มาที่นี่ที่เดียว ได้อ่านบทความทางด้านการแพทย์ ภาษาไทย จากเกือบทุกโฮมเพจที่มีใน INTERNET
http://www.oocities.org/Tokyo/Harbor/2093/
จำสั้นๆ i.am/thaidoc



แผลในกระเพาะอาหาร ยุค ไอ เอ็ม เอฟ


อันที่จริงแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กส่วนต้นเมื่อ 15 ปีก่อนกับเดี๋ยวนี้ ยังมีหน้าตาเหมือนเดิม มีภาวะแทรกซ้อนเหมือนเดิม กล่าวคือ เป็นผลจากการแตกเป็นแผล ของเยื่อบุกระเพาะอาหารและลำไส้ แล้วกรดในกระเพาะอาหาร ทำให้แผลมีขนาดใหญ่ขึ้นถ้าไม่รักษา เมื่อทิ้งไว้ต่อไปอาจทะลุ, ตกเลือดหรือเกิดการอุดตัน จนสร้างความทุกข์ทรมานเป็นที่สุด

แต่แผลในกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กส่วนต้น สมัยนี้มีวิธีรักษาที่ต่างออกไป เพราะวงการแพทย์วิจัยจนได้ความรู้ใหม่ๆ และสามารถรักษาแผลให้หายได้ภายใน 1 สัปดาห์ แทนที่จะเป็น 6-8 สัปดาห์อย่างสมัยก่อน

ท่านผู้อ่านคงสนใจอยากทราบความเป็นมาตรงนี้ก็ขอได้โปรดติดตามอ่านต่อไป

แผลในกระเพาะอาหาร และลำไส้เล็กส่วนต้น เรียกรวมๆ ว่า "แผลเป็บติค" (PEPTIC ULCER)

คำว่า เป็บติค (PEPTIC) มาจากน้ำย่อย (ENZYME) ในกระเพาะอาหารที่มีชื่อว่า "เป็บซิน" (PEPSIN) ซึ่งปกติช่วยย่อยอาหาร แต่ถ้าวันใดมันเกิดย่อยตัวเองคือ ผนังเยื่อบุกระเพาะอาหาร หรือลำไส้เล็กส่วนต้นเข้า ก็จะเกิดเป็นแผล

ถ้าเป็นแผลที่กระเพาะอาหารก็เรียกว่า แผลในกระเพาะอาหารหรือ GASTRIC ULCER (อ่านว่า แก๊ส-ตริก-อัล-เซ่อร์) หรือเรียกย่อๆ ว่า จี ยู (GU)

ถ้าเป็นแผลที่ลำไส้เล็กส่วนต้น (DUODENUM) ก็เรียกว่า แผลที่ลำไส้เล็กส่วนต้น หรือ DUODENAL ULCER (อ่านว่า ดู-โอ-ดี-นัล-อัล-เซ่อร์) หรือเรียกย่อๆ ว่า ดี ยู (DU)

อันที่จริงแผลเป็บติคเกิดได้ในที่อื่นๆ ของร่างกาย เช่น ถ้ากรดในกระเพาะอาหาร ไหลย้อนไปที่หลอดอาหารก็จะเกิดแผลที่เยื่อบุของหลอดอาหารได้ แต่ในที่นี้จะกล่าวถึง แผลเป็บติคในกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กส่วนต้นเท่านั้นเพราะพบบ่อยที่สุด

สาเหตุของการเกิดแผล

แม้จะรู้ว่ากรดในกระเพาะอาหารเป็นตัวการทำให้เกิดแผล แต่สาเหตุที่แท้จริงก็ยังไม่ทราบว่าทำไมในเมื่อทุกคนต้องมีกรดในกระเพาะอาหาร เพื่อช่วยในการย่อยอาหารที่รับประทานเข้าไป แล้วทำไมแผลในกระเพาะอาหารไม่เกิดกับทุกคน

แสดงว่า ต้องมีสาเหตุสำคัญๆ อย่างอื่นมาผสมโรงจึงจะเกิดแผลได้

ย้อนกลับไปเมื่อราว 100 ปีก่อนหน้านี้ พยาธิแพทย์ค้นพบแบคทีเรียตัวหนึ่งในกระเพาะอาหาร แล้วตั้งชื่อว่า "แคมไพโลแบคเตอร์" (CAMPYLOBACTER) แต่หมอในสมัยนั้นไม่เชื่อว่า เชื้อโรคตัวนี้จะอยู่ในกระเพาะอาหารจริงๆ เพราะสิ่งมีชีวิตต่างๆ ไม่น่าจะดำรงชีพอยู่ได้ ท่ามกลางกรดเกลือเข้มข้นที่มีอยู่ในกระเพาะอาหาร

พูดง่ายๆ คือ แบคทีเรียต้องตายหมดเมื่อหลุดเข้าไปในกระเพาะอาหาร

นักวิจัยเลยเหมาเอาว่า เชื้อโรคที่ว่าพบในกระเพาะอาหารนั้นจริงๆ แล้วคงเป็นการปนเปื้อนมาจากที่อื่นแล้ว บังเอิญตรวจเจอ หลังจากนั้นก็ไม่มีใครให้ความสนใจอีกเลย จนกระทั่งเมื่อราว 20 ปีก่อนหน้านี้ นักวิจัยกลับไปดูเชื้อโรคตัวดังกล่าวใหม่ แล้วเปลี่ยนชื่อเป็น "เฮลิโคแบคเตอร์ไพโรไล" (HELICOBACTER PYLORI) ซึ่งเป็นแบคทีเรียย้อมสีกรัมลบ อาศัยอยู่ตามเยื่อกระเพาะอาหาร และดำรงชีพพร้อมทั้งขยายพันธุ์ได้จริงๆ แถมยังมีคุณสมบัติพิเศษในการสร้างน้ำย่อยพิเศษของตัวเอง ชื่อ "ยูริเอส" (UREASE) ซึ่งสามารถย่อยยูเรีย (UREA) โดยวิธีไฮโดรไลซ์ (HYDROLYSE) ให้กลายเป็นแอมโมเนีย+ไบคาร์บอเนต

เชื้อตัวนี้ดำรงชีวิตในสิ่งแวดล้อมของกระเพาะอาหารที่ไม่เอื้ออำนวยต่อชีวิตใดๆ

นักวิจัยเลยตื่นเต้นและศึกษากันใหญ่จนพบว่า เจ้าเชื้อนี้เองที่น่าจะเป็นตัวการก่อให้เกิดแผลเป็บติค เพราะคนที่เป็นแผลเป็บติคส่วนใหญ่จะมีเชื้อโรคตัวนี้ก็เช่นกัน คนที่มีเชื้อนี้ ก็ไม่ได้เป็นแผลเป็บติคทุกรายไป

แสดงว่ามีปัจจัยนอกเหนือจากนี้ที่กำหนดว่าใครจะเป็นแผล และใครจะไม่เป็นแผล

เริ่มงงแล้วใช่ไหมครับ ?

เอาเป็นว่า ตอนี้เรารู้แน่นอนแล้วว่า แผลเป็บติคมีสาเหตุ 3 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ

1. แผลเป็บติคที่มีเชื้อโรค H.PYLORI
2. แผลเป็บติคที่เกิดจากการถูกยาแก้ปวดแก้อักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์กัด (ยากลุ่มนี้รวมเรียกว่า "เอ็นเสด" NSAID หรือ NONSTEROIDAL ANI-INFLAMMATORY DRUGS อาทิเช่น ยารักษาข้ออักเสบทั้งหลาย)
3. แผลเป็บติคจากโรคอื่นๆ เช่น เนื้องอกสร้างฮอร์โมนแก๊สตริน (GASTRINOMA) หรือติดเชื้ออื่น เช่น เฮอร์ปี่ไวรัส

การได้รู้จักเชื้อเฮลิโคแบคเตอร์ ไพโรไล ทำให้เกิดการปฏิวัติความเข้าใจ ในแนวทางการรักษาแผลเป็บติค เดี๋ยวนี้เรารู้แล้วว่าเกือบทั่วโลกเลยที่ 90% ของคนที่เป็นแผลเป็บติคบริเวณลำไส้เล็กส่วนต้น (DU) จะมีเชื้อโรคตัวนี้อยู่ในกระเพาะอาหาร และ 70% ของคนเป็นแผล จี ยู (GU) มีเชื้อโรคนี้ในกระเพาะอาหารของเรา ดังนั้นถ้าสามารถกำจัดเชื้อโรคนี้ได้ แผลเป็บติคจะหายได้เอง แม้ไม่ใช้ยาลดกรดอันทรงพลังก็ตาม ที่สำคัญที่สุดคือ แผลเป็บติคทั้ง 2 ชนิดนี้หายขาดได้ หลังกำจัดเชื้อโรคดังกล่าว โดยไม่กำเริบหรือกลับเป็นใหม่ซ้ำแล้วซ้ำอีกเหมือนอย่างในอดีต

วิธีการตรวจหาเชื้อ เฮลิโคแบคเตอร์ ไพโรไล มี 2 วิธี คือ

1. การตรวจทางห้องปฏิบัติการ ที่เรียกว่า CLO ซึ่งถ้าได้ผลบวกก็หมายความว่า คนไข้มีเชื้อโรคนี้แต่ข้อสำคัญคือ แม้ได้ผลลบก็ยังอาจหมายความว่ามีเชื้อโรคอยู่ เพียงแต่ยังตรวจไม่เจอ อย่างนี้เขาเรียกว่า "ผลลบลวง" (FALSE NEGATIVE) ซึ่งเกิดได้ราว 10% วิธีแก้ไขคือ อาจทิ้งช่วงแล้วตรวจซ้ำ
2. ส่องกล้องตรวจดูกระเพาะอาหาร แล้วตัดเยื่อบุบางส่วนมาตรวจหาเชื้อโรค

วิธีการรักษา

เมื่อท่านผู้อ่านมีอาการอาหารไม่ย่อยที่ภาษาแพทย์เรียกว่า "ดิสเป็บเซีย" (DYSPEPSIA) ซึ่งเป็นอาการที่พบบ่อยมาก โดยอาจปรากฏเป็นอาการปวดมวนท้องบริเวณลิ้นปี่ ธาตุพิการ อาหารไม่ย่อย ท้องอืดท้องเฟ้อ ที่เป็นแล้วเป็นอีก อาการปวดท้องนี้อาจเกิดขณะรับประทานอาหาร หรือตอนท้องว่างก็ได้ บางคนอิ่มแล้วจึงปวดท้อง

หมอก็จะจัดยาให้ลองรับประทานดูสัก 2 สัปดาห์

แต่ถ้าอาการดังกล่าวเกิดร่วมกับสิ่งบอกเหตุร้ายอื่นๆ เช่น
  • โลหิตจาง
  • เลือดออกในกระเพาะอาหารโดยอาเจียนเป็นเลือดหรือถ่ายอุจจาระเป็นสีดำ
  • อายุมากกว่า 50 ปี
  • เบื่ออาหาร
  • น้ำหนักลด

หมอจะต้องให้ความสนใจตรวจวินิจฉัยที่รีบด่วนขึ้น เพราะอาจเกิดเป็นมะเร็งที่กระเพาะอาหารได้

กระบวนการตรวจวินิจฉัยที่สำคัญๆ คือ

1. การกลืนแป้งแบเรียมแล้วถ่าภาพรังสีดูกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กส่วนต้น
2. ส่องกล้องดูกระเพาะอาหาร วิธีนี้จะดีกว่าเพราะมองเห็นผนังกระเพาะอาหารได้ทั่ว ด้วยตาของตนจริงๆ แต่ราคาจะแพงกว่า
3. ตรวจหาเชื้อเฮลิโคแบคเตอร์ ไพโรไล

ถ้าพบแผลและเชื้อโรค การรักษาจะประกอบด้วย

1. ยาเคลือบกระเพาะอาหาร
2. ยาลดกรดในกระเพาะอาหาร
3. ยาปฏิชีวนะ
เช่น
1. ยา BISMUTH SUBSALICYLATE หรือ BISMUTH SUBCITRATE วันละ 4 เวลา ครั้งละ 2 เม็ด รับประทานพร้อมอาหารและก่อนนอน
2. ยาลดกรดกลุ่ม PPI (PROTON PUMP INHIBITOR) เช่น OMEPRAZOLE ขนาด 20 มิลลิกรัม วันละ 2 เวลา (ก่อนอาหารเช้าและเย็น)
3. ยาปฏิชีวนะ 2 ขนาด เช่น
3.1 METRONIDAZOLE ขนาด 250 มิลลิกรัม วันละ 4 เวลา (ครั้งละ 1 เม็ดพร้อมอาหารสามมื้อและก่อนนอน) ควบกับ AMOXICILLIN ขนาด 500 มิลลิกรัม วันละ 4 เวลา (ครั้งละ 1 เม็ดพร้อมอาหารและก่อนนอน) หรือ
3.2 METRONIDAZOLE ควบกับ TETRACYCLINE ขนาด 500 มิลลิกรัม วันละ 4 เวลา (ครั้งละ 1 เม็ดพร้อมอาหรและก่อนนอน)
3.3 CLARITHROMYCIN ขนาด 500 มิลลิกรัม วันละ 2-3 ครั้ง รับประทานพร้อมอาหาร
ทั้ง 3 รายการนี้ รับประทาน 1 สัปดาห์ จะทำให้หายขาดได้ 90% หรือถ้าจะให้ดีรับประทาน 10-14 วัน เพื่อความแน่ใจ

เหตุที่ยังไม่หายขาด 100% เพราะเชื้อโรคอาจจะดื้อต่อยาปฏิชีวนะที่ให้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนไทยที่นิยมซื้อยาปฏิชีวนะมารับประทานเองตั้งแต่เด็ก จึงมีการสัมผัสยามาก่อนหน้านี้นาน มีผลทำให้เชื้อโรคดื้อยา

การกำเริบของแผลเป็บติคในปัจจุบันมักจะเกิดจากการกำจัดเชื้อโรคไม่หมด ถ้าหากกำจัดเชื้อได้หมดแล้ว ตั้งแต่แรกงานวิจัยพบว่าโอกาสกำเริบของแผล มีน้อยกว่า 0.5% วิธีตรวจว่าเชื้อหมดแล้วหรือยังก็โดยใช้ CLO TEST ดังกล่าวมาแล้ว

ปัจจัยเสริมที่ทำให้แผลไม่หาย มีอาทิเช่น

1. เชื้อโรคเฮลิโคแบคเตอร์ ยังมีอยู่
2. รับประทานอาหารยาแก้ข้ออักเสบกลุ่มเอ็นเสด หรือแอสไพริน
3. ผู้ป่วยรับประทานยาไม่ครบ ไม่ตามเวลาที่กำหนดหรือไม่เข้าใจแผนการรักษา
4. สูบบุหรี่

วิธีป้องกันแผลกำเริบ

1. ให้ยาปฏิชีวนะเพื่อกำจัดเชื้อเฮลิโคแบคเตอร์ที่ยังเหลืออยู่
2. ให้ยาลดกรดในกระเพาะเป็นระยะยาว

การรักษาแผลเป็บติคที่เกิดจากการใช้ยาเอ็นเสด

1. ถ้าหากเป็นไปได้ ควรหยุดใช้ยาเอ็นเสด และถ้าพบเชื้อเฮลิโคแบคเตอร์อยู่ด้วย ก็ต้องให้ยาปฏิชีวนะกำจัดเชื้อเสีย
2. ถ้าไม่สามารถหยุดยาเอ็นเสด เช่น ยังปวดข้ออยู่ก็ให้ใช้ยาลดกรดควบไปด้วย
3. รับประทานยากลุ่ม MISOPROTOL เพื่อคุ้มครองกระเพาะอาหาร ไม่ให้ยาเอ็นเสดกัดกระเพาะอาหารหรือจะใช้ยากลุ่ม PPI ก็ได้

ความปลอดภัยของยา

ยาต่างๆ ที่กล่าวถึงนี้ค่อนข้างปลอดภัยถ้ารับประทานตามที่กำหนดไว้ โดยเกิดฤทธิ์ข้างเคียงอันไม่พึงประสงค์น้อยและมักจะไม่รุนแรง

จากการศึกษาวิจัยในประเทศไทย พบว่าคนไทยมีเชื้อโรคเฮลิโคแบคเตอร์ ไพโรไล อยู่ในกระเพาะอาหาร 50-60% ของประชากร ดังนั้น การเป็นแผลเป็บติคจึงมีโอกาสไม่หายขาด ถ้าไม่ได้รับการรักษาตามกำหนดอย่างครบถ้วน หากท่านผู้อ่านมีอาการปวดท้อง, ธาตุพิการ อาหารไม่ย่อยแล้วคิดว่าอาจเป็นแผลเป็บติค ก็ขอได้โปรดไปตรวจรักษา กับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคทางเดินอาหาร (GASTROENTEROLOGISTS) ซึ่งมีอยู่ตามโรงพยาบาลใหญ่ๆ เพื่อจะได้หายขาดได้ โดยไม่เกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงถึงชีวิตได้

นพ.ชุมศักดิ์ พฤกษาพงษ์



[ที่มา..หนังสือ นิตยสารใกล้หมอปีที่ 23 ฉบับที่ 9 กันยายน 2542]

[ BACK TO LIST]
main พบแพทย์ คอมพิวเตอร์ เรื่องบ้าน เรื่องรถ เรื่องกฏหมาย เรื่องของผู้บริโภค เรื่องเบาๆ คลายเครียด

มีปัญหาสุขภาพ ที่นี่มีคำตอบ ห้องสมุดE-LIB[ hey.to/yimyam ][ i.am/thaidoc ]

Best view with [IE3.02][NETSCAPE 4.05][OPERA 3.21] resolution 800x600