มาที่นี่ที่เดียว ได้อ่านบทความทางด้านการแพทย์ ภาษาไทย จากเกือบทุกโฮมเพจที่มีใน INTERNET
http://www.oocities.org/Tokyo/Harbor/2093/
จำสั้นๆ i.am/thaidoc



ไวรัสตับอักเสบ B และ C



ความจริงโรคตับอักเสบเป็นเรื่องที่ดิฉันเขียนลงในคอลัมน์นี้หลายครั้งแล้ว โดยเฉพาะโรคตับอักเสบชนิดบี ซึ่งเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ และปัจจุบันนี้พบว่าไวรัสตับอักเสบชนิดซีก็จัดว่าสามารถติดต่อทาง เพศสัมพันธ์ได้ด้วยเช่นกัน ถึงแม้จะติดต่อยากกว่าชนิดบีแต่ถ้ามีการร่วมเพศกับคนหลายคน ก็ย่อมมีโอกาสติดต่อได้มากขึ้นอย่างไรก็ตามการสวมกอดหรือการจูบกันไม่ก่อให้เกิดโรคตับอักเสบชนิดซี

คุณหมอสุวัฒน์เล่าให้ฟังว่า มีคนไทยโทรศัพท์ไปถามเรื่องตับอักเสบชนิดซี โดยบอกว่าบิดาของเขาเป็นโรคนี้ ดิฉันเองมีประสบการณ์ในการดูแลคนไข้โรคตับอักเสบชนิดซีมากพอควรเนื่องจากมารดาได้รับการถ่ายเลือด ขณะผ่าตัดเมื่อเกือบ 20 ปี ที่ผ่านมาแล้วท่านเกิดโรคตับอักเสบชนิดนี้ คำว่า "ตับอักเสบ" (Hepatitis) นั้นเป็นการอักเสบของตับที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัสจากยาหรือสาเหตุอื่นๆ ได้อีกมากมาย ส่วนไวรัสที่ทำให้ตับอักเสบนั้นเท่าที่ทราบขณะนี้มี 6 สายพันธุ์ คือ เอ บี ซี ดี อี และ จี (A B C D E and G) ซึ่งแต่ละชนิดก่อให้เกิดอาการรุนแรงของโรคตับได้แตกต่างกันและยังมีผลทำลายตับมากน้อยต่างกัน ในแต่ละบุคคลที่ติดเชื้อ ยกตัวอย่างเช่น

ไวรัสชนิด เอ และอี (A&E) ก่อให้เกิดอาการน้อยมาก ติดต่อกันโดยทางอาหารและน้ำดื่ม โดยเฉพาะในประเทศด้อยพัฒนา หรือกำลังพัฒนา

ส่วนไวรัสชนิดบี (B), ซี (C), และดี (D) เป็นพันธุ์ที่ก่อให้เกิดอาการของตับอักเสบได้มาก โดยเฉพาะชนิดบี และซี (เดิมเรียก non A non B) ทำให้เกิดการทำลายเนื้อตับได้มากจนเกิดอาการแทรกซ้อน ของโรคตับแข็ง เช่น ม้ามโต, เส้นเลือดำใต้เยื่อบุหลอดอาหารและกระเพาะอาหารโป่งพองจนถึงขั้นแตก ทำให้ผู้ป่วยอาเจียนเป็นเลือดหรือถ่ายอุจจาระมีสีดำ รวมทั้งอาการท้องมานและเท้าบวม จนถึงตับวายไปในที่สุด

ขณะนี้ท่านสามารถฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบชนิดเอ (A) และบี (B) แต่ยังไม่มีวัคซีนสำหรับป้องกันชนิดซี (C) และอื่นๆ

คนหลายคนโดยเฉพาะกลุ่มชนที่มาจากเอเชียด้านตะวันออกเฉียงใต้มักไม่คาดคิดว่า เขาเคยได้รับไวรัสชนิดบีหรือซี และบางคนยังมีไวรัสอยู่ในตับซึ่งจะคอยทำลายตับ และแพร่ไวรัสสู่คนอื่นได้อีกด้วย

บางคนเมื่อเริ่มได้รับไวรัสเข้าสู่ตับในระยะแรกอาจมีอาการคล้ายเป็นไข้หวัดใหญ่ คือ เหนื่อยง่าย ปวดเมื่อยตามเนื้อตัว เหนื่อยง่าย มีไข้ต่ำๆ เบื่ออาหาร ปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน หรืออาจมีอาการตัวเหลือง ตาเหลือง ปัสสาวะสีเข้ม การตรวจเลือดจะบ่งบอกชนิดของไวรัสที่กำลังก่อปัญหาอยู่ได้ เพราะร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันเฉพาะแต่ไวรัส

นอกจากนี้การเจาะเลือดยังแสดงถึงความรุนแรงของโรคในการทำลายเนื้อตับจนระบบการทำงาน ของตับเสียไปมากน้อยต่างกันตามชนิดของไวรัส การเฝ้าติดตามผู้ป่วยโดยการเจาะเลือดเป็นระยะ นอกจากแสดงถึงการฟื้นตัวของตับแล้ว ยังบ่งชี้ว่าคนๆ นั้นจะเป็นพาหะนำเชื้อเพราะยังมีไวรัสหลงเหลืออยู่

การติดต่อได้รับไวรัสชนิดบีและซีส่วนใหญ่แพร่กระจายทางเลือดและบางส่วนจากสารน้ำหล่อลื่นในช่องคลอด หรือที่ผลิตออกจากร่างกายส่วนอื่นๆ ประมาณ 40 เปอร์เซ็นต์ของคนไข้ที่เป็นโรคตับอักเสบชนิดบีหรือซี ไม่ทราบว่าตนเองได้รับเชื้อไวรัสเมื่อไรหรือโดยวิธีใด ท่านอาจมีความโน้มเอียงในการได้รับเชื้อไวรัสตับอักเสบ ชนิดบีหรือซี ถ้าท่านได้รับการถ่ายเลือดก่อนปี ค.ศ.1990 (เพราะวิธีทดสอบไวรัสชนิดซีในเลือดเริ่มใช้หลังปี ค.ศ.1989) หรือท่านเป็นคนไข้ที่ต้องใช้ไตเทียมฟอกเลือดหรือทำงานที่เกี่ยวข้องกับเลือดของมนุษย์ เช่นแพทย์ พยาบาล รวมทั้งการสัมผัสเลือดของคนที่เป็นโรคนี้โดยไม่ได้ตั้งใจและการใช้เข็มฉีดยาหรือท่อพ่นยาเสพติด เข้าจมูกร่วมกัน การเจาะหู หรือตามตำแหน่งต่างๆ ของร่างกาย เช่น จมูก สะดือ หัวนมและปลายองคชาต การสักรูปต่างๆ ที่ผิวหนังซึ่งมักใช้เข็มสักหรือเข็มเจาะร่วมกัน

นอกจากนี้ดังที่กล่าวแล้วว่า การมีเพศสัมพันธ์กับคนที่เป็นโรคตับอักเสบชนิดบีและซี ถึงแม้ว่าชนิดซีจะพบว่าติดต่อโดยทางเพศสัมพันธ์ได้น้อยกว่าชนิดบี แต่ถ้ามีคู่นอนหลายคน นับเป็นการเพิ่มอัตราเสี่ยง ปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานยืนยันว่า เชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดซีสามารถติดต่อได้ทางน้ำลาย หรือน้ำอสุจิและน้ำนม แต่อาจถ่ายทอดไวรัสทางการใช้แปรงสีฟันร่วมกัน การใช้ตะไบเล็บ กรรไกรตัดผมหรือมีดโกน และเข็มปักผิวหนังตามวิธีแพทย์จีน (Acupuncture needles) ทุกคนที่ได้รับเชื้อไวรัสชนิดซีต่างสามารถแพร่เชื้อ (ไม่เหมือนกับไวรัสชนิดบี ซึ่งบางคนเท่านั้นที่เป็นพาหะแพร่เชื้อได้) ถึงแม้ว่าอาการของตับอักเสบเลยก็ตาม

ในสหรัฐอเมริกา คาดว่า ประชากรราว 3.9 ล้านคน ได้รับเชื้อไวรัสชนิดซีอยู่ในตนและคนกลุ่มนี้ไม่มีภูมิคุ้มกัน ไวรัสชนิดซี (ไม่เหมือนกับกรณีของไวรัสชนิดเอและบี ซึ่งร่างกายสามารถสร้างภูมิคุ้มกันและปัจจุบันมีวัคซีน สำหรับเชื้อไวรัสชนิดเอและชนิดบีแต่ไม่มีวัคซีนสำหรับชนิดซี) ประมาณ 90 เปอร์เซ็นต์ของคนไข้ที่ได้รับเชื้อ ไวรัสชนิดนี้เกิดจากการได้รับเลือดก่อนปี ค.ศ.1980 โอกาสที่ทารกจะได้รับเชื้อจากมารดาช่วงแรกเกิดนั้น มีได้น้อยกว่า 5 เปอร์เซ็นต์ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับจำนวนเชื้อไวรัสในร่างกายมารดาขณะตั้งครรภ์ว่ามีมากน้อยเพียงใด การที่วงการแพทย์ปัจจุบันยังไม่สามารถผลิตวัคซีนป้องกันโรคตับอักเสบชนิดซีหรือวัคซีนช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกัน ในคนไข้ที่ได้รับเชื้อไวรัสชนิดนี้ได้ เนื่องจากเชื้อไวรัสชนิดซีมีหลายสายพันธุ์และเชื้อมีความสามารถ ในการกลายพันธุ์ (Mutation) ได้มากมายหลายขั้นตอนจนก่อให้เกิดสายพันธุ์ใหม่ๆ ขึ้นอีก

ระยะเวลานับจากเมื่อเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดซีเข้าสู่ร่างกายจนถึงตอนที่สำแดงฤทธิ์ให้ร่างกาย มีอาการไม่สบายดังกล่าวจะกินเวลา 2-26 สัปดาห์ ส่วนใหญ่อาจไม่มีอาการผิดปกติทางร่างกายให้ปรากฎชัด หรืออาจมีผลการทดสอบหน้าที่ของตับปกติ แต่เชื้อไวรัสชนิดซีสามารถแอบแฝงอยู่ในร่างกายของบุคคลนั้น และพร้อมที่จะเผยแพร่เชื้อด้วยวิธีดังกล่าวแล้วประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์ของคนไข้ที่ได้รับไวรัสชนิดซี เกิดอาการตับอักเสบเรื้อรังยืดเยื้อเกินหกเดือน และทำให้สภาพตับเสื่อมลงในเวลา 10-40 ปี เกิดปัญหาตับแข็งและมะเร็งของตับได้ บางครั้งแพทย์ใช้วิธีเจาะชั้นเนื้อตับมาตรวจดูวิธีการดำเนินของโรค ร่วมกับการเจาะเลือด ประชากรในสหรัฐอเมริกาประมาณ 1.2 ล้านคน เป็นโรคตับอักเสบชนิดบีและประมาณ 4.8 ล้านคน (1.8% ของพลเมืองสหรัฐอเมริกาทั้งหมด) เป็นโรคตับอักเสบไวรัสชนิดซี ส่วนมากโรคตับอักเสบด้วยไวรัสชนิดบีมักไม่เรื้อรังเกินหกเดือน กล่าวคือร่างกายของคนไข้ สามารถกำจัดเชื้อไวรัสชนิดบีให้หมดไปจากกระแสเลือด และตับได้ แต่ถ้ากำจัดไม่หมดบุคคลนั้น ย่อมเป็นพาหะแพร่เชื้อได้เช่นกัน

เนื่องจากตับเป็นอวัยวะที่สำคัญมากของร่างกายในการช่วยทำลายพิษ เช่น แอลกอฮอล์ หรือเปลี่ยนสภาพยาให้เป็นประโยชน์ มันสร้างสารที่จำเป็น เช่น เปลี่ยนน้ำตาลเป็นกลัยโคเจน หรือเปลี่ยนกลับเป็นน้ำตาลอีกในยามร่างกายต้องการสังเคราะห์โปรตีนและโคเลสเตอรอลและสารอื่นๆ อีกมากมายที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตของคนเรา ดังนั้นเชื้อไวรัสบีและซีต่างสามารถทำลายเนื้อตับได้ โดยเฉพาะไวรัสชนิดซีซึ่งทำให้คนไข้ต้องรับการผ่าตัดเปลี่ยนตับใหม่ ขณะนี้ประมาณหนึ่งในสามของคนไข้ ที่รับการผ่าตัดแบบนี้ในสหรัฐอเมริกาเนื่องจากไวรัสชนิดซี

วิธีป้องกันตัวท่านเองจากการติดต่อไวรัสชนิดบีและซีก็โดยการไม่ใช้ของส่วนตัวที่อาจปนเปื้อนเลือดร่วมกัน เช่น มีดโกน, แปรงสีฟัน, ตะไบเล็บ, ที่ตัดเล็บและเข็มฉีดยา ถ้าต้องการเจาะหูหรือทำเล็บควรเลือกช่างที่รักษา ทำความสะอาดเครื่องมือให้ปราศจากการติดเชื้อ พยายามจำกัดจำนวนคู่นอนถ้าไม่แน่ใจควรใช้ถุงยางอนามัย ขณะมีเพศสัมพันธ์ การสัมผัสภาชนะรับประทานอาหาร ช้อนส้อมหรือแปรงผม หวีผม ผู้ป่วยต่างไม่ก่อให้เกิดปัญหา ในการติดโรคแต่อย่างใด

ถ้าท่านไม่แน่ใจว่าได้รับเชื้อไวรัสชนิดบีหรือซีที่ทำให้ตับอักเสบหรือไม่ก็ควรไปตรวจเลือด หรือถ้าท่านอยู่ในสหรัฐอเมริกาจะมีสิทธิขอตรวจได้ฟรีตามศูนย์สาธารณสุขทั่วไป (Public health) ซึ่งมีอยู่ทุกเมืองตามปกติค่าตรวจอาจเกิน 200 เหรียญสหรัฐ

ปัจจุบันองค์กรอาหารและยาแห่งสหรัฐฯ ยอมให้รักษาบุคคลที่มีเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดบีและซี โดยเฉพาะชนิดซีด้วยการฉีดยาอินเทอร์เฟอรอน (Interferon) ซึ่งเป็นสารจำพวกเดียวกับโปรตีนผลิตผล ที่เซลล์ของร่างกายสร้างขึ้นตามธรรมชาติเพื่อต่อสู้กับเชื้อไวรัสหรือศัตรูอื่นๆ สารนี้มีความสามารถ ในการทดสอบเชื้อไวรัสไม่ให้แบ่งตัวเพิ่มจำนวนและส่งเสริมการทำงานของเม็ดเลือดขาว และเซลล์หน่วยพิฆาตของร่างกายอย่างไรก็ตาม การรักษาด้วยวิธีนี้ สามารถช่วยลดจำนวนผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสชนิดบี ไม่ให้เกิดกรณีตับอักเสบเรื้อรังได้เพียง 50 เปอร์เซ็นต์และช่วยลดปัญหานี้ในการติดเชื้อไวรัสชนิดซี เพียง 20-30 เปอร์เซ็นต์

การฉีดยาอินเทอร์เฟอรอนอาจยืดเยื้อไปถึง 24 เดือนทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของแพทย์ และผลเจาะเลือดตรวจดูสภาพของตับจำนวนไวรัสและภูมิคุ้มกัน (Antibodies) ที่ร่างกายผลิตมา เนื่องจากอินเทอร์เฟอรอนเป็นสารโปรตีน ดังนั้นอาจถูกทำลายโดยน้ำย่อยในกระเพาะอาหารได้ ด้วยเหตุนี้ การรักษาจึงต้องใช้วิธีฉีดเท่านั้น อาการแทรกซ้อนหลังจากการให้ยา ได้แก่ อาการแบบเดียวกับไข้หวัดใหญ่ คือ ไข้, ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ, หนาวสั่น, อ่อนเพลีย, เบื่ออาหาร, ปวดศีรษะ, เศร้าซึม, คลื่นไส้อาเจียน, ท้องเสีย, ผมร่วงเป็นหย่อมๆ, ผิวหนังแห้งและเกิดอาการคัน นอกจากนี้ตัวยาอาจไปกดไขกระดูกในการสร้างเม็ดเลือดขาว, เม็ดเลือดแดงและเกร็ดเลือด (Platelets)มารดาของดิฉันเองมีปัญหาเรื่องนี้อย่างหนักหลังจากท่าน ได้รับยาฉีดเพียงแค่สองเข็มเท่านั้น

เนื่องจากการรักษาและเฝ้าดูการดำเนินของโรคยากลำบากดังกล่าว ดังนั้นวิธีป้องกันการติดเชื้อจึงสำคัญที่สุด

พญ.จันทรา เจณณวาสิน



[ที่มา..หนังสือ นิตยสารใกล้หมอปีที่ 24 ฉบับที่ 5 พฤษภาคม 2543]

[ BACK TO LIST]
main พบแพทย์ คอมพิวเตอร์ เรื่องบ้าน เรื่องรถ เรื่องกฏหมาย เรื่องของผู้บริโภค เรื่องเบาๆ คลายเครียด

มีปัญหาสุขภาพ ที่นี่มีคำตอบ ห้องสมุดE-LIB[ hey.to/yimyam ][ i.am/thaidoc ]

Best view with [IE3.02][NETSCAPE 4.05][OPERA 3.21] resolution 800x600