สวัสดีครับ ท่านผู้อ่านใกล้หมอทุกท่าน เรื่องในคอลัมน์ของผมวันนี้ดูจะ "เพศนิยม"
ไปหน่อยเพราะเป็นอะไรที่เกี่ยวกับสุภาพสตรีตรงๆ เลย แต่สุภาพบุรุษที่กำลังอ่านอยู่
ก็อย่าเพิ่งวางนะครับ เพราะแม้ว่าสิ่งนี้ไม่มีวันเกิดกับตัวท่านก็จริงอยู่
สาระเนื้อหาจะเป็นประโยชน์ที่ท่านอาจช่วยคนข้างเคียงของท่านได้มากทีเดียว
ลองติดตามดูซิครับ
วัยหมดระดู หรือเรียกกันทั่วไปว่า หมดประจำเดือน
นั้นเป็นช่วงเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในชีวิตช่วงเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ
ในชีวิตช่วงหนึ่งทีเดียวสำหรับผู้หญิง เปลี่ยนจากวัยเจริญพันธุ์หรือวัยทื่มีบุตร
ได้ไปสู่วัยที่มีบุตรไม่ได้อีกต่อไป
วัยนี้รังไข่จะไม่ตกไข่จะสร้างฮอร์โมนเอสโตรเจนน้อยลงมาก
ทำให้ร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลงตามมาหลายอย่างครับ
นี่ก็เป็นโอกาสที่ดีที่จะหยุดสิ่งซึ่งเป็นนิสัยไม่ดีต่อสุขภาพหันมาเริ่มนิสัย
หรือพฤติกรรมที่เป็นประโยชน์ที่เสริมสร้างสุขภาพกันครับ เป็นต้นว่า
-หยุดสูบบุหรี่
-รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ที่ถูกหลักโภชนาการ
-ปรับน้ำหนักตัวให้เหมาะสม
-ออกกำลังกายมากขึ้น
-ควบคุมความดันโลหิตให้ดี
-ควบคุมระดับไขมันในเลือด
อาการของวัยหมดระดู
เมื่อระดูหรือรอบเดือนมาผิดปกติ ไม่สม่ำเสมอท่านอาจคิดว่าท่านกำลังจะหมดระดู
ท่านควรตระหนักไว้ด้วยว่า รอบเดือนอาจไม่มาหรือมาผิดปกติจากสาเหตุอื่นๆ
ได้อีกมาก ยังไม่ควรด่วนสรุปว่ากำลังจะเข้าวัยหมดระดู
แม้ว่าท่านจะมีอายุอยู่ระหว่าง 45-55 ปีก็ตาม
อายุ 45-55 ปี เป็นอายุที่ผู้หญิงส่วนใหญ่หมดระดูครับ ท่านควรปรึกษาแพทย์
เกี่ยวกับอาการผิดปกติของท่าด้วย
ควรปรึกษาแพทย์ในกรณีต่อไปนี้ครับ
-รอบเดือนมาบ่อยกว่าทุก 21 วัน
-รอบเดือนมามากกว่า 7 วัน
-ปริมาณเลือดระดูมากผิดปกติ
-มีเลือดคล้ายระดูออกมาเมื่อยังไม่ถึงกำหนดระดูมา
อาการของวัยหมดระดูอาจแบ่งออกเป็นระยะๆ ตั้งแต่เริ่มต้นดังนี้
1. ระยะเริ่มแรก ระยะนี้จะตรงกับช่วงที่รังไข่ทำงานน้อยลง
ไม่มีการตกไข่ แต่ยังมีการสร้างฮอร์โมนเอสโตรเจนอยู่บ้าง
อาการที่ปรากฏคือ ความผิดปกติของรอบเดือนมาไม่ตรงกำหนดมักห่างออกไป
ปริมาณเลือดระดูน้อยลงและอาจหายไปเลย มีเหมือนกันครับที่บางรายอาจมีระดูออกมาก
2. ระยะหมดระดู ตรงกับช่วงที่เอสโตรเจนจากรังไข่ลดลงมาก
จนไม่เพียงพอที่จะกระตุ้น เยื่อบุโพรงมดลูกให้เจริญเติบโตจึงทำให้หมดระดู
อาการที่เกิดคือ อาการร้อนวูบวาบที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน
ผิวหนังบริเวณส่วนต่างๆ ของร่างกาย โดยเฉพาะแถวศีรษะ คอ และหน้าอกจะมีเหงื่อออก
รู้สึกร้อนขึ้น อาจเป็นอยู่แค่ไม่กี่วินาทีหรือนานหลายนาที อาจเกิดขึ้นครั้งเดียว
หรือหลายครั้งในหนึ่งวัน มักเกิดบ่อยตอนกลางคืนครับเลยทำให้นอนไม่หลับได้
อาการร้อนวูบวาบนี้จะหายไปเองใน 1-2 ปี หลังหมดระดู
แต่บางคนอาจเป็นนานกว่า 5 ปี ก็มี
3. ระยะเปลี่ยนแปลง ของอวัยวะสืบพันธ์และทางเดินปัสสาวะส่วนล่าง
ระยะนี้เป็นผลจากระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนลดลงมาก
จนทำให้เกิดการห่อเหี่ยวของอวัยวะต่างๆ มดลูกและผนังช่องคลอด
จะหย่อนมากขึ้น เยื่อบุช่องคลอดแห้ง เนื่องจากผนังช่องคลอดบางตัวลง
ความชุ่มชื้นน้อยลง
ปัจจัยนี้ทำให้เกิดอาการเจ็บขณะร่วมเพศ และอาจทำให้ช่องคลอดติดเชื้ออักเสบง่ายขึ้น
เยื่อบุท่อปัสสาวะจะบางทำให้รู้สึกแสบเวลาปัสสาวะ อาการปัสสาวะขัด
ปัสสาวะเล็ดก็พบได้บ่อยครับ
4. ระยะสูงอายุ เป็นผลต่อเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงในวัยหมดระดู
ที่สำคัญคือ โรคกระดูกพรุนและโรคเกี่ยวกับหัวใจและหลอดเลือด
ยังมีปัญหาอื่นๆ และปัญหาทางจิตใจอีกครับ เช่น
- หงุดหงิด
- ซึมเศร้า
- เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย ใจสั่น
- ปวดศีรษะ วิงเวียน
- นอนไม่หลับ
- ตามัว ฯลฯ
รักษาได้ไหม ?
คำถามนี้คงเป็นคำถามที่ท่านอยากทราบคำตอบมากที่สุด
ได้ครับ รักษาได้
คุณควรปรึกษาแพทย์ดู แพทย์จะอธิบายชี้แจงให้คุณหายข้อข้องใจได้
ผมจะลองให้แนวทางการรักษาพอสังเขปดูนะครับ
โดยทั่วไปในช่วงก่อนหมดระดูประจำเดือนหรือรอบเดือนจะมาไม่สม่ำเสมอครับ
สาเหตุเป็นเพราะความผิดปกติของการตกไข่หรือไม่มีการตกไข่
เมื่อแพทย์ตรวจจนแน่ใจแล้วว่าไม่ได้เกิดจากสาเหตุอื่นก็อาจให้ยารักษาแก่ท่านได้เลย
เป็นยาประเภทฮอร์โมน ให้ติดต่อกัน 3-6 เดือนแล้วหยุดสังเกตอาการ
หากรอบเดือนผิดปกติอีกก็ให้การรักษาใหม่หรืออาจให้ยาจน "หมดระดู" จริงๆ
อาการนี้เมื่อเกิดขึ้นแล้วอาจตามมาด้วยอาการหนาวเย็น บางคนก็ใจสั่น
หงุดหงิด ร่วมด้วย อาการจะเป็นมากในหน้าร้อนช่วงอากาศชื้น
อยู่ในสถานที่คับแคบ ดื่มชา กาแฟสุรา หรือรับประทานอาหารที่รสจัด
แพทย์จะใช้ยาฮอร์โมนประเภทเอสโตรเจนรักษาครับ
อาจใช้ร่วมกับฮอร์โมนประเภทโปรเจสเตอโรน ยารักษาความดันโลหิตสูงพวกโคลนิดีน
หรือโปรปรานอลอล ก็ช่วยลดอาการร้อนวูบวาบได้
คุณอาจช่วยอีกทางหนึ่งโดยการสวมเสื้อผ้าเบาบางที่ไม่เก็บความร้อน
การดื่มน้ำเย็นๆ ก็อาจช่วยลดความรู้สึกร้อนลงได้ครับ
- อาการเหี่ยวของอวัยวะสืบพันธุ์
การรักษาที่ดีที่สุดคือให้ฮอร์โมนเอสโตรเจนครับ มีทั้งชนิดเม็ดรับประทาน
ชนิดแผ่นปิดผิวหนัง และชนิดครีมทาช่องคลอด คุณอาจใช้สารหล่อลื่น
ทางช่องคลอดก่อนร่วมเพศ วิธีนี้จะช่วยลดอาการเจ็บขณะร่วมเพศได้มากเช่นกัน
อาการปัสสาวะแสบ ขัด ปัสสาวะบ่อย บรรเทาได้ด้วยยาครับ
ยาที่ได้ผลมากที่สุดคือ ฮอร์โมนเอสโตรเจน
ยาบรรเทาปวดของทางเดินปัสสาวะไม่ค่อยได้ผลครับ
โรคนี้เป็นปัญหามากพอสมควรทำให้กระดูกหักง่าย
โดยเฉพาะกระดูกข้อสะโพกครับ
ผมขออธิบายเสริมตรงนี้นิดหนึ่งครับเกี่ยวกับความหนาแน่น
หรือมวลของกระดูกคนเรา เริ่มตั้งแต่วัยเด็กมวลของกระดูกจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
จนสูงสุดเมื่ออายุ 25 ปี จากนั้นมวลหรือความหนาแน่นก็จะคงที่อยู่ระยะหนึ่ง
แล้วจึงค่อยๆ เริ่มลดลงครับ และลดลงอย่างรวดเร็ว ในผู้หญิงที่ขาดฮอร์โมนเอสโตรเจน
ไม่ว่าขาดจากสาเหตุใดก็ตาม นี่คือเกิดโรคกระดูกพรุน
ปัจจัยอื่นๆ ที่ทำให้เสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุนคือ
- ภาวะไม่มีระดูจากขาดเอสโตรเจน (ไม่ว่าสาเหตุใด)
- รับประทานแคลเซียมน้อย
- สูบบุหรี่
- วิถีชีวิตที่ไม่ค่อยมีการออกแรง
- ความผอม
- มีประวัติในครอบครัวว่าเป็นโรคกระดูกพรุน
จากการศึกษาวิจัยพบว่า ยาฮอร์โมนเอสโตรเจนร่วมกับการเสริมแคลเซียม
ช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุนได้ผลดีครับ
กรณีไม่ใช้เอสโตรเจนเพราะมีปัจจัยเสี่ยงด้านอื่นก็ควรติดตามภาวะกระดูกพรุน
โดยการวัดความหนาแน่นของกระดูกครับ
โรคหัวใจและหลอดเลือดเป็นสาเหตุนำ (สูงสุด) ของการตายของผู้หญิงครับ
เมื่อเลยอายุ 40 ปี แล้วความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจ
และหลอดเลือดในผู้หญิงจะสูงกว่าในผู้ชายมาก แต่พอถึงอายุ 70 ปี
ก็ลดลงกลับมาเสี่ยงเท่าๆ กันครับ
พบว่าผู้หญิงที่ขาดเอสโตรเจนตั้งแต่อายุยังน้อยความเสี่ยงเพิ่มขึ้นต่อโรคหัวใจ
และหลอดเลือดก็เกิดเร็วขึ้นด้วย จึงมีความเชื่อว่า การใช้เอสโตรเจน
จะช่วยลดความเสี่ยงของผู้หญิงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดลงได้
แต่ทั้งนี้ก็ต้องควบคุมภาวะที่ช่วยส่งเสริมสุขภาพที่ผมกล่าวไว้
ตั้งแต่ตอนต้นเลยไปด้วยครับ
ความเสี่ยงของการใช้เอสโตรเจนมีไหม ?
ครับ นี่ก็เป็นคำถามติดอันดับท็อปฮิตเหมือนกัน
เหคุผลที่พบบ่อยที่สุดของผู้หญิงที่ไม่ยอมรับเอสโตรเจน
และแพทย์ที่ไม่สั่งจ่ายยานี้ก็คือ กลัวมะเร็งครับ
มะเร็งเต้านม มีการถกเถียงและโต้แย้งกันมากครับว่า
เอสโตรเจนเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งเต้านมหรือเปล่า
บางรายงานว่าเพิ่มเล็กน้อยก็คงต้องติดตามค้นคว้ากันต่อไปนะครับ
มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก การให้เอสโตรเจนอย่างเดียว
โดยไม่ให้โปรเจสเตอโรน ทำให้เยื่อบุมดลูกหนาตัว และเสี่ยงต่อมะเร็งมากขึ้น
แต่เมื่อให้เอสโตรเจนร่มกับโปรเจสเตอโรนแล้ว ความเสี่ยงนี้จะถูกลบล้างไปได้ครับ
ซ้ำยังช่วยป้องกันมะเร็งนี้เสียด้วย
ครับก็คงต้องแนะนำว่าให้ปรึกษาแพทย์ช่วยตัดสินใจครับ
จะได้พิจารณาปัจจัยรอบด้านโดยรอบคอบเสียก่อนนั่นเอง
นพ.อมรชัย หาญผดุงธรรมะ
|