 |
|
ปัจจุบันนี้เมืองไทยมีโทรศัพท์มือถือใช้กันมากมาย
ดูเหมือนว่าใครๆ ก็มีมือถือทั้งนั้น ไม่ว่าที่บ้าน
ที่ทำงาน ในรถ ในส้วม ในสวนสาธารณะ ในผับ ในโรงหนัง
ที่กรุงเทพฯ
หรือต่างจังหวัด หรือในหมู่บ้านแม้ว (เห็นในทีวี) ก็มีคนจ้อ
ทางมือถือกันทั้งนั้น ดูเหมือนว่าคนเราจำเป็นต้องการคุยกัน
มากเหลือเกิน เมื่อก่อนตอนที่ยังไม่มีมือถือผมก็มีความคิดว่า
ผู้หญิงจ้อน้อยที่สุดในเดือน |
กุมภาพันธ์ แต่ทุกวันนี้เห็นทั้งหญิงและชายจ้อไม่แพ้กันไม่ว่าเดือนไหน การที่เป็นอย่างนั้น
คงเป็นเพราะเทคโนโลยีทำให้การโทรติดได้ง่าย มีหน่วยความจำชื่อจำเบอร์กดปุ๊บติดปั๊บฮัลโหลได้ทันที
ไม่มีเวลาคิดเรื่องค่าโทร การที่เป็นอย่างนี้จึงทำให้เกิดปัญหาให้คนจ้อมากในขณะขับรถยนต์
เมื่อ 3 ปีก่อนวารสานการแพทย์ชื่อดัง The New England Journal of Medicine
ได้ลงบทความทางวิชาการที่ทำการศึกษาเรื่องการใช้โทรศัพท์มือถือกับการเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์
ทำให้มีความตื่นตัวเรื่องห้ามใช้มือถือขณะขับรถกันมากขึ้น ในบทความนั้น กล่าวว่า
การใช้มือถือในขณะขับรถทำให้เกิดอุบัติเหตุได้มากกว่าคนไม่ใช้ถึง 4 เท่าตัว
ในการศึกษานั้นมันขาดไปอย่างหนึ่งคือ
ไม่ได้บอกว่าถ้าพูดโทรศัพท์แบบแฮนด์ฟรี คือไม่ต้อง
ถือโทรศัพท์เวลาพูดแล้วจะทำให้เกิดอุบัติเหตุน้อยลง
หรือไม่ ทำให้เป็นช่องโหว่ให้พ่อค้ามือถืออ้างเรื่อง
แฮนด์ฟรีว่าดี ว่าเหมาะกับคนขับรถ การเป็นอย่างนั้น
เพราะยังไม่มีการศึกษาว่าการใช่มือหนึ่งจับโทรศัพท์อีกมือ
จับพวงมาลัยจะลดความสามารถในการขับรถหรือไม่
เมื่อเทียบกับการจับพวงมาลัยสองมือในขณะพูดโทรศัพท์
อย่างไหนจะปลอดภัยกว่า คือ เรื่องมือกับเรื่องสมาธิของ
สมองไหนจะสำคัญกว่ากัน ถ้าหากแฮนด์ฟรีแล้วจ้อก็ยัง
เสียสมาธิในการขับรถจน |
|
 |
เกิดเรื่อง แล้วการที่เราฟังวิทยุ ฟังเพลง ฟังธรรม ฟังเทศน์ จส.100
จะทำให้เกิดอุบัติเหตุจนต้องให้รายการร่วมด้วยช่วยกันหาคนช่วยหรือไม่
เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา วารสารทางจิตวิทยาชื่อ Journal of Experimental Psychology
ได้ตีพิมพ์ผลงานการทดลองของนักจิตวิทยา 2 คนคือ M.A.Recarte และ L.M.Nunes แห่งเมืองแมดริด
สองคนนี้ได้ให้คำตอบแก่เราว่า การใช้ความคิดถึงเรื่องหนึ่งเรื่องใดจะมีผลต่อการขับรถด้วย
เพราะจิตย่อมเป็นหนึ่งเดียวในขณะใดขณะหนึ่ง
เนื่องจากการมองเห็นหรือการทำงานของตามีความสำคัญต่อการเกิดอุบัติเหตุมาก
ผู้วิจัยทั้งสองคนจึงได้ทำการทดลองเฝ้าดูการเคลื่อนไหวของลูกนัยนย์ตาของผู้ถูกทดลอง 12 คน
เพื่อดูว่าการใช้ความคิดถึงเรื่องอื่นนอกจากการขับรถจะทำให้เกิดอุบัติเหตุได้มากแค่ไหน
เขาทดลองให้ทำกิจกรรมที่ต้องพูดเปรียบกับกิจกรรมที่ไม่ต้องพูดที่ต้องใช้สมาธิประมาณ 30 วินาที
ในกิจกรรมพูดเขาให้ออกเสียงอักษร โดยเริ่มจากตัวใดตัวหนึ่งเรียงลำดับเรื่อยไป ในกิจกรรมไม่ต้องพูด
เขาให้นึกภาพตัวอักษรแล้วให้ออกเสียงขานรับเมื่ออักษรที่เขาเปิดให้ดูจากสมุดถ้ามันตรงกับที่เขาจินตนาการเอาไว้
เขามีการพลิกแพลงเอาอักษรเป็นตัวเปิดหรือตัวปิดเช่นตัว E เป็นตัวเปิด หรือว่าเป็นตัวปิดเช่น ตัว P
นักวิจัยกลุ่มนี้พบว่า การทำกิจกรรมแบบไม่พูดกับแบบที่ต้องพูดก็ต้องใช้ความพยายามเท่ากัน
ทั้งนี้ดูจากขนาดของม่านตาที่ขยายในการจ้องมอง (eye fixation) ในภาวะปกติผู้ขับรถจะต้องใช้เวลา
มองกระจกเงามองหลังแค่ 1.4% แต่เวลาทำกิจกรรมที่ต้องพูดทำให้เวลามองกระจกหลังลดลงเหลือแค่ 0.4%
เมื่อทำกิจกรรมที่ไม่ต้องพูดมันลดลงเหลือ 0.2% และปกติผู้ที่ขับรถจะใช้เวลามองดูเกย์ความเร็วรถแค่ 4%
แต่เวลาทำกิจกรรมที่ต้องพูดการมองจ้อง (eye fixation) ลดเหลือ 1% เมื่อทำกิจกรรมไม่ต้องพูดเช่น
คิดอย่างเดียวมันลดลงเหลือน้อยกว่า 1%
นอกจากที่กล่าวมานี้เขาพบว่า กิจกรรมที่ไม่ต้องพูดแต่ใช้ความคิด ยังทำให้มีการเหม่อมอง
ใจลอยมองไปข้างหน้าซึ่งเกิดขึ้นน้อยกว่าเมื่อทำกิจกรรมที่พูดเรื่องง่ายๆ
ที่ว่ามานี้หมายความว่า ถ้าคุณจะใช้โทรศัพท์แบบแฮนด์ฟรี คือ ใช้มือถือแบบไม่ต้องถือ
สมาธิในการใช้สายตาของคุณก็ลดลง คุณควรจะพูดในเรื่องง่ายๆ ที่ไม่ต้องใช้ความคิดสร้างภาพ
สร้างจิตนาการในขณะคุย ไม่ควรจะพูดเรื่องยากๆ เช่น พยายามบรรยายให้เมียช่วยหากระเป๋าเงิน
ที่ลืมไว้ที่บ้านว่ามันอาจจะอยู่ที่โน่นที่นี่ หรือ ถ้าฝ่ายเมียโทรไปหาสามีในขณะที่ขับรถ
ก็ไม่ควรจะเอาเรื่องที่ต้องคิดมาไปถาม เช่น "ท่อประปาแตกที่บ้านน้ำกำลังรั่ว โกร๊กจะทำอย่างไรดี"
การถามอย่างนั้นอาจจะทำให้สามีคิดวาดภาพ เสียสมาธิในการขับรถทำให้เกิดเสียง "โครม"
ดังมาทางโทรศัพท์
เขาแนะนำว่าขณะขับรถไม่ควรคิดถึงเรื่องที่ทำให้เร้าอารมณ์เช่น มองเห็นภาพแฟนในชุดวันเกิด
คิดถึงฉากรักหวานจ๋อย คิดถึงศัตรูคู่อาฆาตที่กำลังถูกเราต่อยครึ่งปากครึ่งจมูกด้วยสนับมือ
มองเห็นตัวเองต่อยหมัดซ้ายขวาหนึ่งสองถูกทุกหมัด คิดแบบนี้มีหวังเกิดเรื่องชนท้ายรถบรรทุกแน่
เขาแนะนำให้คุยกันในเรื่องง่ายๆ ไม่ต้องใช้หลักตรรกวิทยา หรือการคิดคำนวณในการพูดจา
ด้วยเรื่องเงินทองบัญน้ำบัญชี
 |
|
การฟังวิทยุก็ควรฟังเรื่องง่ายๆ ไม่ใช่เอาเทปวิชาการยากๆ
มาตั้งอกตั้งใจฟัง หรือฟังรายการ จส.100 มีเสียงโฆษกเสียงสวย
บรรยายถึงอุบัติเหตุหวาดเสียว มีเสียงระเบิดรถยนต์ตกจากทาง
ต่างระดับในขณะที่การจราจรกำลังคับคั่งเต็มพื้นที่ถนน 90% มีหวัง
จส.100 จะทำให้เกิดอุบัติเหตุมากขึ้นเพราะคนฟังต้องใช้จิตนาการ
ให้เกิดความเข้าใจ เพื่อจะได้หลีกเลี่ยงไม่ขับไปทางนั้น |
เมื่อไม่นานมานี้ตำรวจไทยเราได้เสนอร่างกฎหมายห้ามการถือโทรศัพท์คุยกันในขณะขับรถยนต์
ซึ่งหลายประเทศก็มีการห้ามกันแล้ว แต่เข้าใจว่ากฎหมายนี้ไม่ครอบคลุมถึงการจ้อแบบแฮนด์ฟรี
แต่ผู้ใช้มือถือแบบไม่ต้องถือก็ควรจะสำเหนียกไว้ด้วยว่าการพูดอย่างเดียวก็อาจจะทำให้เกิดอุบัติเหตุมากขึ้น
ไม่ว่าจะใช้มือเดียวหรือสองมือขับรถนะครับ
นพ.นริศ เจนวิริยะ
|