พญ.จันทรา เจณณวาสิน
ปัจจุบันวงการแพทย์พบว่าเชื้อไวรัส (HIV) ที่ทำให้เกิดโรคเอดส์
วิวัฒนาการสร้างสายพันธุ์ใหม่ซึ่งดื้อยาทุกขนานแม้แต่ยากลุ่ม Protease Inbibitor
ที่ขึ้นชื่อถึงประสิทธิภาพในการรักษาโรคนี้ ความสามารถในการดิ้นรน
เพื่อที่จะดำรงชีวิตต่อไปแพร่เผ่าพันธุ์นั้นเป็นคุณสมบัติของสิ่งที่มีชีวิตทั้งปวง
ถ้าสัตว์ใดพืชชนิดไหนไม่ปรับตัวเองให้ยืนหยัด ต่อสภาวะแวดล้อมหรือภัยที่เกิดขึ้นแล้ว
ย่อมสูญพันธุ์ไปแบบไดโนเสาร์ เชื้อแบคทีเรียที่ดื้อต่อยาปฏิชีวนะและเชื้อไวรัสโรคเอดส์ก็เช่นกัน
เนื่องจากมันมีวงจรชีวิตสั้น และแบ่งตัวได้รวดเร็ว ดังนั้นการสร้างสายพันธุ์ใหม่ที่ทนทานต่อยา
จะเกิดขึ้นในระยะสั้น ขณะที่สัตว์โลกบางชนิด เช่น มนุษย์เราใช้เวลาวิวัฒนาการนานมาก
เท่าจะมีรูปร่างแบบปัจจุบัน ขนาดนี้บางคนยังไม่ยอมพัฒนาการความคิดอ่าน
ให้ก้าวหน้าจนได้สมญาว่าเต่าล้านปี
เมื่อเชื้อไวรัส (HIV) เข้าสู่ร่างกายคนมันจะแบ่งตัวถอดสำเนาแพร่พันธุ์อย่างรวดเร็วถึงล้านตัว
โดยที่ร่างกายยังไม่ทันส่งทหารสู้เพราะไม่เคยรู้จักไวรัส (HIV) มาก่อน ต่อเมื่อร่างกาย
เริ่มส่งเม็ดเลือดขาวที่มีชื่อว่า T-helper cell หรือ CD4-cell ซึ่งเป็นกลุ่มหนึ่งในระบบภูมิคุ้มกัน
โดยจัดเป็นทหารหน่วยเฉพาะกิจมาจัดการกับเชื้อไวรัสจนทำให้จำนวนไวรัสลดลง
แต่อย่างไรก็ตามเม็ดเลือดขาว CD4-cell นี้ไม่สามารถกำจัดเชื้อไวรัสได้หมด
เพราะไวรัสเองสามารถเข้าไปอยู่ในเม็ดเลือดขาวและทำลายเม็ดเลือดขาวอย่างมากมายเช่นกัน
คือต่างฝ่ายสูญเสียกำลังพลจนถึงขั้นที่ร่างกายผลิตออกมาทดแทนไม่ทันการ ดังนั้น
ถ้าเจาะเลือดคนไข้มาตรวจจะพบว่าผลแสดงถึงจำนวนเม็ดเลือดขาวที่ลดลง
และจำนวนเชื้อไวรัสจะมีมากน้อยแตกต่างกันในแต่ละคน (Viral load)
ถ้าจำนวนเชื้อไวรัส (HIV) สูงก็หมายถึงว่าเม็ดเลือดขาวจะถูกทำลายมากขึ้น
คนไข้ย่อมมีการดำเนินของโรคเอดส์รุนแรงเร็วขึ้น
ปัจจุบันตัวยารักษาโรคเอดส์ที่มีอยู่ต่างไม่มีประสิทธิภาพในการไปฆ่าเชื้อไวรัสโดยตรง
แต่จะขัดขวางไม่ให้เชื้อไวรัสแบ่งตัวเพิ่มจำนวนไปทำลายเม็ดเลือดขาว ดังนั้น
ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายมีเวลาเสริมสร้างทหารไปคอยทำลายเชื้อไวรัสและป้องกันโรคต่างๆ
ที่ถือโอกาสมาเบียดเบียนร่างกายเรา โดยที่ยามปกติแล้วเชื้อโรคพวกนี้ไม่ก่อความเดือดร้อนแต่อย่างไร
ดังนั้น แพทย์จึงพยายามให้ยาเพื่อควบคุมปริมาณไวรัสให้ต่ำที่สุด อย่างไรก็ตาม
แม้ว่าผลการทดสอบทางเลือดไม่สามารถแสดงจำนวนไวรัส HIV ได้ แต่มิได้หมายความว่า
ร่างกายคนไข้ผู้นั้นสามารถกำจัดเชื้อไวรัสไปได้หมดแล้ว เพราะยังมีเชื้อไวรัสแอบแฝงอยู่
ตามส่วนต่างๆ ของร่างกายโดยเฉพาะระบบทางเดินน้ำเหลืองด้วยเหตุนี้
แพทย์จึงไม่หยุดการให้ยาคนไข้แม้ว่าผลเลือดไม่แสดงว่ามีเชื้อไวรัสอยู่ก็ตาม
เชื้อไวรัสที่แอบแฝงโดยเฉพาะที่ซ่อนอยู่ในเซลล์เม็ดเลือดขาวชื่อ Resting T-cell
ซึ่งมีอายุยืนยาวมาก ดังนั้นเชื้อไวรัสสามารถสำแดงฤทธิ์ได้อีกหลังจากที่นอนกบดานเงียบเป็นปีๆ
เมื่อ ปี ค.ศ.1997 ผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่า ขณะที่คนไข้ได้รับยารักษา
ควบคุมการแบ่งตัวของเชื้อไวรัสไม่ว่าเป็นยาชนิดใดแม้แต่ยาขนานที่ใหม่ล่าสุด
เชื้อไวรัสจำนวนหนึ่งยังสามารถแบ่งตัวเพิ่มจำนวนและวิวัฒนาการตัวไวรัสที่เกิดใหม่ให้ดื้อยาได้
แต่เชื้อไวรัสส่วนหนึ่งที่แอบแฝงอยู่ในเม็ดเลือดขาวชนิด Resting T- cell นั้น
กลับไม่ได้รับการกระทบเทือนจากตัวยาเหล่านี้เลยด้วยเหตุนี้ คนไข้บางรายที่มีอาการดีขึ้น
หลังจากได้รับยาแล้วต่อมากลับมีอาการทรุดโทรมลงและจำนวนไวรัสในเลือดกลับสูงมากขึ้น
จนทำให้เกิดโรคแทรกนานาชนิด
การรักษาในปัจจุบันที่นิยมว่าได้ผลดี คือ การให้ยาต้านไวรัสหลายขนาน 3-4 ชนิดร่วมกัน
รวมทั้งยาตัวใหม่ (Protease Inbibitor) เพื่อควบคุมการแบ่งตัวของไวรัส
ควบกับยากระตุ้นการผลิตสร้างเม็ดเลือดขาว (ยา Interleukin 2 หรือ IL 2)
ร่วมกับการติดตามผลปฏิบัติการจากห้องทดลองถึงจำนวนเม็ดเลือดขาว
และจำนวนไวรัสในเลือดอย่างน้อยทุกสามเดือน อีกทั้งให้ยาบำรุงเสริมสร้างสุขภาพของร่างกาย
แต่การรักษาและเฝ้าติดตามแบบนี้สิ้นเปลืองเงินทองมากมาย
ในประเทศที่กำลังพัฒนาประชากรส่วนใหญ่ไม่สามารถหาเงินมาซื้อยาได้
ดังนั้นโรคเอดส์ในปัจจุบันจึงเป็นปัญหาหนักของประเทศชาติและประชากรของโลก
ที่ภาวะเศรษฐกิจไม่มั่นคงเหมือนกับสหรัฐอเมริกาหรือยูโรปนี้
การประชุมสัมมนาทางโรคเอดส์ของโลกครั้งที่ 12 ณ กรุงเจนีวา จึงมุ่งแสดงให้เห็นถึงความแตกต่าง
ในการให้ยาดูแลรักษารวมทังผลิตภัณฑ์ช่วยบำรุงร่างกายของผู้ป่วยในกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว
และที่กำลังพัฒนา โดยเฉพาะฝ่ายสตรีและเด็กที่ได้รับผลสืบเนื่องจากการติดเชื้อของมารดา
จุดมุ่งหมายของการดูแลบุคคลที่ได้รับเชื้อไวรัส HIV แต่ยังไม่มีอาการของโรคเอดส์คือ
การให้ยาเพื่อลดจำนวนเชื้อไวรัส (Viral load) ในกระแสเลือดแล้วให้ร่างกายของบุคคลนั้น
เสริมสร้างความสามารถของระบบภูมิคุ้มกันคือ เม็ดเลือดขาวมาคอยกำจัดควบคุมเชื้อไวรัสที่เหลือ
แม้แต่คนไข้ที่สภาพร่างกายทรุดโทรม เม็ดเลือดขาวต่ำมา แต่ถ้ายาที่ให้ไป
สามารถช่วยลดการแพร่พันธุ์ของไวรัสได้ดีแล้ว ระบบภูมิคุ้มกันของเขาย่อมฟื้นตัวมาสู้เชื้อไวรัส
และแบคทีเรียอื่นๆ ได้ แต่การฟื้นตัวแบบนี้อาจใช้เวลานาน 4-8 ปี ผลของการวิจัยทางยา
กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันที่ชื่อ "Interleukin 2 หรือ IL2" ในการรักษาโรคเอดส์ยังไม่เป็นที่น่าพอใจ
เนื่องจากยาไม่สามารถกระตุ้นการสร้างกลุ่มเม็ดเลือดขาวที่มีความสามารถในทางกำจัดเชื้อไวรัส HIV
HIV-specific helper T-cell ปกติร่างกายของคนเรานั้นสร้างทหารเฉพาะกิจต่อโรคชนิดต่างๆ กัน
หน่วยเฉพาะกิจส่วนที่รับผิดชอบในการสังหารไวรัส HIV นั้นถูกไวรัส HIV ทำลายจนสิ้นซากได้ง่ายๆ
ภายในสามถึงสิบแปดเดือนนับตั้งแต่เวลาที่เชื้อไวรัสเข้าสู่ร่างกายด้วยเหตุนี้
การให้ยาเพื่อไปควบคุมจำนวนไวรัสตั้งแต่แรกๆ เสมือนดับไฟต้นลมจึงเป็นสิ่งที่แพทย์ปรารถนา
แต่ที่สำคัญคือ แพทย์ไม่มีทางทราบว่าบุคคลนั้นได้รับเชื้อไวรัสนานเท่าไรแล้ว
ด้วยเหตุนี้ทางการสาธารณสุขทั่วโลกเสนอให้ประชาชนที่มีความเสี่ยงสูง
ไปรับการตรวจเลือดหาเชื้อไวรัสเพื่อจะได้รีบรับการรักษาก่อนที่เชื้อไวรัสจะแสดงศักดา
ทำลายเม็ดเลือดขาวจนหายไปหมดดังกล่าว
ข่าวดีที่ Fred Valentine แห่งนิวยอร์ค ได้เสนอการผลิตวัคซีนเพื่อใช้ในการรักษา
(แตกต่างจากการผลิตวัคซีนเพื่อการป้องกัน) โดยที่วัคซีนนี้ไปช่วยกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดขาว
ที่ทำหน้าที่ทำลายเชื้อไวรัสในคนไข้โรคเอดส์ผู้อยู่ในสภาพไม่ทรุดโทรมมากนัก (Mid-stage)
แต่ไม่ว่าการรักษาด้วยตัวยาควบคุมจำนวนไวรัสผสมผสานกันหลายชนิด
รวมกับวัคซีนกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดขาวเฉพาะกิจและยา IL 2
เพื่อเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันโดยทั่วไปของร่างกายต่อโรคอื่นๆ แสดงผลดีในการต่อชีวิตของผู้ป่วย
แต่ผลแทรกซ้อนของการรักษามีมากเช่นกัน ดังนั้นวิธีที่ยังสำคัญคือ
ป้องกันการติดเชื้อไวรัสสู่ตนและความรับผิดชอบของบุคคลที่มีเชื้อไวรัสในตัว
ในการไม่แพร่กระจายเชื้อไวรัสสู่ผู้อื่น
|