หมอนักข่าว 
	 
   
 คนทั่วไปมักจะติดอยู่ลึกๆ ว่า "คน (ผู้ชาย) ติดเชื้อเอชไอวีมาจากผู้หญิง 
และผู้หญิงติดเชื้อมาจากผู้ชายที่ติดเชื้อมาจากผู้หญิง" 
หรือเชื่อว่าผู้ติดเชื้อเอชไอวีทำงานหนักไม่ได้ 
ชื่อหรือไม่ว่าความเชื่อทั้งสองนี้ผิด เพราะอะไร? ลองอ่านต่อไปดู 
 ประการแรก ความเชื่อที่ว่า 
 ผู้ชายติดเชื้อมาจากผู้หญิง : 
ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ต่างก็เป็นผู้แพร่เชื้อได้ และเป็นผู้ติดเชื้อได้ 
และการร่วมเพศกับเพศเดียวกันก็ติดเชื้อเอชไอวีได้เช่นกัน 
ข้อเท็จจริงอีกประการหนึ่งในทางร่างกายก็คือ ผู้หญิงมีโอกาสติดเชื้อโรค
ทางเพศสัมพันธ์จากผู้ชายได้มากกว่าชายติดจากหญิงถึง 9 เท่า 
ข้อเท็จจริงที่สำคัญอีกข้อหนึ่งคือ การติดเชื้อเอชไอวีทางการร่วมเพศ
เกิดจากการร่วมเพศโดยไม่ใช่ถุงยางอนามัย (หรือโดยวิธีที่ปลอดภัยอื่นๆ เช่น 
ไม่สอดใส่อวัยวะเพศ เป็นต้น)  ที่สำคัญก็คือ การพยายามหาสาเหตุของการติดเชื้อฯ 
โดยมากเกิดจากความต้องการล้างอายและป้ายความผิดแก่คนอื่น 
 ประการต่อมาคือความเชื่อที่ว่า  
 ผู้ติดเชื้อเอชไอวี ทำงานหนักแบบคนปกติไม่ได้ : 
ผู้ติดเชื้อเอชไอวี คือ คนปกติไม่ใช่คนป่วย เป็นแต่เพียงผู้ที่มีเชื้อโรคชนิดหนึ่ง
อยู่ในร่างกายเช่นเดียวกับคนที่มีเชื้อโรคอื่นๆ อยู่ในร่างกาย 
ผู้ป่วยหรือคนป่วย ไม่ว่าจะป่วยด้วยโรคอะไรไม่ว่าจะมีเชื้อเอชไอวีหรือไม่
ก็คือ คนที่ทำงานหนักตามปกติไม่ได้ แต่เมื่อหายป่วยแล้วก็ทำงานต่อไป
ตามปกติได้เหมือนเดิม 
 นี่คือ 2 ตัวอย่าง ในบรรดาตัวอย่างที่มากมาย ที่ผู้ติดเชื้อเอชไอวีกว่า 40 คน 
ช่วยกันเรียบเรียงขึ้นพื่อรวบรวมว่า มีทัศนคติต่อเรื่องเอดส์ที่ผิดๆ 
อะไรบ้างในสังคมที่อาจเป็นสาเหตุให้คนเข้าใจ ผู้ติดเชื้อฯ ผิดไปด้วย
	
 เมื่อต้นเดือนกรกฎาคม ที่ผ่านมามีการประชุมกันของผู้ติดเชื้อเอชไอวี 
ที่อยู่มายาวนานและเป็นผู้ริเริ่มก่อตั้งขบวนการเคลื่อนไหวของผู้ติดเชื้อเอชไอวี 
มาเมื่อหลายปีที่ผ่านมา จัดขึ้นโดยเครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวี 
ในประเทศไทย ในหัวข้อการประชุม หัวข้อหนึ่งคือเรื่อง ทัศนคติของสังคมกับความเป็นจริง 
ซึ่งถือเป็นการลับสมองและช่วยกันรวบรวมเอามาจากประสบการณ์
และความจดจำของแต่ละคน ว่าทัศนะเช่นใดบ้างที่ผู้ติดเชื้อฯ 
เห็นว่าไม่จริงและสร้างความเข้าใจผิด 
	
ทัศนะหลายประการ ผู้ติดเชื้อฯ บางคนก็เคยเชื่อมาก่อนที่จะรู้ว่าตัวเองติดเชื้อฯ 
แต่พอติดเชื้อฯ และอยู่มาได้ยาวนาน จึงรู้ว่าตนเองเชื่อผิดๆ มานาน 
 อีกตัวอย่างหนึ่ง คือ ทัศนะที่ว่า "ผู้หญิงติดเชื้อฯ ไม่ควรมีลูก"  
ปัจจุบันนี้ เรื่องการป้องกันการติดเชื้อจากแม่สู่ลูก 
เป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะเป็นที่สนใจกว้างขวางและเข้ามาแทนที่ความเชื่อดังกล่าว 
และทำให้ตระหนักในความจริงว่า ผู้หญิงที่ติดเชื้อก็มีลูกได้ 
แม้ว่าจะยังมีข้อกังขาว่า เด็กที่เกิดมาจะเป็นภาระของใคร ถ้าแม่เสียชีวิตลง 
แต่ในเวลาเดียวกัน ก็พบว่า ปัจจุบันนี้ผู้ติดเชื้อเอชไอวี มีชีวิตที่มีสุขภาพดี
ได้ยาวนานหลายคนอยู่ได้อย่างดีมากกว่าสิบปีแล้ว 
ทั้งนี้เพราะ ความเข้าใจในการดูแลรักษาตนเอง 
และระบบการแพทย์การสาธารณสุข ก็ดีขึ้นกว่าก่อน 
	
เรารู้แล้วว่า แม้จะเป็นการคลอดตามธรรมชาติ 
โอกาสที่ทารกจะติดเชื้อจากแม่ก็มีเพียง 2 ใน 3 เท่านั้น 
แต่การใช้ยาเอแซดทีก่อนคลอด และระหว่างคลอด
ก็ป้องกันทารกติดเชื้อจากแม่ได้เกือบ 100% ในปัจจุบัน
	
 วิชาการได้รับการค้นคว้าลึกซึ้งขึ้น ทำให้ความเข้าใจเรื่องเอชไอวีเปลี่ยนไป 
จากโรคที่ทำให้ตาย มาเป็นโรคเรื้อรังชนิดหนึ่ง และโรคต่างๆ 
ที่เกิดกับผู้ติดเชื้อเอชไอวี ก็เป็นโรคที่มียารักษาได้ทั้งสิ้น 
	
การที่ผู้ติดเชื้อฯ มีลูกในอีกทางหนึ่ง เป็นการสร้างความมั่นใจ
ในการมีชีวิตของผู้ติดเชื้อฯ และทำให้ชีวิตครอบครัวสมบูรณ์ขึ้น 
ปัจจุบันนี้ไม่มีเหตุผลใดๆ ที่จะห้ามไม่ให้ผู้ติดเชื้อเอชไอวีมีลูก 
	
 ทัศนะที่เกิดจากความเข้าใจผิดหลายประการพรั่งพรูออกมา
จากความทรงจำของ ผู้เข้าร่วมประชุมแต่ละคนทุกความเชื่อ 
ทุกข้อแห่งความเข้าใจผิดมีคำอธิบาย และมีข้อเท็จจริงโต้แย้ง 
จากนั้นคัดเลือกเอาทัศนะชนิดหัวกะทิ มาได้ 15 ประการดังนี้ 
 
ผู้ติดเชื้อเป็นคนสำส่อน เป็นคนไม่ดี (เลว) : 
คนดีๆ ก็ติดเชื้อเอชไอวีได้ การติดเชื้อเอชไอวีไม่ใข่เกิดจาก
จำนวนครั้งของการร่วมเพศ คนจำนวนมากติดเชื้อจากการร่วมเพศครั้งแรก 
การติดเชื้อเอชไอวีทางการร่วมเพศนั้นเกิดจากการไม่ป้องกัน 
ไม่เกี่ยวกับ ความดี ความเลว 
 
จะรักษาทำไม รักษาก็ตายไม่รักษาก็ตาย : 
โรคที่เกิดกับผู้ติดเชื้อเอชไอวี ที่เรียกว่า โรคฉวยโอกาส 
หรือโรคแทรกซ้อนนั้น เป็นโรคที่เกิดขึ้นได้กับคนที่ไม่ติดเชื้อเอชไอวีเช่นกัน 
และล้วนแต่เป็นโรคที่รักษาได้ 
 
เป็นเอดส์ แล้วตายลูกเดียว : 
เป็นเอดส์ก็ไม่ตาย มีผู้ติดเชื้อเอชไอวีจำนวนมากที่มีชีวิตอย่างสุขภาพดี
มานานกว่าสิบปี ผู้ติดเชื้อฯ ที่มีภูมิต้านทานโรคลดลงมาก อาจจะป่วยออดๆ แอดๆ 
แต่ถ้าดูแลรักษาถูกต้อง จำนวนภูมิต้านทานก็อาจเพิ่มขึ้นอีกได้ 
ผู้ติดเชื้อฯ หลายคนมีชีวิตอยู่กับเอดส์ เช่นเดียวกันกับคนที่ป่วยด้วยสาเหตุอื่น 
หรือโรคเรื้อรังอื่นๆ 
 
คุณเป็นเอดส์ ระยะ 3 แล้ว (หรือ 1,2)  : 
เอดส์ไม่มีระยะ ผู้ติดเชื้อเอชไอวีอาจจะป่วยบ้าง ผู้ไม่ติดเชื้อเอชไอวี 
ก็ป่วยบ้างเหมือนกัน อาการป่วยของผู้ติดเชื้อเอชไอวีจะสั้นหรือยาว 
ขึ้นอยู่กับการรักษา ช้า เร็ว ทันท่วงที ถูกต้อง เช่นเดียวกันกับคนป่วยที่ไม่ติดเชื้อเอชไอวี 
การเชื่อในเรื่องเอดส์มีระยะ เป็นความเชื่อเก่า ที่มีพื้นฐานจากความเชื่อว่า
เป็นเอดส์แล้วตาย 
 
ผู้ติดเชื้อฯ เป็นภาระของประเทศชาติ : 
ผู้ติดเชื้อจำนวนมากเป็นแรงงานที่สำคัญของชาติ ทั้งนี้เพราะตามสถิติที่ว่า
ผู้ติดเชื้อฯ ในเมืองไทยมีประมาณ 8 แสน ถึง 1 ล้านคนนั้น 
ส่วนใหญ่อยู่ในวัยทำงานและยังทำงานอยู่ 
 
ผู้ติดเชื้อฯ เป็นตัวปัญหาของสังคม : 
ผู้ติดเชื้อฯ เป็นผู้ร่วมแก้ปัญหาสังคมที่สำคัญ 
โดยเฉพาะในการแก้ปัญหาเรื่องเอดส์ 
 
ผู้ติดเชื้อฯ เป็นบุคคลที่น่ารังเกียจของชุมชน/สังคม : 
คนที่รังเกียจผู้ติดเชื้อเป็นปัญหาของสังคม 
 
จะต้องตรวจเลือดก่อน (เข้าเรียน, ทำงาน, แต่งงาน ฯลฯ) : 
การตรวจเลือดไม่ใช่การแก้ปัญหาเอดส์ ปัญหาของเอดส์อยู่ที่การรังเกียจ
และพยายามแยกผู้ติดเชื้อฯ ออกจากสังคม ไม่ใช่เลือด 
 เด็กเอดส์/ลูกเอดส์ : 
ผู้ติดเชื้อฯ ไม่ใช่ต้นไม้ และลูกผู้ติดเชื้อฯ ไม่ใช่ผลไม้ 
 เอดส์อาละวาดอีกแล้ว : 
สื่อมวลชนอาละวาดอีกแล้ว (ทัศนะนี้เอามาจากการพาดหัวข่าวในหนังสือพิมพ์) 
 เอดส์เป็นโรคระบาด : 
เอดส์เป็นไวรัสชนิดหนึ่งติดเชื้อแล้วจะทำงานได้หรือ ? 
คนติดเชื้อฯ ก็ทำงานได้ ไม่ได้เอาเชื้อฯ ทำงานนี่ 
 
จะเอาเค้าไปทิ้งไว้ที่ไหนดี : 
ก็อยู่ด้วยกันเหมือนเดิมต่อไป 
 
เป็นเอดส์ : 
เอดส์ เป็นเรื่องธรรมชาติ 
เอดส์ เป็นการป่วยไข้ชนิดหนึ่ง 
 
ติดเชื้อฯ แล้วรู้สึกอย่างไรนะ : 
น่าจะถามว่า ติดเชื้อฯ แล้วรู้สึกดีขึ้นแค่ไหน 
หลายคนเดี๋ยวนี้เข้าใจตัวเองมากขึ้น มีความรู้เรื่องสุขภาพดีขึ้น 
และรู้จักช่วยเหลือผู้อื่น คิดถึงตัวเองน้อยลง ทำตัวให้เป็นประโยชน์ต่อสังคมมากขึ้น 
การกระทำเหล่านี้เป็นสิ่งที่ดีไม่ใช่หรือ ? 
					
  |