มาที่นี่ที่เดียว ได้อ่านบทความทางด้านการแพทย์ ภาษาไทย จากเกือบทุกโฮมเพจที่มีใน INTERNET
http://www.oocities.org/Tokyo/Harbor/2093/
จำสั้นๆ i.am/thaidoc



แพทย์เตือนเป็นอีดี อย่ารักษาเองเพื่อความปลอดภัย


ศัลยแพทย์ระบบทางเดินปัสสาวะออกโรงเตือน ชายที่เป็นโรคอีดีอย่าคิดรักษาเอง เพราะอาจเกิดอันตรายต่อสุขภาพแนะปัญหาแก้ไขได้ไม่ยาก พร้อมชี้ทางเลือกมากมาย เน้นการรักษาเพราะต้องการให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น ขณะที่ผลการสำรวจพบว่า ชายไทยพบหมอเพียงร้อยละ 2 เท่านั้น

รศ.นพ.อภิชาติ กงกะนันท์ ประธานกลุ่ม EDACTT และผู้เชี่ยวชาญโรคระบบทางเดินปัสสาวะโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ กล่าวเป็นห่วงผู้ป่วยโรคหย่อนสมรรถภาพทางเพศที่ไม่ได้เข้ารับการรักษาจากแพทย์ว่า "ทุกวันนี้มีผู้ป่วยที่เข้าใจผิดเกี่ยวกับการรักษาโรคหย่อนสมรรถภาพทางเพศอยู่มาก โดยเฉพาะชายไทยในต่างจังหวัด ที่มักมีความเชื่อผิดๆ โดยคิดว่า การทำให้อวัยวะเพศมีขนาดใหญ่ขึ้นจะช่วยรักษาโรคหย่อนสมรรถ ภาพทางเพศได้ จึงนิยมฉีดสารซิลิโคน ซึ่งนอกจากจะไม่ได้ช่วยรักษาโรคแล้ว ยังจะทำให้เกิดการอักเสบและต้องมาหาหมอเพื่อทำการรักษา ยิ่งเป็นการซ้ำเติมอาการป่วยให้หนักขึ้นไปอีก"

ดังนั้นเพื่อให้ผู้ป่วยได้ทราบถึงขั้นตอนและวิธีการตรวจรักษาที่ยุ่งยาก และไม่ทำให้ผู้ป่วยเกิดความอาย รศ.นพ.อภิชาติ ได้กล่าวว่า "ผู้ป่วยหรือผู้ที่คิดว่าตนเองมีปัญหาควรจะมาพบแพทย์ และเล่าอาการให้แพทย์ฟังโดยไม่ต้องอาย หลังจากนั้นแพทย์จะสอบถามประวัติ ตรวจร่างกายวัดความดัน หรืออาจตรวจเลือดในรายที่สงสัย เมื่อแน่ใจแล้วแพทย์ก็จะเสนอวิธีรักษา ซึ่งมีทั้งยาเม็ดรับประทาน ยาฉีด ยาสอด หรือการผ่าตัด โดยแพทย์จะพูดถึงข้อดี ข้อเสียของแต่ละวิธี และให้ผู้ป่วยเป็นผู้ตัดสินใจว่าจะเลือกแบบไหนที่เหมาะกับตนเองมากที่สุด"

วิธีการรักษาในปัจจุบันประกอบด้วย การใช้ยาเม็ดรับประทาน การใช้เครื่องปั้มสุญญากาศ การใช้ยาฉีดเพื่อขยายหลอดเลือดเข้าไปในอวัยวะเพศ การใช้ยาสอดเพื่อขยายหลอดเลือดเข้าไปทางท่อปัสสาวะ การฝังแกนอวัยวะเพศเทียม การผ่าตัดรักษาหลอดเลือด วิธีการรักษาแต่ละวิธีมีทั้งข้อดี ข้อเสีย และวิธีการบางอย่างอาจเหมาะกับผู้ป่วยเพาะรายไม่ใช่ทุกราย

จากการศึกษาทางด้านระบาดวิทยาของโรคหย่อนสมรรถภาพทางเพศ ซึ่งจัดทำขึ้นโดยกลุ่มแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหย่อนสมรรถภาพทางเพศ (EDACTT) นิด้า และบริษัท ไฟเซอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัดพบว่า ชายไทยอายุระหว่าง 40-70 ปี ป่วยเป็นโรคหย่อนสมรรถภาพทางเพศมากถึง 3 ล้านคน ในขณะที่ผู้ป่วยเหล่านี้เคยเข้ารับการรักษาหรือขอคำปรึกษาจากแพทย์เพียงร้อยละ 2 เท่านั้น และจากกลุ่มตัวอย่างทั้งหมดพบว่า เกือบร้อยละ 41 คิดว่าจะไม่ปรึกษา หรือพูดคุยกับใครเลย

รศ.นพ.อภิชาติ ได้กล่าวถึงผลการศึกษาในครั้งนี้ว่า "ที่ผ่านมาแพทย์ที่จะให้คำปรึกษากับผู้ป่วยโรคหย่อนสมรรถภาพทางเพศ มีค่อนข้างจำกัด อีกทั้งแพทย์หนึ่งในสามเป็นผู้หญิง ทำให้ผู้ป่วยไม่กล้าที่จะถามหมอ และหันไปใช้ยาที่ไม่ถูกต้อง คณะกรรมการยาเล็งเห็นถึงความสำคัญข้อนี้ จึงอนุญาตให้แพทย์ทุกท่านสามารถให้คำปรึกษาได้ เพื่อมุ่งหวังให้ผู้ป่วยเข้าพบแพทย์ ที่ตนรู้จักคุ้นเคย และสะดวกใจที่จะพูดคุยด้วย ทั้งนี้เพื่อมุ่งหวังให้ผู้ป่วย ได้เข้าสู่ระบบการรักษาอย่างถูกต้องและปลอดภัย ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศในทางอ้อม"

เนื่องจากโรคหย่อนสมรรถภาพทางเพศจะมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิด กับโรคเบาหวาน โรคหัวใจและความดันโลหิตสูง และจากการวิจัยพบว่า ผู้ป่วยโรคหัวใจ และความดันโลหิตสูงมีโอกาสเป็นโรคหย่อนสมรรถภาพทางเพศ ร้อยละ 83 ขณะที่ผู้ป่วยโรคเบาหวาน และความดันโลหิตสูงมีโอกาสถึงร้อยละ 86 และสำหรับผู้ที่เป็นทั้งสามโรคมีโอกาสเป็นโรคหย่อนสมรรถภาพทางเพศร้อยเปอร์เซ็นต์

"ผู้ป่วยที่เป็นโรคหย่อนสมรรถภาพทางเพศจึงควรที่จะหาโอกาสมาตรวจร่างกาย เพราะไม่เพียงแต่จะได้รักษาโรคหย่อนสมรรถภาพทางเพศเท่านั้น ยังจะได้รักษาโรคที่แฝงตัวอยู่เหล่านี้ ขณะเดียวกันผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และหัวใจหากได้เข้ารับการรักษาอย่างถูกต้อง ก็จะทำให้อาการหย่อนสมรรถภาพทางเพศดีขึ้นไปด้วยเช่นกัน" รศ.นพ.อภิชาติ กล่าว

โรคหย่อนสมรรถภาพทางเพศแม้จะเป็นโรคที่ไม่รักษาก็ไม่ถึงขั้นเสียชีวิต แต่ก็ทำให้ผู้ที่เป็นโรคและคู่ครองไม่มีความสุข และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ที่แต่งงานเมื่ออายุมาก หรือผู้ที่ต้องการจะมีบุตร ดังนั้นในวงการแพทย์จึงถือว่า อาการหย่อนสมรรถภาพทางเพศเป็นโรคชนิดหนึ่ง การรักษาจึงเป็นการทำให้คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยและครอบครัวดีขึ้น

"เคยมีผู้ป่วยมารับการรักษาเมื่อได้พูดคุยจึงพบว่าผู้ป่วยได้แยกทางกับภรรยาแล้ว ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเห็นใจอย่างยิ่ง เพราะหากผู้ป่วยได้มาพบแพทย์ก่อน ได้รับการแนะนำ รักษาอย่างถูกวิธีก็คงจะไม่เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ขณะเดียวกันภรรยาหากทราบว่าคู่ครองมีปัญหาดังกล่าว ก็ควรจะพูดคุยกันและรีบปรึกษาแพทย์ทันที" รศ.นพ.อภิชาติ กล่าว

สำหรับการป้องกันโรคหย่อนสมรรถภาพทางเพศนั้น รศ.นพ.อภิชาติ ได้ให้ทัศนะว่า "เนื่องจากโรคนี้เกี่ยวข้องระบบหลอดเลือด และเส้นประสาทการป้องกันทั่วไป คือ การไม่ให้มีไขมันในเลือดสูง งดอาหารมัน รับประทานเป็นเวลา ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ลดปัจจัยเสี่ยงทั้งหมด โดยเฉพาะบุหรี่ เพราะจะมีผลต่อระบบหลอดเลือดโดยตรง นอกจากนั้นบุหรี่ยังเป็นสาเหตุของมะเร็งปอด มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ และโรคหัวใจ เป็นต้น"



[ที่มา..หนังสือ นิตยสารใกล้หมอ ปีที่ 23 ฉบับที่ 11 พฤศจิกายน 2542]

[ BACK TO LIST]
main พบแพทย์ คอมพิวเตอร์ เรื่องบ้าน เรื่องรถ เรื่องกฏหมาย เรื่องของผู้บริโภค เรื่องเบาๆ คลายเครียด

มีปัญหาสุขภาพ ที่นี่มีคำตอบ ห้องสมุดE-LIB[ hey.to/yimyam ][ i.am/thaidoc ]

Best view with [IE3.02][NETSCAPE 4.05][OPERA 3.21] resolution 800x600