ศัลยแพทย์ระบบทางเดินปัสสาวะออกโรงเตือน ชายที่เป็นโรคอีดีอย่าคิดรักษาเอง
เพราะอาจเกิดอันตรายต่อสุขภาพแนะปัญหาแก้ไขได้ไม่ยาก พร้อมชี้ทางเลือกมากมาย
เน้นการรักษาเพราะต้องการให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น ขณะที่ผลการสำรวจพบว่า
ชายไทยพบหมอเพียงร้อยละ 2 เท่านั้น
รศ.นพ.อภิชาติ กงกะนันท์ ประธานกลุ่ม EDACTT
และผู้เชี่ยวชาญโรคระบบทางเดินปัสสาวะโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์
กล่าวเป็นห่วงผู้ป่วยโรคหย่อนสมรรถภาพทางเพศที่ไม่ได้เข้ารับการรักษาจากแพทย์ว่า
"ทุกวันนี้มีผู้ป่วยที่เข้าใจผิดเกี่ยวกับการรักษาโรคหย่อนสมรรถภาพทางเพศอยู่มาก
โดยเฉพาะชายไทยในต่างจังหวัด ที่มักมีความเชื่อผิดๆ โดยคิดว่า
การทำให้อวัยวะเพศมีขนาดใหญ่ขึ้นจะช่วยรักษาโรคหย่อนสมรรถ
ภาพทางเพศได้ จึงนิยมฉีดสารซิลิโคน ซึ่งนอกจากจะไม่ได้ช่วยรักษาโรคแล้ว
ยังจะทำให้เกิดการอักเสบและต้องมาหาหมอเพื่อทำการรักษา
ยิ่งเป็นการซ้ำเติมอาการป่วยให้หนักขึ้นไปอีก"
ดังนั้นเพื่อให้ผู้ป่วยได้ทราบถึงขั้นตอนและวิธีการตรวจรักษาที่ยุ่งยาก
และไม่ทำให้ผู้ป่วยเกิดความอาย รศ.นพ.อภิชาติ ได้กล่าวว่า
"ผู้ป่วยหรือผู้ที่คิดว่าตนเองมีปัญหาควรจะมาพบแพทย์
และเล่าอาการให้แพทย์ฟังโดยไม่ต้องอาย หลังจากนั้นแพทย์จะสอบถามประวัติ
ตรวจร่างกายวัดความดัน หรืออาจตรวจเลือดในรายที่สงสัย
เมื่อแน่ใจแล้วแพทย์ก็จะเสนอวิธีรักษา ซึ่งมีทั้งยาเม็ดรับประทาน ยาฉีด
ยาสอด หรือการผ่าตัด โดยแพทย์จะพูดถึงข้อดี ข้อเสียของแต่ละวิธี
และให้ผู้ป่วยเป็นผู้ตัดสินใจว่าจะเลือกแบบไหนที่เหมาะกับตนเองมากที่สุด"
วิธีการรักษาในปัจจุบันประกอบด้วย การใช้ยาเม็ดรับประทาน
การใช้เครื่องปั้มสุญญากาศ การใช้ยาฉีดเพื่อขยายหลอดเลือดเข้าไปในอวัยวะเพศ
การใช้ยาสอดเพื่อขยายหลอดเลือดเข้าไปทางท่อปัสสาวะ การฝังแกนอวัยวะเพศเทียม
การผ่าตัดรักษาหลอดเลือด วิธีการรักษาแต่ละวิธีมีทั้งข้อดี ข้อเสีย
และวิธีการบางอย่างอาจเหมาะกับผู้ป่วยเพาะรายไม่ใช่ทุกราย
จากการศึกษาทางด้านระบาดวิทยาของโรคหย่อนสมรรถภาพทางเพศ
ซึ่งจัดทำขึ้นโดยกลุ่มแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหย่อนสมรรถภาพทางเพศ
(EDACTT) นิด้า และบริษัท ไฟเซอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัดพบว่า
ชายไทยอายุระหว่าง 40-70 ปี ป่วยเป็นโรคหย่อนสมรรถภาพทางเพศมากถึง 3 ล้านคน
ในขณะที่ผู้ป่วยเหล่านี้เคยเข้ารับการรักษาหรือขอคำปรึกษาจากแพทย์เพียงร้อยละ 2 เท่านั้น
และจากกลุ่มตัวอย่างทั้งหมดพบว่า เกือบร้อยละ 41 คิดว่าจะไม่ปรึกษา
หรือพูดคุยกับใครเลย
รศ.นพ.อภิชาติ ได้กล่าวถึงผลการศึกษาในครั้งนี้ว่า
"ที่ผ่านมาแพทย์ที่จะให้คำปรึกษากับผู้ป่วยโรคหย่อนสมรรถภาพทางเพศ
มีค่อนข้างจำกัด อีกทั้งแพทย์หนึ่งในสามเป็นผู้หญิง ทำให้ผู้ป่วยไม่กล้าที่จะถามหมอ
และหันไปใช้ยาที่ไม่ถูกต้อง คณะกรรมการยาเล็งเห็นถึงความสำคัญข้อนี้
จึงอนุญาตให้แพทย์ทุกท่านสามารถให้คำปรึกษาได้ เพื่อมุ่งหวังให้ผู้ป่วยเข้าพบแพทย์
ที่ตนรู้จักคุ้นเคย และสะดวกใจที่จะพูดคุยด้วย ทั้งนี้เพื่อมุ่งหวังให้ผู้ป่วย
ได้เข้าสู่ระบบการรักษาอย่างถูกต้องและปลอดภัย
ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศในทางอ้อม"
เนื่องจากโรคหย่อนสมรรถภาพทางเพศจะมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิด
กับโรคเบาหวาน โรคหัวใจและความดันโลหิตสูง และจากการวิจัยพบว่า
ผู้ป่วยโรคหัวใจ และความดันโลหิตสูงมีโอกาสเป็นโรคหย่อนสมรรถภาพทางเพศ
ร้อยละ 83 ขณะที่ผู้ป่วยโรคเบาหวาน และความดันโลหิตสูงมีโอกาสถึงร้อยละ 86
และสำหรับผู้ที่เป็นทั้งสามโรคมีโอกาสเป็นโรคหย่อนสมรรถภาพทางเพศร้อยเปอร์เซ็นต์
"ผู้ป่วยที่เป็นโรคหย่อนสมรรถภาพทางเพศจึงควรที่จะหาโอกาสมาตรวจร่างกาย
เพราะไม่เพียงแต่จะได้รักษาโรคหย่อนสมรรถภาพทางเพศเท่านั้น
ยังจะได้รักษาโรคที่แฝงตัวอยู่เหล่านี้ ขณะเดียวกันผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน
ความดันโลหิตสูง และหัวใจหากได้เข้ารับการรักษาอย่างถูกต้อง
ก็จะทำให้อาการหย่อนสมรรถภาพทางเพศดีขึ้นไปด้วยเช่นกัน"
รศ.นพ.อภิชาติ กล่าว
โรคหย่อนสมรรถภาพทางเพศแม้จะเป็นโรคที่ไม่รักษาก็ไม่ถึงขั้นเสียชีวิต
แต่ก็ทำให้ผู้ที่เป็นโรคและคู่ครองไม่มีความสุข และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ผู้ที่แต่งงานเมื่ออายุมาก หรือผู้ที่ต้องการจะมีบุตร ดังนั้นในวงการแพทย์จึงถือว่า
อาการหย่อนสมรรถภาพทางเพศเป็นโรคชนิดหนึ่ง
การรักษาจึงเป็นการทำให้คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยและครอบครัวดีขึ้น
"เคยมีผู้ป่วยมารับการรักษาเมื่อได้พูดคุยจึงพบว่าผู้ป่วยได้แยกทางกับภรรยาแล้ว
ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเห็นใจอย่างยิ่ง เพราะหากผู้ป่วยได้มาพบแพทย์ก่อน
ได้รับการแนะนำ รักษาอย่างถูกวิธีก็คงจะไม่เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น
ขณะเดียวกันภรรยาหากทราบว่าคู่ครองมีปัญหาดังกล่าว
ก็ควรจะพูดคุยกันและรีบปรึกษาแพทย์ทันที" รศ.นพ.อภิชาติ กล่าว
สำหรับการป้องกันโรคหย่อนสมรรถภาพทางเพศนั้น รศ.นพ.อภิชาติ
ได้ให้ทัศนะว่า "เนื่องจากโรคนี้เกี่ยวข้องระบบหลอดเลือด
และเส้นประสาทการป้องกันทั่วไป คือ การไม่ให้มีไขมันในเลือดสูง งดอาหารมัน
รับประทานเป็นเวลา ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ลดปัจจัยเสี่ยงทั้งหมด
โดยเฉพาะบุหรี่ เพราะจะมีผลต่อระบบหลอดเลือดโดยตรง
นอกจากนั้นบุหรี่ยังเป็นสาเหตุของมะเร็งปอด มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ
และโรคหัวใจ เป็นต้น"
|