มาที่นี่ที่เดียว ได้อ่านบทความทางด้านการแพทย์ ภาษาไทย จากเกือบทุกโฮมเพจที่มีใน INTERNET
http://www.oocities.org/Tokyo/Harbor/2093/
จำสั้นๆ i.am/thaidoc



สภาวะจิตเมื่อเป็นสิว ตอน วัยรุ่น


ในสหรัฐฯ คนที่เป็นสิวมีประมาณ 20 ล้านคน พูดง่ายๆ เกือบทุกคนเมื่อวัยรุ่นเป็นสิวด้วยกันทั้งนั้น แต่หน้าที่ไร้สิว คือสิ่งสำคัญในการแสดงภาพพจน์ของคนคนนั้น 10% ของผู้เป็นสิว กล่าวว่า ภาวะการเป็นสิวเป็นสิ่งเลวร้ายที่สุดในชีวิตวัยรุ่น ทำให้การเรียนตกต่ำ เข้าสังคมไม่ใคร่ได้ การพิจารณาตัวเองว่าต่ำต้อย เมื่อเป็นนานๆ ก็มีการเก็บกด เศร้าเกิดความกังวลใจในการเข้าสังคม และมีสิทธิ์ไม่ได้งานหลังจากการสอบสัมภาษณ์ อย่างไรก็แล้วแต่ มีเพียง 7% เท่านั้น ที่ปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อการรักษา

การเป็นสิว มีผลต่อจิตใจของเด็กวัยรุ่น บางคนกล่าวว่า เขากลัวที่จะออกไปนอกบ้าน ไม่อยากแม้แต่จะไปโรงเรียน บางทีต้องสวมหมวกเพื่อบังใบหน้าเพื่อไม่ให้ใครเห็นสิว

วัยรุ่น ควรรู้เรื่องความจริงเกี่ยวกับสิว เพื่อศึกษาและเข้าใจ จะได้คลายกังวลใจ

สิวเป็นเรื่องธรรมดา ในบรรดาโรคผิวหนัง พบประมาณ 5% ของโรคผิวหนังทั้งหมด ที่มาปรึกษาแพทย์ผิวหนัง แต่ในคลินิกสิว ฝ้า เรื่องความงาม พบว่า 70% ของผู้ที่มารักษา เป็นสิว

สิว เป็นโรคของวัยรุ่นโดยเฉพาะ ใครไม่เป็นสิวถือว่าเป็นโชคดี แต่แพทย์พบว่า ถ้าใครไม่เป็นสิวในวัยรุ่นอาจเป็นในวัยผู้ใหญ่เพราะฉะนั้น 100% ทุกคนต้องเป็นสิวในชั่วชีวิตของคนเรา สิวเป็นทั้งชายและหญิง แต่ชายมักเป็นรุนแรงมากกว่า สิวขึ้นตามใบหน้า คอ หน้าอก หลัง นานๆ ขึ้นตามแขน สิวเป็นกรรมพันธุ์ พ่อแม่เป็นสิว ลูกมักเป็นรุนแรงมากกว่า บางคนบอกว่า พ่อแม่ไม่เป็น ต้องไปดูคุณทวดอาจเป็น เมื่อคนในครอบครัวเป็นสิว ทำให้เศรษฐกิจครอบครัวกระทบกระเทือน เพราะต้องซื้อยา เครื่องสำอางค่ารักษาของแพทย์ และการรักษาต้องใช้เวลานานถึง 3 เดือนโดยเฉลี่ย ชาวอเมริกันซื้อยากรักษาสิวจากร้านขายยาเอง ปีละ 4,000 ล้านบาท ยังไม่รวมสบู่ และโฟมล้างหน้า ค่าหมอ ค่ายาจากร้านหมอ และเวลาที่เสียไปในการไปหาแพทย์ค่าเดินทาง พบบ่อยๆ ผู้ที่เป็นสิว บินมาจากต่างจังหวัด เพื่อมารักษากับแพทย์ผิวหนังอย่างเดียว หรือบางคนบอกว่า ขับรถมาแค่บางนา รถติด มาหาหมอใช้เวลา 4 ชั่วโมงกว่าจะถึงแพทย์ บางวันฝนตก น้ำท่วม ยังไงๆ ต้องมาให้ได้ เพื่อมาพบแพทย์เพียง 2-3 นาที เวลาที่สูญเสียไป น่าจะทำประโยชน์อื่นๆ ได้มากกว่า คิดเป็นเงินออกมา มีค่ามหาศาล ที่จำใจต้องมาเพราะอาย ถ้ายังเป็นสิวอยู่

ลองมาดูปัญหาวัยรุ่น ของชาวอเมริกันบ้างว่า ในสถานการณ์บางกรณีควรจะทำอย่างไร
ให้เลือกเอาว่า ขอมีหน้าสวยไม่มีสิว กับการเลิกนัดกับดาราสาว ซิ้นดี้ โครฟอร์ด หรือ ดาราชาย แบรทพิทท์ 1 ใน 3 คนตอบว่า ขอหน้าไร้สิว ดาราไม่สนใจ คงคิดแล้วขืนไปก็ไม่ได้อะไร เพราะดาราไม่เอาด้วย

ให้เลือกเอาว่า มีหน้าสวยไร้สิว กับเงินรางวัล 40,000 บาท หนึ่งใน 5 คนตอบว่าไม่รับเงิน ต้องคำนวณให้ดีว่า ค่ารักษาสิวจะถึง 40,000 บาทหรือไม่ ถ้าคุณเป็นสิวรุนแรงปานกลาง ค่ารักษาครั้งละ 500-800 บาท x 12 ครั้ง = 960,000 บาท (เมืองไทย) แต่ถ้ารักษาที่สหรัฐฯ บวกค่าหมอผิวหนัง 50-80 เหรียญ รวมอีก 38,000 ครือๆ กัน

วัยรุ่นคิดอย่างไร เรื่องเป็นสิว 40% ของวัยรุ่นคิดว่าคนที่ไร้สิว เป็นบุคคลน่าสนใจ น่าปรารถนา
1 ใน 3 ของวัยรุ่นว่า คนเป็นสิวไม่ดัง ไม่มีใครให้ความสนใจ

วัยรุ่นคิดอย่างไรกับตัวเอง

1 ใน 8 ไม่กล้าส่องกระจก
12% คิดว่า เป็นสิ่งทรมานใจที่สำคัญอย่างหนึ่ง
1 ใน 3 รู้สึกต้องระวัง และวุ่นกับตัวเอง ว่าต้องอย่างนั้น อย่างนี้ แทนที่จะปล่อยวาง
วัยรุ่นชาย 30% และวัยรุ่นหญิง 22% พอยอมรับว่า สิวต้องอยู่กับตัวเองแน่นอน
วัยรุ่นชาย 28% หญิง 20% ขอไม่มีนัดกับคนที่เป็นสิว อันนี้สำคัญ ยิ่งคนที่ไม่สวยอยู่แล้ว
วัยรุ่นหญิง 36% ชาย 19% กังวลกับตัวเอง
วัยรุ่นหญิง 13% ชาย 6% ไม่ชอบตัวเอง เมื่อเป็นสิว ไม่สวยแล้วยังจะเป็นสิวอีก พอๆ กับความคิดของสาววัยรุ่นบางคนที่โทษมารดาของตัวเองว่า แม่ทำไมไม่แต่งงานกับฝรั่ง เขาจะได้มีหน้าตาดีๆ สวยๆ แทนที่มีตาตี่แบบนี้

ความรู้เรื่องสิว

4 ใน 5 ไม่ทราบว่าสิวเกิดขึ้นได้อย่างไร คิดว่าเกิดจากฝุ่นสกปรกของผิวหนัง ความจริงสิวเกิดจากต่อมไขมัน ผลิตไขมันที่มีกรดออกมา ทำให้ระคายผิวหนัง ตามด้วยรูขุมขนอุดตัน เชื้อโรคธรรมดาและเชื้อโรคแทรกซ้อนเช่น เชื้อกรัมลบ ทำให้เกิดการอักเสบรุนแรง

80% ของวัยรุ่นคิดว่า การล้างหน้าบ่อยๆ จะช่วยลดการเป็นสิว การล้างหน้าที่พอควรพอเหมาะ ต่างหากที่ลดการเป็นสิว การเลือกใช้ สบู่ โฟม หรือเจลล้างหน้าที่ถูกต้อง คุณไม่จำเป็นต้องใช้สบู่ที่มีราคาแพง ก้อนละ 800 บาท แล้วจะดีกว่าก้อนละ 5 บาท ความคิดของคุณเท่านั้นที่บอกว่าดีกว่า

วัยรุ่นส่วนมาก คิดว่าสิวรักษาหายแน่นอน เมื่อพบหมอ แต่เพียง 7% เท่านั้น ที่มาหาหมอเพื่อรักษาที่เหลือคงไปซื้อยาหรือเครื่องสำอาง ตามร้านขายยาเอง ซึ่งอาจจะหายก็ได้ คุณควรลองดูสักพัก ถ้าไม่ได้ผลจิตวิทยาของคุณเริ่มเปลี่ยนแปลง ถึงตอนนั้นอาจต้องทำใจหรือจำใจไปรักษากับแพทย์

แพทย์ผิวหนังได้ทำการวิจัย สภาพจิตใจของคนที่เป็นสิวว่า กลัวหรือไม่ กับการเป็นแผลเป็นบนใบหน้าก่อนและรักษา เช่น การถามว่ากังวลใจไหม เวลาไปนั่งในร้านอาหาร หรือที่สาธารณะ นั่งอยู่สุขสบายดีไม่กลุ้มใจ ความรู้สึกเมื่อมองภาพถ่ายหรือกระจก อยากให้หน้าตาดีขึ้นหรือความพอใจหลังการรักษา ความสนุกร่าเริงเมื่อเล่นกีฬา การเห็นใครขวางหู ขวางตา พูดจาระคายหูง่ายหรือไม่ ความรู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่า การเข้าสังคมกับเพื่อน การไปเที่ยว การรับประทานอาหาร การว่ายน้ำในสระ การสมัครเข้าทำงาน จากการวิจัยพบว่าคนที่เป็นสิวนานๆ ความกังวลใจเรื่องเหล่านี้มีมากกว่าคนเพิ่งเป็น และผู้หญิงมีความกังวลมากกว่าผู้ชาย และถ้าเป็นรุนแรงมากความกังวลก็มีมาก หลังจากการรักษาแล้ว ความกังวลใจในเรื่องเหล่านี้ลดลงไปประมาณ 25% เมื่อใช้ยาธรรมดา และประมาณ 50% เมื่อใช้ยากลุ่มเรตินอยด์ เพราะถึงแม้ว่าหน้าจะหายจากการเป็นสิว แต่ก็ยังมีริ้วรอยของแผลเป็น ส่วนผู้ที่เป็นรุนแรงมากๆ ความกังวลใจก็ยังไม่ลดลง เพราะพบว่ามีแผลเป็นมากๆ งานวิจัยนี้แสดงว่าผู้ที่เป็นสิว มีความกังวลใจในระดับหนึ่ง แพทย์ผิวหนังต้องให้ความมั่นใจ ที่จะรักษาผู้ที่เป็นสิวให้หาย สมกับที่เขามาขอพึ่งบริการ เพื่อเขาจะได้มีกำลังใจในการดำเนินชีวิตต่อไป

สุดท้ายแถมอีกนิด วัยรุ่นชาวอังกฤษฆ่าตัวตายหลายคน เนื่องจากไปรักษาสิวกับแพทย์ประจำครอบครัวแล้วไม่หาย เนื่องจากระบบอังกฤษต้องไปรักษาสิวกับแพทย์ประจำครอบครัวก่อน และแพทย์ประจำครอบครัวไม่ส่งต่อแพทย์ผิวหนัง เพราะคิดว่า เป็นสิวแค่นี้เอง ถ้าไม่ส่งต่อผู้ป่วยจะไปรักษากับผู้เชี่ยวชาญไม่ได้ ถ้าไปเองต้องจ่ายเงินเอง ประกันไม่จ่ายทำนองนั้น

ดังนั้นอย่าคิดว่า เป็นสิวแล้วไม่สำคัญ

นพ.ธาดา เปี่ยมพงศ์สานต์



[ที่มา..หนังสือ นิตยสารใกล้หมอปีที่ 23 ฉบับที่ 6 มิถุนายน 2542]

[ BACK TO LIST]
main พบแพทย์ คอมพิวเตอร์ เรื่องบ้าน เรื่องรถ เรื่องกฏหมาย เรื่องของผู้บริโภค เรื่องเบาๆ คลายเครียด

มีปัญหาสุขภาพ ที่นี่มีคำตอบ ห้องสมุดE-LIB[ hey.to/yimyam ][ i.am/thaidoc ]

Best view with [IE3.02][NETSCAPE 4.05][OPERA 3.21] resolution 800x600