หลายคนคงไม่คุ้นหูกับชื่อนี้ แต่พบว่าในคนไทยเริ่มพบผู้ป่วยที่มีอาการของโรคนี้จำนวนมากขึ้น
ดังนั้นหมอว่าเราน่าจะมาทำความรู้จักโรคนี้กันดีกว่านะคะ
โรค seborrheic dermatitis หรือผื่นอักเสบตรงผิวมันนี้มีลักษณะเป็นผื่นอักเสบเห็นเป็นผื่นแดง
บางครั้งมีขุยลอกเป็นมัน มักจะเกิดบริเวณที่มีต่อมไขมันหนาแน่น เช่น T-zone, หัวคิ้ว,
ซอกจมูก, ไรผมและบริเวณใบหู ถ้าเป็นมากอาจพบบริเวณหน้าอกและหัวเหน่าร่วมด้วย
โรคนี้พบได้ทั้งในเด็กทารก ช่วงหนุ่มสาวและในคนสูงอายุ ปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริง
แต่สันนิษฐานว่าอาจเกี่ยวข้องกับ
1. เชื้อจุลินทรีย์ตามผิวหนัง คือเชื้อ pityriasis ovale เป็นเชื้อยีสต์ที่อาศัยอยู่ในรูขุมขนกินไขมัน
และโปรตีนของผิวหนังเป็นอาหาร ซึ่งในคนที่เนโรคนี้จะเพบเชื้อ P.ovale มากขึ้นผิดปกติ
2. สิ่งรบกวนที่ทำให้เซลล์ผิวหนังแบ่งตัวเร็วทำให้เกิดเซลล์ที่ยังอ่อนแอจำนวนมาก
เซลล์ผิวหนังเหล่านี้เวลาโดนอะไรซ้ำเติม เช่น อากาศแห้ง ความหนาวเย็น ความเป็นด่างของสบู่
เครื่องสำอางที่มีแอลกอฮอล์ ก็จะเริ่มอักเสบเป็นผื่นแดงและลอกเป็นขุย
3. นอกจากนี้ยังมีปัจจัยภายในที่สำคัญ คือ กรดไขมันซึ่งเปลี่ยนมาจากไขมัน
ที่อยู่ในรูขุมขนโดยพบว่าเชื้อ P.ovale สามารถเปลี่ยนไขมันธรรมดาให้เป็นกรดไขมันได้
และพบว่าผู้ที่เป็นโรคนี้จะมีผนังรูขุมขนไม่แข็งแรง เซลล์หนังกำพร้าบริเวณนั้นๆ
จะหลุดลอกง่ายเนื่องจากขาดไขมันชนิด linoleic acid ทำให้เซลล์เหล่านี้หลุดลอกง่ายขึ้น
เมื่อมีกรดไขมันมารบกวน ปัจจัยต่างๆ เหล่านี้ทำให้เกิดการอักเสบแบบเรื้อรังเป็นๆ หายๆ
ดังนั้นการรักษาผื่นอักเสบชนิดนี้จึงต้องใช้ตัวยาหลายชนิด ได้แก่ยาที่ลดเชื้อ P.ovlae
ซึ่งอาจเป็นยากินหรือยาทาก็ได้ ในช่วงที่มีผื่นแดงขุยลอก ก็ต้องใช้ตัวยาที่ช่วยลดการอักเสบ
และลดการแบ่งตัวของเซลล์ผิวหนัง เช่น สเตียรอยด์ ซึ่งถ้าใช้กับใบหน้าก็ต้องใช้สเตียรอยด์อ่อนๆ
เพื่อป้องกันข้อแทรกซ้อน เช่น เป็นสิว ผิวบางฝ่อและติดสเตียรอยด์ นอกจากนี้มีรายงานว่า
การใช้ evening primrose oil หรือ EPO ซึ่งอุดมไปด้วย linoleic acid นั้น
นอกจากจะช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับเซลล์ผิวแล้วยังช่วยลด
หรือยับยั้งฮอร์โมนอักเสบของร่างกายที่เรียกว่า prostaglandin
ฮอร์โมนนี้จะกระตุ้นให้เกิดการอักเสบของระบบต่างๆ ทั่วร่างกาย
เมื่อทราบสาเหตุและการรักษาแล้ว
หมอว่าผู้ที่เป็นโรคนี้ก็ควรจะรู้จักวิธีปฏิบัติตัวง่ายๆ ดังนี้
1. การล้างหน้า ควรใช้สบู่อ่อนหรือบางครั้งอาจใช้น้ำเปล่าล้างหน้า ถ้าผิวอักเสบมาก
2. หลีกเลี่ยงเครื่องสำอางที่เป็นโลชั่นซึ่งมักมีส่วนผสมของแอลกอฮอล์
3. อย่าให้ผิวแห้งเลือกมอยเจอร์ไรเซอร์ที่อ่อนและบริสุทธิ์ไม่มีส่วนผสมของสารเคมี
มากเกินความจำเป็นซึ่งจะทำให้เกิดการแพ้และระคายเคืองได้
4. ใช้ครีมกันแดดทาป้องกันผิวเพื่อป้องกันหน้าแดง เส้นเลือดขยาย
และการรบกวนจากรังสีในแสงแดด
5. เครื่องสำอางควรใช้ชนิดที่เหมาะสำหรับผิวไว
6. การดูแลรักษาโรคนี้ควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์
เพื่อป้องกันและลดข้อแทรกซ้อนจากผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในการรักษา เช่น
ยาปฏิชีวนะ สารสเตียรอยด์ ยาลดการแบ่งตัวของเซลล์ผิวหนัง
ตลอดจนในกรณีที่มีปัญหาผิวพรรณอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น สิว ฝ้า รอยด่างดำ
ก็ควรให้แพทย์ตรวจสภาพผิวและเลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมให้ใช้
พญ.สุคนธรัตน์ มัลลิกะมาลย์
|