เมื่อดิฉันบอกสตรีสาวสวยผู้หญิงว่าเธอมีปัญหาเกี่ยวกับไวรัส 
ชื่อ Human papilloma virus เรียกกันย่อๆ ว่า "เอช พี  วี" (HPV) 
โดยการตรวจพบจากการตรวจภายในช่องคลอดและปากมดลูก
เธอร้องไห้ด้วยความเสียใจว่าเพื่อนชายของเธอนำโรคนี้มาให้เธอ 
และไวรัสตัวนี้อาจก่อให้เกิดมะเร็งบริเวณอวัยวะเพศ 
 คำว่า เอช พี วี (HPV) เป็นชื่อของกลุ่มไวรัสซึ่งแบ่งออกได้
มากกว่าเจ็ดสิบสายพันธุ์ย่อยๆ บางสายพันธุ์ก่อให้เกิดตุ่มหูด
หน้าตาคล้ายดอกกะหล่ำบริเวณมือ เท้า บางสายพันธุ์ก่อให้เกิดตุ่มหูดหงอนไก่ที่อวัยวะเพศ 
แต่บางครั้งไวรัสนี้อาศัยอยู่ในเซลล์โดยไม่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ผิวหนัง
หรือเยื่อบุช่องคลอดและปากมดลูกแต่อย่างใด ดังนั้นหลายคนทั้งหญิงและชาย
ที่มีไวรัสชนิดนี้อยู่ที่บริเวณอวัยวะเพศไม่รู้ตัวว่าเขาเป็นพาหะแพร่เชื้อไวรัส
ให้แก่คนรักของเขาเพราะบางครั้งไวรัสตัวนี้อาจไม่ก่อให้เกิดอาการผิดปกติเลย 
ผู้ชายบางคนอาจมีอาการคัน หรือสตรีมีตกขาวเพิ่มขึ้นประมาณ 25-65% 
ของประชากรที่มีเพศสัมพันธ์กับคนที่ไม่ไวรัสชนิดนี้แล้วได้รับไวรัสเข้าสู่ร่างกาย 
แต่ข้อดีของไวรัสนี้ คือ มันอาศัยสิงสู่อยู่แต่ที่เซลล์หรือเยื่อบุชั้นนอก 
โดยไม่ลงลึกสู่ร่างกาย เหมือนกับไวรัสที่ทำให้เกิดโรคเริม (Herpes Viruses) 
ซึ่งแอบแฝงไปตามเส้นประสาทจนถึงไขสันหลัง แล้วยึดเป็นบ้านพักอย่างถาวร
 จำนวนหญิงและชายที่ได้รับไวรัสเอชพีวีทางเพศสัมพันธ์สูงขึ้นอย่างน่าตกใจ 
โดยเฉพาะหนุ่มสาวในมหาวิทยาลัย สถิติเพิ่มขึ้นจาก 20 ปีที่ผ่านมาถึง 459 เปอร์เซ็นต์ 
แต่ยังเป็นอันดับสองรองจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ซึ่งเกิดจากเชื้อแบคทีเรียคลามีเดีย 
(Chlamydia trachomatis) เชื้อคลามีเดียทำให้ผู้ชายมีอาการปวดแสบลำกล้องปัสสาวะ 
อาจมีหนองไหล และสตรีมีอาการเจ็บปวดท้องน้อย เนื่องจากปีกมดลูก
อักเสบจนถึงขั้นปีกมดลูกซึ่งเป็นท่อนำไข่ตีบตัน ผลลัพธ์คือ เป็นหมัน 
 แม้แต่การมีเพศสัมพันธ์กับคนที่เป็นโรคนี้ เพียงครั้งเดียวเท่านั้น 
ก็อาจเป็นโรคได้โดยเฉพาะถ้าบุคคลนั้นเพิ่งได้รับไวรัสมาใหม่ๆ 
ภายในสามเดือนแรกหรือยามที่เขามี ตุ่มหูดขึ้นบริเวณอวัยวะเพศ 
แต่อย่างไรก็ตามไวรัสอาจแอบแฝงอยู่ตามผิวของอวัยวะเพศ
ที่ดูเหมือนปกติได้เป็นนานปีทีเดียว ไวรัสชอบอยู่ตามบริเวณชุ่มชื้นอย่างในช่องคลอด 
ปากมดลูก บริเวณปากช่องคลอดหรือปากท่อปัสสาวะ บริเวณรอบหูรูดทวารหนัก 
ผิวหนังที่ปกคลุมลำลึงค์และอัณฑะและรอบๆ บริเวณใกล้เคียงกับอวัยวะเพศ
จนถึงขาหนีบตลอดจนต้นขา ตัวไวรัสอาจก่อให้เกิดตุ่มขาวหรือสีชมพู 
ลักษณะนุ่ม ผิวขรุขระเหมือนดอกกะหล่ำได้ชื่อว่า "หูดดอกกะหล่ำ" 
แต่มันอาจทำให้ผิวหนังหนายกตัวขึ้นเป็นแผ่นราบๆ ได้ อาจก่อให้เกิดอาการคัน 
แต่มักไม่ทำให้เจ็บปวดแต่อย่างใด ถ้าเกาอาจมีเลือดออก 
การใช้กล้องขยายพิเศษช่วยให้แพทย์ตรวจความผิดปกติของพื้นผิว
ที่เกิดจากเชื้อตัวนี้ได้โดยเฉพาะบริเวณปากมดลูก การใช้น้ำส้มสายชูเจือจาง 
(Acetic acid 5%) ป้ายบริเวณที่สงสัยช่วยในการวินิจฉัย
เพราะน้ำส้มช่วยเปลี่ยนผิวหรือเยื่อบุที่มีไวรัสให้เป็นสีขาวเห็นชัดขึ้น 
อย่างไรก็ตาม การตรวจหามะเร็งปากมดลูกในสตรี 
โดยแพทย์ใช้การตรวจดูเซลล์ (Pap Smear) และการเปลี่ยนแปลงของเซลล์
เมื่อมีไวรัสไปสิสู่อยู่ได้นับเป็นการตรวจที่มีความเชื่อถือพอใช้ได้และราคาถูก
เมื่อเทียบกับการตรวจใหม่ๆ ที่ใช้วิธีตรวจหาชิ้นส่วนทางกรรมพันธุ์ของตัวไวรัสนี้ 
 เนื่องจากการติดต่อแพร่กระจายของไวรัสนี้โดยทางเพศสัมพันธ์ คือ
การสัมผัสโดยตรงทางผิวหนังหรือช่องคลอด ทวารหนัก รวมทั้งการใช้ปากในการร่วมเพศ 
บรรดาหูดดอกกะหล่ำที่อยู่ตามส่วนอื่นของร่างกาย เช่น ตามมือ ตามเท้า 
ไม่ก่อให้เกิดหูดดอกกะหล่ำบริเวณอวัยวะเพศเพราะเกิดจากไวรัสคนละกลุ่ม
หลังจากการร่วมเพศกับคนที่เป็นโรคนี้ไม่แน่นอน คือ อาจใช้เวลาหลายสัปดาห์ 
หรือหลายเดือนและอาจไม่เกิดเป็นหูดขึ้นมาเลยก็ได้ ดังนั้น 
คนที่มีเพศสัมพันธ์กับหลายคนอาจไม่ทราบได้แน่นอนว่า
ใครเป็นต้นเหตุนอกจากสอบถามโดยตรง นอกจากนี้ผู้ที่นำไวรัสมาให้
อาจไม่มีลักษณะการเปลี่ยนแปลงผิดปกติที่อวัยวะเพศให้เห็นหรือไม่รู้ตัวเองว่ามีเชื้อนี้อยู่ 
ดังนั้น ทั้งสองฝ่ายควรได้รับการตรวจจากแพทย์อย่างถี่ถ้วน 
 เนื่องจากไวรัสกลุ่มนี้ได้รับการยืนยันว่า เป็นต้นเหตุที่สำคัญ
ของการเกิดมะเร็งปากช่องคลอดและมะเร็งของอวัยวะเพศ 
โดยเฉพาะในคนที่ระบบภูมิคุ้มกันไม่ดี คนที่สูบบุหรี่ คนที่เป็นโรคเบาหวาน
หรืออยู่ในภาวะทุพโภชนาการหรือรับประทานยาคุมกำเนิด 
รวมทั้งเด็กที่มารดาขณะตั้งครรภ์ใช้ยาพวก Diethylstilbestrol 
ซึ่งปัจจุบันเลิกใช้ในภาวะตั้งครรภ์ คนที่เริ่มมีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุต่ำกว่า 15 ปี 
คนที่มีคู่นอนมากกว่าสี่คนขึ้นไปหรือมีโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ชนิดอื่นร่วมด้วย
โดยเฉพาะไวรัสที่ทำให้เกิดเริม (Herpes simplex infection) ดังนั้น 
เมื่อผู้ชายหรือสตรีรับทราบว่าตนมีไวรัสต่างเกิดความวิตกกังวล 
รวมทั้งการโกรธแค้นคู่นอน อย่างไรก็ตามถึงไวรัสกลุ่มนี้มีมากกว่า 70 สายพันธุ์ 
เท่าที่ค้นพบเวลานี้มีเฉพาะสองสามสายพันธุ์เท่านั้น ที่ทำให้เกิดมะเร็ง 
	
 วิธีกำจัดไวรัสตัวนี้เป็นเรื่องลำบาก เพราะปัจจุบันในโลกนี้
ยังไม่มีใครค้นพบตัวยาที่จะกำจัดไวรัสไม่ว่าชนิดใด เช่น ไวรัสที่ทำให้เกิดโรคหวัด 
โรคเอดส์ เริม ตับอักเสบและหูดดอกกะหล่ำต่างๆ เพราะไวรัสทุกชนิด
ต่างเข้าไปอาศัยอยู่ในเซลล์ มันจะอยู่นอกเซลล์ของผู้เป็นเจ้าบ้านไม่ได้เลย 
ดังนั้นที่สำคัญคือต้องอาศัยภูมิคุ้มกันของเจ้าของบ้านกำจัดมันเอง
โดยงดการกระทำที่เป็นตัวหนุนให้ไวรัสแบ่งลูกหลานเพราะภูมิคุ้มกันของร่างกายต่ำ 
เช่น การสูบบุหรี่และส่งเสริมสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง
โดยเฉพาะการรับประทานอาหารที่มีสารต้านออกซิเดชั่น เช่น ส้ม มะละกอ 
แครอทและถั่วต่างๆ รวมทั้งผักใบเขียว และใช้ถุงยางลาเทกซ์
ซึ่งอาจช่วยได้บ้างแต่ก็ไม่เสมอไปเพราะถุงยางมิได้ ปกคลุมบริเวณอวัยวะเพศทั้งหมด 
บริเวณผิวหนังรอบอัณฑะและทวารหนักอาจมีไวรัสแทรกอยู่ในเซลล์แถบนั้น 
ถุงยางสำหรับผู้หญิง (Female condom) ปกคลุมเนื้อที่บริเวณนั้นได้มากกว่า
แต่เนื่องจากเทอะทะและราคาแพงถึงสามเหรียญสหรัฐ ดังนั้นจึงไม่เป็นที่นิยมใช้กัน 
พวกน้ำยาโฟม ครีมที่ใช้ในการคุมกำเนิดชนิดต่างๆ นั้นไม่มีผลในการป้องกันโรคนี้ 
 การกำจัดหูดซึ่งเปรียบเสมือนแหล่งเพาะผลิตไวรัสมีได้หลายวิธี เช่น 
การใช้ความเย็นโดยการพ่นไนโตรเจนเหลวโดยตรงที่ตัวหูด
หรือผ่านเครื่องมือที่มีลักษณะคล้ายดอกเห็ดทาบไปที่ปากมดลูก 
วิธีนี้ราคาถูกและได้ผลดี ส่วนการใช้สารเคมีพวกกรดไตรคลออาซิติค 
(Trichloracetic acid) หรือ โปโตไฟลิน (Podophyllin) และพวก Podofilox 
ทาเคลือบบนตัวหูด นับว่าใช้ได้ผลดีแต่ต้องทาซ้ำๆ กันโดยเฉพาะรายที่เป็นมาก 
การใช้แสงเลเซอร์หรือสมัยก่อนนี้ใช้ไฟฟ้าจี้ที่ตัวหูดนับเป็นอีกวิธีหนึ่ง
ที่ใช้ได้ถ้ามีหูดมากมาย ปัจจุบันการใช้ยาพวกอินเตอร์เฟอรอน (Interferon) 
ช่วยรักษาโดยเฉพาะคนไข้ที่มีปัญหาทางระบบภูมิคุ้มกัน 
และรายที่เกิดหูดขึ้นใหม่อีกหลังจากกำจัดไปแล้วซ้ำๆ ซากๆ 
แพทย์มักนัดคนไข้ที่เคยมีปัญหาของโรคนี้มาตรวจเป็นระยะ
โดยเฉพาะสตรีควรได้รับการจตรวจมะเร็งปากมดลูกทุกหกเดือน 
อย่างไรก็ตาม ถ้าบุคคลผู้นั้นปฏิบัติตามแพทย์แนะนำโดยป้องกันการติดไวรัส
ด้วยการใช้ถุงยางอนามัยตั้งแต่เริ่มแรกของการมีเพศสัมพันธ์
และจำกัดคู่นอนตลอดจนการรักษาสุขภาพอนามัยแล้ว 
โอกาสที่ร่างกายของเขาสามารกำจัดไวรัสให้หมดไปจากร่างกายภาย
ในเวลาหนึ่งปีมีถึง 90 เปอร์เซ็นต์ 
	
 หูดดอกกะหล่ำในสตรีขณะตั้งครรภ์มักเจริญงอกงาม 
มีขนาดโตและแพร่กระจายบริเวณปากช่องคลอด 
ตลอดจนภายในช่องคลอดจนถึงปากมดลูกได้มาก 
ถึงขั้นกีดขวางการคลอดทางช่องคลอดได้ ทั้งนี้เพราะระบบฮอร์โมนของหญิง
ขณะตั้งครรภ์เปลี่ยนแปลงไปและความชุ่มชื้นในช่องคลอดมีสูงขึ้น 
เป็นเหตุให้เกิดปรากฏการณ์ดังกล่าวได้ ทารกที่คลอดผ่านบริเวณที่มีหูดดอกกะหล่ำ
เกิดขึ้นมากมาย อาจเกิดหูดดอกกะหล่ำในลำคอของทารกผู้นั้นได้ 
แต่ถ้าหญิงตั้งครรภ์มีหูดดอกกะหล่ำไม่มากถึงขั้นกีดขวางการคลอดตามปกติแล้ว 
แพทย์จะไม่ทำการผ่าตัดทารกออกทางช่องคลอด คงปล่อยให้ทารกคลอดตามปกติ 
และเฝ้าดูอาการของทารก อย่างไรก็ตามแพทย์พยายามรักษา 
กำจัดหูดให้หมดไปก่อนคลอด โดยวิธีต่างๆ ดังกล่าวแล้วนั้น 
แต่การใช้ยากำจัดหูด (wart) โดยทั่วไปที่วางขายตามร้านขายยานี้
ไม่สามารถกำจัดหูดดอกกะหล่ำที่อวัยวะเพศได้ 
และอาจทำอันตรายต่อผิวอ่อนบริเวณอวัยวะเพศ 
	
 เนื่องจากไวรัสสามารถแฝงตัวซ่อนอยู่ในเซลล์ของผิวหนังที่ดูเหมือนปกติ 
ดังนั้น จึงเป็นการยากต่อทั้งการรักษาและการป้องกัน ศาสตราจารย์นายแพทย์ 
โดนาลด์ วูดดรัพ ผู้มีชื่อเสียงแห่งมหาวิทยาลัยจอห์นฮออบกินส์
ได้สอนดิฉันให้ใช้ยาเข้าสาร 5 FU (ต่อมาทางโรงงานผลิตมาในรูป Efudex Cream) 
ทาโดยทั่วไปในช่องคลอดและผิวหนังโดยรอบ ทั้งหญิงและชายในรายที่รักษาไม่หายขาด 
แต่คนไข้ทนการแสบร้อนของผิวหนังหลังจากการใช้ยาไม่ได้ ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดคือ 
การใช้ถุงยางอนามัยในการร่วมเพศสัมพันธ์โดยเฉพาะกับคู่นอนคนใหม่ 
พญ.จันทรา เจณณวาสิน
  |