน้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์เฉลี่ย
เด็กเหล่านี้ต่อไปจะมีอุปนิสัยก้าวร้าวเป็นอันธพาลเมื่อโตขึ้น
- สำหรับภริยาที่ถูกทำทารุณกรรมโดยสามีจนบาดเจ็บสาหัสมีประมาณร้อยละ 17,
ที่ถูกปล่อยทิ้งให้หมดสติโดยไม่ได้รับความช่วยเหลือมีร้อยละ 7,
ถึงขั้นเสียชีวิตมีร้อยละ 2, เกิดโรคทางจิตประสาทร้อยละ 17,
และร้อยละ 35 มีบาดแผลที่ไม่รุนแรงตามร่างกาย
- ตามรายงานของมูลนิธิเพื่อนสตรี (ไม่ได้บอกอีกนั่นแหละว่าประเทศไหน)
มีเหยื่อทารุณกรรมทางเพศโดยคู่สมรสมาขอรับความช่วยเหลือเพิ่มขึ้นทุกที
ในปี 1996 มี 700 รายเศษ ในปี 1997 เพิ่มเป็นกว่า 1000 ราย
- จากการตรวจสอบรายงานจากศูนย์หลายแห่งพบว่า ร้อยละ 88 ของอาญากรรมเหล่านี้
เกิดขึ้นที่บ้าน มีส่วนน้อยที่มีคนแปลกหน้าเข้ามาร่วมด้วย
- สตรีบางคนก็มิได้งอมืองอเท้าให้บุรุษกระทำเอาแต่ฝ่ายเดียว
มีการต่อสู้ขัดขืนร้อยละ 25 ในจำนวนนี้หลายรายลงเอยด้วยฝ่ายชายเสียท่าถูกปลิดชีวิต
(ที่ปาดเจ้าโลกกระจุยไม่ได้แจ้งไว้)
- สตรีที่ถูกทารุณกรรมบางรายจะปล่อยอารมณ์ที่ถูกเก็บกดสู่บุตร
เป็นผลร้ายแก่เด็กต่อไป
- เหยื่อทารุณกรรมส่วนใหญ่ ขั้นแรกมักเก็บเงียบ พยายามหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับสามี
เมื่อทนไม่ได้ขั้นต่อไปคือ ขอความช่วยเหลือจากญาติพี่น้องและผู้ที่สนิทชิดเชื้อ
เมื่อสุดจะทนและแก้ปัญหาด้วยวิธีต่างๆ ไม่เป็นผลแล้วนั่นแหละ
จึงจะไปขอความช่วยเหลือจากตำรวจ
- ในช่วงเวลา 20 ปีที่ผ่านมา สมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรี (ไม่ทราบว่าประเทศไหน)
ได้รับแจ้งและยื่นมือเข้าไปช่วยแก้ไขปัญหาการทารุณกรรมทางเพศที่บ้านถึง 4000 ราย
- ตามสถิติพบว่า เมื่อสามีทุบตีภริยาได้ครั้งหนึ่ง เหตุการณ์เช่นนี้ก็จะเกิดขึ้นตามมาเรื่อยไป
และบ่อยครั้งขึ้น
- จากการศึกษาในเมืองไทยบ้านเรา พบสถิติที่น่าสนใจเกี่ยวกับการใช้จ่ายเงิน
เพื่อจุดเจือครอบครัว พบว่าฝ่ายหญิงใช้จ่ายเงินที่หาได้ประมาณร้อยละ 90
เพื่อกิจกรรมในครอบครัว ส่วนฝ่ายชายจะจ่ายประมาณร้อยละ 50 ของที่หาได้เท่านั้น
ดังนั้นการทำร้ายสตรีจึงไม่ต่างอะไรกับการทำอันตรายต่อความมั่นคงของครอบครัวนั่นเอง
ในดินแดนแคว้นภารตะอินเดีย การทำทารุณกรรมต่อเพศเมียเกิดขึ้น
จนเกือบจะเป็นเรื่องธรรมดาไม่สู้จะมีใครเห็นเป็นเรื่องร้ายแรง
ในบางแค้วนสตรียังต้องเป็นฝ่ายเสียสินสอดให้แก่บุรุษ ชายที่มีจิตใจเหี้ยมเกรียม
เมื่อไม่ถูกใจภริยาก็หาวิธีกำจัดเพื่อหาภริยาใหม่ วิธีที่เกิดขึ้นบ่อยคือภริยาถูกไฟคลอก
สตรีอินเดียแต่งกายรุ่มร่ามเวลาเข้าครัวทำอาหารจึงถูกเพลิงลุกลามติดเสื้อผ้าได้ง่าย
และบาดเจ็บสาหัสถึงแก่ชีวิตได้โดยง่าย เป็นที่รู้กันว่าเพลิงมิใช่ใครที่ไหน
อาจเป็นตัวสามีเองหรือมารดาของสามีก็ได้ แต่ก็ไม่สู้จะมีใครเอาเรื่องเอาราวต้องตายฟรีไป
ยังดีที่ปัจจุบันนี้ประเพณีโดดเข้ากองเพลิงตายตามสามีเลิกไปเกือบหมดแล้ว
นอกจากในชนบทที่ห่างไกล
ซิกมัน ฟรอยด์ จิตแพทย์ผู้มีชื่อเสียงกล่าวว่า เซ็กซ์เท่านั้นที่ครองโลก
คำกล่าวนี้เป็นที่ถกเถียงกันมาตลอดว่า เป็นความจริงเพียงไหน
จะว่าจริงร้อยเปอร์เซ็นต์ก็ไม่เชิง เซ็กซ์หรือความต้องการทางเพศ
เป็นสัญชาตญาณพื้นฐาน (Basic Instinct) เพื่อสืบพืชพันธุ์ของสัตว์โลก
แต่ก็ยังมีสัญชาตญาณพื้นฐานอื่นที่รุนแรงกว่า เช่นสัญชาตญาณในการรักและคุ้มครองลูก
และสัญชาตญาณความอยากอาหาร จากการทดลองพบว่า พลังแรงสุดคือความรักของแม่
ที่ยอมสละทุกอย่างแม้ชีวิตเพื่อปกป้องคุ้มครองลูก
แต่ที่พลังทางเพศมีอำนาจก็เพราะมีปัจจัยอื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง
ที่เห็นเด่นชัดคือพลังกายที่แข็งแรงกว่าที่ทำให้สัตว์เพศเมียต้องยอมตกอยู่ใต้อำนาจของเพศผู้
แต่สำหรับสัตว์ที่ตัวเมียแข็งแรงและโตกว่าตัวผู้ เช่นแมงมุมเพศเมีย
ก็มีอำนาจกว่าเพศผู้เหมือนกัน
สำหรับมนุษย์ พลังกายที่แข็งแรงอย่างเดียวแต่สมองทึบ
ชักจะควบคุมเป็นหัวหน้าครอบครัวไม่ได้เสียแล้ว สตรีที่มีปัญญาหลักแหลมมากราย
สามารถเป็นช้างเท้าหน้าในกิจการต่างๆ แม้กระทั่งเรื่องในครอบครัว
ประธานาธิบดีและนายกรัฐมนตรีที่เป็นหญิงก็มีแล้ว
ผู้ชายที่มีพลังกายแต่อย่างเดียวเห็นทีจะต้องไปเอาดีทางกีฬาเสียละกระมัง
|