นพ.ธาดา เปี่ยมพงศ์สานต์
แสงอัตรา ที่ตกลงบนพื้นโลก คือ เอ และบี เราทราบว่า
แสงบี เป็นอันตรายต่อผิว ทำให้ชราเร็วและเป็นมะเร็งผิวหนัง
เพราะว่าให้พลังงานมากกว่า แสง เอ 1,000 เท่า แสง เอ ไม่ถูกปิดกั้น
โดยชั้นโอโซน มันสามารถผ่านทะลุกระจก เมฆ และให้พลังงานคงที่
ตั้งแต่ดวงอาทิตย์ขึ้นจนดวงอาทิตย์ตก ผิวชั้นขี้ไคลสามารถกั้นแสง บี
ได้ 90% แต่แสง เอ มากกว่า 50% ผ่านทะลุผิวหนังเข้าสู่ผิวหนังแท้
ทำลายใยคลอลาเจน และใยยืดหยุ่นได้
แสง เอ ไม่ก่อให้เกิดผิวไหม้เหมือนแสง บี แต่แสง เอ
ค่อยสะสมการทำลายทีละเล็กทีละน้อยอย่างช้าๆ ทำให้เซลล์ในหนังกำพร้าเปลี่ยนรูปร่าง
ซึ่งเป็นการแสดงว่า ดีเอ็นเอ ถูกทำลายสามารถลดจำนวนเซลล์
ที่เกี่ยวกับภูมิต้านทาน ทำลายใยต่างๆ มีการอักสบทั่วๆ ไป ดังนั้น
ถ้าได้รับแสง เอ นานพอๆ กับได้รับแสงแดดระยะเวลาสั้นๆ
ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของผิวเหมือนกัน การได้รับแสง เอ
แม้แต่เพียงเล็กน้อยนาน 5 สัปดาห์ ก่อให้เกิดรอยย่นบนผิว
มีจุดกระดำขึ้นตามใบหน้า แต่ไม่ได้หมายความว่า แสง เอ
เป็นตัวการที่สำคัญ แสง บี เป็นตัวเริ่มก่อน เมื่อได้รับแสง เอ ร่วมด้วย
ปรากฏการณ์เหล่านี้จะเกิดขึ้นเร็ว
ทำไมคนเราถึงชรา
1.สาเหตุ เพราะเป็นธรรมชาติ คือ ร่างกายไม่สามารถซ่อม
สิ่งที่ทำให้เกิดวัยชราได้ต่อไป
2.แสงอัลตราไวโอเลต ก่อให้เกิดผิวชราเร็วขึ้น
สาเหตุเป็นเพราะว่า เช่น แสงเอ ก่อให้เกิดการสะสมของไลโซไซม์
โดยการรวมตัวกับ อีลาสติน ที่เป็นส่วนประกอบของใยยืดหยุ่น
และป้องกันใยยืดหยุ่นถูกทำลาย จากสารย่อยใยยืดหยุ่น
ก่อให้เกิดการสะสมของใยยืดหยุ่นที่ถูกทำลายที่ชั้นใต้ผิว
ความยืดหยุ่นของผิวจึงเสียไป นอกจากนี้ยังมีสารอื่นๆ
อีกหลายตัวที่เกิดขึ้นเมื่อได้รับแสง เอ
แสงเอ ก่อให้เกิดอนุมูลอิสระ ซึ่งทำลายไขมันและโปรตีน
เป็นการนำไปสู่การทำลายดีเอ็นเอ ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอาหารเลี้ยงเซลล์
เกี่ยวกับการระบบภูมิต้านทาน ในเรื่องนี้ แสงเอ ชนิดคลื่นสั้น
เป็นอันตรายมากกว่าแสง บี
แสง เอ ยังก่อให้เกิดการผันแปรของเซลล์
จากการศึกษาการใช้แสง เอ ขนาดต่ำๆ บ่อยๆ ก่อให้เกิดการทำลายดีเอ็นเอ
มีการเปลี่ยนแปลงของชั้นต่างๆ ในหนังกำพร้า ก่อให้เกิดสารทีเนสซีน
ในหนังแท้ สารทีเนสซีนนี้ เป็นโปรตีนชนิดหนึ่งที่หลั่งออกมาจากเซลล์
แสดงถึงการทำลายเนื้อเยื่อ หรือใยต่างๆ ตามปกติไม่ได้พบในผิวหนังปกติ
แต่พบในมะเร็งผิวหนัง โรคผิวหนังต่างๆ และแผลที่กำลังหาย
สารนี้จะอยู่ใต้หนังกำพร้าเล็กน้อย ถ้ามีแสดงว่าเป็นสัญญาณว่า
แสงเอ ทำลายผิวแล้ว
จากการศึกษาในสัตว์ทดลองแสง เอ ก่อให้เกิดมะเร็งแต่ถ้าใช้แสง เอ และบี
ก่อให้เกิดมะเร็งเร็วมาก ดังนั้น นักวิจัยจึงสงสัยว่าในคนน่าจะเหมือนกัน
นอกจากนี้ ยังสงสัยอีกว่า ก่อให้เกิดมะเร็งไฝดำ มะเร็งไฝดำนี้
เป็นมะเร็งที่ร้ายแรงที่สุดของผิวหนัง ลามเร็วมาก แม้แต่ขึ้นเพียงเม็ดเล็กๆ เท่าหัวไม้ขีด
แสดงว่าเซลล์มะเร็งได้ลามไปยังส่วนอื่นๆ ของอวัยวะแล้ว
ชาวออสเตรเลียเป็นกันมากในปัจจุบัน เพราะว่าพวกเขาชอบอาบแดด
บางคนอาจสงสัยว่าทำไมฝรั่งชอบอาบแดดไม่ร้อนหรือ คำตอบคือว่า
ในบรรยากาศที่เย็นๆ อุณหภูมิ 15-20 เซลเซียส ตากแดดอย่างไรก็ไม่ร้อน
จึงตากได้นาน เมื่อตากนานๆ ไป ฝรั่งผิวขาวเป็นมะเร็งผิวหนังกันมาก
จึงตากได้นาน เมื่อตากนานๆ ไป ฝรั่งผิวขาวเป็นมะเร็งผิวหนังกันมาก
และมะเร็งไฝดำเป็นมะเร็งร้ายแรงมาก พูดง่ายๆ ว่าถ้าใครเป็นแล้ว
มักไม่รอดใน 6 เดือน จะตายช้าหรือเร็วกว่านั้นอัตราตาย ถึง 1% ของมะเร็งทั้งหมด
ทีแรกยังหาสัตว์ทดลองที่เป็นมะเร็งไฝดำไม่ได้ จนกระทั่งเมื่อเร็วๆ นี้
พบปลาชนิดหนึ่งเป็นมะเร็งไฝดำเหมือนกันและพบว่าแสง เอ สำคัญพอๆ กับแสง บี
ในการที่ทำให้เกิดมะเร็งไฝดำ การใช้ครีมกันแดดจึงเป็นสิ่งจำเป็น
ในการป้องกันการเกิดมะเร็งกลไกการเกิดมะเร็งเกิดจากแสง เอ คลื่นสั้น
มีผลต่อ ดีเอ็นเอ โดยเริ่มให้เกิดอนุมูลอิสระ และการผันแปรของเซลล์
มีการเปลี่ยนแปลงทางชีวเคมีการที่เราเป็นมะเร็ง อาจเป็นเพราะ เอ
ทำให้จำนวนเซลล์ที่มีหน้าที่กำจัดเซลล์มะเร็งลดลง
บางทีเราใช้ครีมกันแดด ซึ่งมักผสมสารที่กันแต่แสงบี โดยมี SPF บอกไว้
แต่ไม่ได้กันแสง เอ เมื่อทาผิวแล้วทำให้คนเราทนแดดได้นานกว่า
กลับก่อให้เกิดการทำลายผิวทีละเล็กทีละน้อยจากแสง เอ
ครีมกันแดดส่วนใหญ่ในตลาดไม่มีชนิดใดเขียนไว้ชัดเจนว่ากันแสง เอ ได้เท่าใด
ถ้าเขาจะเขียนไว้ เขาจะเขียนว่า UVA-PF 3 (-12)
เม็ดสีช่วยผิวของคนเราอะไรได้บ้าง เม็ดสีที่ผิว มี 2 ชนิด เม็ดสีดำ
ซึ่งมักพบในคนเอเชีย และเม็ดสีแดง ซึ่งพบในคนผิวขาว
โดยเฉพาะหญิงสาวที่มีผมสีแดง เรามักมี 2 ชนิดแล้วแต่ชนิดไหนจะมากกว่ากัน
จำนวนเม็ดสีดำ จะมีจำนวนตามสีผิว เช่น ผิวขาวมีน้อย ผิวเอเชียมีมาก
นิโกรมีมากที่สุด แต่เม็ดสีแดงไม่ได้ขึ้นอยู่กับสีผิว ชาวอเมริกาบางคนเป็นคนเผือก
ไม่มีเม็ดสีดำ แถมยังไม่พบว่าเป็นมะเร็งไฝดำ เพราะเซลล์สร้างสี ขาดเม็ดสีดำ
เม็ดสีดำซึ่งป้องกันการเกิดมะเร็งผิวหนังได้ คนนิโกร หรือเอเชียไม่ชอบตากแดด
ดังนั้น จึงไม่ค่อยเป็นมะเร็งผิวหนัง พบได้ประปรายเท่านั้น
แสง เอ สามารก่อให้เกิดการสลายไขมันเป็นเหตุให้เกิดการทำลายหนังเซลล์
ผนังเซลล์ที่เสื่อมสลายสามารถแก้ไขได้โดยวิตามินอี และวิตามินยังป้องกัน
การกันการหยุดยั้งเกี่ยวกับระบบภูมิป้องกัน สารเซลาเนี่ยม
ไม่สามารถป้องกันอันตรายของเซลล์จากแสง เอ แต่ถ้าร่างกายขาดสารเซลาเนี่ยม
ขบวนการการแพ้แสง จะทวีความรุนแรงมากขึ้น
แสงเอ ก็มีประโยชน์เหมือนกัน เช่น รักษาโรคภูมิแพ้ของผิวหนัง
การใช้ร่วมกับยาบางชนิดเช่น โซลาเรน ใช้รักษาโรคสะเก็ดเงิน โรคภูมิแพ้บางชนิด
โรคด่างขาว แต่มีหลายโรค ที่เกิดจากแสง เอ เช่น โรคผื่นแพ้แสง, ฝ้า,
ลมพิษจากแสงแดด ดังนั้น จึงต้องทาครีมกันแดดช่วยในการป้องกัน
และรักษาโรคแพ้แสงต่างๆ
ดังนั้น เราอาจตอบคำถามว่า แสงอัลตรา เอ อันตรายหรือไม่
คำตอบคงใช่ ดังนั้นเราควรป้องกันโดยใช้ครีมกันแดด ผู้ผลิตมักจะสนใจ
ใช้แต่สารกันแสง บี โดยใช้ SPF เป็นหลัก บางชนิดผสมสารกันแสงอัตราเอ
แต่ทว่าคุณสมบัติของสารนั้นไม่คงตัวทาไปไม่ถึงชั่วโมง ก็สลายตัว
ควรเลือกใช้ชนิดที่กันแสง เอ และไม่สลายตัว แต่คงเป็นการยากที่ผู้ใช้จะทราบว่า
ใช้ครีมกันแดดชนิดไหนจึงจะดี ควรต้องปรึกษาแพทย์ผิวหนังคนที่เป็น
ฝ้าควรเลือกใช้ครีมกันแดดที่กันแสง เอ ด้วย จึงจะรักษาฝ้า ได้ผล...
|