การตากแดดนานๆ นอกจากก่อให้เกิดผิวไหม้ และวัยชราเร็วแล้ว
ระบบภูมิคุ้มกันก็เสียไปด้วย บางคนมีผิวขรุขระ เปลี่ยนสีหรือที่เรียกว่าวัยตกกระหลายคน
อาจเป็นมะเร็งผิวหนัง
แสงอัตราไวโอเลต มี 3 ชนิด
แสง เอ : UVA I มีคลื่นแสง 340-400 นาโมมิเตอร์
แสง เอ 2 : UVA II มีคลื่นแสง 320-340 นาโมมิเตอร์
แสง บี : UVB มีคลื่นแสง 290-320 นาโมมิเตอร์
แสงบีก่อให้เกิดอันตรายมากกว่าแสงเอ เพราะปริมาณของแสงมีมากกว่า
10-100 เท่าบนพื้นผิวโลก แสงเอและบี ทำให้คนแพ้แสงได้ แสงบีก่อให้เกิดมะเร็งในสัตว์ทดลอง
แต่แสงเอขนาดสูงๆ ก็ก่อให้เกิดมะเร็งได้เช่นกัน
สารป้องกันแสงแดด
ครีมกันแดดมักผสมสารดูดซึมแสงอัตรา ซึ่งมักกันแสง บี เช่น สารพวกอโวเบนโซน
สามารถดูดซับแสงเอ ให้ด้วย แต่สลายตัวได้ง่ายและบางทีมีปัญหาของการระคายเคือง
สารเมนธิลแอนทรานิเลตและอ๊อกซีเบ็นโซนดูดซับแสง เอ 2 ชนิดสั้น
นอกจากนี้ยังมีสารไตเตเนียมไดอ๊อกไซด์ และสังกะสีอ๊อกไซด์ซึ่งเป็นตัวกันแสง
และสะท้อนแสงออกไป
เมื่อเร็วๆ นี้มีการพิสูจน์ว่า แสงเอ 1 ก่อให้เกิดมะเร็งได้
ดังนั้นได้มีการผลิตสารกันแดดตัวใหม่ คือ สังกะสีอ๊อกไซด์
เมื่อผสมสังกะสีอ๊อกไซด์กับซิลิโคนชนิดหนึ่ง
เมื่อทาบนผิวแล้วไม่ก่อให้เกิดปฏิกิริยาต่อผิวหนังสามารถป้องกันแสงบีและเอ
ได้ตั้งแต่ 290-380 นาโมมิเตอร์ เมื่อถูกแสงก็ไม่ถูกทำลาย ใช้ได้ดีตามปกติ
หรือตากแดดตามชายหาด
แสงบีแรงมากแถบเส้นศูนย์สูตรและในฤดูร้อน แต่แสงเอ มีคงที่ตลอดปี
สามารถผ่านทะลุกระจก ไม่ว่าเป็นที่บ้าน ที่ทำงาน ในรถ บางทีคนเราลืมไป หรือไม่สนใจ
ดังนั้นที่คนเราแก่เร็ว ผิวหย่อนยาน เกิดจากแสงเอ และบี
ถ้าเราตากแดดสัก 1 ชั่วโมงในฤดูร้อน มีการเปลี่ยนแปลงของหนังกำพร้าหนาขึ้น
มีไลโซไซน์มาย่อยใยยืดหยุ่น การสลายตัวของเซลล์คุ้มกัน ผิวหนังหนาขึ้น
และมีเซลล์อักเสบในหนังแท้ จากการศึกษาพบว่า แสงเอ 1 ที่ 340-400 นาโมมิเตอร์
เป็นตัวการสำคัญนักวิจัยอธิบายว่า กรดยูโรเคนิกในผิวหนังดูดซับแสงอัตราไวโอเลต เอ
ก่อให้เกิดอ๊อกซิเจนประจุเดียว ซึ่งเป็นอันตรายต่อใยคลอลาเจน
และใยยืดหยุ่นทำให้เร่งให้เกิดวัยชรา
สารกันแดดมีมากมายหลายชนิด ถึงแม้ติเตเนียมไดอ๊อกไซด์
ยังกันแสง เอ 1 ชนิดยาวไม่ได้ สารอ๊อกซิเบนโซนกันได้แต่แสงเอ 2 ชนิดสั้น
ดังนั้นบริษัทผู้ผลิตผสมสารหลายชนิดเพื่อที่จะกันแสง เอและบี ให้ครบ สารอโวเบนโซน
หรือพารซอล 1789 กันแสงเอ 1 ชนิดยาวได้ จำเป็นต้องผสมกับสารอื่น เพื่อกันแสงบี
แต่จาการทดลองพบว่า สารนี้สลายเมื่อใช้ไปได้ 1 ชั่วโมง ดังนั้นถ้าจะให้ดีต้องผสมสังกะสีอ๊อกไซด์ด้วย
เพราะกันแสงได้ถึง 290-380 นาโมมิเตอร์ สารอื่นกันแสงได้ไม่เท่าสารนี้ใช้มานานกว่า 300 ปี
และเขามักใช้ทาผิวเด็กๆ ความปลอดภัยจึงสูง สังกะสีอ๊อกไซด์ในรูปใหม่ของโมเลกุลที่เล็กมาก
จึงใช้ได้ดี
บางคนคิดว่า ติเตเนียมอ๊อกไซด์ และสังกะสีอ๊อกไซด์ คงมีประสิทธิภาพเครือๆ กัน
แต่ความจริงติเตเนียมกันดีสำหรับแสงบี และแสงเอ 2 ชนิดสั้น แต่กันแสงเอ 1 ชนิดยาว
ได้ไม่เท่าสังกะสีอ๊อกไซด์ สารติเตนียมมีการกระจายแสงสูงกว่าสังกะสี
ดังนั้นจึงผสมออกมายากกว่า ความเข้มข้นของสังกะสีอ๊อกไซด์ที่ใช้กันประมาณ 2-7%
ถ้ามีความเข้มข้นสูงก็กันได้ดีกว่า ลองดูที่ข้างกล่องว่าเขาเขียนบอกว่าใส่เท่าใด
บางทีเขาไม่ได้บอกไว้ ดังนั้นจึงเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ใช้แล้วรู้สึกเนียนผิว
อย่าลืมเลือกใช้ชนิด oil-free หรือไร้ไขมัน เพื่อกันเป็นสิวด้วย
ถ้าไม่จำเป็นอย่าตากแดดก็แล้วกัน ใช้หมวกหรือร่ม แว่นตากันแดดถ้าไปชายทะเล
หรือตีกอล์ฟ ถ้าจะให้ดีอีกนิดเลือกผลิตภัณฑ์ ที่ผสมกลุ่มไวตามินซี หรือกรดแอสคอรบิก
ซึ่งเป็นตัวขจัดอนุมูลอิสระหรือใช้สารกระตุ้นเซลล์คุ้มกันด้วยยิ่งดีใหญ่ไหนๆ
เสียเงินทั้งทีเลือกใช้ชนิดดีๆ แต่ไม่แพงนัก
ครีมกันแดดที่ดี ควรมีคุณสมบัติ
ไม่แสบหน้า ใช้แล้วพอใจ ไม่เป็นอันตราย ป้องกันแสงอัลตรา เอ และบี
ไม่เสื่อมสลายเมื่อโดนแสงแดดกันน้ำได้ และมีการป้องกัน SPF สูง
1. ใช้แล้วไม่มีปัญหากับผิวอ่อนละมุนของคุณ เพราะสารกันแดดรุ่นเก่าๆ มีปัญหา
2. ใช้แล้วพอใจ ทาแล้วเหมือนไม่ได้ทา ไม่ขาวมาก ไม่เหนียว ไม่มัน ไม่มีสี ไม่มีรส
เพราะบางทีติดริมฝีปาก
3. ไม่เป็นอันตราย เพราะบางคนใช้ทาทั้งตัว อาจมีสารบางชนิดซึมเข้าสู่ผิวได้
ดังนั้นสารนั้นควรจะอยู่แค่หนังชั้นขี้ไคลเท่านั้น
4. ป้องกันแสง เอ และบีได้ เพราะจากการตรวจพบว่าแม้แต่แสง เอ
ทำให้เกิดการทำลายผิวได้ ถ้ามีการทำลายดีเอ็นเอ จากแสงบี
อาจก่อให้เกิดการเป็นมะเร็งผิวหนังได้ ดังนั้นสารที่ใช้ต้องดูดซับแสง เอและแสง บี
5. ไม่เสื่อมสลาย เพราะเมื่อแสงอัตราทำปฏิกิริยากับสารกันแดด
สารอาจเสื่อมสลายหรือไม่ทำงาน เมื่อแสงอัตราเข้ามาถูกเปลี่ยนให้เป็นแสงอินฟาเรด
และความร้อน สารนั้นเป็นสารทนแสง สารกันแสงที่ดี คือ สารเม็กโซริล เอสเอ๊ก
แต่ยังไม่นิยมแพร่หลายดังนั้น การเลือกใช้สารหายตัว จึงเป็นสิ่งจำเป็น
เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการเสื่อมสลาย เมื่อขี้ไคลสลายตัวหลุดออกเป็นขี้ไคลประมาณ 1 ใน 3
ในเวลา 8 ชั่วโมง แต่อาจมีผันแปรบ้าง คือบางทีก็ไม่หลุดเร็ว บางทีก็หลุดเร็วกว่านั้น
การลอกของชั้นขี้ไคลนี้ขึ้นอยู่กับแสงแดดเหมือนกัน สารที่ติดอยู่บนชั้นขี้ไคลจะหลุดออก
ทำให้การป้องกันแสงลดลง ดังนั้นการป้องกันที่ดีที่สุดอยู่ในระยะ 2-3 ชั่วโมงแรกของการทาครีมกันแดด
6. ความสามารถในการกั้นน้ำ ครีมที่กันแดดดีมักละลายน้ำดีด้วย การเล่นน้ำ
ขี้ไคลอาจหลุดออกโดยน้ำทะเลหรือน้ำสระ ทำให้สารกันแดดละลายออกไปด้วย
7. SPF คำว่า SPF ที่ปิดไว้ที่ข้างกล่องหมายความว่าอย่างไร ตัวเลขเท่าไร จึงจะดี
SPF คือ อัตราส่วนของเวลาที่ทำให้เกิดผื่นแดงหลังทาครีมกันแดด
ต่อเวลาที่ทำให้เกิดผื่นแดง เมื่อไม่ทาครีมกันแดด เขามักเขียนที่ข้างกล่องว่า SPF 15
ตัวเลข คือเวลาที่ครีมกันแดดกันแสง บี เท่านั้น ทาแล้วกันแดดได้นานเท่าใด
ในคนไทย SPF 1 ทนแดดนานประมาณ 25 นาที SPF หมายถึง
คูณด้วย 15= (หารด้วย 60) = ทนได้ประมาณ 7.5 ชั่วโมง
ถ้าเขาเขียนว่า SPF 30 คือ ระยะเวลาที่กันได้ 15 ชั่วโมง บางคนว่าต้องใช้ 50
นั่นหมายความว่า กันได้ 25 ชั่วโมง ไม่ทราบว่าตอนกลางคืน
ใช้ครีมกันแดดทากันแสงด้วยหรือไง
ปริมาณที่ใช้ทาต้องมีปริมาณ 2 มิลลิกรัมต่อ 1 ตารางเซนติเมตร จึงจะได้ SPF ที่เขียนบอกไว้
แต่ในทางปฏิบัติ คนเรามักทาบางกว่าที่เขากำหนดไว้ ดังนั้น ควรเลือกใช้ SPF
ประมาณ 26 ขึ้นไป ใช้ได้ทั้งนั้น แต่อาจพบว่า SPF ที่เขาเขียนไว้ 30 ความจริงวัดแล้ว
เหลือแค่ 15 ก็มีในสภาพบรรยากาศที่มีลม ความร้อน ความชื้น และความสูง
ทำให้ประสิทธิภาพของครีมกันแดดลดลงแถมยังทาบางไป ทำให้ได้ SPF เหลือต่ำกว่าครึ่งหนึ่ง
บางชนิดว่ากันน้ำแต่ถ้าลงเล่นน้ำจริงๆ คงต้องทาบ่อยๆ ที่ว่ากันน้ำคงจะกันได้จริง
แต่จริงแค่ 50% และไม่มีสารใดกันได้ 100%
บางทีการทดลอง SPF เขาใช้เครื่องทำแสงแดดเทียม ไม่ใช้แสงแดดธรรมชาติ
ดังนั้นผลที่ได้อาจแตกต่างกันในการป้องกันแสงค่า SPF ไม่ได้บอกว่าสามารถกันแสงเอ ได้
ถ้ากันแสงเอ เขาเรียกว่า UVA-PF ซึ่งแต่ก่อน มีค่าแค่ 3 ก็พอเพียงแล้ว
แต่ในปัจจุบันมีสารออกมาใหม่ อ้างว่ากันได้ถึง 12 ส่วนการวัดแสง UVA
นั้นยังไม่ตกลงกันว่า จะใช้วิธีไหนวัด จึงจะถูกต้อง
ทาครีมกันแดดแล้ว จะป้องกันการขาดวิตามินดี จากแสงแดดหรือไม่
จากการศึกษาไม่พบว่าคนจะขาดวิตามินดีซึ่งแสงแดดเป็นตัวสร้าง
ครีมกันแดดสามารถป้องกันการทำลายดีเอ็นเอ
มีการทดลองใช้วัด DNA-PF แทน SPF ซึ่งก็ได้ผลคล้ายๆ กัน
ครีมกันแดดยังสามารถป้องกัน ยีน (gene) เปลี่ยนแปลงหรือที่เรียกว่าผ่าเหล่า
นอกจากนี้ยังป้องกันระบบภูมิคุ้มกัน เนื่องจากแสงแดดทำให้เซลล์คุ้มกันของหนังกำพร้า
เปลี่ยนรูปร่างและการทำงาน ก่อให้เกิดการหลั่งสารชนิดหนึ่งที่เรียก ไซโตคายน์
ซึ่งทำให้กรดยูโรเคนิกเปลี่ยนรูปก่อให้เกิดการทำลายระบบภูมิคุ้มกัน
แสงแดดยังทำให้เกิดริ้วรอยความชรา เร็วไปกว่าคนที่ไม่ได้ถูกแสงแดด
มีการศึกษาใช้สารเม็กซอรีล เอส เอ๊ก ทาร่วมกับสารป้องกันแสงเอ
พบว่าใยคอลลาเจนไม่ถูกทำลาย เมื่อเทียบกับสารกันแดดอีกชนิดหนึ่ง
ซึ่งยับพบว่าการทำลายใยคอลลาเจนได้ สาเหตุเป็นเพราะสารนั้นไม่ทนต่อแสงแดด
ทำให้สลายตัวไปบ้าง
การป้องกันโรคโดยใช้ครีมกันแดด โรคที่ใช้เช่น SLE และโรคแพ้แสง (PLE)
มีการทดลองใช้ครีมกันแดดในโรคแพ้แสง PLE แล้วใช้แสงอัตราเอฉายที่ผิวหนัง
พบว่าถ้าใช้สารกันแดดอื่นๆ สามารถทำให้โรค PLE ที่ดีขึ้นแล้ว กลับเป็นใหม่ได้อีกเกือบ 90%
ถ้าใช้สารเม๊กซอรีล เอส เอ๊ก ผสมอโวเบนโซน พบว่าโรคกำเริบน้อยมาก ดังนั้น
สารนี้จึงเป็นสารที่ดีมากตัวหนึ่งในแง่ของการไม่สลายเมื่อถูกแสงแดด
จึงสามารถป้องกันผิวได้เป็นอย่างดี
ครีมกันแดด ป้องกันมะเร็งได้หรือไม่
จากการศึกษาพบว่า ทาครีมกันแดดสามารถป้องกันมะเร็ง (actinic keratosis)
ชนิดเริ่มต้นได้ คนที่ทาจะเป็นมะเร็งน้อยกว่าคนที่ไม่ใช้ครีมกันแดด
แต่มะเร็งชนิดอื่นยังไม่ได้ศึกษา 50 ปีผ่านไปหลังจากที่ได้มีการวิจัย
เรื่องสารกันแดดเราควรรู้ว่าเราต้องป้องกันผิวอย่างไร เมื่อไปชายทะเล
หรือตีกอล์ฟ จำไว้ว่าแสงแดดทำลายผิวโดยก่อให้เกิดอนุมูลอิสระที่เป็นอันตรายต่อใยต่างๆ
ก่อให้ผิวชราเร็วแสงแดดเป็นพิษทำให้ผิวเราชราเร็ว ไม่ใช่เวลาที่ผ่านไปตามปกติ
นพ.ธาดา เปี่ยมพงศ์สานต์
|