มาที่นี่ที่เดียว ได้อ่านบทความทางด้านการแพทย์ ภาษาไทย จากเกือบทุกโฮมเพจที่มีใน INTERNET
http://www.oocities.org/Tokyo/Harbor/2093/
จำสั้นๆ i.am/thaidoc



มารู้จัก HRT กันเถอะ

กองบรรณาธิการใกล้หมอ


ถ้าหากจะแบ่งช่วงชีวิตของผู้หญิงออกเป็น 3 ช่วงแล้วจะเห็นว่าช่วงแรกคือ วัยเด็กจนถึงวัยที่ประจำเดือนเริ่มมา ช่วงที่สองคือ ช่วงวัยเจริญพันธุ์ ขณะที่ยังมีประจำเดือนอยู่ซึ่งเป็นช่วงสำคัญของชีวิตครอบครัวในแง่ของการมีบุตรมาสืบตระกูล แล้วก็เข้าสู่ช่วงที่สามคือ ในวัยหมดประจำเดือน ซึ่งเมื่อก่อนจะเป็นช่วงไม่ยาวมาก แต่เดี๋ยวนี้ช่วงนี้อาจยาวกว่า 1 ใน 3 ของชีวิต เช่นถ้าประจำเดือนหมดเมื่ออายุ 50 ปี หากมีอายุยืนถึง 80 ปี ก็หมายความว่า ช่วงชีวิตที่ไม่มีประจำเดือนมานั้นยาวนานถึง 30 ปี ซึ่งสมัยนี้ไม่สามารถปล่อยทิ้งไว้เฉยๆ โดยไม่ช่วยเหลือแทรกแซงอีกต่อไปเพราะเราเรียนรู้กันแล้วว่า เมื่อฮอร์โมนเพศลดหรือหมดไปจะมีผลกระทบรุนแรงต่อสุขภาพได้

นี่คือที่มาของการใช้ฮอร์โมนเพศเสริม หรือ HRT(ย่อมาจากคำว่า Hormone Replacement Therapy) มีมานานแล้วตั้งแต่หมอเริ่มผ่าตัดมดลูกและรังไข่ของผู้หญิงออก ก่อนวัยหมดประจำเดือน แล้วเรียนรู้ว่า ต้องให้ฮอร์โมนเพศชดเชย แต่ยิ่งวิจัยก็ยิ่งรู้มากขึ้น สมัยนี้ HRT จึงกลายเป็นศาสตร์ที่ต้องอาศัยศิลปะหรือวิจารณญาณจากนรีแพทย์ (หมอผู้เชี่ยวชาญโรคของเพศสตรี)

ขณะที่ HRT มีวิธีการ, รูปแบบ, ขนาดที่หลากหลาย โดยมีวัตถุประสงค์สำคัญคือ
1. ลดหรือยุติการมีเลือดออกทางช่องคลอด
2. อาการ้อนวูบวาบ (Hot Flashes)

สำหรับคนที่ยังมีมดลูกอยู่อาจจะเริ่มฮอร์โมนเสริมด้วย เอสโตรเจนชนิดรับประทาน ในขนาด 0.625 มิลลิกรัม เช่น Premarin วันละเม็ด ซึ่งจะช่วยป้องกันภาวะกระดูกพรุน และโรคหัวใจได้

และเพื่อป้องกันและคุ้มครองมดลูกไม่ให้เป็นมะเร็ง หมออาจเสริมฮอร์โมนเพศ อีกชนิดหนึ่งคือ โปรเจสติน (Progestin) ขนาดวันละ 2.5-5 มิลลิกรัม โดยมักจะเป็นขนาด 5 มก. ในปีแรกๆ หลังประจำเดือนหมดใหม่ๆ เลือดประจำเดือนจะได้ไม่ออกกะปริดกะปรอย หลังจากนั้นจึงลดลงเหลือวันละ 2.5 มิลลิกรัม แต่ถ้าหมอตัดมดลูกออกไปด้วยเหตุใดก็ตาม ท่านไม่จำเป็นต้องใช้ฮอร์โมนนี้

จากหลักการนี้เอง จึงมาถึงแนวคิดวิธีเลือก HRT ขั้นต่อไป คือ

1. เลียนแบบธรรมชาติ (Cyclic Therapy) ซึ่งบางคนจะรำคาญเพราะฮอร์โมนเพศ ประกอบด้วยเอสโตรเจนและโปรเจสติน ซึ่งเมื่อรับประทานไปแล้วเป็นเวลาเดือนละ 10-14 วัน จะทำให้มีเลือดประจำเดือนออกทุกเดือนในช่วงต้นๆ

2. แบบกินยาต่อเนื่อง (Continuous Combined oral therapy) เป็นฮอร์โมนเม็ดเดียว แต่ควบระหว่างเอสโตรเจนและโปรเจสตินทั้งคู่ร้อยละ 90 ของผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน ที่หันมาใช้ฮอร์โมนเสริมวิธีนี้จะไม่มีเลือดประจำเดือนออกภายใน 1 ปี

3. แบบกินฮอร์โมนโปรเจสตินเท่านั้น ผู้หญิงบางคนรับประทานเอสโตรเจนไม่ได้ เพราะเป็นมะเร็งเต้านมหรือมดลูก แต่ก็ยังอาจได้ประโยชน์จากการรับประทานโปรเจสตินเดี่ยวๆ เพื่อบำบัดอาการร้อนวูบวาบ และป้องกันภาวะกระดูกพรุนได้บ้าง โดยจะไม่ช่วยป้องกันช่องคลอดแห้ง หรือป้องกันโรคหัวใจ
การรักษาอาการร้อนวูบวาบยังมีวิธีอื่นๆ เช่นใช้สารสกัดจากสมุนไพร ทั้งที่เป็นฮอร์โมนจากพืชหรือไม่ใช้ก็ตาม

4. รับประทานโปรเจสตินแบบห่างๆ วิธีนี้รับประทานโปรเจสตินติดต่อกัน 2 สัปดาห์ ทุกๆ 3 เดือน ซึ่งจะยืดเวลาการมีเลือดออกทางช่องคลอดจากทุกเดือนไปเป็นปีละ 3-4 ครั้ง วิธีนี้ยังอยู่ระหว่างการทดลองหาข้อยุติ

5. ใช้ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนแบบธรรมชาติ เป็นสูตรเลียนแบบธรรมชาติ เพื่อลดอาการข้างเคียงอันไม่พึงประสงค์ เช่น อาการบวมและอารมณ์หงุดหงิด ที่เกิดอาการรับประทานฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนชนิดสังเคราะห์

6. แผ่นฮอร์โมนแปะผิวหนัง (Patch) ฮอร์โมนเอสโตรเจนชนิดรับประทาน อาจสร้างปัญหาแก่ผู้หญิงบางคนเช่นคนที่เป็นโรคไมเกรน โรคตับ หรือโรคถุงน้ำดี เลือดคั่งแข็งตัวในเส้นเลือดดำหรือคนที่สูบบุหรี่ ถ้าเปลี่ยนเป็นแผ่นเอสโตรเจน ปิดผิวหนังที่หน้าท้องให้ฮอร์โมนค่อยๆ ดูดซึมผ่านเข้าสู่ร่างกายโดยไม่ต้องผ่านเข้าสู่ตับ ก็จะลดปัญหาต่อตับได้ ในกรณีที่ยังมีมดลูกอยู่ นอกจากจะปิดแผ่นฮอร์โมนที่ผิวหนังแล้ว ยังต้องรับประทานโปรเจสตินชนิดเม็ดควบไปด้วย จึงจะเป็น HRT ที่ครบถ้วน แต่มีข่าวดีว่าเดี๋ยวนี้มีแผ่นแปะผิวหนังที่ควบฮอร์โมนทั้ง 2 ขนานแล้ว


[ที่มา..หนังสือ นิตยสารใกล้หมอปีที่ 24 ฉบับที่ 5 พฤษภาคม 2543]

[ BACK TO LIST]
main พบแพทย์ คอมพิวเตอร์ เรื่องบ้าน เรื่องรถ เรื่องกฏหมาย เรื่องของผู้บริโภค เรื่องเบาๆ คลายเครียด

มีปัญหาสุขภาพ ที่นี่มีคำตอบ ห้องสมุดE-LIB[ hey.to/yimyam ][ i.am/thaidoc ]

Best view with [IE3.02][NETSCAPE 4.05][OPERA 3.21] resolution 800x600