มาที่นี่ที่เดียว ได้อ่านบทความทางด้านการแพทย์ ภาษาไทย จากเกือบทุกโฮมเพจที่มีใน INTERNET
http://www.oocities.org/Tokyo/Harbor/2093/
จำสั้นๆ i.am/thaidoc



ผู้หญิงวัยทอง

นพ.ชุมศักดิ์ พฤกษาพงษ์


เพื่อสร้างความรู้สึกที่ดีและแสดงให้เห็นว่า ผู้หญิงในช่วงวัย 45-55 ปี ซึ่งประจำเดือนเริ่มหยุดมานั้นเป็นวัยแห่งการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี มีศักยภาพ วงกรแพทย์จึงเรียกผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนว่า "ผู้หญิงวัยทอง"

เมืองไทยจะมีผู้หญิงวัยทองมากสักเท่าไร คงพอจะประมาณการได้ไม่ยาก เนื่องจากผู้หญิงไทยมีอายุขัยเฉลี่ยยาวกว่าผู้ชาย และขณะนี้มีคนไทยอายุกว่า 60 ปี เกือบร้อยละ 10 ของประชากรแล้ว หญิงวัยหมดประจำเดือนคงมีไม่น้อยกว่า 5 ล้านคน ในขณะที่สหรัฐอเมริกาขณะนี้มีถึง 36 ล้านคน และจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ในเมื่อหญิงวัยทองจะมีเวลาอยู่ดูโลกไปอีกอย่างน้อย 20-30 ปี จึงน่าจะถือว่า เป็นกลุ่มคนที่มีศักยภาพสูงในการทำประโยชน์ให้แก่ตนเอง, ต่อครอบครัวและต่อสังคมประเทศชาติ อย่างที่ฝรั่งชอบพูดว่า ชีวิตเริ่มต้นที่ 40 นั้น อาจเปลี่ยนเสียใหม่ว่าชีวิตผู้หญิงเริ่มต้นที่ 50

ภาวะหมดประจำเดือนคืออะไร (Menopause) ?

ชื่อภาษาไทยของภาวะนี้บ่งบอกชัดเจนว่า คือภาวะที่ประจำเดือนหยุดมาอย่างถาวร แต่ไม่ใช่วันที่นึกอยากจะกำหนดนัดก็เขียนขึ้นปฏิทินเลย เพราะปรากฏการณนี้ค่อยเป็นค่อยไป มาตั้งแต่ย่างผ่านวัย 30
ในช่วงวัยเจริญพันธุ์ของผู้หญิงจะมีปฏิสัมพันธ์ของฮอร์โมนที่ผิตจากรังไข่และต่อมใต้สมอง เพื่อควบคุมการตกไข่ในแต่ละเดือน ฮอร์โมนเพศสตรี 2 ชนิดที่รู้จักกันดีที่สุดคือ
- เอสโตรเจน (Estrogen)
- โปรเจสเตอโรน (Progesterone)

พอผู้หญิงผ่านเลยวัย 30 ปีแล้ว ความเจริญพันธุ์จะเริ่มลดลงเพราะว่ามีไข่ที่ยังเหลืออยู่ในรังไข่น้อยลง ปริมาณการผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนก็ลดลงทำให้ไข่มีโอกาสปฏิสนธิน้อยลง
ช่วงเวลาที่ประจำเดือนจะหยุดมาอย่างถาวรจะเริ่มมาไม่เป็นเวลาแน่นอน ตามกระแสการขึ้นลงของฮอร์โมนเพศ เราเรียกระยะนี้ว่า ระยะก่อนประจำเดือนหมด (Perimenopause)
การที่ฮอร์โมนเพศมีการผลิตที่ไม่คงที่แน่นอนนี่เอง ก่อให้เกิดอาการตามมาหลายอย่างเช่น ประจำเดือนมาไม่เป็นเวลา, นอนไม่ค่อยหลับ, อารมณ์แปรปรวนและอาการร้อนวูบวาบ (Hot Plashes)
วงการแพทย์กำหนดไว้ว่า ผู้หญิงจะเข้าวัยหมดประจำเดือนจริงๆ อย่างเป็นทางการ ก็เมื่อประจำเดือนหยุดมาอย่างสิ้นเชิงเป็นเวลาอย่างน้อย 1 ปี ซึ่งจะเกิดระหว่างอายุ 45-55 ปี หรืออายุเฉลี่ย 51 ปี ผู้หญิงที่ยังสูบบุหรี่หรือเคยสูบบุหรี่มักจะมีภาวะหมดประจำเดือนเร็วขึ้น
ภาวะหมดประจำเดือนอาจเกิดตั้งแต่อายุ 40 ปี ในรายที่เป็นผลจากกรรมพันธ์, โรคภูมิแพ้ตนเอง (Autoimmune Disease) หรือโรคประจำตัวร้ายแรงอื่นๆ
บางโรคที่มีการรักษาโดยการผ่าตัดเช่น ตัดรังไข่ออกหรือฉายรังสีที่รังไข่, การให้เคมีบำบัดและยาบางขนานอาจทำให้ประจำเดือนหยุดมาได้
แต่การตัดมดลูกโดยไม่ตัดรังไข่ไม่ถือว่าเป็นภาวะหมดประจำเดือนในทางเทคนิค

ประจำเดือนหมดหมายถึงแก่ชราหรือ ?

ที่จริงก็ใช่เพียงแต่เป็นความแก่ชราของระบบสืบพันธุ์ในร่างกายของหญิงที่หมดประจำเดือน แต่ไม่ใช่ว่าภาวะหมดประจำเดือนเป็นสาเหตุของความแก่ชรา
จะรู้ได้อย่างไรว่าประจำเดือนหมดแน่ ?
ที่จริงคำตอบค่อนข้างจะชัดเจนคือประจำเดือนหยุดมา แต่ก่อนหน้าที่จะหยุดไปเลยนั้น บางทีมาๆ หยุดๆ ไม่แน่ไม่นอน ถ้าจะใช้วิธีทดสอบ ทางการแพทย์ก็พอจะมีให้เลือกใช้อย่างเช่น การตรวจที่เรียกว่า FSH Test (Follicle Stimulating Hormone Test) ซึ่งเป็นการตรวจวัด ระดับฮอร์โมน FSH ที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ฮอร์โมนเอสโตรเจนลดลงถือเป็นการเริ่มเข้าสู่วัยหมดประจำเดือน
หรือจะใช้การตรวจแป็บ (Pap Smear) ซึ่งวัดผลของเอสโตรเจนต่อเนื้อเยื่อของช่องคลอด แต่จะไม่แม่นยำเท่าการตรวจแรก แต่ส่วนใหญ่ไม่ต้องอาศัยการตรวจให้เสียเงินเปล่าๆ ทิ้งไว้สักปี 2 ปี ก็รู้หมู่รู้จ่าแล้วว่าประจำเดือนหมดแน่แน่ไหม ?

เกิดอะไรขึ้นเมื่อประจำเดือนหมด ?

ปรากฏการณ์ที่ส่งผลให้ระดับฮอร์โมนเพศในร่างกายลดลง ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ที่ร่างกายของผู้หญิงคนที่กำลังจะหมดประจำเดือนสิ่งต่างๆ ที่จะสังเกตทราบได้มีอาทิเช่น
1. ประจำเดือนไม่แน่นอน บางทีมาถี่ๆ บางทีก็ทิ้งช่วงหลายเดือนสลับกับการมาสม่ำเสมออยู่ระยะหนึ่ง บางคนจะมีเลือดประจำเดือนออกแบบแปลกๆ เช่นเลือดประจำเดือนมากกว่าปกติหรือมาทุก 2-3 สัปดาห์, หรือเลือดออกหลังมีการร่วมเพศ
2. อาการร้อนวูบวาบ ราวๆ 3 ใน 4 ของผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนจะมีอาการดังนี้ ซึ่งเชื่อว่าเป็นผลความผันผวนของระดับฮอร์โมนในสมองส่วนที่มีชื่อว่า ไฮโปทาลามัส (Hypothalamus) ซึ่งเป็นศูนย์ควบคุมอุณหภูมิในร่างกาย
อาการร้อนวูวาบจะรำคาญในที่สุดใน 2-3 ปีแรกที่ประจำเดือนหมด โดยมีความรุนแรงและความถี่หรือระยะเวลาที่เป็นสั้นยาวต่างๆ กันไป ในผู้หญิงแต่ละคน แต่โดยมากจะบรรเทาเบาบางลงใน 1-2 ปี
3. อาการนอนไม่หลับ ไม่ว่าจะเป็นความลำบากในการหลับ หรือตื่นบ่อยๆ กลางดึกหรือตื่นเช้ากว่าปกติ โดยอาการร้อนวูบวาบอาจเสริมการนอนไม่หลับนี้ แต่ถึงไม่มีอาการร้อนวูบวาบ ผู้หญิงวัยนี้หลายคนก็นอนไม่ค่อยหลับ
4. อารมณ์แปรปรวน อาจเป็นผลมาจากความผันผวนของระดับฮอร์โมนเพศในร่างกาย ทำให้เกิดอาการซึมเศร้าหรือหงุดหงิด การนอนไม่ค่อยหลับบ่อยครั้งเสริมอารมณ์หงุดหงิดได้
5. ปัญหาของช่องคลอด ฮอร์โมนเอสโตรเจนที่ลดลงทำให้เนื้อเยื่อของผนังช่องคลอดบางลง, ความยืดหยุ่น และความหล่อลื่นลดลง ทำให้การร่วมเพศไม่สะดวกราบรื่น
6. การเจริญพันธุ์น้อยลง เนื่องจากการตกไข่ไม่แน่นอน ทำให้โอกาสตั้งครรภ์ลดลง แต่ก็อาจตั้งท้องได้ทุกเมื่อจนกว่าประจำเดือนหยุดมาเป็นเวลา 1 ปีเต็ม
7. การเปลี่ยนแปลงทางผิวหนัง ความเต่งตึงและความชุ่มชิ้นของผิวหนัง มีผลจากการที่ร่างกายสร้างสารคอลลาเจน (Collagen) ครั้นพอฮอร์โมนเพศเอสโตรเจนลดลง การผลิตสารคอลลาเจนก็จะลดลงด้วย ผิวหนังของหญิงวัยหมดประจำเดือนจะเริ่มบางลง มีความยืดหยุ่นลดลง แห้งและเหี่ยวย่นง่ายขึ้น

อะไรจะเกิดขึ้นหลังประจำเดือนหมด ?

นอกจากอาการต่างๆ ที่กล่าวถึงแล้ว ยังมีผลระยะยาวเกิดขึ้นกับร่างกายของหญิง ที่ประจำเดือนหยุดมาอีกหลายอย่าง แต่ละอย่างมีผลกระทบรุนแรงต่อสุขภาพเช่น
ภาวะกระดูกพรุน (Ostgoporoses) ซึ่งเป็นโรคของกระดูกที่เกิดจากกระดูกบอบบางลง มีรูพรุนมากขึ้นและอ่อนแอลง โดยในระยะต้นๆ จะไม่ก่ออาการเป็นเวลานานถึง 30-40 ปี ก็มี
เหตุที่หญิงวัยหมดประจำเดือนมีกระดูกพรุนมากขึ้นก็เพราะ ฮอร์โมนเพศเอสโตรเจนมีระดับลดลง เอสโตรเจนตามปกติจะช่วยในกระบวนการสร้างกระดูกใหม่ ทดแทนกระดูกเก่าที่สลายต่อไป โดยกระบวนการดังกล่าวจะถึงจุดสุดยอดเมื่อผู้หญิงมีอายุ 25-30 ปี หลังจากนั้นระดับเอสโตรเจนเริ่มลดลง ร่างกายสูญเสียกระดูกเร็วขึ้นกว่าการสร้างชดเชยพออายุมากๆ จะพบว่ามวลกระดูกสูญเสียไป 30-50%
อันตรายตามมาคือ เวลาหกล้มจะพบว่ากระดูกหักง่ายขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระดูกสันหลัง กระดูกสะโพก
วิธีป้องกันกระดูกพรุนในหญิงวัยหมดประจำเดือนจึงอาศัยมาตรการต่างๆ คือ
- การออกกำลังกายที่มีการใช้น้ำหนักตัว เช่น เดิน วิ่งเหยาะๆ หรือเต้นรำ
- การใช้แคลเซียมและวิตามินดี
- การใช้ฮอร์โมนเสริม (HRT)

โรคหัวใจและหลอดเลือด เป็นเวลานานหลายปีแล้วที่วงการแพทย์สังเกตพบว่า ฮอร์โมนเอสโตรเจนช่วยปกป้องคุ้มครองไม่ให้ผู้หญิงเป็นโรคหัวใจ พอประจำเดือนหยุดมา โรคหัวใจจะเริ่มถามหา
เอสโตรเจนช่วยเพิ่มระดับของไขมันโคเลสเตอรอลชนิดดี (คือ HDL) และช่วยลดไขมันชนิดเลว (LDL) นอกจากนี้ยังทำให้เสียเลือดแดงมีความยืดหยุ่น ทำให้เกล็ดเลือดไม่เกาะกลุ่มกัน เสริมความแข็งแรงของหัวใจ
ครั้นพอจะให้เอสโตรเจนเป็นฮอร์โมนเสริม (HRT) แก่หญิงวัยหมดประจำเดือนทุกรายก็ปรากฏว่า ผู้หญิงบางคนได้เอสโตรเจนแล้วเลือดในเส้นเลือดดำคั่งแข็งตัวง่ายขึ้น ดังนั้นการตัดสินใจจะใช้ HRT หรือไม่อย่างไรจึงต้องให้คุณหมอพิจารณาตัดสินใจร่วมกับท่าน

ปัญหาของทางเดินปัสสาวะ

ระดับเอสโตรเจนที่ลดลงทำให้เนื้อเยื่อบริเวณเยื่อบุท่อปัสสาวะบางลง และความแข็งแรงของกระเพาะปัสสาวะลดลง เกิดอาการปัสสาวะแสบ กลั้นปัสสาวะไม่ได้หรือทางเดินปัสสาวะติดเชื้อง่ายๆ บางคนปัสสาวะราดเพียงเพราะไอ จาม หัวเราะ กิมตัวลงหรือยกของ จึงเรียกภาวะนี้ว่า Stress incontinence ซึ่งเกิดขึ้น เพราะกล้ามเนื้อหูรูดของทางเดินปัสสาวะสูญเสียความแข็งแรงเนื่องจากระดับเอสโตรเจนลดลง แก้ไขได้โดยฝึกขมิบกล้ามเนื้อเสมือนหนึ่งว่ากำลังจะกลั้นปัสสาวะไว้ 6-10 วินาทีแล้วผ่อนคลาย 3 วินทที จากนั้นทำซ้ำบ่อยๆ ได้ทั้งขณะนอนหลับ นั่งหรือยืนร่วมไปกับมาตรการจำกัดการดื่มน้ำ กำหนดการถ่ายปัสสาวะเป็นระยะๆ งดเครื่องดื่มที่ระคายเคืองกระเพาะปัสสาวะเช่น กาแฟ หรือน้ำส้ม
หากยังไม่ดีขึ้น ก็คงจะต้องปรึกษาคุณหมอเพื่อพิจารณามาตรการอื่นๆ รวมทั้งการผ่าตัดบางชนิด
น้ำหนักขึ้น อัตราการเผาผลาญสารอาหารในร่างกายหญิงวัยหมดประจำเดือนจะลดลง ทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นได้ง่ายโดยเฉพาะบริเวณรอบเอว (อ้วนแบบลงพุง)
วิธีช่วยคือ จัดสรรอาหารประจำวันให้สมดุลและออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ HRT อาจช่วยได้ด้วย

เมื่อไรจึงจะพิจารณา HRT ?

HRT (Hormone Replacement tuerapy) คือมาตรการช่วยให้หญิงวัยหมดประจำเดือน พ้นสภาพที่ได้รับความกระทบกระเทือนจากการที่ร่างกายขาดฮอร์โมนเพศทั้ง
- เอสโตรเจน
- โปรเจสเตอโรน
ปัญหามีอยู่ว่า มีคนบอกว่า การรับประทานฮอร์โมนเสริมอาจเพิ่มความเสี่ยง ต่อการเป็นมะเร็งเต้านมหรือรำคาญกับการมีเลือดประจำเดือนออกมาอีกเป็นระยะๆ
ขึ้นชื่อว่ายาแล้วจึงมีทั้งคุณและโทษ ก่อนการตัดสินใจจึงต้องพิจารณาข้อดี ข้อเสีย แล้วชั่งน้ำหนักดูว่า ข้อดีมีมากกว่าข้อเสียหรือเปล่า คุ้มค่าไหม
ประโยชน์ กระดูกแข็งแรงขึ้น หัวใจและหลอดเลือดแข็งแรงขึ้น สมองดูเหมือนจะดีขึ้นด้วย อาการร้อนวูบวาบลดลง ทำให้อาการทางช่องคลอด และทางเดินปัสสาวะตลอดจนผิวหนังดีขึ้น นอนหลับดีขึ้น อารมณ์ดีขึ้น
ความเสี่ยง รับประเทนเอสโตรเจนไปนานๆ อาจเพิ่มความเสี่ยง ต่อภาวะเกิดมะเร็งของเยื่อบุมดลุก มะเร็งเต้านม บวม เต้านมตึงคัด ปวดศีรษะ โรคถุงน้ำดีและเลือดคั่งแข็งตัว

ความเสี่ยงของ HRT ต่อการเกิดมะเร็ง

HRT ดังมากในทศวรรษที่ผ่านมา แต่ก็มีบางกระแสที่พยายามจะดับความดังโดยเอาคำว่า "มะเร็ง" มาขู่
พูดง่ายๆ ว่าใช้ HRT แล้วระวังมะเร็งถามหา
จริงๆ แล้วถึงจะถามหาก็มีโอกาสน้อยมาก
อย่างเช่นถ้าให้ฮอร์โมนเอสโตรเจนเดี่ยวๆ ไปนานๆ จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งที่เยื่อบุมดลูก (ในกรณีที่ยังมีมดลูกอยู่) ได้ราว 10-20%
ด้วยเหตุนี้ หมอจึงเพิ่มฮอร์โมนโปรเจสติน ควบกับเอสโตรเจนเพื่อไปคุ้มครองมดลูก และพบว่าความเสี่ยงต่อมะเร็งมดลูกลดต่ำกว่าคนไม่กินฮอร์โมนเสียอีก
ปัญหาที่ว่าเอสโตรเจนเพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งเต้านมจริงๆ แล้วก็ยังไม่แน่นอน เพราะโดยธรรมชาติแล้วเอสโตรเจนโดยตัวเองไม่ก่อให้เกิดมะเร็ง แต่ถ้ามีเซลล์มะเร็งอยู่แล้ว เอสโตรเจนจะทำให้มะเร็งเจริญเติบโตเร็วขึ้น
ข้อมูลล่าสุด คือ ถ้าใช้เอสโตรเจนไม่เกิน 10 ปี ความเสี่ยงที่ว่านั้นมีน้อยมาก

โดยสรุปแล้ว วัยทองเป็นช่วงอายุที่อาจมีปัญหากระทบกระเทือนสุขภาพ แต่วิทยาการใหม่ๆ ที่วงการแพทย์เรียนรู้อย่างรวดเร็วจะสามารถลดผลกระทบ และทำให้หญิงวัยหมดประจำเดือนมีสุขภาพที่ดีสมดังการเป็นคนใน "วัยทอง" อย่างแท้



[ที่มา..หนังสือ นิตยสารใกล้หมอปีที่ 24 ฉบับที่ 5 พฤษภาคม 2543]

[ BACK TO LIST]
main พบแพทย์ คอมพิวเตอร์ เรื่องบ้าน เรื่องรถ เรื่องกฏหมาย เรื่องของผู้บริโภค เรื่องเบาๆ คลายเครียด

มีปัญหาสุขภาพ ที่นี่มีคำตอบ ห้องสมุดE-LIB[ hey.to/yimyam ][ i.am/thaidoc ]

Best view with [IE3.02][NETSCAPE 4.05][OPERA 3.21] resolution 800x600