กองบรรณาธิการใกล้หมอ
 
 
 ถ้าหากจะแบ่งช่วงชีวิตของผู้หญิงออกเป็น 3 ช่วงแล้วจะเห็นว่าช่วงแรกคือ 
วัยเด็กจนถึงวัยที่ประจำเดือนเริ่มมา ช่วงที่สองคือ ช่วงวัยเจริญพันธุ์ 
ขณะที่ยังมีประจำเดือนอยู่ซึ่งเป็นช่วงสำคัญของชีวิตครอบครัวในแง่ของการมีบุตรมาสืบตระกูล 
แล้วก็เข้าสู่ช่วงที่สามคือ ในวัยหมดประจำเดือน ซึ่งเมื่อก่อนจะเป็นช่วงไม่ยาวมาก 
แต่เดี๋ยวนี้ช่วงนี้อาจยาวกว่า 1 ใน 3 ของชีวิต เช่นถ้าประจำเดือนหมดเมื่ออายุ 50 ปี 
หากมีอายุยืนถึง 80 ปี ก็หมายความว่า ช่วงชีวิตที่ไม่มีประจำเดือนมานั้นยาวนานถึง 30 ปี 
ซึ่งสมัยนี้ไม่สามารถปล่อยทิ้งไว้เฉยๆ โดยไม่ช่วยเหลือแทรกแซงอีกต่อไปเพราะเราเรียนรู้กันแล้วว่า 
เมื่อฮอร์โมนเพศลดหรือหมดไปจะมีผลกระทบรุนแรงต่อสุขภาพได้ 
 นี่คือที่มาของการใช้ฮอร์โมนเพศเสริม หรือ HRT(ย่อมาจากคำว่า Hormone 
Replacement Therapy)  มีมานานแล้วตั้งแต่หมอเริ่มผ่าตัดมดลูกและรังไข่ของผู้หญิงออก
ก่อนวัยหมดประจำเดือน แล้วเรียนรู้ว่า ต้องให้ฮอร์โมนเพศชดเชย แต่ยิ่งวิจัยก็ยิ่งรู้มากขึ้น 
สมัยนี้ HRT จึงกลายเป็นศาสตร์ที่ต้องอาศัยศิลปะหรือวิจารณญาณจากนรีแพทย์ 
(หมอผู้เชี่ยวชาญโรคของเพศสตรี) 
 ขณะที่ HRT มีวิธีการ, รูปแบบ, ขนาดที่หลากหลาย โดยมีวัตถุประสงค์สำคัญคือ 
1. ลดหรือยุติการมีเลือดออกทางช่องคลอด
2. อาการ้อนวูบวาบ (Hot Flashes) 
 สำหรับคนที่ยังมีมดลูกอยู่อาจจะเริ่มฮอร์โมนเสริมด้วย เอสโตรเจนชนิดรับประทาน
ในขนาด 0.625 มิลลิกรัม เช่น Premarin วันละเม็ด ซึ่งจะช่วยป้องกันภาวะกระดูกพรุน
และโรคหัวใจได้ 
 และเพื่อป้องกันและคุ้มครองมดลูกไม่ให้เป็นมะเร็ง หมออาจเสริมฮอร์โมนเพศ
อีกชนิดหนึ่งคือ โปรเจสติน (Progestin) ขนาดวันละ 2.5-5 มิลลิกรัม โดยมักจะเป็นขนาด 5 มก.
ในปีแรกๆ หลังประจำเดือนหมดใหม่ๆ เลือดประจำเดือนจะได้ไม่ออกกะปริดกะปรอย 
หลังจากนั้นจึงลดลงเหลือวันละ 2.5 มิลลิกรัม แต่ถ้าหมอตัดมดลูกออกไปด้วยเหตุใดก็ตาม 
ท่านไม่จำเป็นต้องใช้ฮอร์โมนนี้ 
 จากหลักการนี้เอง จึงมาถึงแนวคิดวิธีเลือก HRT ขั้นต่อไป คือ
 1. เลียนแบบธรรมชาติ (Cyclic Therapy) ซึ่งบางคนจะรำคาญเพราะฮอร์โมนเพศ
ประกอบด้วยเอสโตรเจนและโปรเจสติน ซึ่งเมื่อรับประทานไปแล้วเป็นเวลาเดือนละ 10-14 วัน 
จะทำให้มีเลือดประจำเดือนออกทุกเดือนในช่วงต้นๆ 
 2. แบบกินยาต่อเนื่อง (Continuous Combined oral therapy) เป็นฮอร์โมนเม็ดเดียว
แต่ควบระหว่างเอสโตรเจนและโปรเจสตินทั้งคู่ร้อยละ 90 ของผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน
ที่หันมาใช้ฮอร์โมนเสริมวิธีนี้จะไม่มีเลือดประจำเดือนออกภายใน 1 ปี 
 3. แบบกินฮอร์โมนโปรเจสตินเท่านั้น ผู้หญิงบางคนรับประทานเอสโตรเจนไม่ได้
เพราะเป็นมะเร็งเต้านมหรือมดลูก แต่ก็ยังอาจได้ประโยชน์จากการรับประทานโปรเจสตินเดี่ยวๆ 
เพื่อบำบัดอาการร้อนวูบวาบ และป้องกันภาวะกระดูกพรุนได้บ้าง โดยจะไม่ช่วยป้องกันช่องคลอดแห้ง 
หรือป้องกันโรคหัวใจ 
การรักษาอาการร้อนวูบวาบยังมีวิธีอื่นๆ เช่นใช้สารสกัดจากสมุนไพร 
ทั้งที่เป็นฮอร์โมนจากพืชหรือไม่ใช้ก็ตาม 
 4. รับประทานโปรเจสตินแบบห่างๆ วิธีนี้รับประทานโปรเจสตินติดต่อกัน 2 สัปดาห์
ทุกๆ 3 เดือน ซึ่งจะยืดเวลาการมีเลือดออกทางช่องคลอดจากทุกเดือนไปเป็นปีละ 3-4 ครั้ง 
วิธีนี้ยังอยู่ระหว่างการทดลองหาข้อยุติ 
 5. ใช้ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนแบบธรรมชาติ เป็นสูตรเลียนแบบธรรมชาติ 
เพื่อลดอาการข้างเคียงอันไม่พึงประสงค์ เช่น อาการบวมและอารมณ์หงุดหงิด 
ที่เกิดอาการรับประทานฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนชนิดสังเคราะห์ 
 6. แผ่นฮอร์โมนแปะผิวหนัง (Patch) ฮอร์โมนเอสโตรเจนชนิดรับประทาน 
อาจสร้างปัญหาแก่ผู้หญิงบางคนเช่นคนที่เป็นโรคไมเกรน โรคตับ หรือโรคถุงน้ำดี 
เลือดคั่งแข็งตัวในเส้นเลือดดำหรือคนที่สูบบุหรี่ ถ้าเปลี่ยนเป็นแผ่นเอสโตรเจน
ปิดผิวหนังที่หน้าท้องให้ฮอร์โมนค่อยๆ ดูดซึมผ่านเข้าสู่ร่างกายโดยไม่ต้องผ่านเข้าสู่ตับ
ก็จะลดปัญหาต่อตับได้ ในกรณีที่ยังมีมดลูกอยู่ นอกจากจะปิดแผ่นฮอร์โมนที่ผิวหนังแล้ว 
ยังต้องรับประทานโปรเจสตินชนิดเม็ดควบไปด้วย จึงจะเป็น HRT ที่ครบถ้วน 
แต่มีข่าวดีว่าเดี๋ยวนี้มีแผ่นแปะผิวหนังที่ควบฮอร์โมนทั้ง 2 ขนานแล้ว 
							
 |