มะเร็งปากมดลูกเป็นมะเร็งที่พบมากเป็นอันดับหนึ่งของมะเร็งในสตรี ปัจจุบันเชื้อว่า
มะเร็งปากมดลูกเกิดจากไวรัส HPV ในประเทศไทยพบได้ถึง 23 คนจากประชากรแสนคน
พบรายใหม่ 5000-6000 รายต่อปี แต่ก็ยังนับว่าเป็นโชคดี เพราะเป็นโรคมะเร็งชนิดเดียวเท่านั้นที่ป้องกันได้
เพราะสามารถตรวจค้นหาความผิดปกติที่ง่าย และเชื่อถือได้และนอกจากนั้นยังเป็นมะเร็งที่ใช้เวลา
ในการกลายพันธุ์ค่อนข้างช้า ใช้เวลาอย่างน้อย 5-7 ปี จึงจะกลายจากเนื้อผิดปกติจนกลายเป็นมะเร็ง
ถ้าหมั่นตรวจเช็คดูเนื้อกลายก็จะลดโอกาสเกิดมะเร็งได้ เหมือนรอยจุดช้ำบนแอ๊ปเปิ้ล ถ้าเราปล่อยทิ้งไว้
มันก็จะค่อยๆเน่าแล้วลามออกไปจนเน่าหมดทั้งผล แต่ถ้าเราตรวจพบแต่เริ่มแรกเพียงแค่ช้ำๆ
แล้วฝานออก เราก็จะสามารถรักษาผลแอ๊ปเปิลนั้นไว้ได้
การตรวจป้องกันมะเร็งปากมดลูก ภาษาหมอเรียกตรวจแป๊ป ไม่ใช่แป๊ปน้ำ แต่เป็น
แป๊ปสเมียร์ (Pap Smear หรือ Papanicolaou smear) การตรวจแป๊ปสเมียร์เพื่อป้องกันมะเร็งปากมดลูก
มีมา 100 กว่าปีแล้ว และมีการพัฒนาการตรวจมาโดยตลอด แป๊ปสเมียร์เป็นขบวนการตรวจหา
ความผิดปกติของเซลล์บุผิวของปากมดลูก การตรวจก็คือการนำเอาเซลล์เหล่านั้นมาป้ายบนกระจกแผ่น
แล้วทำให้เซลล์ตายแห้งโดยการแช่น้ำยาแล้วจึงนำไปย้อมสีพิเศษ เพื่อดูลักษณะหรือองค์ประกอบ
ทางกายภาพของเซลล์ว่าผิดปกติหรือเปล่า ย้ำว่าตรวจเพียงว่า ผิดปกติ หรือ เพี้ยน ไป
หรือเปล่าเท่านั้น ยังไม่ถึงขั้นมะเร็ง และความผิดปกติที่บอกได้นั้นแบ่งความรุนแรงออกมาเป็นหลายระดับ
เป็นความผิดปกติที่ส่อว่าอาจจะเป็นมะเร็งได้มากน้อยเพียงใด เป็นการตรวจแบบคร่าวๆ เท่านั้น
และเมื่อพบเซลล์ที่ส่อว่าจะเพี้ยนไปเป็นมะเร็ง หมอก็จะดำเนินการตรวจอย่างอื่นต่อไป
เช่นการส่องกล้องตรวจปากมดลูก (colposcopy) หรือการตัดชิ้นเนื้อจากปากมดลูกไปตรวจ
(conization การตัดก็ไม่น่ากลัวเพราะจะใช้มีดไฟฟ้าตัดเนื้อเยื่อผิดปกติออก หรือใช้ความเย็นจัดจี้ทำลาย
การตัดทำลายด้วยแสงเลเซอร์ หรืออาจตัดด้วยมีดผ่าตัดธรรมดาก็ได้) เพราะฉะนั้นผลการตรวจแป๊ปสเมียร์
จะบอกให้รู้ได้เพียงว่า พบความผิดปกติเกิดขึ้น หรือพบเซลล์ที่เพี้ยนไปเท่านั้น ดังนั้นเมื่อคุณได้รับ
รายงานผลการตรวจจึงไม่ต้องตกใจว่าจะเป็นมะเร็ง จากสถิติพบว่าอัตราความผิดปกติ
ของการตรวจป้องกันมะเร็งพบได้น้อยกว่า 2 เปอร์เซ็นต์ แปลว่าหนึ่งพันคนที่ตรวจ
พบเซลล์ที่ผิดปกติไม่ถึงยี่สิบคนและในจำนวนไม่ถึง 20 คนนั้น มีไม่ถึง 10 เปอร์เซ็นต์ที่จะเป็นมะเร็ง
ส่วนใหญ่เป็นเพียงเซลล์ที่เพี้ยนหรือผิดปกติไปเท่านั้น
อายุที่เป็นกลุ่มเสี่ยงคือ อายุ 30 ปีขึ้นไป จากสถิติมะเร็งปากมดลูกของหญิงไทยจะพบบ่อย
ในช่วงอายุประมาณ 40 ปลายๆ ดังนั้นถ้าจะป้องกันมะเร็งก็ต้องเริ่มตรวจตั้งแต่อายุ 30 ปีเศษ ขึ้นไป
เพราะกว่าจะเป็นมะเร็งต้องใช้เวลาประมาณ 5-7 ปีดังกล่าวข้างต้น แต่ก็เป็นที่น่าเสียใจที่ยังพบว่า
แม้การตรวจแป๊ปเพื่อค้นหามะเร็งปากมดลูกนั้นจะตรวจง่าย สะดวก แป็บเดียวก็เสร็จ แบบแป๊บๆ จริงๆ
ปัจจุบันหลายๆแห่งเอาใจขนาดตรวจเสร็จให้กลับไปนอนรอฟังผลที่บ้าน ทางโรงพยาบาลจะส่งผล
ทางไปรษณีย์ไปให้ หรือสามารถโทรศัพท์มาฟังผลก็ยังได้ แถมค่าตรวจราคายังถูกมากไม่ถึงร้อยบาท
บางแห่งที่เป็นโรงพยาบาลของรัฐตัดราคาคิดค่าบริการเพียง 30 บาทเท่านั้น ก็ยังไม่ค่อยมาตรวจกัน
สาเหตุที่ไม่ตรวจเท่าที่ถามๆดูและได้รับคำตอบก็คือ กลัวตรวจแล้วเจอ ทำใจไม่ได้ เป็นซะอย่างนั้นไป
คุณทราบหรือไม่ว่าถ้าเป็นมะเร็งแล้วการรักษาแม้จะเป็นมะเร็งระยะเริ่มแรกก็ยุ่งยาก
เพราะการผ่าตัดเพื่อรักษามะเร็งนั้นจะต้องผ่าแบบทำลายล้าง นอกจากตัดปากมดลูก ตัดมดลูกแล้ว
ยังต้องตัดเนื้อช่องคลอดข้างมดลูกออกอีก รวมทั้งต้องเลาะเอาต่อมน้ำเหลืองในช่องเชิงกรานออกทั้งหมดหมด
ยิ่งถ้ามีการลุกลามแพร่กระจายการรักษาก็จะเพิ่มความยุ่งยาก อาจจะต้องใช้รังสีรักษา
และหรือร่วมกับการใช้ยาเคมีบำบัด ไม่เพียงเท่านั้นอาจจะต้องใช้การผ่าตัดร่วมด้วย
เรียกได้ว่าทั้งฉายแสง ทั้งฝังแร่ บวกเคมีบำบัด บวกผ่าตัด แม้กระนั้นผลการรักษาก็ไม่ดีนัก
ดังนั้นการป้องกันโดยการตรวจพบเซลล์ผิดปกติแต่เนิ่นๆจึงดีที่สุด
ถ้ายังไม่เคยตรวจ ก็เริ่มตรวจตั้งแต่ปีนี้เลย ถ้าตรวจมาทุกปี ไม่พบสิ่งผิดปกติมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว
เซลล์ทุกเซลล์ยังดูสวยงาม คุณก็อาจปรึกษาคุณหมอที่คุณตรวจอยู่ว่า จะพอละเว้นสัก 2 3 ปี
ค่อยตรวจทีก็ยังได้ ก็อย่างที่บอกว่า ระยะฟักตัว หรือเวลาที่ใช้ในการกลายเป็นมะเร็งนั้น
ใช้เวลา 5 7 ปี คุณอาจเว้นวรรคไปบ้างก็ได้
- ตัดมดลูกไปแล้วยังต้องตรวจหรือเปล่า
ทั้งนี้ก็อยู่ที่ว่าการตัดมดลูกของคุณนั้น ตัดด้วยสาเหตุใด ถ้าการตัดมดลูกจากสาเหตุอื่น
ที่ไม่ใช่เนื้อร้ายหรือมะเร็ง การตรวจก็ไม่มีความจำเป็น แต่ถ้าการตัดมดลูกด้วยสาเหตุว่าพบเนื้อร้าย
หรือพบเซลล์ที่เพี้ยน ก็อาจจำเป็นยังต้องตรวจภายใน เช่นตรวจเพื่อหามะเร็งช่องคลอด
หรือถ้าเคยเป็นหูดหงอนไก่มาก่อน ก็คงต้องตรวจภายในอย่างสม่ำเสมอ หรือกรณีที่ตัดเพียงมดลูก
รังไข่ยังอยู่ก็คงต้องตรวจภายในเพื่อดูว่ามีมะเร็งรังไข่ด้วยหรือไม่ ทั้งนี้ก็อยู่ที่หมอที่ตรวจเป็นผู้พิจารณาว่า
จะตรวจบ่อยแค่ไหน ปีละครั้ง หรือ 2 3 ปีครั้ง
จะเห็นได้ว่ามะเร็งปากมดลูกนั้น ถึงแม้จะเป็นโรคที่อันตรายถึงชีวิต แต่คุณก็สามารถป้องกันได้
ด้วยการตรวจป้องกัน ปีนี้คุณตรวจป้องกันมะเร็งปากมดลูกแล้วหรือยัง
น.พ.รุ่งโรจน์ ตรีนิติ
|