ความจริงโรคตับอักเสบเป็นเรื่องที่ดิฉันเขียนลงในคอลัมน์นี้หลายครั้งแล้ว
โดยเฉพาะโรคตับอักเสบชนิดบี ซึ่งเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้
และปัจจุบันนี้พบว่าไวรัสตับอักเสบชนิดซีก็จัดว่าสามารถติดต่อทาง
เพศสัมพันธ์ได้ด้วยเช่นกัน ถึงแม้จะติดต่อยากกว่าชนิดบีแต่ถ้ามีการร่วมเพศกับคนหลายคน
ก็ย่อมมีโอกาสติดต่อได้มากขึ้นอย่างไรก็ตามการสวมกอดหรือการจูบกันไม่ก่อให้เกิดโรคตับอักเสบชนิดซี
คุณหมอสุวัฒน์เล่าให้ฟังว่า มีคนไทยโทรศัพท์ไปถามเรื่องตับอักเสบชนิดซี โดยบอกว่าบิดาของเขาเป็นโรคนี้
ดิฉันเองมีประสบการณ์ในการดูแลคนไข้โรคตับอักเสบชนิดซีมากพอควรเนื่องจากมารดาได้รับการถ่ายเลือด
ขณะผ่าตัดเมื่อเกือบ 20 ปี ที่ผ่านมาแล้วท่านเกิดโรคตับอักเสบชนิดนี้
คำว่า "ตับอักเสบ" (Hepatitis) นั้นเป็นการอักเสบของตับที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัสจากยาหรือสาเหตุอื่นๆ
ได้อีกมากมาย ส่วนไวรัสที่ทำให้ตับอักเสบนั้นเท่าที่ทราบขณะนี้มี 6 สายพันธุ์ คือ เอ บี ซี ดี อี และ จี
(A B C D E and G)
ซึ่งแต่ละชนิดก่อให้เกิดอาการรุนแรงของโรคตับได้แตกต่างกันและยังมีผลทำลายตับมากน้อยต่างกัน
ในแต่ละบุคคลที่ติดเชื้อ ยกตัวอย่างเช่น
ไวรัสชนิด เอ และอี (A&E) ก่อให้เกิดอาการน้อยมาก ติดต่อกันโดยทางอาหารและน้ำดื่ม
โดยเฉพาะในประเทศด้อยพัฒนา หรือกำลังพัฒนา
ส่วนไวรัสชนิดบี (B), ซี (C), และดี (D) เป็นพันธุ์ที่ก่อให้เกิดอาการของตับอักเสบได้มาก
โดยเฉพาะชนิดบี และซี (เดิมเรียก non A non B) ทำให้เกิดการทำลายเนื้อตับได้มากจนเกิดอาการแทรกซ้อน
ของโรคตับแข็ง เช่น ม้ามโต, เส้นเลือดำใต้เยื่อบุหลอดอาหารและกระเพาะอาหารโป่งพองจนถึงขั้นแตก
ทำให้ผู้ป่วยอาเจียนเป็นเลือดหรือถ่ายอุจจาระมีสีดำ รวมทั้งอาการท้องมานและเท้าบวม จนถึงตับวายไปในที่สุด
ขณะนี้ท่านสามารถฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบชนิดเอ (A) และบี (B)
แต่ยังไม่มีวัคซีนสำหรับป้องกันชนิดซี (C) และอื่นๆ
คนหลายคนโดยเฉพาะกลุ่มชนที่มาจากเอเชียด้านตะวันออกเฉียงใต้มักไม่คาดคิดว่า
เขาเคยได้รับไวรัสชนิดบีหรือซี และบางคนยังมีไวรัสอยู่ในตับซึ่งจะคอยทำลายตับ
และแพร่ไวรัสสู่คนอื่นได้อีกด้วย
บางคนเมื่อเริ่มได้รับไวรัสเข้าสู่ตับในระยะแรกอาจมีอาการคล้ายเป็นไข้หวัดใหญ่ คือ
เหนื่อยง่าย ปวดเมื่อยตามเนื้อตัว เหนื่อยง่าย มีไข้ต่ำๆ เบื่ออาหาร ปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน
หรืออาจมีอาการตัวเหลือง ตาเหลือง ปัสสาวะสีเข้ม การตรวจเลือดจะบ่งบอกชนิดของไวรัสที่กำลังก่อปัญหาอยู่ได้
เพราะร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันเฉพาะแต่ไวรัส
นอกจากนี้การเจาะเลือดยังแสดงถึงความรุนแรงของโรคในการทำลายเนื้อตับจนระบบการทำงาน
ของตับเสียไปมากน้อยต่างกันตามชนิดของไวรัส การเฝ้าติดตามผู้ป่วยโดยการเจาะเลือดเป็นระยะ
นอกจากแสดงถึงการฟื้นตัวของตับแล้ว ยังบ่งชี้ว่าคนๆ นั้นจะเป็นพาหะนำเชื้อเพราะยังมีไวรัสหลงเหลืออยู่
การติดต่อได้รับไวรัสชนิดบีและซีส่วนใหญ่แพร่กระจายทางเลือดและบางส่วนจากสารน้ำหล่อลื่นในช่องคลอด
หรือที่ผลิตออกจากร่างกายส่วนอื่นๆ ประมาณ 40 เปอร์เซ็นต์ของคนไข้ที่เป็นโรคตับอักเสบชนิดบีหรือซี
ไม่ทราบว่าตนเองได้รับเชื้อไวรัสเมื่อไรหรือโดยวิธีใด ท่านอาจมีความโน้มเอียงในการได้รับเชื้อไวรัสตับอักเสบ
ชนิดบีหรือซี ถ้าท่านได้รับการถ่ายเลือดก่อนปี ค.ศ.1990 (เพราะวิธีทดสอบไวรัสชนิดซีในเลือดเริ่มใช้หลังปี ค.ศ.1989)
หรือท่านเป็นคนไข้ที่ต้องใช้ไตเทียมฟอกเลือดหรือทำงานที่เกี่ยวข้องกับเลือดของมนุษย์ เช่นแพทย์
พยาบาล รวมทั้งการสัมผัสเลือดของคนที่เป็นโรคนี้โดยไม่ได้ตั้งใจและการใช้เข็มฉีดยาหรือท่อพ่นยาเสพติด
เข้าจมูกร่วมกัน การเจาะหู หรือตามตำแหน่งต่างๆ ของร่างกาย เช่น จมูก สะดือ หัวนมและปลายองคชาต
การสักรูปต่างๆ ที่ผิวหนังซึ่งมักใช้เข็มสักหรือเข็มเจาะร่วมกัน
นอกจากนี้ดังที่กล่าวแล้วว่า การมีเพศสัมพันธ์กับคนที่เป็นโรคตับอักเสบชนิดบีและซี
ถึงแม้ว่าชนิดซีจะพบว่าติดต่อโดยทางเพศสัมพันธ์ได้น้อยกว่าชนิดบี แต่ถ้ามีคู่นอนหลายคน
นับเป็นการเพิ่มอัตราเสี่ยง ปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานยืนยันว่า เชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดซีสามารถติดต่อได้ทางน้ำลาย
หรือน้ำอสุจิและน้ำนม แต่อาจถ่ายทอดไวรัสทางการใช้แปรงสีฟันร่วมกัน การใช้ตะไบเล็บ กรรไกรตัดผมหรือมีดโกน
และเข็มปักผิวหนังตามวิธีแพทย์จีน (Acupuncture needles) ทุกคนที่ได้รับเชื้อไวรัสชนิดซีต่างสามารถแพร่เชื้อ
(ไม่เหมือนกับไวรัสชนิดบี ซึ่งบางคนเท่านั้นที่เป็นพาหะแพร่เชื้อได้) ถึงแม้ว่าอาการของตับอักเสบเลยก็ตาม
ในสหรัฐอเมริกา คาดว่า ประชากรราว 3.9 ล้านคน ได้รับเชื้อไวรัสชนิดซีอยู่ในตนและคนกลุ่มนี้ไม่มีภูมิคุ้มกัน
ไวรัสชนิดซี (ไม่เหมือนกับกรณีของไวรัสชนิดเอและบี ซึ่งร่างกายสามารถสร้างภูมิคุ้มกันและปัจจุบันมีวัคซีน
สำหรับเชื้อไวรัสชนิดเอและชนิดบีแต่ไม่มีวัคซีนสำหรับชนิดซี) ประมาณ 90 เปอร์เซ็นต์ของคนไข้ที่ได้รับเชื้อ
ไวรัสชนิดนี้เกิดจากการได้รับเลือดก่อนปี ค.ศ.1980 โอกาสที่ทารกจะได้รับเชื้อจากมารดาช่วงแรกเกิดนั้น
มีได้น้อยกว่า 5 เปอร์เซ็นต์ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับจำนวนเชื้อไวรัสในร่างกายมารดาขณะตั้งครรภ์ว่ามีมากน้อยเพียงใด
การที่วงการแพทย์ปัจจุบันยังไม่สามารถผลิตวัคซีนป้องกันโรคตับอักเสบชนิดซีหรือวัคซีนช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกัน
ในคนไข้ที่ได้รับเชื้อไวรัสชนิดนี้ได้ เนื่องจากเชื้อไวรัสชนิดซีมีหลายสายพันธุ์และเชื้อมีความสามารถ
ในการกลายพันธุ์ (Mutation) ได้มากมายหลายขั้นตอนจนก่อให้เกิดสายพันธุ์ใหม่ๆ ขึ้นอีก
ระยะเวลานับจากเมื่อเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดซีเข้าสู่ร่างกายจนถึงตอนที่สำแดงฤทธิ์ให้ร่างกาย
มีอาการไม่สบายดังกล่าวจะกินเวลา 2-26 สัปดาห์ ส่วนใหญ่อาจไม่มีอาการผิดปกติทางร่างกายให้ปรากฎชัด
หรืออาจมีผลการทดสอบหน้าที่ของตับปกติ แต่เชื้อไวรัสชนิดซีสามารถแอบแฝงอยู่ในร่างกายของบุคคลนั้น
และพร้อมที่จะเผยแพร่เชื้อด้วยวิธีดังกล่าวแล้วประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์ของคนไข้ที่ได้รับไวรัสชนิดซี
เกิดอาการตับอักเสบเรื้อรังยืดเยื้อเกินหกเดือน และทำให้สภาพตับเสื่อมลงในเวลา 10-40 ปี
เกิดปัญหาตับแข็งและมะเร็งของตับได้ บางครั้งแพทย์ใช้วิธีเจาะชั้นเนื้อตับมาตรวจดูวิธีการดำเนินของโรค
ร่วมกับการเจาะเลือด ประชากรในสหรัฐอเมริกาประมาณ 1.2 ล้านคน เป็นโรคตับอักเสบชนิดบีและประมาณ
4.8 ล้านคน (1.8% ของพลเมืองสหรัฐอเมริกาทั้งหมด) เป็นโรคตับอักเสบไวรัสชนิดซี
ส่วนมากโรคตับอักเสบด้วยไวรัสชนิดบีมักไม่เรื้อรังเกินหกเดือน กล่าวคือร่างกายของคนไข้
สามารถกำจัดเชื้อไวรัสชนิดบีให้หมดไปจากกระแสเลือด และตับได้ แต่ถ้ากำจัดไม่หมดบุคคลนั้น
ย่อมเป็นพาหะแพร่เชื้อได้เช่นกัน
เนื่องจากตับเป็นอวัยวะที่สำคัญมากของร่างกายในการช่วยทำลายพิษ เช่น แอลกอฮอล์
หรือเปลี่ยนสภาพยาให้เป็นประโยชน์ มันสร้างสารที่จำเป็น เช่น เปลี่ยนน้ำตาลเป็นกลัยโคเจน
หรือเปลี่ยนกลับเป็นน้ำตาลอีกในยามร่างกายต้องการสังเคราะห์โปรตีนและโคเลสเตอรอลและสารอื่นๆ
อีกมากมายที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตของคนเรา ดังนั้นเชื้อไวรัสบีและซีต่างสามารถทำลายเนื้อตับได้
โดยเฉพาะไวรัสชนิดซีซึ่งทำให้คนไข้ต้องรับการผ่าตัดเปลี่ยนตับใหม่ ขณะนี้ประมาณหนึ่งในสามของคนไข้
ที่รับการผ่าตัดแบบนี้ในสหรัฐอเมริกาเนื่องจากไวรัสชนิดซี
วิธีป้องกันตัวท่านเองจากการติดต่อไวรัสชนิดบีและซีก็โดยการไม่ใช้ของส่วนตัวที่อาจปนเปื้อนเลือดร่วมกัน
เช่น มีดโกน, แปรงสีฟัน, ตะไบเล็บ, ที่ตัดเล็บและเข็มฉีดยา ถ้าต้องการเจาะหูหรือทำเล็บควรเลือกช่างที่รักษา
ทำความสะอาดเครื่องมือให้ปราศจากการติดเชื้อ พยายามจำกัดจำนวนคู่นอนถ้าไม่แน่ใจควรใช้ถุงยางอนามัย
ขณะมีเพศสัมพันธ์ การสัมผัสภาชนะรับประทานอาหาร ช้อนส้อมหรือแปรงผม หวีผม ผู้ป่วยต่างไม่ก่อให้เกิดปัญหา
ในการติดโรคแต่อย่างใด
ถ้าท่านไม่แน่ใจว่าได้รับเชื้อไวรัสชนิดบีหรือซีที่ทำให้ตับอักเสบหรือไม่ก็ควรไปตรวจเลือด
หรือถ้าท่านอยู่ในสหรัฐอเมริกาจะมีสิทธิขอตรวจได้ฟรีตามศูนย์สาธารณสุขทั่วไป (Public health)
ซึ่งมีอยู่ทุกเมืองตามปกติค่าตรวจอาจเกิน 200 เหรียญสหรัฐ
ปัจจุบันองค์กรอาหารและยาแห่งสหรัฐฯ ยอมให้รักษาบุคคลที่มีเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดบีและซี
โดยเฉพาะชนิดซีด้วยการฉีดยาอินเทอร์เฟอรอน (Interferon) ซึ่งเป็นสารจำพวกเดียวกับโปรตีนผลิตผล
ที่เซลล์ของร่างกายสร้างขึ้นตามธรรมชาติเพื่อต่อสู้กับเชื้อไวรัสหรือศัตรูอื่นๆ สารนี้มีความสามารถ
ในการทดสอบเชื้อไวรัสไม่ให้แบ่งตัวเพิ่มจำนวนและส่งเสริมการทำงานของเม็ดเลือดขาว
และเซลล์หน่วยพิฆาตของร่างกายอย่างไรก็ตาม การรักษาด้วยวิธีนี้ สามารถช่วยลดจำนวนผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสชนิดบี
ไม่ให้เกิดกรณีตับอักเสบเรื้อรังได้เพียง 50 เปอร์เซ็นต์และช่วยลดปัญหานี้ในการติดเชื้อไวรัสชนิดซี
เพียง 20-30 เปอร์เซ็นต์
การฉีดยาอินเทอร์เฟอรอนอาจยืดเยื้อไปถึง 24 เดือนทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของแพทย์
และผลเจาะเลือดตรวจดูสภาพของตับจำนวนไวรัสและภูมิคุ้มกัน (Antibodies) ที่ร่างกายผลิตมา
เนื่องจากอินเทอร์เฟอรอนเป็นสารโปรตีน ดังนั้นอาจถูกทำลายโดยน้ำย่อยในกระเพาะอาหารได้
ด้วยเหตุนี้ การรักษาจึงต้องใช้วิธีฉีดเท่านั้น อาการแทรกซ้อนหลังจากการให้ยา ได้แก่
อาการแบบเดียวกับไข้หวัดใหญ่ คือ ไข้, ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ, หนาวสั่น, อ่อนเพลีย, เบื่ออาหาร,
ปวดศีรษะ, เศร้าซึม, คลื่นไส้อาเจียน, ท้องเสีย, ผมร่วงเป็นหย่อมๆ, ผิวหนังแห้งและเกิดอาการคัน
นอกจากนี้ตัวยาอาจไปกดไขกระดูกในการสร้างเม็ดเลือดขาว,
เม็ดเลือดแดงและเกร็ดเลือด (Platelets)มารดาของดิฉันเองมีปัญหาเรื่องนี้อย่างหนักหลังจากท่าน
ได้รับยาฉีดเพียงแค่สองเข็มเท่านั้น
เนื่องจากการรักษาและเฝ้าดูการดำเนินของโรคยากลำบากดังกล่าว ดังนั้นวิธีป้องกันการติดเชื้อจึงสำคัญที่สุด
พญ.จันทรา เจณณวาสิน
|