| 
เอดส์ มหันตภัยที่ผู้ชายหยุดยั้งได้! 
 | 
  
 | 
แคมเปญเอดส์โลกปี 2000 ของUNAIDS 
 | 
  
 | 
"ผู้ชายสามารถช่วยแก้ไขปัญหาของการแพร่ระบาดของเอดส์ได้" 
 | 
  
 
	
 "6 มีนาคม 2000 (นิวเดลี) "
	
 องค์การยูเอ็นเอดส์ (UNAIDS) ซึ่งเป็นโครงการร่วมแห่งสหประชาชาติในเรื่อง HIV/AIDS 
ได้ประกาศแคมเปญเอดส์โลกประจำปี 2000 ขึ้นเมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2000 ณ กรุงนิวเดลี  ประเทศอินเดีย 
แคมเปญนี้จะมุ่งเน้นให้ผู้ชายเห็นความสำคัญและเข้ามามีส่วนช่วยเหลือในการควบคุม
และแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของเอดส์มากขึ้น 
	
ปัจจุบัน ผู้หญิงทั่วโลกมีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อเอดส์ เนื่องจากผู้หญิงไม่มีอำนาจ
ในการที่จะกำหนดการมีสัมพันธ์ทางเพศได้มากนัก อีกทั้งโดยความเชื่อทางวัฒนาธรรมและสังคมเอง
แต่ในทางกลับกันยังเป็นการเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อของผู้ชายเองจำนวนผู้ชาย
ที่เสียชีวิตด้วยโรคเอดส์กลับสูงกว่าผู้หญิงในทุกภูมิภาคทั่วโลกยกเว้นในประเทศแอฟริกา
แถบซับซาฮาร่าที่ผู้หญิงมีอัตราการติดเชื้อสูงกว่าผู้ชายและที่น่าเป็นห่วงก็คือ 
ผู้ชายที่อายุต่ำกว่า 25 ปี มีอัตราการติดเชื้อสูงขึ้น 
	
ดร.ปีเตอร์ พีออท ผู้อำนวยการขององค์การ UNAIDS กล่าวว่า 
"ถึงเวลาแล้วที่เราต้องมองผู้ชายว่าไม่ใช่ต้นเหตุหนึ่งของปัญหา แต่เป็นส่วนหนึ่งของการแก้ไข 
เราจะต้องทำงานร่วมกันเพื่อให้ผู้ชายเปลี่ยนทัศนคติและพฤติกรรมการใช้ชีวิต 
เพื่อช่วยชะลอการแพร่ระบาดของโรคเอดส์ และยังช่วยให้พวกเขามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น 
อันจะส่งผลดีต่อครอบครัวและคู่ของพวกเขาด้วย" 
 "ชายชาตรี" 
	
 สิ่งที่ท้าทายต่อความสำเร็จของแคมเปญนี้คือ ความพยายามที่จะเปลี่ยนทัศนคติของผู้ชาย
ในเรื่องของ "ความเป็นชายชาตรี" กับการมีเพศสัมพันธ์ที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อ
และการแพร่ระบาดของเชื้อเอดส์ 
	
ผู้ชายโดยทั่วไปต้องการแสดงความเข้มแข็ง จิตใจเด็ดเดี่ยว กล้าหาญและชอบสิ่งที่ท้าทาย 
ซึ่งทัศนคติเหล่านี้บางอย่างส่งผลให้ผู้ชายมีพฤติกรรมทางเพศที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ
และแพร่ระบาดเชื้อไปสู่คู่ของตน แต่ในทางกลับกัน ทัศนคติบางอย่างอาจจะเป็นประโยชน์ต่อการรณรงค์ในครั้งนี้ 
	
เหตุผลที่ดีว่าทำไมผู้ชายจึงควรเข้ามามีส่วนช่วยเหลือในการควบคุม
การแพร่ระบาดของเชื้อเอดส์มากขึ้นคือ ผู้ชายส่วนใหญ่จะมีคู่นอนที่มากกว่าผู้หญิง 
และมักจะมีเพศสัมพันธ์กับคนอื่นนอกจากภรรยาของตนซึ่งเป็นการเพิ่มโอกาสเสี่ยงต่อการติดเชื้อ
ทั้งแก่ตนเองและคู่ของตน ความเสี่ยงยังเนื่องมาจากการต้องปกปิดเรื่องเพศสัมพันธ์ 
รวมทั้งความอายทำให้ชายหญิงที่มีเพศสัมพันธ์กันไม่พยายามแสดงให้คู่นอนของตนรู้ว่า
ตัวเองติดเชื้อเอดส์อยู่ การรณรงค์ในครั้งนี้ยังมุ่งเน้นการให้ความรู้แก่ผู้ชาย
ในเรื่องการดูแลสุขภาพของตนให้มากขึ้น เนื่องจากที่ผ่านมา ผู้ชายจะมีความเอาใจใส่
ในเรื่องสุขภาพของตัวเองน้อยกว่าผู้หญิง 
 "สถานการณ์เสี่ยง" 
	
 นอกจากนี้สภาพการณ์บางอย่างทำให้ผู้ชายมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอดส์สูง 
เช่น การที่ผู้ชายต้องไปทำงานห่างไกลครอบครัว ทำให้ต้องมีการนอกใจคู่สมรส
หรือต้องจ่ายเงินเพื่อซื้อหาความสุขจากหญิงอื่น ต้องดื่มของมึนเมาเพื่อคลายเครียด 
ลดความเหงา เป็นต้น ในบางกรณีการอยู่ สิ่งแวดล้อมที่มีแต่ผู้ชาย เช่น 
ในค่ายทหาร ในเรือนจำ อาจผลักดันให้ผู้ชายมีเพศสัมพันธ์กับผู้ชายด้วยกัน 
ภายใต้สภาวะกดดันรุนแรง เช่นในระหว่างสงครามหรือการอพยพผู้หญิง
และเด็กผู้หญิงตกเป็นเหยื่อของการกดขี่ทางเพศโดยผู้ชาย บางครั้งกระทำโดยบุคคลในครอบครัวของตน 
จากรายงานที่ได้รับจากแหล่งต่างๆ ทั่วโลก พบว่าผู้หญิงจำนวน 1 ใน 3 ถูกทุบตี
และถูกบังคับให้มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ยินยอม 
 "ชายชาตรีในยุคเอดส์" 
	
 ถึงเวลาแล้วที่ผู้ชายไม่ว่าจะเป็นนักการเมือง หรือคนงาน เป็นพ่อ ลูกชาย พี่ชาย 
น้องชายหรือเป็นเพื่อนต้องหันมามองว่า ตนมีพฤติกรรมเสี่ยงต่อการแพร่กระจายเชื้ออย่างไร 
และผู้ชายจะสร้างความเปลี่ยนแปลงเพื่อช่วยชะลอการแพร่กระจายได้อย่างไร 
	
จากการสำรวจพบว่าผู้ชายทั่วโลกมีบทบาทในการดูแลลูกหลานน้อยกว่าผู้หญิง 
ซึ่งปัญหาของการแพร่ระบาดของโรคเอดส์ ในปัจจุบัน พบว่า มีเด็กกว่า 11 ล้านคน 
ถูกทอดทิ้งให้เป็นเด็กกำพร้า และกำลังรอคอยความช่วยเหลือในเรื่องเสื้อผ้า ที่อยู่อาศัย 
และการศึกษาจากผู้ใหญ่ ดังนั้นภายใต้โครงการนี้ผู้ชายควรได้รับการกระตุ้น
ให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้เป็นไปในทางที่ดีขึ้น เช่น มีส่วนร่วมในการแสดงความห่วงใย
และดูแลครอบครัวของตนมากขึ้น 
	
รายงานฉบับนี้เสนอข้อเท็จจริงเพิ่มเติมว่า ผู้ชายปกติจะมีอายุขัยต่ำกว่าผู้หญิง 
และมีอัตราการตายสูงกว่าผู้หญิง นอกจากนี้ ในสังคมที่เด็กชายถูกเลี้ยงดูด้วยความเชื่อที่ว่า 
"ผู้ชายคือเพศที่แข็งแรง" ทำให้มีการดำเนินชีวิตโดยเชื่อมั่นว่าตนจะไม่เจ็บป่วยหรือติดเชื้อได้ง่ายๆ 
เราจึงควรให้ความสนใจกับความต้องการที่แท้จริงของผู้ชายหลายล้านคน โดยเฉพาะผู้ที่ติดเชื้อเอดส์ 
เพื่อสามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างถูกต้อง 
	
ดร.พิออท กล่าวว่า "บ่อยครั้งที่การปฏิเสธการใช้สารเสพติดหรือการใช้ถุงยางอนามัย 
กลับถูกมองเป็นการกระทำที่ไม่เป็นชายชาตรี ซึ่งทัศนคติเช่นนี้ ทำให้การพยายามที่จะป้องกัน
การติดเชื้อเอดส์ไม่เป็นผล อย่างไรก็ตามพฤติกรรมของผู้ชายสามารถเปลี่ยนแปลงได้ 
และการเปลี่ยนแปลงนี้จะช่วยชะลอการกระจายของเชื้อเอดส์ได้ อย่างตัวอย่างของบางประเทศในแอฟริกา 
อเมริกากลางและเอเชีย ที่คนขับรถบรรทุกทางไกลได้พยายามลดการมีเพศสัมพันธ์
โดยลดจำนวนคู่นอนของตน และรู้จักการมีเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัย 
ในประเทศไทยได้มีโครงการป้องกันการติดเชื้อในหมู่ทหารเกณฑ์อย่างประสบผลสำเร็จและในหลายประเทศ 
รวมถึงสหรัฐอเมริกา นักศึกษาต่างพยายามยืดเวลาการเริ่มมีเพศสัมพันธ์ออกไป
และรู้จักการใช้ถึงยางอนามัยเมื่อมีเพศสัมพันธ์ 
 "สถานการณ์เอดส์"
	
 อย่างไรก็ตาม การรณรงค์ในกลุ่มผู้หญิงของแคมเปญเอดส์โลกยังคงดำเนินต่อไปด้วย 
เพียงแต่แคมเปญเอดส์โลกประจำปี 2000 นี้จะช่วยสนับสนุนการดำเนินการรณรงค์ป้องกันโรคเอดส์โดยรวม 
	
จากสถิติที่พบในช่วงปลายปี 1999 พบว่ามีชาย หญิง และเด็กติดเชื้อเอดส์ 
และเป็นโรคเอดส์มากกว่า 33.6 ล้านคน ซึ่งในจำนวนนี้ 16.3 ล้านคน ได้เสียชีวิตไปแล้ว 
และในปี 1999 มีผู้รับเชื้อใหม่จำนวนถึง 5.6 ล้านคนทั่วโลก ซึ่งในกุ่มนี้เป็นคนในแอฟริกา
แถบซับซาฮาร่าถึง 3.8 ล้านคน และในเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กว่า 1.3 ล้านคน 
	
อย่างไรก็ตาม ภายใต้โครงการรณรงค์นี้ ไม่ได้หมายความว่า 
โปรแกรมการป้องกันการเกิดโรคเอดส์ในผู้หญิงและเด็กหญิงจะหมดไป 
แต่ทั้งหญิงและชายต่างมีความสำคัญในการช่วยกันทำให้โครงการนี้ประสบผลสำเร็จ 
				
	
  |