มาที่นี่ที่เดียว ได้อ่านบทความทางด้านการแพทย์ ภาษาไทย จากเกือบทุกโฮมเพจที่มีใน INTERNET
http://www.oocities.org/Tokyo/Harbor/2093/
จำสั้นๆ i.am/thaidoc



ทารกท้องบาตร

พ.ต.ท.น.พ.เสรี ธีรพงษ์


"คุณมีลูกพิการและครรภ์เป็นพิษในเวลาเดียวกัน นอกจากนั้นยังมีภาวะแทรกซ้อนขั้นรุนแรงด้วย คือ "ไตรั่ว" หมายถึง ไตไม่สามารถเก็บรักษาโปรตีนไว้ในร่างกายได้ ซึ่งทำให้ตรวจพบโปรตีนในปัสสาวะจำนวนมาก ถ้าไม่รีบผ่าตัดเอาเด็กออกไตของคุณจะเสียได้" ข้าพเจ้าพูดภาษาชาวบ้านอธิบายให้คนไข้รายหนึ่งฟัง

คนไข้สตรีรายนี้ อายุ 23 ปี ตั้งครรภ์แรก ฝากครรภ์ที่คลินิกแห่งหนึ่ง ระหว่างที่ฝากครรภ์ พบว่ามดลูกโตช้ากว่าปกติเมื่อเทียบกับอายุครรภ์ แต่ไม่พบความผิดปกติอื่นใด จนกระทั่งอายุครรภ์ได้ 34 สัปดาห์ จึงเกิดปัญหา คือ ร่างกายมีอาการบวมตามแขนขาหน้าตา ความดันโลหิตพุ่งสูงขึ้น จากเดิม 100/80 เป็น 150/100 มิลลิเมตรปรอท ที่สำคัญคือ "ไต" ของคนไข้ทำงานเสื่อมลงอย่างมาก ไตไม่สามารถกรองเก็บโปรตีน ซึ่งเป็นสารสำคัญของร่างกายเอาไว้ได้ โปรตีนจึงรั่วออกมาในปัสสาวะจำนวนมาก สูติแพทย์ที่คลินิกแห่งนั้น ยังตรวจพบว่า ทารกมีความผิดปกติอีกต่างหาก จึงรีบส่งตัวมารับการรักษาต่อในโรงพยาบาลของรัฐ

คนไข้สตรีรายนี้ เลือกที่จะมาโรงพยาบาลตำรวจเผอิญมา ในเวรที่ข้าพเจ้าออกตรวจ ข้าพเจ้าเห็นว่า หากปล่อยทิ้งไว้เนิ่นนานกว่านี้ ไตของคนไข้อาจจะเสียหายมากจนยากจะฟื้นคืนสภาพเดิมได้ จึงตัดสินใจทำการผ่าตัดคลอดให้ทันที ก่อนทำการผ่าตัด ได้บอกกับคนไข้ว่า
"ทารกที่คลอดออกมา คงไม่รอดแน่ แต่ที่จำเป็นต้องผ่าตัดเพราะว่า จะรักษาชีวิตแม่ และป้องกันไม่ให้ไตเสียหายถาวร"
คนไข้ยังมีความสงสัยอยู่ในใจ จึงได้ถามว่า "หากจะปล่อยให้การตั้งครรภ์เนิ่นนานออกไปอีกสัก 1-2 สัปดาห์ ลูกของดิฉันจะมีโอกาสรอดชีวิตหรือไม่"

"คุณมัวแต่เป็นห่วงลูกอยู่นั่นแหละ คุณน่าจะเป็นห่วงตัวเอง เพราะยังไงๆ ลูกของคุณไม่มีโอกาสรอดอยู่แล้วไม่ว่าระยะเวลาคลอด จะเลื่อนห่างออกไปนานสักเท่าใด แต่...ตรงกันข้าม ยิ่งการตั้งครรภ์สิ้นสุดเร็วเท่าไร ร่างกายของคุณยิ่งกลับฟื้นฟู สู่สภาวะปกติเร็วเท่านั้น" ข้าพเจ้าอธิบายถึงผลดีผลเสีย ของการเลื่อนระยะเวลาคลอดออกไปให้ฟัง
เมื่อคนไข้ทราบถึงความเป็นไปของโรคอย่างนี้แล้ว เธอจึงไม่รั้งรอที่จะขอเข้ารับการผ่าตัดคลอดทันที

ภายในห้องผ่าตัด พอคลอดเด็กออกมา พยาบาลร้องบอกว่า "โอ้โห...ทำไมทารกรูปร่างหน้าตาน่าเกลียดจัง ท้องใหญ่อย่างกับบาตรพระ เนื้อตัวบวมน้ำเปื่อยยุ่ยไปหมด พิการแบบนี้คงมีชีวิตอยู่ได้ไม่กี่นาที" ถัดจากนั้น ข้าพเจ้าได้ล้วงรกออกมาปรากฏว่า รกของเด็กมีลักษณะบวมน้ำเช่นกัน ขนาดใหญ่และน้ำหนักมากกว่าทารกเสียอีก เด็กหนัก 1,080 กรัม ส่วนรกหนักถึง 1,300 กรัม

ปัญหาของคนไข้รายนี้อีกอย่างหนึ่งคือ มีการตกเลือดหลังคลอด แต่ด้วยการเตรียมพร้อมอย่างดี ทำให้ปัญหาอันนี้ไม่รุนแรงจนถึงขั้น เป็นอันตราย

วันหนึ่ง เมื่อคนไข้อยู่ในสภาพแข็งแรงดี เธอถามข้าพเจ้าว่า
"ดิฉันอยากรู้จริงๆ เลยว่า สาเหตุของ ทารกพิการท้องบาตรคืออะไร และการตั้งครรภ์ครั้งต่อไปจะเกิดภาวะเช่นนี้อีกหรือไม่"
"ช่างเป็นคำถามที่ตอบยากจริงๆ สาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะทารกท้องบาตรนั้น มีมากมาย แต่แบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม ใหญ่ๆ กลุ่มแรก เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายของทารก (IMMUNEHYDROPS) ภูมิต้านทานนี้จะสร้างในกระแสเลือดแม่ และแทรกซึมเข้าสู่กระแสเลือดลูก ยังผลให้เกิดการแตกของเม็ดเลือดในลูกและลูกมีภาวะโลหิตจาง อีกกลุ่มหนึ่ง ไม่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกันร่างกายของทารก (NONIMMUNE HYDROPS) แต่จะเกี่ยวพันกับโรคบางชนิดในมารดา เช่น ภาวะโลหิตจาง, โรคเบาหวาน หรือกามโรคชนิดซิฟิลิส เป็นต้น

ไม่ว่าจะมีสาเหตุจากอะไร พยาธิสภาพของทารกจะเกิดขึ้นเหมือนกัน คือ ภาวะโลหิตจางอย่างมาก จากการที่เม็ดเลือดแดงแตก (HEMOLYSIS) ผลที่ตามมาคือ ทารกเกิดภาวะหัวใจล้มเหลว ผลสุดท้ายจึงปรากฏ เป็นทารกพิการอย่างที่ทราบ" ข้าพเจ้าอธิบายเสียยืดยาวไม่รู้ว่า คนไข้จะรู้เรื่องหรือเปล่า สุดท้ายจึงสรุปรวมความว่า

"สาเหตุมีมากมายจนไม่จำเป็นต้องจดจำ แต่หากแม่มีโรคประจำตัวอะไร ที่พอจะแก้ไขได้ เราต้องรีบแก้ไขรักษา เพื่อโอกาสข้างหน้า จะได้ไม่เกิดภาวะเช่นนี้ซ้ำ ส่วนการรักษาทารกขณะอยู่ในครรภ์ ของเมืองไทยเราคงไม่ต้องบอกนะว่า ทำไม่ได้ สิ่งหนึ่งที่อยากจะเตือนเอาไว้ คือ ภาวะนี้มีผลต่อมารดา คือเพิ่มอุบัติการณ์ของการเกิดครรภ์พิษ ซึ่งทำให้ชีวิตของแม่ไม่ปลอดภัย และการแก้ไขที่สำคัญ คือ เอาเด็กออกให้เร็วที่สุด ทางไหนก็ได้ คลอดเองหรือผ่าตัดเอาออกทางหน้าท้อง แล้วแต่ความเหมาะสมอย่างกรณีของคุณมีภาวะแทรกซ้อน คือ โปรตีนรั่วออกมาจากไตอย่างมาก ทิ้งไว้นานไตจะเสีย จึงรีบผ่าตัดคลอดให้ เดี๋ยวนี้ผลการตรวจปัสสาวะของคุณปกติแล้ว เห็นไหมว่า ให้ผลทันตาในเวลาอันรวดเร็วมาก"

นี่คือคำอธิบายก่อนที่คนไข้จะออกจากโรงพยาบาลไป เธอจะสบายใจหรือไม่ ไม่มีใครทราบ แต่ที่แน่ๆ เธอคงดีใจที่ปลอดภัย และการทำงานของไตกลับมาเป็นปกติ

ส่วนที่ว่า จะเกิดภาวะเช่นนี้ (ทารกท้องบาตร) ในครรภ์ต่อไปหรือไม่ ขึ้นอยู่กับสาเหตุได้รับการกำจัดแล้วหรือยังสำหรับกรณีที่ไม่ทราบสาเหตุแน่นอน อย่างเช่นกรณีของคนไข้รายนี้ คงจะต้องยอมรับความเสี่ยงของการเกิดซ้ำ แต่การฝากครรภ์เนิ่นๆ จะช่วยให้มีการเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด เมื่อพบความผิดปกติประการใด จะแก้ไขได้ทันท่วงทีโดยไม่ปล่อยให้โรครุนแรง จนเกิดภาวะแทรกซ้อนเช่นการตั้งครรภ์ครั้งนี้
"การตั้งครรภ์ครั้งถัดไป อาจจะปกติได้ ขออย่างเดียวอย่าเสียกำลังใจ จนไม่กล้าที่จะตั้งครรภ์ใหม่" ข้าพเจ้ากล่าวในตอนท้าย ก่อนที่จะแยกจากคนไข้สตรีดังกล่าว

ในหมู่คนจีนมักจะมีความเชื่อว่า คนเราเกิดมาเพื่อชดใช้กรรม ด้วยเหตุ 2 ประการ คือ ทดแทนคุณ หรือไม่ก็แก้แค้นกับพ่อแม่ สังเกตง่ายๆ ได้ว่า
กรณีที่ลูกเกิดมาเพื่อทดแทนคุณนั้นในระหว่างตั้งครรภ์ คุณแม่จะสุขสบายดีไม่มีปัญหา คลอดก็ง่ายและหลังคลอดจะไม่มีภาวะแทรกซ้อน เช่น ตกเลือด หรือติดเชื้อ
ส่วนกรณีที่ลูกเกิดมาเพื่อแก้แค้นจะพบว่า ระหว่างตั้งครรภ์คุณแม่จะเดือดร้อนไม่หยุดหย่อน แพ้ท้องมาก ครรภ์เป็นพิษมีการติดเชื้อและตกเลือดตอนก่อนคลอดหรือหลังคลอด

กรณีของคนไข้สตรีรายนี้ ลูกน่าจะเกิดมาเพื่อแก้แค้น เพราะยังไม่ทันไร ก็ทำร้ายแม่ตั้งแต่อยู่ในท้องซะแล้วหากจัดการช่วยเหลือช้า รับรองว่า ไตของแม่ต้องเสียหายอย่างมาก หากไม่ได้รับการช่วยเหลือเลย ดังเช่น คนสมัยก่อนที่คลอดกับหมอตำแย แม่คงเอาชีวิตสังเวย ความแค้นของลูกไปแล้ว ด้วยภาวะแทรกซ้อนอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น เส้นโลหิตในสมองแตกหรือตกเลือดหลังคลอดอย่างมากจนช็อกตาย

"สตรีตั้งท้อง" ต้องไม่ลืมว่าประกอบด้วยมารดาและทารก มารดาย่อมสำคัญกว่าบุตรในครรภ์เสมอเวลามีปัญหาอย่าเผลอไปคิดว่า "ลูกสำคัญกว่าแม่" เพราะการแก้ไขอาจจะไม่ทันท่วงที

สตรีตั้งครรภ์ใช่ว่าจะไม่มีอันตรายเสียเลย มีสตรีมากมายที่ตายเองจากการตั้งครรภ์แล้วเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น ตกเลือด ไตวาย เส้นโลหิตในสมองแตกหรือครรภ์เป็นพิษ จากภาวะ "ทารกท้องบาตร" (HYDROP FETALIS)

ฉะนั้นการฝากครรภ์ จึงเป็นสิ่งจำเป็นที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ของสตรีตั้งครรภ์ทุกคน ในระหว่างตั้งครรภ์หากพบความผิดปกติใดๆ คุณแม่ควรไต่ถามสูติแพทย์และหาสาเหตุให้ได้เพื่อการแก้ไขรักษา ที่ได้ผลทันการณ์นะครับ

"แม่" กับ "ลูก" ย่อมผูกพันกันมาแต่ชาติไหนๆ ใครจะเป็นหนี้ใครไม่ใช่เรื่องสำคัญ ถึงแม้ชาติก่อนนั้น"แม่จะเคยทำร้าย "ลูก" แต่ใครจะไประลึกชาติและรู้ได้ด้วยความดีที่ "แม่" เลี้ยงดู "ลูก" มาในชาตินี้ยังไม่เพียงพอที่ "ลูก" จะตอบแทนอีกหรือ "บุญคุณ-ความแค้น" ใดๆ ในโลกนี้ ย่อมสงบจบลงได้อย่างสันติสุขด้วย "ความกตัญญูกตเวที" และ "การไม่จองเวร"



[ ที่มา... นิตยสารแม่และเด็ก   ปีที่ 22 ฉบับที่ 329 สิงหาคม 2542 ]

[ BACK TO LIST]
main พบแพทย์ คอมพิวเตอร์ เรื่องบ้าน เรื่องรถ เรื่องกฏหมาย เรื่องของผู้บริโภค เรื่องเบาๆ คลายเครียด

มีปัญหาสุขภาพ ที่นี่มีคำตอบ ห้องสมุดE-LIB[ hey.to/yimyam ][ i.am/thaidoc ]

Best view with [IE3.02][NETSCAPE 4.05][OPERA 3.21] resolution 800x600