มาที่นี่ที่เดียว ได้อ่านบทความทางด้านการแพทย์ ภาษาไทย จากเกือบทุกโฮมเพจที่มีใน INTERNET
http://www.oocities.org/Tokyo/Harbor/2093/
จำสั้นๆ i.am/thaidoc



หูดดอกกะหล่ำหรือหูดหงอนไก่ (Condyloma acuminata)


เมื่อดิฉันบอกสตรีสาวสวยผู้หญิงว่าเธอมีปัญหาเกี่ยวกับไวรัส ชื่อ Human papilloma virus เรียกกันย่อๆ ว่า "เอช พี วี" (HPV) โดยการตรวจพบจากการตรวจภายในช่องคลอดและปากมดลูก เธอร้องไห้ด้วยความเสียใจว่าเพื่อนชายของเธอนำโรคนี้มาให้เธอ และไวรัสตัวนี้อาจก่อให้เกิดมะเร็งบริเวณอวัยวะเพศ

คำว่า เอช พี วี (HPV) เป็นชื่อของกลุ่มไวรัสซึ่งแบ่งออกได้ มากกว่าเจ็ดสิบสายพันธุ์ย่อยๆ บางสายพันธุ์ก่อให้เกิดตุ่มหูด หน้าตาคล้ายดอกกะหล่ำบริเวณมือ เท้า บางสายพันธุ์ก่อให้เกิดตุ่มหูดหงอนไก่ที่อวัยวะเพศ แต่บางครั้งไวรัสนี้อาศัยอยู่ในเซลล์โดยไม่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ผิวหนัง หรือเยื่อบุช่องคลอดและปากมดลูกแต่อย่างใด ดังนั้นหลายคนทั้งหญิงและชาย ที่มีไวรัสชนิดนี้อยู่ที่บริเวณอวัยวะเพศไม่รู้ตัวว่าเขาเป็นพาหะแพร่เชื้อไวรัส ให้แก่คนรักของเขาเพราะบางครั้งไวรัสตัวนี้อาจไม่ก่อให้เกิดอาการผิดปกติเลย ผู้ชายบางคนอาจมีอาการคัน หรือสตรีมีตกขาวเพิ่มขึ้นประมาณ 25-65% ของประชากรที่มีเพศสัมพันธ์กับคนที่ไม่ไวรัสชนิดนี้แล้วได้รับไวรัสเข้าสู่ร่างกาย แต่ข้อดีของไวรัสนี้ คือ มันอาศัยสิงสู่อยู่แต่ที่เซลล์หรือเยื่อบุชั้นนอก โดยไม่ลงลึกสู่ร่างกาย เหมือนกับไวรัสที่ทำให้เกิดโรคเริม (Herpes Viruses) ซึ่งแอบแฝงไปตามเส้นประสาทจนถึงไขสันหลัง แล้วยึดเป็นบ้านพักอย่างถาวร

จำนวนหญิงและชายที่ได้รับไวรัสเอชพีวีทางเพศสัมพันธ์สูงขึ้นอย่างน่าตกใจ โดยเฉพาะหนุ่มสาวในมหาวิทยาลัย สถิติเพิ่มขึ้นจาก 20 ปีที่ผ่านมาถึง 459 เปอร์เซ็นต์ แต่ยังเป็นอันดับสองรองจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ซึ่งเกิดจากเชื้อแบคทีเรียคลามีเดีย (Chlamydia trachomatis) เชื้อคลามีเดียทำให้ผู้ชายมีอาการปวดแสบลำกล้องปัสสาวะ อาจมีหนองไหล และสตรีมีอาการเจ็บปวดท้องน้อย เนื่องจากปีกมดลูก อักเสบจนถึงขั้นปีกมดลูกซึ่งเป็นท่อนำไข่ตีบตัน ผลลัพธ์คือ เป็นหมัน

แม้แต่การมีเพศสัมพันธ์กับคนที่เป็นโรคนี้ เพียงครั้งเดียวเท่านั้น ก็อาจเป็นโรคได้โดยเฉพาะถ้าบุคคลนั้นเพิ่งได้รับไวรัสมาใหม่ๆ ภายในสามเดือนแรกหรือยามที่เขามี ตุ่มหูดขึ้นบริเวณอวัยวะเพศ แต่อย่างไรก็ตามไวรัสอาจแอบแฝงอยู่ตามผิวของอวัยวะเพศ ที่ดูเหมือนปกติได้เป็นนานปีทีเดียว ไวรัสชอบอยู่ตามบริเวณชุ่มชื้นอย่างในช่องคลอด ปากมดลูก บริเวณปากช่องคลอดหรือปากท่อปัสสาวะ บริเวณรอบหูรูดทวารหนัก ผิวหนังที่ปกคลุมลำลึงค์และอัณฑะและรอบๆ บริเวณใกล้เคียงกับอวัยวะเพศ จนถึงขาหนีบตลอดจนต้นขา ตัวไวรัสอาจก่อให้เกิดตุ่มขาวหรือสีชมพู ลักษณะนุ่ม ผิวขรุขระเหมือนดอกกะหล่ำได้ชื่อว่า "หูดดอกกะหล่ำ" แต่มันอาจทำให้ผิวหนังหนายกตัวขึ้นเป็นแผ่นราบๆ ได้ อาจก่อให้เกิดอาการคัน แต่มักไม่ทำให้เจ็บปวดแต่อย่างใด ถ้าเกาอาจมีเลือดออก การใช้กล้องขยายพิเศษช่วยให้แพทย์ตรวจความผิดปกติของพื้นผิว ที่เกิดจากเชื้อตัวนี้ได้โดยเฉพาะบริเวณปากมดลูก การใช้น้ำส้มสายชูเจือจาง (Acetic acid 5%) ป้ายบริเวณที่สงสัยช่วยในการวินิจฉัย เพราะน้ำส้มช่วยเปลี่ยนผิวหรือเยื่อบุที่มีไวรัสให้เป็นสีขาวเห็นชัดขึ้น อย่างไรก็ตาม การตรวจหามะเร็งปากมดลูกในสตรี โดยแพทย์ใช้การตรวจดูเซลล์ (Pap Smear) และการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ เมื่อมีไวรัสไปสิสู่อยู่ได้นับเป็นการตรวจที่มีความเชื่อถือพอใช้ได้และราคาถูก เมื่อเทียบกับการตรวจใหม่ๆ ที่ใช้วิธีตรวจหาชิ้นส่วนทางกรรมพันธุ์ของตัวไวรัสนี้

เนื่องจากการติดต่อแพร่กระจายของไวรัสนี้โดยทางเพศสัมพันธ์ คือ การสัมผัสโดยตรงทางผิวหนังหรือช่องคลอด ทวารหนัก รวมทั้งการใช้ปากในการร่วมเพศ บรรดาหูดดอกกะหล่ำที่อยู่ตามส่วนอื่นของร่างกาย เช่น ตามมือ ตามเท้า ไม่ก่อให้เกิดหูดดอกกะหล่ำบริเวณอวัยวะเพศเพราะเกิดจากไวรัสคนละกลุ่ม หลังจากการร่วมเพศกับคนที่เป็นโรคนี้ไม่แน่นอน คือ อาจใช้เวลาหลายสัปดาห์ หรือหลายเดือนและอาจไม่เกิดเป็นหูดขึ้นมาเลยก็ได้ ดังนั้น คนที่มีเพศสัมพันธ์กับหลายคนอาจไม่ทราบได้แน่นอนว่า ใครเป็นต้นเหตุนอกจากสอบถามโดยตรง นอกจากนี้ผู้ที่นำไวรัสมาให้ อาจไม่มีลักษณะการเปลี่ยนแปลงผิดปกติที่อวัยวะเพศให้เห็นหรือไม่รู้ตัวเองว่ามีเชื้อนี้อยู่ ดังนั้น ทั้งสองฝ่ายควรได้รับการตรวจจากแพทย์อย่างถี่ถ้วน

เนื่องจากไวรัสกลุ่มนี้ได้รับการยืนยันว่า เป็นต้นเหตุที่สำคัญ ของการเกิดมะเร็งปากช่องคลอดและมะเร็งของอวัยวะเพศ โดยเฉพาะในคนที่ระบบภูมิคุ้มกันไม่ดี คนที่สูบบุหรี่ คนที่เป็นโรคเบาหวาน หรืออยู่ในภาวะทุพโภชนาการหรือรับประทานยาคุมกำเนิด รวมทั้งเด็กที่มารดาขณะตั้งครรภ์ใช้ยาพวก Diethylstilbestrol ซึ่งปัจจุบันเลิกใช้ในภาวะตั้งครรภ์ คนที่เริ่มมีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุต่ำกว่า 15 ปี คนที่มีคู่นอนมากกว่าสี่คนขึ้นไปหรือมีโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ชนิดอื่นร่วมด้วย โดยเฉพาะไวรัสที่ทำให้เกิดเริม (Herpes simplex infection) ดังนั้น เมื่อผู้ชายหรือสตรีรับทราบว่าตนมีไวรัสต่างเกิดความวิตกกังวล รวมทั้งการโกรธแค้นคู่นอน อย่างไรก็ตามถึงไวรัสกลุ่มนี้มีมากกว่า 70 สายพันธุ์ เท่าที่ค้นพบเวลานี้มีเฉพาะสองสามสายพันธุ์เท่านั้น ที่ทำให้เกิดมะเร็ง

วิธีกำจัดไวรัสตัวนี้เป็นเรื่องลำบาก เพราะปัจจุบันในโลกนี้ ยังไม่มีใครค้นพบตัวยาที่จะกำจัดไวรัสไม่ว่าชนิดใด เช่น ไวรัสที่ทำให้เกิดโรคหวัด โรคเอดส์ เริม ตับอักเสบและหูดดอกกะหล่ำต่างๆ เพราะไวรัสทุกชนิด ต่างเข้าไปอาศัยอยู่ในเซลล์ มันจะอยู่นอกเซลล์ของผู้เป็นเจ้าบ้านไม่ได้เลย ดังนั้นที่สำคัญคือต้องอาศัยภูมิคุ้มกันของเจ้าของบ้านกำจัดมันเอง โดยงดการกระทำที่เป็นตัวหนุนให้ไวรัสแบ่งลูกหลานเพราะภูมิคุ้มกันของร่างกายต่ำ เช่น การสูบบุหรี่และส่งเสริมสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง โดยเฉพาะการรับประทานอาหารที่มีสารต้านออกซิเดชั่น เช่น ส้ม มะละกอ แครอทและถั่วต่างๆ รวมทั้งผักใบเขียว และใช้ถุงยางลาเทกซ์ ซึ่งอาจช่วยได้บ้างแต่ก็ไม่เสมอไปเพราะถุงยางมิได้ ปกคลุมบริเวณอวัยวะเพศทั้งหมด บริเวณผิวหนังรอบอัณฑะและทวารหนักอาจมีไวรัสแทรกอยู่ในเซลล์แถบนั้น ถุงยางสำหรับผู้หญิง (Female condom) ปกคลุมเนื้อที่บริเวณนั้นได้มากกว่า แต่เนื่องจากเทอะทะและราคาแพงถึงสามเหรียญสหรัฐ ดังนั้นจึงไม่เป็นที่นิยมใช้กัน พวกน้ำยาโฟม ครีมที่ใช้ในการคุมกำเนิดชนิดต่างๆ นั้นไม่มีผลในการป้องกันโรคนี้

การกำจัดหูดซึ่งเปรียบเสมือนแหล่งเพาะผลิตไวรัสมีได้หลายวิธี เช่น การใช้ความเย็นโดยการพ่นไนโตรเจนเหลวโดยตรงที่ตัวหูด หรือผ่านเครื่องมือที่มีลักษณะคล้ายดอกเห็ดทาบไปที่ปากมดลูก วิธีนี้ราคาถูกและได้ผลดี ส่วนการใช้สารเคมีพวกกรดไตรคลออาซิติค (Trichloracetic acid) หรือ โปโตไฟลิน (Podophyllin) และพวก Podofilox ทาเคลือบบนตัวหูด นับว่าใช้ได้ผลดีแต่ต้องทาซ้ำๆ กันโดยเฉพาะรายที่เป็นมาก การใช้แสงเลเซอร์หรือสมัยก่อนนี้ใช้ไฟฟ้าจี้ที่ตัวหูดนับเป็นอีกวิธีหนึ่ง ที่ใช้ได้ถ้ามีหูดมากมาย ปัจจุบันการใช้ยาพวกอินเตอร์เฟอรอน (Interferon) ช่วยรักษาโดยเฉพาะคนไข้ที่มีปัญหาทางระบบภูมิคุ้มกัน และรายที่เกิดหูดขึ้นใหม่อีกหลังจากกำจัดไปแล้วซ้ำๆ ซากๆ แพทย์มักนัดคนไข้ที่เคยมีปัญหาของโรคนี้มาตรวจเป็นระยะ โดยเฉพาะสตรีควรได้รับการจตรวจมะเร็งปากมดลูกทุกหกเดือน อย่างไรก็ตาม ถ้าบุคคลผู้นั้นปฏิบัติตามแพทย์แนะนำโดยป้องกันการติดไวรัส ด้วยการใช้ถุงยางอนามัยตั้งแต่เริ่มแรกของการมีเพศสัมพันธ์ และจำกัดคู่นอนตลอดจนการรักษาสุขภาพอนามัยแล้ว โอกาสที่ร่างกายของเขาสามารกำจัดไวรัสให้หมดไปจากร่างกายภาย ในเวลาหนึ่งปีมีถึง 90 เปอร์เซ็นต์

หูดดอกกะหล่ำในสตรีขณะตั้งครรภ์มักเจริญงอกงาม มีขนาดโตและแพร่กระจายบริเวณปากช่องคลอด ตลอดจนภายในช่องคลอดจนถึงปากมดลูกได้มาก ถึงขั้นกีดขวางการคลอดทางช่องคลอดได้ ทั้งนี้เพราะระบบฮอร์โมนของหญิง ขณะตั้งครรภ์เปลี่ยนแปลงไปและความชุ่มชื้นในช่องคลอดมีสูงขึ้น เป็นเหตุให้เกิดปรากฏการณ์ดังกล่าวได้ ทารกที่คลอดผ่านบริเวณที่มีหูดดอกกะหล่ำ เกิดขึ้นมากมาย อาจเกิดหูดดอกกะหล่ำในลำคอของทารกผู้นั้นได้ แต่ถ้าหญิงตั้งครรภ์มีหูดดอกกะหล่ำไม่มากถึงขั้นกีดขวางการคลอดตามปกติแล้ว แพทย์จะไม่ทำการผ่าตัดทารกออกทางช่องคลอด คงปล่อยให้ทารกคลอดตามปกติ และเฝ้าดูอาการของทารก อย่างไรก็ตามแพทย์พยายามรักษา กำจัดหูดให้หมดไปก่อนคลอด โดยวิธีต่างๆ ดังกล่าวแล้วนั้น แต่การใช้ยากำจัดหูด (wart) โดยทั่วไปที่วางขายตามร้านขายยานี้ ไม่สามารถกำจัดหูดดอกกะหล่ำที่อวัยวะเพศได้ และอาจทำอันตรายต่อผิวอ่อนบริเวณอวัยวะเพศ

เนื่องจากไวรัสสามารถแฝงตัวซ่อนอยู่ในเซลล์ของผิวหนังที่ดูเหมือนปกติ ดังนั้น จึงเป็นการยากต่อทั้งการรักษาและการป้องกัน ศาสตราจารย์นายแพทย์ โดนาลด์ วูดดรัพ ผู้มีชื่อเสียงแห่งมหาวิทยาลัยจอห์นฮออบกินส์ ได้สอนดิฉันให้ใช้ยาเข้าสาร 5 FU (ต่อมาทางโรงงานผลิตมาในรูป Efudex Cream) ทาโดยทั่วไปในช่องคลอดและผิวหนังโดยรอบ ทั้งหญิงและชายในรายที่รักษาไม่หายขาด แต่คนไข้ทนการแสบร้อนของผิวหนังหลังจากการใช้ยาไม่ได้ ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดคือ การใช้ถุงยางอนามัยในการร่วมเพศสัมพันธ์โดยเฉพาะกับคู่นอนคนใหม่

พญ.จันทรา เจณณวาสิน



[ที่มา..หนังสือ นิตยสารใกล้หมอปีที่ 23 ฉบับที่ 11 พฤศจิกายน 2542]

[ BACK TO LIST]
main พบแพทย์ คอมพิวเตอร์ เรื่องบ้าน เรื่องรถ เรื่องกฏหมาย เรื่องของผู้บริโภค เรื่องเบาๆ คลายเครียด

มีปัญหาสุขภาพ ที่นี่มีคำตอบ ห้องสมุดE-LIB[ hey.to/yimyam ][ i.am/thaidoc ]

Best view with [IE3.02][NETSCAPE 4.05][OPERA 3.21] resolution 800x600