มหันตภัยโรคร้ายที่อันตรายยิ่งกว่า "นาซีเยอรมัน" ก็คือ หัดเยอรมัน นั่นเอง 
ทำไมหรือ? ทั้งนี้เพราะถ้าไวรัสหัดเยอรมันเกิดขึ้นในมารดาขณะตั้งครรภ์ต่ำกว่า 3 เดือน 
แล้วทารกน้อยมีโอกาสพิการสูง และความพิการที่เกิดขึ้นรุนแรงยิ่งกว่าถูกฆ่าตายเสียอีก 
ทารกที่เกิดมาจะตาบอด, หูหนวก, หัวใจพิการ และที่สำคัญคือ สมองพิการปัญญาอ่อน
ช่วยเหลือตนเองไม่ได้ สำคัญยิ่งกว่านั้น คือ เด็กเหล่านี้คลอดออกมาแล้วไม่ตาย 
แต่จะยังมีชีวิตอยู่เป็นภาระทรมานสำหรับพ่อแม่ ให้ทุกข์กาย ทุกข์ใจ 
เป็นเวลานานนับสิบปี-ยี่สิบปี จากนั้นจึงจะเสียชีวิตไป 
โดยไม่ได้รับรู้ถึงความเสียใจของบุพการีแม้แต่น้อย 
	
 ทุกๆ วัน ทุกๆ เวลา เป็นเดือนเป็นปีที่พ่อแม่ทุ่มเทให้ 
จะสูญไปโดยไร้ประโยชน์ แต่ทั้งๆ ที่รู้ว่า เวลาจะสูญเปล่า 
พ่อแม่ก็ยังต้องยอมอดทนเลี้ยงดูทารกพิการทางกายและสมองคนนี้ 
ถ้าเสียชีวิตช้า เรียกว่า เป็นกรรมแต่ปางก่อน 
	
 แม้ว่าทุกชีวิตที่เกิดมาจะมีจุดสุดท้ายทีเดียวกัน คือเชิงตะกอน 
แต่เป็นการไม่ยุติธรรมเลยที่ให้ทารกรกเกิดมีทุกข์ทันทีที่ลืมตาดูโลก 
ทุกข์กายที่ได้รับยังพอทำเนา (เนื่องด้วยตัวเองรับรู้ไม่ได้) 
แต่ทุกข์ใจของพ่อแม่สิแสนสาหัสยิ่งนัก 
	
 หากว่า คนที่อยากมีลูกทุกคนได้รับรู้ความเป็นไปของโรคร้ายนี้ 
คงเห็นด้วยว่าควรจะป้องกันเอาไว้ก่อน ซึ่งทำได้ง่ายๆ โดยการฉีดวัคซีนขณะยังไม่ตั้งครรภ์ 
หรือทำแท้งบุตรเมื่อเป็นหัดเยอรมันภายในอายุครรภ์ 3 เดือนแรก 
	
 โรคร้ายนี้ ถูกค้นพบครั้งแรกเมื่อกลางศตวรรษที่ 18 
200 ปีที่ผ่านมาจึงสามารถแยกเชื้อไวรัสร้ายนี้ได้สำเร็จตอนกลางศตวรรษที่ 20 
	
เหตุที่เป็นเช่นนี้อาจเนื่องมาจากโรคนี้ในผู้ใหญ่มีอาการน้อยมาก
และกินระยะเวลาสั้น 2-3 วัน อาการก็หายไปและไม่มีภาวะแทรกซ้อน 
	
 เหตุการณ์ที่กระตุ้นเตือนให้มีการศึกษาไวรัสตัวนี้อย่างละเอียดรอบคอบคือ 
การระบาดของหัดเยอรมันครั้งใหญ่ในปี ค.ศ.1940-1941 (พ.ศ.2483-3484) 
หัดเยอรมันมีวัฏจักรการระบาดทุกๆ 7-12 ปี โรคร้ายนี้ค่อยๆ ลดความร้ายกาจไปภายหลัง 
จากที่เราค้นพบวัคซีนจากการที่สามารถแยกเชื้อไวรัสได้ในปี ค.ศ.1961 (พ.ศ.2504) 
20 ปี หลังจากที่มีการระบายครั้งใหญ่ของโลกครั้งนั้น 
	
 สำหรับในประเทศไทย เคยมีการระบาดเมื่อปี พ.ศ.2510, พ.ศ.2514 
และ พ.ศ.2522 ตามสถานรับเลี้ยงเด็กโรงเรียนโรงพยาบาลและห้างร้านบริษัทต่างๆ 
	
คนทั่วไปส่วนใหญ่จะเคยเป็นหัดเยอรมันมาแต่วัยเด็กแล้ว 
เราจึงพบคนหนุ่มสาวเป็นหัดเยอรมันไม่มากนัก ประมาณร้อยละ15-20 
ซึ่งอย่างน้อยครึ่งหนึ่งของผู้ป่วยจะมีอาการเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีอาการเลย 
ภายหลังจากได้รับเชื้อไวรัสร่างกายจะสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมาภายใน 60 วัน 
ภูมิคุ้มกันนี้จะคงอยู่นานหลายปี 
	
 
ลักษณะอาการ 
	
 ส่วนใหญ่ตั้งแต่ช่วงอายุวัยรุ่นขึ้นไปจะไม่มีอาการถึงร้อยละ 50 ส่วน
ที่มีอาการก็เพียงเล็กน้อย บางทีอาจคิดว่า เป็นไข้หวัดด้วย เพราะมักมีไข้ต่ำๆ 
ซึ่งเกิดขึ้นมาก่อนหรือพร้อมกับผื่นร่วมกับอาการเมื่อยเนื้อเมื่อยตัว 
ไข้จะมีอยู่ 1-2 วันก็จะหาย อุณหภูมิมักไม่เกิน 38.4 องศาเซนติเกรด 
 ลักษณะสำคัญที่ต้องจำไว้ คือ "ผื่น" ซึ่งจะมีลักษณะเฉพาะ คือ 
เป็นเม็ดละเอียดสีแดง มองเห็นเป็นปื้นๆ หรือจุดๆ กระจัดกระจาย 
เริ่มต้นขึ้นที่ใบหน้าก่อนจากนั้นจะลุกลามแผ่กระจายลงมาตามหน้าอก 
ลำตัว แขนขา จนกระทั่งทั่วร่างกายอย่างรวดเร็วภายใน 24 ชั่วโมงเท่านั้น 
และจะหายไปภายใน 3 วัน ไร้ร่องรอยเหมือนไม่เคยมีมาก่อน 
	
 ลักษณะสำคัญอีกอย่างหนึ่งจะสังเกตพบได้ คือ ต่อมน้ำเหลืองบริเวณหลังหูโต 
ซึ่งมักจะเกิดขึ้นมาก่อนมีผื่นประมาณอาทิตย์หนึ่ง แต่จะคงอยู่ต่อไปอีก
ภายหลังผื่นหายไปแล้วประมาณ 2 อาทิตย์
	
นอกจากนี้ ในสตรี อาจมีอาการปวดตามข้อเล็กๆ ร่วมด้วย 
ส่วนใหญ่จะเป็นหลายๆ ข้อพร้อมกันระยะเวลาที่ปวดอาจจะเป็นวันจนถึง 2 สัปดาห์ 
แต่มักไม่เกินหนึ่งเดือน 
 
ภาวะการติดเชื้อหัดเยอรมันในทารกแรกเกิด 
 บุคคลแรกที่ให้ความสนใจ และค้นพบความพิการแต่กำเนิดของทารกแรกเกิด
เป็นหัดเยอรมัน ไม่ใช่สูติแพทย์ 
 ในปี ค.ศ. 1940 (พ.ศ.2484) ที่มีการระบาดครั้งใหญ่ 
บรรดาพ่อแม่ต่างพาทารกจำนวนมากมายที่มีนัยน์ตาดำเป็นฝ้าขุ่นขาวมาหาจักษุแพทย์ 
ด้วยหวังว่าจะมีทางรักษาแต่ต้องผิดหวังเพราะเป็นความพิการถาวรที่จะคงอยู่ตลอดไป 
จักษุแพทย์ GREGG ชาวออสเตรเลียพบว่า นอกจากจะมีเลนส์ตาพิการแล้ว
ยังมีหูหนวกและหัวใจพิการด้วย นับเป็นครั้งแรกที่มีความเข้าใจถึงพยาธิสภาพสำคัญ
ที่เกิดขึ้น ว่ามี 3 อย่างดังกล่าวข้างต้น 
	
 ความจริงแล้ว ความพิการแต่กำเนิดที่เกิดขึ้นมีมากมายกว่านั้น 
โดยสามารถจำแนกได้ 3 ลักษณะคือ 
ลักษณะที่หนึ่ง ความผิดปกติที่เกิดขึ้นชั่วคราว 
ลักษณะความพิการมีอยู่ได้จนถึงอายุ 6 เดือน ได้แก่ ภาวะตับม้ามโต, ตัวเหลือง, 
เลือดจาง, เกล็ดเลือดต่ำ, ปอดบวม และกระดูกบาง (จากภาพถ่ายเอกซเรย์) 
ลักษณะที่สอง ความผิดปกติที่คงอยู่ตลอดไป ได้แก่ หูหนวก, หัวใจพิการ, 
ตาบอด (ต้อกระจก, ต้อหิน) และสมองพิการปัญญาอ่อน 
ลักษณะที่สาม ความผิดปกติที่ไม่ได้พบในตอนแรกเกิด แต่มาปรากฏภายหลัง 
ได้แก่ภาวะเบาหวาน,โรคต่อมไทรอยด์, โรคสูญเสียการได้ยิน, ลิ้นหัวใจผิดปกติ, 
ความดันโลหิตสูงและสมองอักเสบ 
	
 พบมากถึงร้อยละ 50-70 ของทารกแรกเกิดที่เป็นหัดเยอรมัน 
ไม่แสดงความผิดปกติใดๆ เลย แต่เมื่อเวลาผ่านไปสักระยะหนึ่งจึงเกิดอาการดังกล่าวข้างต้น 
เช่น เมื่อเด็กเริ่มเข้าโรงเรียน เด็กจะเรียนไม่รู้เรื่อง เนื่องจากมีความบกพร่อง
ในด้านการฟังและการพูด 
	
 อัตราการแท้งบุตรพบได้ร้อยละ 4-9 และตายหลังคลอดใหม่ๆ พบร้อยละ 2-3 
แม้ว่าความผิดปกติพิการแต่กำเนิดที่เกิดขึ้นจะมีหลายระบบและรุนแรง 
แต่ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นเฉพาะมารดาที่มีการติดเชื้อไวรัสหัดเยอรมันในช่วง 12 สัปดาห์แรก
ของการตั้งครรภ์ หากมารดามีอายุครรภ์มากกว่า 16 สัปดาห์ 
ทารกมักไม่พบความผิดปกติส่วนในระหว่างอายุครรภ์ 13-16 สัปดาห์ความพิการหลายอย่าง
ไม่ปรากฏกับเด็กเมื่อแรกคลอด แต่จะมีโอกาสหูหนวกได้ประมาณ 1 ใน 3 
 
การวินิจฉัยโรค 
	
 วิธีวินิจฉัยโรคทีแน่นอน ทำได้ด้วยการตรวจเลือด 
หรือแยกเชื้อไวรัสหัดเยอรมันออกมาเท่านั้น 
ส่วนการซักประวัติและการตรวจร่างกาย ก็ช่วยเหลือการวินิจฉัยได้มากทีเดียว 
ประวัติที่สำคัญ คือ ประวัติการได้รับเชื้อไวรัสหรือการสัมผัสโรค 
 เชื้อไวรัสหัดเยอรมันติดต่อถ่ายทอดจากคนที่เป็นโรคได้ทางลมหายใจ
โดยมีระยะติดต่ออยู่ในช่วง 7 วัน ก่อนมีผื่นขึ้นจนกระทั่ง 5 วันหลังเกิดผื่นวันแรก 
หากใครไปสัมผัสคนที่เป็นหัดเยอรมันนอกเหนือเวลาดังกล่าวก็จะไม่มีติดต่อรับเชื้อมา 
	
 ประวัติอาการเกิดโรค : ผู้ป่วยจะมีไข้นำมาก่อนเกิดผื่น จึงเรียกว่า โรคไข้ออกผื่น 
แต่หากไม่มีไข้นำมาก่อนเกิดผื่นก็อาจจะเป็นโรคนี้ได้ นอกจากนี้ ยังอาจมีอาการอื่นๆ 
ร่วมด้วยก็ได้ เช่น ปวดข้อ, มีก้อนที่หลังหูโต หรือมีจ้ำเลือดเกิดขึ้นตามตัว 
	
 ถ้าคนไข้มาในช่วงที่ผื่นขึ้น เมื่อพิจารณาจากลักษณะของผื่น 
แทบจะบอกได้เลยว่า เป็นหัดเยอรมันหรือไม่ โดยเฉพาะเมื่อร่วมกับการตรวจร่างกายส่วนอื่นด้วย  
เช่น การตรวจต่อมน้ำเหลืองที่หลังหูหรือท้ายทอยแล้วพบว่าโต
อย่างไรก็ตาม เราจะต้องเจาะเลือดตรวจร่วมด้วยเสมอ เพื่อการวินิจฉัยที่แน่นอน 
 อัตราเสี่ยงของการติดเชื้อหัดเยอรมันของทารกในครรภ์ 
ขึ้นอยู่กับอายุครรภ์ของมารดาเป็นสำคัญ กล่าวคือ 
ถ้ามารดาติดเชื้อหัดเยอรมันขณะตั้งครรภ์เพียงเดือนแรก 
ทารกจะมีอัตราเสี่ยงความพิการประมาณร้อยละ 50 
ถ้าติดเชื้อระหว่างเดือนที่สองของการตั้งครรภ์ ทารกมีโอกาสพิการ
ประมาณร้อยละ 25 ถ้าติดเชื้อระหว่างเดือนที่สามของการตั้งครรภ์ 
ทารกมีโอกาสพิการประมาณร้อยละ 10
ถ้าติดเชื้อระหว่างเดือนที่สี่ของการตั้งครรภ์ ทารกมีโอกาสพิการประมาณร้อยละ 5 
ถ้ามารดาติดเชื้อหัดเยอรมันภายหลังตั้งครรภ์เกินสี่เดือน (16 สัปดาห์) ขึ้นไป 
ทารกมีโอกาสพิการน้อยกว่าร้อยละ 1 ซึ่งนับว่าน้อยมากๆ 
	
 ดังนั้น จึงไม่มีการพิจารณาทำแท้งให้กับมารดาที่เป็นหัดเยอรมัน
ขณะตั้งครรภ์มากกว่า 4 เดือนไปแล้วแต่อนุญาตและแนะนำให้ทำแท้งแก่
มารดาที่ติดเชื้อขณะอายุครรภ์น้อยกว่า 3 เดือนลงมา 
 
ข้อปฏิบัติสำหรับสตรีตั้งครรภ์ที่ไปสัมผัสโรค 
	
 การสัมผัสโรคหัดเยอรมันโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เช่น 
ทำงานหรือรับประทานอาหารร่วมกับผู้ป่วยในระยะติดต่อ 
ไม่ได้หมายความว่าจะต้องเป็นหัดเยอรมันด้วยเสมอไป 
	
 อย่างไรก็ตาม ต้องดูด้วยว่า สตรีผู้นั้นมีอายุครรภ์เท่าไร 
หากอายุครรภ์มากกว่า 16 สัปดาห์ ก็ไม่ต้องดำเนินการใดๆ ทั้งสิ้น 
แต่ถ้าอายุครรภ์น้อยกว่า 12 สัปดาห์ ต้อง 
1.รีบไปเจาะเลือดตรวจหาภูมิต้านทานต่อไวรัสทันที
2.กรณีทราบว่ามีภูมิต้านทานแล้วไม่ต้องทำอะไรทั้งสิ้น 
เพราะปลอดภัยค่อนข้างแน่นอน 
 สำหรับกรณีไม่มีภูมิต้านทาน  หากอยู่ในสถานการณ์ที่ทำแท้งไม่ได้ 
ให้ฉีดภูมิคุ้มกัน (Standard Immune Serum Globulin) ทันที 
ซึ่งระยะเวลาไม่ควรนานเกิน 7 วัน หลังจากสัมผัสโรค 
หากอยู่ในสถานที่ที่ทำแท้งได้ และยินยอมทำแท้งตามข้อบ่งชี้ให้รอดูอาการ 2-4 สัปดาห์ 
แล้วตรวจหาภูมิต้านทานซ้ำ ถ้าระดับภูมิต้านทานสูงขึ้นเกิน 4 เท่า 
ให้พิจารณาทำแท้งทันที 
	
 สำหรับภูมิคุ้มกัน (PASSIVE IMMUNIZATION) ที่ฉีดให้แก่สตรีตั้งครรภ์
ที่สัมผัสโรคนั้นไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อแก่มารดาและทารกได้ทุกราย 
เพราะฉะนั้นจึงไม่ควรฉีดให้กับสตรีตั้งครรภ์ระยะ 3 เดือนแรกเพื่อหลังผลด้านการป้องกัน 
	
 
การรักษา 
 โรคหัดเยอรมันเป็นโรคที่หายเองได้โดยไม่จำเป็นต้องให้การรักษายกเว้นมีภาวะแทรกซ้อน 
สำหรับการรักษาที่อาจจะต้องให้บ้างก็เป็นการรักษาตามอาการเท่านั้น เช่น ลดไข้ แก้ปวด 
 
การป้องกัน 
 ถือว่าสำคัญที่สุดและทำได้ง่ายๆ เพียงแต่ฉีดวัคซีนให้กับทุกคน
ที่ไม่มีภูมิคุ้มกันหัดเยอรมัน เท่านั้น 
ในประเทศไทย นิยมฉีดวัคซีนหัดเยอรมัน 2 ครั้ง ครั้งแรกขณะอายุ 9-12 เดือน 
ครั้งที่ 2 เมื่ออายุ 12-16 ปี
สตรีวัยเจริญพันธุ์ เมื่อฉีดวัคซีนป้องกันโรคหัดเยอรมันแล้วควรคุมกำเนิด 3 เดือน
เพราะเป็นวัคซีนที่ทำจากเชื้อไวรัสที่ยังมีชีวิตอยู่ และมีรายงานว่า
บางรายเกิดการแท้งบุตรขึ้น แต่ถ้าบังเอิญไปฉีดในขณะตั้งครรภ์ 
ก็ไม่ต้องไปวิตกกังวลเพราะเท่าที่มีรายงานในโลกนี้ 
ไม่มีทารกรายใดเลยที่พิการด้วยไวรัสวัคซีน 
หญิงที่ไม่มีภูมิคุ้มกัน เมื่อทราบว่ามีการตั้งครรภ์ ควรเลื่อนการฉีดวัคซีนออกไป
จนกว่าจะคลอดบุตรเสียก่อน 
 การติดเชื้อหัดเยอรมันซ้ำ 
หลายคนอาจจะคิดว่า เคยเป็นหัดเยอรมันมาแล้ว คงจะไม่เป็นอีก 
ความจริงแล้วอาจจะมีโอกาสเป็นหัดเยอรมันซ้ำได้ร้อยละ 3-10 
นอกจากนั้น คนที่เคยฉีดวัคซีนมาแล้ว ก็มีโอกาสกลับเป็นซ้ำอีกได้เช่นกัน
และพบมากถึงร้อยละ 14-18 นับว่าไม่น้อยทีเดียว 
	
ดังนั้น ทุกคนไม่ควรประมาทเพราะทารกในครรภ์ของสตรีที่เคยฉีดวัคซีนแล้ว
และเป็นหัดเยอรมันซ้ำ มีโอกาสติดเชื้อหัดเยอรมันได้เช่นกัน 
 "หัดเยอรมัน" มหันตรายโรคร้ายที่แฝงมาในลักษณะเรียบง่าย 
เพียงแค่มีไข้เล็กน้อยร่วมกับออกผื่น 3 วัน ได้สร้างความเสียหายแก่มวลมนุษย์ชาติมากมาย 
โดยเฉพาะความพิการแต่กำเนิด ตาบอด, หูหนวก, หัวใจพิการและปัญญาอ่อน 
	
 คุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ควรจะได้ใส่ใจป้องกันโรคนี้เสียแต่เนิ่นๆ 
ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยเลย หากผลที่ได้รับคือ ชีวิตทั้งชีวิตของลูก 
และความทุกข์ใจของคุณพ่อคุณแม่เอง 
พ.ต.ท.น.พ.เสรี ธีรพงษ์ 
  |