มาที่นี่ที่เดียว ได้อ่านบทความทางด้านการแพทย์ ภาษาไทย จากเกือบทุกโฮมเพจที่มีใน INTERNET
http://www.oocities.org/Tokyo/Harbor/2093/
จำสั้นๆ i.am/thaidoc



การตรวจป้องกันมะเร็งปากมดลูก


มะเร็งปากมดลูกเป็นมะเร็งที่พบมากเป็นอันดับหนึ่งของมะเร็งในสตรี ปัจจุบันเชื้อว่า มะเร็งปากมดลูกเกิดจากไวรัส HPV ในประเทศไทยพบได้ถึง 23 คนจากประชากรแสนคน พบรายใหม่ 5000-6000 รายต่อปี แต่ก็ยังนับว่าเป็นโชคดี เพราะเป็นโรคมะเร็งชนิดเดียวเท่านั้นที่ป้องกันได้ เพราะสามารถตรวจค้นหาความผิดปกติที่ง่าย และเชื่อถือได้และนอกจากนั้นยังเป็นมะเร็งที่ใช้เวลา ในการกลายพันธุ์ค่อนข้างช้า ใช้เวลาอย่างน้อย 5-7 ปี จึงจะกลายจากเนื้อผิดปกติจนกลายเป็นมะเร็ง ถ้าหมั่นตรวจเช็คดูเนื้อกลายก็จะลดโอกาสเกิดมะเร็งได้ เหมือนรอยจุดช้ำบนแอ๊ปเปิ้ล ถ้าเราปล่อยทิ้งไว้ มันก็จะค่อยๆเน่าแล้วลามออกไปจนเน่าหมดทั้งผล แต่ถ้าเราตรวจพบแต่เริ่มแรกเพียงแค่ช้ำๆ แล้วฝานออก เราก็จะสามารถรักษาผลแอ๊ปเปิลนั้นไว้ได้

การตรวจป้องกันมะเร็งปากมดลูก ภาษาหมอเรียกตรวจแป๊ป ไม่ใช่แป๊ปน้ำ แต่เป็น แป๊ปสเมียร์ (Pap Smear หรือ Papanicolaou smear) การตรวจแป๊ปสเมียร์เพื่อป้องกันมะเร็งปากมดลูก มีมา 100 กว่าปีแล้ว และมีการพัฒนาการตรวจมาโดยตลอด แป๊ปสเมียร์เป็นขบวนการตรวจหา ความผิดปกติของเซลล์บุผิวของปากมดลูก การตรวจก็คือการนำเอาเซลล์เหล่านั้นมาป้ายบนกระจกแผ่น แล้วทำให้เซลล์ตายแห้งโดยการแช่น้ำยาแล้วจึงนำไปย้อมสีพิเศษ เพื่อดูลักษณะหรือองค์ประกอบ ทางกายภาพของเซลล์ว่าผิดปกติหรือเปล่า ย้ำว่าตรวจเพียงว่า ผิดปกติ หรือ เพี้ยน ไป หรือเปล่าเท่านั้น ยังไม่ถึงขั้นมะเร็ง และความผิดปกติที่บอกได้นั้นแบ่งความรุนแรงออกมาเป็นหลายระดับ เป็นความผิดปกติที่ส่อว่าอาจจะเป็นมะเร็งได้มากน้อยเพียงใด เป็นการตรวจแบบคร่าวๆ เท่านั้น และเมื่อพบเซลล์ที่ส่อว่าจะเพี้ยนไปเป็นมะเร็ง หมอก็จะดำเนินการตรวจอย่างอื่นต่อไป เช่นการส่องกล้องตรวจปากมดลูก (colposcopy) หรือการตัดชิ้นเนื้อจากปากมดลูกไปตรวจ (conization การตัดก็ไม่น่ากลัวเพราะจะใช้มีดไฟฟ้าตัดเนื้อเยื่อผิดปกติออก หรือใช้ความเย็นจัดจี้ทำลาย การตัดทำลายด้วยแสงเลเซอร์ หรืออาจตัดด้วยมีดผ่าตัดธรรมดาก็ได้) เพราะฉะนั้นผลการตรวจแป๊ปสเมียร์ จะบอกให้รู้ได้เพียงว่า พบความผิดปกติเกิดขึ้น หรือพบเซลล์ที่เพี้ยนไปเท่านั้น ดังนั้นเมื่อคุณได้รับ รายงานผลการตรวจจึงไม่ต้องตกใจว่าจะเป็นมะเร็ง จากสถิติพบว่าอัตราความผิดปกติ ของการตรวจป้องกันมะเร็งพบได้น้อยกว่า 2 เปอร์เซ็นต์ แปลว่าหนึ่งพันคนที่ตรวจ พบเซลล์ที่ผิดปกติไม่ถึงยี่สิบคนและในจำนวนไม่ถึง 20 คนนั้น มีไม่ถึง 10 เปอร์เซ็นต์ที่จะเป็นมะเร็ง ส่วนใหญ่เป็นเพียงเซลล์ที่เพี้ยนหรือผิดปกติไปเท่านั้น

  • อายุเท่าไหร่จึงควรตรวจ

อายุที่เป็นกลุ่มเสี่ยงคือ อายุ 30 ปีขึ้นไป จากสถิติมะเร็งปากมดลูกของหญิงไทยจะพบบ่อย ในช่วงอายุประมาณ 40 ปลายๆ ดังนั้นถ้าจะป้องกันมะเร็งก็ต้องเริ่มตรวจตั้งแต่อายุ 30 ปีเศษ ขึ้นไป เพราะกว่าจะเป็นมะเร็งต้องใช้เวลาประมาณ 5-7 ปีดังกล่าวข้างต้น แต่ก็เป็นที่น่าเสียใจที่ยังพบว่า แม้การตรวจแป๊ปเพื่อค้นหามะเร็งปากมดลูกนั้นจะตรวจง่าย สะดวก แป็บเดียวก็เสร็จ แบบแป๊บๆ จริงๆ ปัจจุบันหลายๆแห่งเอาใจขนาดตรวจเสร็จให้กลับไปนอนรอฟังผลที่บ้าน ทางโรงพยาบาลจะส่งผล ทางไปรษณีย์ไปให้ หรือสามารถโทรศัพท์มาฟังผลก็ยังได้ แถมค่าตรวจราคายังถูกมากไม่ถึงร้อยบาท บางแห่งที่เป็นโรงพยาบาลของรัฐตัดราคาคิดค่าบริการเพียง 30 บาทเท่านั้น ก็ยังไม่ค่อยมาตรวจกัน สาเหตุที่ไม่ตรวจเท่าที่ถามๆดูและได้รับคำตอบก็คือ กลัวตรวจแล้วเจอ ทำใจไม่ได้ เป็นซะอย่างนั้นไป

คุณทราบหรือไม่ว่าถ้าเป็นมะเร็งแล้วการรักษาแม้จะเป็นมะเร็งระยะเริ่มแรกก็ยุ่งยาก เพราะการผ่าตัดเพื่อรักษามะเร็งนั้นจะต้องผ่าแบบทำลายล้าง นอกจากตัดปากมดลูก ตัดมดลูกแล้ว ยังต้องตัดเนื้อช่องคลอดข้างมดลูกออกอีก รวมทั้งต้องเลาะเอาต่อมน้ำเหลืองในช่องเชิงกรานออกทั้งหมดหมด ยิ่งถ้ามีการลุกลามแพร่กระจายการรักษาก็จะเพิ่มความยุ่งยาก อาจจะต้องใช้รังสีรักษา และหรือร่วมกับการใช้ยาเคมีบำบัด ไม่เพียงเท่านั้นอาจจะต้องใช้การผ่าตัดร่วมด้วย เรียกได้ว่าทั้งฉายแสง ทั้งฝังแร่ บวกเคมีบำบัด บวกผ่าตัด แม้กระนั้นผลการรักษาก็ไม่ดีนัก ดังนั้นการป้องกันโดยการตรวจพบเซลล์ผิดปกติแต่เนิ่นๆจึงดีที่สุด

  • ต้องตรวจทุกปีหรือเปล่า

ถ้ายังไม่เคยตรวจ ก็เริ่มตรวจตั้งแต่ปีนี้เลย ถ้าตรวจมาทุกปี ไม่พบสิ่งผิดปกติมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว เซลล์ทุกเซลล์ยังดูสวยงาม คุณก็อาจปรึกษาคุณหมอที่คุณตรวจอยู่ว่า จะพอละเว้นสัก 2 – 3 ปี ค่อยตรวจทีก็ยังได้ ก็อย่างที่บอกว่า ระยะฟักตัว หรือเวลาที่ใช้ในการกลายเป็นมะเร็งนั้น ใช้เวลา 5 – 7 ปี คุณอาจเว้นวรรคไปบ้างก็ได้

  • ตัดมดลูกไปแล้วยังต้องตรวจหรือเปล่า

ทั้งนี้ก็อยู่ที่ว่าการตัดมดลูกของคุณนั้น ตัดด้วยสาเหตุใด ถ้าการตัดมดลูกจากสาเหตุอื่น ที่ไม่ใช่เนื้อร้ายหรือมะเร็ง การตรวจก็ไม่มีความจำเป็น แต่ถ้าการตัดมดลูกด้วยสาเหตุว่าพบเนื้อร้าย หรือพบเซลล์ที่เพี้ยน ก็อาจจำเป็นยังต้องตรวจภายใน เช่นตรวจเพื่อหามะเร็งช่องคลอด หรือถ้าเคยเป็นหูดหงอนไก่มาก่อน ก็คงต้องตรวจภายในอย่างสม่ำเสมอ หรือกรณีที่ตัดเพียงมดลูก รังไข่ยังอยู่ก็คงต้องตรวจภายในเพื่อดูว่ามีมะเร็งรังไข่ด้วยหรือไม่ ทั้งนี้ก็อยู่ที่หมอที่ตรวจเป็นผู้พิจารณาว่า จะตรวจบ่อยแค่ไหน ปีละครั้ง หรือ 2 –3 ปีครั้ง

จะเห็นได้ว่ามะเร็งปากมดลูกนั้น ถึงแม้จะเป็นโรคที่อันตรายถึงชีวิต แต่คุณก็สามารถป้องกันได้ ด้วยการตรวจป้องกัน ปีนี้คุณตรวจป้องกันมะเร็งปากมดลูกแล้วหรือยัง

น.พ.รุ่งโรจน์ ตรีนิติ

(update 28 ธันวาคม 2000)


[ BACK TO LIST]
main พบแพทย์ คอมพิวเตอร์ เรื่องบ้าน เรื่องรถ เรื่องกฏหมาย เรื่องของผู้บริโภค เรื่องเบาๆ คลายเครียด

มีปัญหาสุขภาพ ที่นี่มีคำตอบ ห้องสมุดE-LIB[ hey.to/yimyam ][ i.am/thaidoc ]

Best view with [IE3.02][NETSCAPE 4.05][OPERA 3.21] resolution 800x600