โรคเอดส์มิใช่เป็นปัญหาทางการแพทย์แต่เพียงอย่างเดียว
แต่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับรากฐานของสังคมอย่างมาก
สืบเนื่องจากการล่มสลายของระบบครัวเรือน
ปัญหาเด็กกำพร้าด้วยเหตุที่เขาสูญเสียผู้บังเกิดเกล้าไปเพราะโรคนี้
ถึงแม้ว่าบรรดารุ่นเยาว์อาจไม่ได้รับเชื้อไวรัสติดต่อจากมารดาก็ตาม
ในสหรัฐอเมริกา จำนวนประชากรที่มีเชื้อไวรัสเอชไอวี (HIV)
ซึ่งเป็นตัวการนำไปสู่โรคเอดส์นับได้ประมาณหนึ่งล้านคน
หรือเป็นอัตราส่วนหนึ่งใน 250 ของประชากรทั้งหมด
โรคนี้เป็นเหตุนำอันดับสูงสุดในการคร่าชีวิตสตรีที่มีอายุระหว่าง 25-44 ปี
ช่วงปี ค.ศ.1994 จำนวนสตรีในสหรัฐฯ ที่มีเชื้อไวรัสนี้ในร่างกายประมาณ 100,000-150,000 คน
และแต่ละปีกลุ่มสตรีเหล่านี้ตั้งครรภ์มากกว่า 5,000 คน หรือเป็นสัดส่วนประมาณ 1.6 ต่อสตรีตั้งครรภ์ทั่วไป
ส่วนสถิติของประเทศไทยเป็นอันตรา 1:7 คือสตรีที่ร่างกายมีเชื้อไวรัสเอดส์ตั้งครรภ์
ประมาณ 17,000 คนจากสตรีไทยทั้งหมดที่ตั้งครรภ์หนึ่งล้านคนต่อปี
ลูกที่คลอดมาและได้รับเชื้อจากมารดาโดยตรง (Vertical Transmission)
มีประมาณหนึ่งในสามคือราว 5,600 คน ส่วนที่เหลือเป็นทารกที่ไม่ได้ติดเชื้อไวรัสจากมารดา
แต่ต้องกำพร้ามารดา ประมาณ 11,400 คน จำนวนนี้รวมกับเด็กที่เกิดก่อนบิดามารดาได้รับเชื้อเอดส์
และตายไปซึ่งมีอายุราว 44,000 คน ดังนั้นเป็นที่คาดหมายว่าในปี ค.ศ.2000
ประเทศไทยจะมีเด็กกำพร้าเนื่องจากโรคนี้ถึง 86,000 คน
ทารกที่ติดเชื้อจากมารดามักเกิดอาการของโรคเอดส์รุนแรง
และรวดเร็วกว่าผู้ใหญ่ที่ได้รับเชื้อเมื่ออายุมากแล้วคือ ระยะเวลาโดยเฉลี่ย
นับตั้งแต่เชื้อไวรัสเข้าสู่ร่างกายจนถึงเวลาที่บุคคลนั้นเกิดโรคเอดส์ถ้าในผู้ใหญ่
จะใช้เวลาประมาณ 5-10 ปี แต่ในเด็กทารกแล้วภายในขวบปีแรกของชีวิต
กลุ่มเด็กมีอาการของโรคเอดส์ถึง 20 เปอร์เซ็นต์ของทารกที่ได้รับเชื้อทั้งหมด
เมื่อเวลาผ่านไปจนเด็กเหล่านี้มีอายุได้หกขวบ ประมาณ 25 เปอร์เซ็นต์สิ้นชีวิต
และอีก 70 เปอร์เซ็นต์ มีอาการไม่สบายจากโรคเอดส์ อัตราการติดเชื้อไวรัส HIV
ของทารกจากมารดาในสหรัฐฯ เกิดขึ้น 15-25% ส่วนกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว
อยู่ที่ 15-30% ประเทศอัฟริกาและเอเชียรวมทั้งในประเทศไทยประมาณ 25-35%
ช่วงเวลาที่ทารกอาจได้รับเชื้อไวรัสเอชไอวีถ่ายทอดจากมารดา
เกิดขึ้นได้สามระยะ คือ ขณะที่ทารกยังอยู่ในครรภ์มารดาช่วงระหว่างการคลอด
และระยะหลังคลอด (โดยติดทางน้ำนมมารดา) แต่ส่วนใหญ่ทารกมากกว่าครึ่ง
ได้รับเชื้อไวรัสจากมารดาในช่วงที่แม่เริ่มเจ็บท้องคลอดและระหว่างคลอด
เพราะช่วงนั้นเป็นจังหวะที่ทารกสัมผัสกับน้ำหล่อเลี้ยงช่องคลอดและปากมดลูก
ตลอดจนเลือดของมารดาที่มีเชื้อไวรัสอยู่มากมาย นอกจากนี้เชื้อไวรัสยังเคลื่อนตัวผ่านปากมดลูก
ขึ้นไปสู่ทารกและเข้าสู่ร่างกายของทารกโดยทางผิวหนัง เยื่อบุในช่องปาก, ช่องท้อง
และลำไส้ของทารกโดยเฉพาะเมื่อถุงน้ำคร่ำแตกแล้ว
มีปัจจัยหลายประการที่ส่งเสริมการติดเชื้อไวรัสในทารก เป็นต้นว่า อายุของมารดา
จากข้อมูลของประเทศฝรั่งเศส แสดงให้เห็นว่าทารกมีโอกาสติดเชื้อสูงขึ้นตามอายุของมารดา
คือเมื่อมารดามีอายุต่ำกว่า 25 ปี ทารกมีโอกาสติดเชื้อ 16 เปอร์เซ็นต์
แต่ถ้ามารดามีอายุเกิน 35 ปี จำนวนทารกในกลุ่มกังกล่าวมีจำนวนสูงถึง 30 เปอร์เซ็นต์
โดยเฉพาะถ้ามารดามีการร่วมเพศมากครั้งในระยะสามเดือนแรกที่เธอเริ่มตั้งครรภ์
นอกจากนี้ถ้ามารดามีปริมาณเชื้อไวรัสสูงมากในกระแสเลือดของเธอ (Viral load)
และจำนวนเม็ดเลือดขาว (CD4) ต่ำย่อมทำให้ทารกได้รับเชื้อไวรัสสูงขึ้นเช่นกัน
เนื่องจากการที่ทารกเคลื่อนตัวผ่านทางช่องคลอด นับเป็นการเปิดโอกาสให้เด็กทารก
สัมผัสกับตัวเชื้อไวรัสโดยตรงในขณะที่ทารกยังไม่มีภูมิคุ้มกันของร่างกายเองเลยนั้น
ย่อมทำให้เชื้อไวรัสแพร่กระจายในร่างกายของทารกได้อย่างเสรี
ดังนั้น นโยบายการผ่าตัดนำทารกออกทางช่องท้องจึงได้รับการพิจารณามากขึ้น
แต่ปัญหาสุขภาพและโรคแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นกับมารดาหลังผ่าตัดมีสูงมาก
จนทำให้ข้อเสนอแนะอันนี้ตกไปคือ ถึงแม้ว่าจากกการเฝ้าตามผลการติดเชื้อไวรัสในทารกแฝด
ที่เกิดจากมารดามีเชื้อไวรัสเอชไอวี แพทย์พบว่าแฝดผู้พี่คือทารกที่คลอดก่อน
มีโอกาสติดเชื้อไวรัสสูงถึง 35 เปอร์เซ็นต์ ถ้าเป็นการคลอดธรรมดา
แต่ถ้าคลอดโดยการผ่าตัดหน้าท้องก็ 16 เปอร์เซ็นต์ ส่วนแฝดที่คลอดทีหลัง
มีจำนวนที่ได้รับเชื้อไวรัสเมื่อคลอดธรรมดา เพียง 15 เปอร์เซ็นต์และ 8 เปอร์เซ็นต์
ถ้าเป็นการผ่าตัดนำทารกแฝดออกทางหน้าท้อง ดังนั้นการผ่าตัดทางหน้าท้อง
ย่อมเป็นผลดีกับทารกที่เกิดมา แต่ตัวมารดาโดยเฉพาะเมื่อเธอมีเม็ดเลือดขาว
CD4 ต่ำกว่าปกติมา (<200) มักเกิดอาการไข้ตัวมดลูกอักเสบและกระเพาะปัสสาวะอักเสบ
รวมทั้งแผลหน้าท้องเป็นหนองบ่อยกว่าสตรีทั่วไปมาก
อายุครรภ์เป็นหลักสำคัญในการติดเชื้อของทารกด้วยเช่นกัน
แบบเดียวกับน้ำหนักตัวของทารกที่คลอดออกมา ถ้าน้ำหนักตัวน้อยและอายุครรภ์ก่อนกำหนด
โดยเฉพาะต่ำกว่า 32-34 สัปดาห์ และถ้าคลอดหลังถุงน้ำคร่ำแตกเกิน 4 ชั่วโมง
ทารกย่อมมีโอกาสติดเชื้อและเป็นโรคเอดส์ได้ง่ายกว่าทารกที่ครบกำหนด
น้ำนมของมารดาที่มีเชื้อไวรัสในร่างกายย่อมเป็นพาหะนำเชื้อไวรัสสู่ทารกแรกเกิดได้เช่นกัน
แต่ในประเทศที่ด้อยพัฒนาหรือกำลังพัฒนาน้ำนม มารดาเป็นสิ่งสำคัญต่อชีวิตทารก
ดังนั้น ทารกควรได้รับน้ำนมมารดาแต่ควรหยุดให้ดูดนมหลังอายุ 6 เดือน
ในสหรัฐอเมริกา สตรีที่มีเชื้อไวรัสตัวนี้ในร่างกาย เมื่อเธอตั้งครรภ์ควรได้รับการรักษา
ด้วยการรับประทานยา ZIDOVUDINE ตั้งแต่แรกเริ่มคือ 14 สัปดาห์
ตลอดไปจนถึงกำหนดคลอดและระหว่างการเจ็บท้องคลอดจนถึงหลังคลอด 6 สัปดาห์
แต่มีบางแห่งเสนอแนะว่าควรเริ่มการรักษาในระยะใกล้ครบกำหนดคลอด
เพราะจากสถิติแสดงถึงผลลัพธ์ซึ่งไม่ต่างกันนัก ประเทศไทยเองได้มีการทดสอบผล
ของการให้ยาแก่มารดาในระยะต่างๆ กันของการตั้งครรภ์โดยเฉพาะระยะครรภ์หลัง 36 สัปดาห์ไปแล้ว
หรือเฉพาะระหว่างที่มารดาเพิ่งเริ่มเจ็บครรภ์จวนคลอด ทั้งนี้เพื่อเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายและผลลัพธ์
ขณะนี้อาจมีรายงานสรุปคงแสดงให้เห็นว่าวิธีใดดีที่สุด เพราะค่ายาอย่างต่ำสุดรายละสามหมื่นบาท
อย่างไรก็ตาม ปัญหาเฉพาะหน้าที่สำคัญขณะนี้คือ
เด็กกำพร้าซึ่งไร้ที่พึ่งหรือครอบครัวยากจนทั้งที่เกิดก่อนมารดาบิดาเป็นเอดส์
หรือเกิดมาขณะมารดาเป็นเอดส์ แต่ไม่ได้รับเชื้อไวรัส และเด็กกำพร้าที่ได้รับเชื้อไวรัสจากมารดา
ทางมูลนิธิราชประชาสมาสัยในพระบรมราชูปถัมภ์ กระทรวงสาธารณสุข
และคุณพรสรรค์ กำลังเอก ได้พยายามจัดสรรทุนการศึกษาและดูแลในโครงการ
ราชประชาสมาสัยเฉลิมพระเกียรติ ส่วนทางรัฐแคลิฟอร์เนียเหนือ คุณพิศักดิ์ จักกะพาก
คุณไพวัน กุนกัน แห่ง Thai Press Club คุณบุญฉลอง มูลกุลและเพื่อนๆ
ได้พยายามช่วยกันในการหาทุน เพื่อโครงการช่วยเหลือเด็กกำพร้า
อำเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่ ล้วนแต่เป็นการกระทำที่น่าสรรเสริญ
และสนับสนุนเพื่อเด็กน้อยทั้งหลาย
พญ.จันทรา เจณณวาสิน
|